ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 448 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 451 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 454 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อรรถกถา สิริชาดก
ว่าด้วย โภคะเกิดแก่ผู้มีบุญ

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ทรงปรารภพราหมณ์โจรผู้ลักสิริคนหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า ยํ อุสฺสุกฺกา สงฺฆรนฺติ ดังนี้.
               ในชาดกนี้ เรื่องปัจจุบันมีพิสดารแล้วใน ขทิรังคารชาดก ในหนหลังนั่นแล.
               แต่ในที่นี้ เทวดาผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ซึ่งสิงอยู่ที่ซุ้มประตูที่สี่ ในเรือนของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีนั้น เมื่อจะทำทัณฑกรรมแก่ตนเอง จึงนำเอาเงิน ๕๔ โกฏิมาใส่เต็มฉาง ได้เป็นสหายกับท่านเศรษฐี.
               ลำดับนั้น ท่านเศรษฐีได้นำเทวดานั้นไปยังสำนักของพระศาสดา พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่เทวดานั้น เทวดานั้น ครั้นได้ฟังธรรมแล้วได้เป็นพระโสดาบัน. ตั้งแต่นั้นมา ยศของท่านเศรษฐีก็ได้เป็นเหมือนอย่างเดิม.
               ครั้งนั้น มีพราหมณ์ผู้รู้ลักษณะสิริชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่งคิดว่า อนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นคนเข็ญใจแล้ว กลับเป็นใหญ่ขึ้นอีก อย่ากระนั้นเลย เราทำทีเหมือนต้องการจะไปเยี่ยมท่านเศรษฐีนั้น ไปลักเอาสิริจากเรือนของท่านเศรษฐีนั้นมาเสีย. พราหมณ์นั้นไปยังเรือนของท่านเศรษฐี อันท่านเศรษฐีนั้นกระทำสักการะและสัมมานะแล้ว เมื่อกำลังกล่าวถ้อยคำเครื่องให้ระลึกถึงกันและกันอยู่ ท่านเศรษฐีกล่าวว่า ท่านมาหาข้าพเจ้าเพื่อต้องการอะไร? ก็ตรวจดูว่า สิริประดิษฐานอยู่ที่ไหนหนอ ก็ท่านเศรษฐีมีไก่ขาวปลอดมีส่วนเปรียบดุจสังข์ที่ขัดแล้วใส่ไว้ในกรงทองตั้งอยู่ สิริประดิษฐานอยู่ที่หงอนของไก่นั้น. พราหมณ์ตรวจดูอยู่รู้ว่าสิริประดิษฐานอยู่ที่ไก่นั้น จึงกล่าวว่า ท่านมหาเศรษฐี ข้าพเจ้าสอนมนต์พวกมาณพ ๕๐๐ คน เพราะอาศัยไก่ตัวหนึ่งขันไม่เป็นเวลา พวกมาณพและข้าพเจ้าจึงย่อมลำบาก ได้ยินว่า ก็ไก่ตัวนี้ขันตรงเวลา ข้าพเจ้ามาเพื่อต้องการไก่ตัวนี้ ท่านโปรดให้ไก่ตัวนี้แก่ข้าพเจ้าเถิด. ท่านเศรษฐีกล่าวว่า จับเอาไปเถอะพราหมณ์ ข้าพเจ้าให้ไก่ตัวนี้แก่ท่าน.
               ก็ในขณะที่ท่านเศรษฐีกล่าวว่าให้เท่านั้น สิริก็เคลื่อนจากหงอนของไก่นั้น ไปประดิษฐานอยู่ที่ดวงแก้วมณีซึ่งวางอยู่เหนือหัวนอน. พราหมณ์รู้ว่าสิริไปประดิษฐานอยู่ที่แก้วมณีจึงขอแก้วมณีแม้ดวงนั้น. ในขณะที่ท่านเศรษฐีกล่าวว่าข้าพเจ้าให้แก้วมณีเท่านั้น สิริก็เคลื่อนจากแก้วมณี ไปประดิษฐานอยู่ที่ไม้เจว็ดซึ่งวางอยู่เหนือหัวนอน. พราหมณ์รู้ว่าสิริไปประดิษฐานอยู่ที่ไม้เจว็ดนั้น จึงขอไม้เจว็ดแม้นั้น. ในขณะที่ท่านเศรษฐีกล่าวว่าจงถือเอาไปเถอะเท่านั้น สิริก็เคลื่อนจากไม้เจว็ด ไปประดิษฐานอยู่ที่ศีรษะของภรรยาเอกของท่านเศรษฐี ชื่อว่าบุญญลักษณาเทวี.
               พราหมณ์ผู้เป็นโจรลักสิริรู้ว่าสิริไปประดิษฐานอยู่ที่ภรรยาเอกของท่านเศรษฐี จึงคิดว่า เราไม่อาจขอภรรยาเอกนี้ซึ่งเป็นภัณฑ์ที่ท่านเศรษฐีสละไม่ได้ จึงได้กล่าวคำนี้กะท่านเศรษฐีว่า ท่านมหาเศรษฐี ข้าพเจ้ามาด้วยใจว่า จักลักสิริในเรือนของท่านไป ก็สิริได้ประดิษฐานอยู่ที่หงอนไก่ของท่าน เมื่อท่านให้ไก่นี้แก่ข้าพเจ้า สิริก็เคลื่อนที่จากไก่นั้นไปประดิษฐานที่แก้วมณี เมื่อท่านให้แก้วมณี สิริก็ไปประดิษฐานอยู่ที่ไม้เจว็ด เมื่อท่านให้ไม้เจว็ด สิริก็เคลื่อนจากไม้เจว็ดไปประดิษฐานที่ศีรษะของนางบุญญลักษณาเทวี ข้าพเจ้าคิดว่า สิ่งนี้หนอเป็นสิ่งที่สละไม่ได้ จึงไม่อาจลักสิริของท่าน ของของท่านก็จงเป็นของท่านเท่านั้น ครั้นกล่าวแล้ว ก็ลุกจากอาสนะหลีกไป.
               ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีคิดว่าจักกราบทูลเหตุการณ์นี้แก่พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงไปยังวิหาร บูชาพระศาสดา ถวายบังคมพระศาสดา แล้วนั่ง ณ ส่วนสุดข้างหนึ่ง กราบทูลเรื่องราวนั้นทั้งหมดแก่พระตถาคตเจ้า.
               พระศาสดาได้ทรงสดับดังนั้น จึงตรัสว่า คฤหบดี มิใช่ในบัดนี้เท่านั้นที่สิริของคนอื่นจะไปในที่อื่น ก็แม้ในกาลก่อน สิริที่คนผู้มีบุญน้อยให้เกิดขึ้น ก็ไปอยู่แทบบาทมูลของคนผู้มีบุญเท่านั้น อันท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีทูลอ้อนวอนแล้ว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
               ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในกาสิกรัฐ พอเจริญวัยแล้ว ก็ได้เล่าเรียนศิลปะทั้งปวงในเมืองตักกสิลา อยู่ครองเรือน สลดใจเพราะบิดามารดาทำกาลกิริยาตายไป จึงออกบวชเป็นฤาษีอยู่ในหิมวันประเทศ ยังอภิญญาและสมาบัติให้บังเกิดขึ้น โดยกาลล่วงมาช้านาน ได้ไปยังชนบทเพื่อต้องการรสเค็มและรสเปรี้ยว ได้อยู่ในพระราชอุทยานของพระเจ้าพาราณสี.
               วันรุ่งขึ้น เมื่อจะเที่ยวภิกขาจารได้ไปยังประตูเรือนของนายหัตถาจารย์ นายหัตถาจารย์นั้นเลื่อมใสในอาจารมรรยาทและวิหารธรรมของดาบสนั้น จึงถวายภิกษาหารแล้วให้อยู่ในอุทยาน ปรนนิบัติอยู่เป็นนิตย์. เวลานั้น คนหาฟืนเลี้ยงชีพคนหนึ่งนำฟืนมาจากป่าไม่สามารถจะมาทันประตูเมืองได้ตามเวลาในเวลาเย็น จึงทำฟ่อนไม้ให้เป็นเครื่องหนุนศีรษะนอน ณ ศาลเจ้าแห่งหนึ่ง.
               มีไก่จำนวนมาก แม้ที่ชาวบ้านเขาปล่อยไว้ที่ศาลเจ้า พากันนอนอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่งไม่ไกลชายหาฟืนนั้น ในเวลาใกล้รุ่ง ไก่ตัวที่นอนอยู่เหนือไก่เหล่านั้น ถ่ายคูถรดตามตัวของไก่ซึ่งนอนอยู่เบื้องล่าง และเมื่อไก่ที่นอนเบื้องล่างถามว่า ใครถ่ายคูถรดตัวเรา จึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าเอง. และเมื่อไก่ตัวล่างกล่าวว่า เพราะอะไร? จึงกล่าวว่า เพราะไม่ทันพิจารณาแล้วก็ถ่ายคูถรดลงไปอีก. แต่นั้น ไก่ทั้งสองตัวก็โกรธกันและกัน ทำการทะเลาะกันว่า กำลังของท่านมีหรือ กำลังของท่านมีหรือ?
               ลำดับนั้น ไก่ตัวที่นอนอยู่เบื้องล่างกล่าวว่า ใครฆ่าเราแล้วกินเนื้อที่สุกด้วยถ่านไฟ จักได้ทรัพย์พันกหาปณะแต่เช้าตรู่. ไก่ตัวที่นอนอยู่เบื้องบนกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ท่านอย่าอวดอ้างด้วยอานุภาพมีประมาณเท่านี้ ด้วยว่าบุคคลผู้กินเนื้อล่ำของเราจะได้เป็นพระราชา ผู้กินเนื้อภายนอก ถ้าเป็นบุรุษจะได้ตำแหน่งเสนาบดี ถ้าเป็นสตรีจะได้ตำแหน่งอัครมเหสี ส่วนผู้กินเนื้อติดกระดูกของเรา ถ้าเป็นคฤหัสถ์จะได้ตำแหน่งขุนคลัง ถ้าเป็นบรรพชิตจะได้เป็นพระประจำราชตระกูล.
               ชายหาฟืนได้ฟังคำของไก่ทั้งสองตัวนั้น แล้วคิดว่า เมื่อเราได้ครองราชสมบัติแล้ว กิจด้วยทรัพย์พันหนึ่ง ย่อมไม่มีจึงค่อยๆ ปีนขึ้นไปจับไก่ตัวที่นอนเบื้องบนฆ่าแล้วห่อไว้ คิดว่า เราจักเป็นพระราชาจึงเดินไป พอประตูเมืองเปิดก็เข้าเมืองจัดการถอนขนไก่ ล้างน้ำให้สะอาดแล้วได้ให้แก่ภรรยาโดยสั่งว่า จงปรุงเนื้อไก่นี้ให้ดี. ภรรยาจัดแจงเนื้อไก่และข้าว เสร็จแล้วน้อมเข้าไปให้แก่สามีโดยกล่าวว่า จงบริโภคเถอะนาย.
               สามีกล่าวว่า นางผู้เจริญ เนื้อนี้มีอานุภาพมาก เราบริโภคเนื้อนี้แล้วจักเป็นพระราชา เธอจักได้เป็นอัครมเหสี ดังนั้น สามีภรรยาทั้งสองจึงถือเอาข้าวและเนื้อนั้นไปฝั่งแม่น้ำคงคา คิดว่า อาบน้ำแล้วจึงจักบริโภค จึงได้วางภาชนะอาหารไว้ที่ริมฝั่งแล้วลงไปอาบน้ำ.
               ขณะนั้น น้ำถูกลมพัดปั่นป่วนซัดมาได้พาเอาภาชนะภัตตาหารลอยไป. ภาชนะภัตตาหารนั้นถูกกระแสน้ำพัดมา มหาอำมาตย์ผู้เป็นหัตถาจารย์ผู้หนึ่ง กำลังให้ช้างอาบน้ำอยู่ในแม่น้ำข้างใต้เห็นเข้า จึงให้ยกขึ้นมาแล้วให้เปิดดู ถามว่ามีอะไร? พวกบริวารบอกว่า ภัตตาหารและเนื้อไก่ครับนาย. มหาอำมาตย์นั้นจึงให้ปิดภาชนะภัตตาหารนั้นแล้วให้ประทับตรา ส่งไปให้ภรรยาโดยสั่งว่า เธออย่าเปิดเนื้อและข้าวจนกว่าฉันจะมา.
               ฝ่ายบุรุษหาฟืนนั้นท้องอืด เพราะน้ำปนทรายซัดเข้าปาก จึงหนีไป. ลำดับนั้น ดาบสผู้มีจักษุทิพย์รูปหนึ่งซึ่งเป็นกุลุปกะของนายหัตถาจารย์นั้น คิดว่า อุปัฏฐากของเรายังไม่พ้นตำแหน่งนายหัตถาจารย์ เมื่อไรหนอจึงจักได้สมบัติ จึงใคร่ครวญด้วยทิพยจักษุเห็นบุรุษนั้น รู้เหตุการณ์นั้น จึงรีบไปเรือนเสียก่อน แล้วนั่งในนิเวศน์ของนายหัตถาจารย์. นายหัตถาจารย์มาถึงไหว้พระดาบสนั้น แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ให้นำภาชนะภัตตาหารนั้นมา แล้วกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงอังคาสพระดาบสด้วยเนื้อและข้าวสุก.
               พระดาบสรับแต่ข้าวไม่รับเนื้อที่เขาถวายกล่าวว่า เราจะจัดแจงเนื้อนี้ เมื่อนายหัตถาจารย์กล่าวว่า จงจัดเถิดขอรับ จึงให้กระทำเป็นส่วนๆ ในบรรดาเนื้อล่ำเป็นต้น แล้วให้เนื้อล่ำแก่นายหัตถาจารย์ ให้เนื้อภายนอกแก่ภรรยาของนายหัตถาจารย์นั้น ตนเองบริโภคเนื้อติดกระดูก. ในเวลาเสร็จภัตตกิจ พระดาบสนั้นเมื่อจะไปกล่าวว่า ในวันที่สามจากวันนี้ไป ท่านจักได้เป็นพระราชา จงอย่าเป็นผู้ประมาท ครั้นกล่าวแล้วก็หลีกไป.
               ในวันที่สาม พระเจ้าสามันตราชยกทัพมาล้อมเมืองพาราณสี พระเจ้าพาราณสีให้นายหัตถาจารย์แต่งตัวเป็นพระราชา แล้วทรงสั่งว่า ท่านจงขี่ช้างรบ ส่วนพระองค์เองปลอมเพศที่ใครไม่รู้จัก เที่ยวไปในหมู่เสนา ถูกยิงด้วยลูกศรลูกหนึ่งซึ่งมีกำลังเร็วมาก จึงสวรรคตในขณะนั้นทันที.
               นายหัตถาจารย์นั้นรู้ว่า พระราชาสวรรคตแล้ว จึงให้ขนกหาปณะออกมาเป็นอันมาก แล้วให้เที่ยวตีกลองป่าวร้องว่า ผู้ที่ต้องการทรัพย์จงออกแนวหน้าสู้รบเถิด. พลนิกายจึงปลงพระชนม์พระราชาผู้เป็นข้าศึกได้โดยครู่เดียวเท่านั้น.
               อำมาตย์ทั้งหลายถวายพระเพลิงพระศพของพระราชาแล้ว ปรึกษากันว่า เราจะตั้งใครให้เป็นพระราชา จึงตกลงกันว่า พระราชาเมื่อยังมีพระชนม์อยู่ได้พระราชทานเพศของพระองค์แก่นายหัตถาจารย์ นายหัตถาจารย์นี้แหละกระทำการรบจึงยึดราชสมบัติไว้ได้ เราทั้งหลายจักให้ราชสมบัติแก่นายหัตถาจารย์นี้เท่านั้น แล้วจึงอภิเษกนายหัตถาจารย์นั้นในราชสมบัติ ทั้งได้กระทำภรรยาของนายหัตถาจารย์นั้นให้เป็นอัครมเหสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นพระประจำราชตระกูล.

               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว พระองค์เป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ได้ตรัสพระคาถา ๒ คาถานี้ว่า :-
               ผู้ไม่มีบุญ จะเป็นผู้มีศิลปะหรือไม่มีศิลปะก็ตาม ย่อมขวนขวายรวบรวมทรัพย์ใดไว้เป็นอันมาก ผู้มีบุญย่อมใช้สอยทรัพย์เหล่านั้น.
               โภคะเป็นอันมาก ย่อมล่วงเลยสัตว์เหล่าอื่นไปเสีย เกิดขึ้นในที่ทั้งปวงแก่ผู้มีบุญอันได้กระทำไว้แล้ว ใช่แต่เท่านั้น รัตนะทั้งหลายยังเกิดขึ้นแม้ในที่อันมิใช่บ่อเกิด.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยํ อุสฺสุกฺกา ความว่า บุคคลผู้ไม่มีบุญถึงความขวนขวาย คือเกิดฉันทะเพื่อจะรวบรวมทรัพย์ใด ย่อมรวบรวมทรัพย์ไว้เป็นอันมากด้วยกิจการงาน. บาลีว่า เย อุสฺสุกฺกา ดังนี้ก็มี.
               อธิบายว่า บุรุษเหล่าใดขวนขวายในการรวบรวมทรัพย์ จะมีศิลปะเช่นศิลปะในเพราะช้างเป็นต้น หรือไม่มีศิลปะก็ตาม กระทำการงานโดยชั้นที่สุดด้วยการรับจ้าง รวบรวมทรัพย์เป็นอันมากไว้.
               บทว่า ลกฺขิกา ตานิ ภุญฺชเร ความว่า บุรุษอื่นผู้มีบุญ เมื่อจะบริโภคผลบุญของตน แม้จะไม่ทำการงานอะไรๆ ก็ย่อมได้ใช้สอยทรัพย์ทั้งหลายที่เรียกว่าทรัพย์มากเหล่านั้น.
               บทว่า อติจฺจญฺเญว ปาณิโน ได้แก่ ล่วงเลยสัตว์ทั้งหลายเหล่าอื่นเสีย. เอว อักษร ในบทว่า อติจฺจญฺเญว นี้แหละ พึงประกอบเข้ากับบทแรก มีใจความว่า ล่วงเลยเหล่าสัตว์ผู้ไม่ได้กระทำบุญไว้ ย่อมเกิดขึ้นในที่ทั้งปวงทีเดียวแก่บุคคลผู้ที่ได้กระทำบุญไว้.
               บทว่า อปิ นายตเนสุปิ ความว่า โดยที่แท้ โภคะทั้งหลายเป็นอันมากทั้งที่เป็นทรัพย์ที่มีวิญญาณครองและทรัพย์ที่ไม่มีวิญญาณครอง ย่อมเกิดขึ้นแม้ในที่อันมิใช่บ่อเกิด คือรัตนะทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นในที่อันมิใช่บ่อเกิดแห่งรัตนะ ทองเป็นต้น ย่อมเกิดขึ้นในที่อันมิใช่บ่อเกิดแห่งทองเป็นต้น ช้างเป็นต้นย่อมเกิดขึ้นในที่อันมิใช่บ่อเกิดแห่งช้างเป็นต้น. จริงอยู่ ในการที่แก้วมุกดาและแก้วมณีเป็นต้น เกิดขึ้นในที่อันมิใช่บ่อเกิดนั้น พึงแสดงเรื่องของพระเจ้าทุฏฐคามณีอภัยมหาราช.

               ก็พระศาสดา ครั้นตรัสพระคาถานี้แล้ว จึงตรัสสืบไปว่า ดูก่อนคฤหบดี ชื่อว่าบ่อเกิดอย่างอื่นเช่นกับบุญของสัตว์เหล่านี้ ย่อมไม่มี เพราะว่ารัตนะทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นแก่คนผู้มีบุญ แม้ในที่อันมิใช่บ่อเกิดทั้งหลาย แล้วทรงแสดงพระธรรมเทศนานี้ว่า :-

               ขุมทรัพย์คือบุญนี้ ให้สมบัติ อันน่าใคร่ทั้งปวง
               แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
               เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมปรารถนาผลใด
               ย่อมได้ผลนั้นทั้งหมดด้วยขุมทรัพย์คือบุญนี้.

               ความเป็นผู้มีผิวพรรณงาม ๑ ความเป็นผู้มีเสียงไพเราะ ๑
               ความเป็นผู้มีทรวดทรงงาม ๑ ความเป็นผู้มีรูปสวย ๑
               ความเป็นอธิบดี ๑ ความเป็นผู้มีบริวาร ๑
               ผลทั้งหมดนี้ อันเทวดาและมนุษย์ย่อมได้ด้วยขุมทรัพย์คือบุญนี้.

               ความเป็นเจ้าประเทศราช ๑ ความเป็นผู้มีอิสริยยศ ๑
               ความสุขของพระเจ้าจักรพรรดิอันเป็นที่รัก ๑ ความเป็นราชาแห่งเทวดาในเทวโลก ๑
               ผลทั้งหมดนี้ อันเทวดาและมนุษย์ย่อมได้ด้วยขุมทรัพย์คือบุญนี้.

               สมบัติอันเป็นของมนุษย์ ๑ ความรื่นรมย์ยินดีในเทวโลก ๑ นิพพานสมบัติ ๑
               ผลทั้งหมดนี้ อันเทวดาและมนุษย์ย่อมได้ด้วยขุมทรัพย์คือบุญนี้.

               ผลทั้งหมดคือความที่บุคคลอาศัยมิตตสัมปทา ความถึงพร้อมด้วยมิตร
               แล้วประกอบความเพียรด้วยอุบายอันแยบคาย ได้เป็นผู้ชำนาญในวิชชาและวิมุตติ
               อันเทวดาและมนุษย์ย่อมได้ด้วยขุมทรัพย์คือบุญนี้.

               ปฏิสัมภิทา ๑ วิโมกข์ ๑ สาวกบารมี ๑ ปัจเจกโพธิ ๑ พุทธภูมิ ๑
               ผลทั้งหมดนี้ อันเทวดาและมนุษย์ย่อมได้ด้วยขุมทรัพย์คือบุญนี้.

               ปุญญสัมปทา คือความถึงพร้อมด้วยบุญนี้ ให้ความสำเร็จผลอันใหญ่ยิ่งอย่างนี้
               เพราะฉะนั้น บัณฑิตผู้เป็นนักปราชญ์ทั้งหลาย
               จึงสรรเสริญความเป็นผู้มีบุญอันได้กระทำไว้ ดังนี้.

               บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงรัตนะทั้งหลายอันเป็นที่ประดิษฐานแห่งสิริแม้ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำมีอาทิว่า กุกฺกุโฏ ดังนี้ ดังมีคาถาประพันธ์ว่า :-
               ไก่ แก้วมณี ไม้เท้า หญิงผู้มีบุญญลักษณะ ย่อมเกิดแก่คนผู้ไม่มีบาป มีแต่บุญอันได้กระทำไว้แล้ว.


               คำว่า ทณฺโฑ ไม้เท้า ในคาถานั้น ท่านกล่าวหมายเอาไม้เจว็ด.
               บทว่า ถิโย ได้แก่ นางบุญญลักษณาเทวี ผู้เป็นภรรยาของเศรษฐี.
               คำที่เหลือในคาถานี้ ง่ายทั้งนั้น.

               ก็แหละ ครั้นตรัสพระคาถานี้แล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า
               พระราชาในครั้งนั้น ได้เป็น อานนท์ ในบัดนี้
               ดาบสผู้เป็นกุลุปกะในครั้งนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.


               จบ อรรถกถาสิริชาดกที่ ๔               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา สิริชาดก ว่าด้วย โภคะเกิดแก่ผู้มีบุญ จบ.
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 448 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 451 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 454 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=2395&Z=2404
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=38&A=3507
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=38&A=3507
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๖  มิถุนายน  พ.ศ.  ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :