ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 678 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 682 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 686 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อรรถกถา เกสวชาดก
ว่าด้วย ความคุ้นเคยเป็นรสอันยอดเยี่ยม

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภโภชนะแห่งผู้คุ้นเคยกัน จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า มนุสฺสินฺทํ ชหิตฺวาน ดังนี้.
               ได้ยินว่า ในเรือนของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี มีภัตตาหารไว้ถวายภิกษุ ๕๐๐ รูปเป็นประจำ เรือนของท่านเศรษฐีจึงเป็นเสมือนบ่อน้ำของภิกษุสงฆ์อยู่เป็นนิตยกาล เรืองรองด้วยผ้ากาสาวพัสตร์ คลาคล่ำด้วยหมู่ฤาษีผู้แสวงบุญ.
               อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาทรงกระทำประทักษิณพระนคร ทอดพระเนตรเห็นภิกษุสงฆ์ในนิเวศน์ของเศรษฐี ทรงดำริว่า แม้เราก็จักถวายภิกษาหารเป็นประจำแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป จึงเสด็จไปวิหาร ทรงนมัสการพระศาสดา แล้วทรงเริ่มตั้งภิกษาหารแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูปเป็นประจำ นับแต่นั้นมา ก็ทรงถวายภิกษาหารในพระราชนิเวศน์เป็นประจำ.
               โภชนะแห่งข้าวสาลีมีกลิ่นหอมซึ่งเก็บไว้ถึง ๓ ปี เป็นของประณีต. ผู้ถวายด้วยมือของตนด้วยความคุ้นเคยก็ดี ด้วยความสิเนหาก็ดี มิได้มี พวกข้าหลวงย่อมจัดให้ถวาย. ภิกษุทั้งหลายไม่ปรารถนาที่จะนั่งฉัน รับเอาภัตตาหารมีรสเลิศต่างๆ แล้ว ไปยังตระกูลอุปัฏฐากของตนๆ ให้ภัตตาหารแก่พวกอุปัฏฐากเหล่านั้นแล้ว พากันฉันภัตตาหารที่อุปัฏฐากเหล่านั้นถวาย ไม่ว่าจะเศร้าหมองหรือประณีต.
               อยู่มาวันหนึ่ง เขานำผลาผลเป็นอันมากมาถวายพระราชา. ท้าวเธอรับสั่งว่า พวกท่านจงถวายแด่ภิกษุสงฆ์ คนทั้งหลายจึงพากันไปยังโรงภัตตาหาร ไม่เห็นภิกษุสักรูปเดียว จึงกราบทูลแก่พระราชาว่า แม้ภิกษุรูปเดียวก็ไม่มี พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสว่า ยังไม่ถึงเวลากระมัง. คนทั้งหลายกราบทูลว่า ถึงเวลาแล้ว พระเจ้าข้า แต่ภิกษุทั้งหลายรับภัตตาหารในวังของพระองค์แล้ว ไปในเรือนแห่งอุปัฏฐากผู้คุ้นเคยของตนๆ ให้ภัตตาหารนั้นแก่อุปัฏฐากเหล่านั้น แล้วฉันภัตตาหารที่อุปัฏฐากเหล่านั้นถวาย จะเศร้าหมองหรือประณีตก็ตาม.
               พระราชาทรงดำริว่า ภัตตาหารของเราประณีต เพราะเหตุไรหนอ ภิกษุทั้งหลายจึงไม่ฉันภัตตาหารนั้น พากันฉันภัตตาหารอื่น เราจักทูลถามพระศาสดา จึงเสด็จไปพระวิหาร ทรงนมัสการ แล้วจึงทูลถาม.
               พระศาสดาตรัสว่า มหาบพิตร ธรรมดาการบริโภคโภชนะมีความคุ้นเคยกันสำคัญยิ่ง เพราะในพระราชวังของพระองค์ไม่มีผู้เข้าไปตั้งความคุ้นเคย แล้วให้ด้วยความสนิทสนม ภิกษุทั้งหลายจึงรับภัตตาหารแล้วฉันในที่แห่งคนผู้มีความคุ้นเคยแก่ตน
               มหาบพิตร ชื่อว่ารสอื่นเช่นกับความคุ้นเคย ย่อมไม่มี แม้ของอร่อย ๔ อย่างที่คนผู้ไม่คุ้นเคยให้ ย่อมไม่ถึงค่าสักว่าเปรียงที่คนผู้คุ้นเคยให้.
               แม้โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย ครั้นเมื่อโรคเกิดขึ้น เมื่อพระราชาแม้ทรงพาหมอทั้ง ๕ ตระกูลไปให้กระทำยา เมื่อโรคไม่สงบ ได้ไปยังสำนักของคนผู้คุ้นเคยกัน บริโภคยาคูอันทำด้วยข้าวฟ่างและลูกเดือยซึ่งไม่เค็ม และผักซึ่งราดด้วยสักแต่ว่าน้ำเปล่า ไม่มีรสเค็ม ก็หายโรค.
               อันพระราชานั้นทูลอาราธนาแล้ว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
               ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ณ กาสิกรัฐ บิดามารดาตั้งชื่อกุมารนั้นว่า กัปปกุมาร. กัปปกุมารนั้นเจริญวัยแล้ว เรียนศิลปะทุกอย่างในเมืองตักกสิลา ภายหลังต่อมา ได้บวชเป็นฤาษี.
               ครั้งนั้น เกสวดาบสห้อมล้อมด้วยดาบส ๕๐๐ รูป เป็นครูของคณะอยู่ในหิมวันตประเทศ. พระโพธิสัตว์ได้ไปยังสำนักของเกสวดาบสนั้น อยู่เป็นอันเตวาสิกผู้ใหญ่แห่งอันเตวาสิก ๕๐๐ รูป. แท้จริง อัธยาศัยใจคอของพระโพธิสัตว์นั้นได้มีความสนิทสนมต่อเกสวดาบส. ดาบสเหล่านั้นได้เป็นผู้คุ้นเคยกันและกันยิ่งนัก.
               จำเนียรกาลนานมา เกสวดาบสได้พาดาบสเหล่านั้นไปยังถิ่นมนุษย์ เพื่อต้องการเสพรสเค็มและรสเปรี้ยว ถึงนครพาราณสีแล้วอยู่ในพระราชอุทยาน. วันรุ่งขึ้น เข้าไปสู่พระนครเพื่อภิกขาจาร ได้ไปถึงประตูพระราชวัง. พระราชาทรงเห็นหมู่ฤาษีจึงให้ไปนิมนต์มาแล้วให้ฉันในภายในพระราชนิเวศน์ ทรงถือเอาปฏิญญาแล้ว ให้พักอยู่ในพระราชอุทยาน.
               ครั้นเมื่อล่วงกาลฤดูฝนแล้ว เกสวดาบสได้ทูลอำลาพระราชา. พระราชาตรัสว่า ท่านผู้เจริญ ท่านทั้งหลายเป็นผู้แก่เฒ่า จงอาศัยข้าพเจ้าอยู่ก่อน ส่งแต่ดาบสหนุ่มๆ ไปยังหิมวันตประเทศเถิด. เกสวดาบสรับว่าดีละ แล้วส่งดาบสเหล่านั้นพร้อมกับอันเตวาสิกผู้ใหญ่ไปยังหิมวันตประเทศ ตนเองผู้เดียวยับยั้งอยู่.
               ฝ่ายกัปปดาบสก็ไปยังหิมวันตประเทศอยู่กับดาบสทั้งหลาย. เกสวดาบส เมื่ออยู่เหินห่างกัปปดาบสก็รำคาญใจ เป็นผู้ใคร่จะเห็นกัปปดาบสนั้น ไม่เป็นอันได้หลับนอน. เมื่อเกวสดาบสนั้นนอนไม่หลับ อาหารก็ไม่ย่อยไปด้วยดี โรคลงโลหิตก็ได้เกิดมีขึ้น ทุกขเวทนาเป็นไปอย่างแรงกล้า. พระราชาทรงพาแพทย์ ๕ สกุลมาปรนนิบัติพระดาบส โรคก็ไม่สงบ.
               เกสวดาบสทูลพระราชาว่า มหาบพิตร พระองค์ปรารถนาให้อาตมภาพตาย หรือปรารถนาให้หายโรค.
               พระราชาตรัสว่า ปรารถนาให้หายโรคชิ ท่านผู้เจริญ.
               เกสวดาบสทูลว่า ถ้าอย่างนั้น พระองค์จึงส่งอาตมภาพไปยังหิมวันตประเทศ.
               พระราชาตรัสว่า ดีละ ท่านผู้เจริญ แล้วทรงส่งนารทอำมาตย์ไป ด้วยพระดำรัสว่า ท่านจงพาท่านผู้เจริญไปหิมวันตประเทศพร้อมกับพวกพรานป่า นารทอำมาตย์นำเกสวดาบสนั้นไปหิมวันตประเทศแล้วกลับมา.
               ฝ่ายเกสวดาบส เมื่อพอได้เห็นกัปปดาบสเท่านั้น โรคทางใจก็สงบ ความกระสันรำคาญใจก็ระงับไป. ลำดับนั้น กัปปดาบสได้ให้ยาคูที่หุงด้วยข้าวฟ่างและลูกเดือยพร้อมกับผักที่ราดรดด้วยน้ำเปล่า ซึ่งไม่เค็มไม่ได้อบแก่เกสวดาบสนั้น โรคลงโลหิตของเกสวดาบสนั้นก็สงบระงับลง ในขณะนั้นเอง.
               พระราชาทรงส่งนารทอำมาตย์นั้นไปอีก ด้วยรับสั่งว่า เธอจงไปฟังข่าวคราวของเกสวดาบสดูทีเถิด. นารทอำมาตย์นั้นไปแล้วได้เห็นเกสวดาบสนั้นหายโรคแล้ว จึงกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ พระเจ้าพาราณสีทรงพาแพทย์ ๕ ตระกูลมาปรนนิบัติ ไม่อาจทำท่านให้หายโรค กัปปดาบสปรนนิบัติท่านอย่างไร?
               แล้วกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
               เป็นอย่างไรหนอ เกสวดาบสผู้มีโชคจึงละพระเจ้าพาราณสีผู้เป็นจอมมนุษย์ ผู้ทำความประสงค์ทั้งปวงให้สำเร็จได้ มายินดีอยู่ในอาศรมของกัปปดาบส.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มนุสฺสินฺทํ ได้แก่ พระเจ้าพาราณสีผู้เป็นจอมแห่งมนุษย์.
               บทว่า กถํ นุ ภควา เกสี ความว่า เพราะอุบายอะไรหนอ เกสวดาบสผู้มีโชคของพวกเรารูปนี้ จึงยินดีอยู่ในอาศรมของกัปปดาบส.

               นารทอำมาตย์ทำทีเสมือนเจรจากับคนอื่น ถามถึงเหตุในความยินดียิ่งของเกสวดาบส ด้วยประการอย่างนี้.
               เกสวดาบสได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
               ดูก่อนนารทอำมาตย์ สิ่งอันน่ารื่นรมย์ใจซึ่งยังประโยชน์ให้สำเร็จมีอยู่ หมู่ไม้อันทำใจให้รื่นรมย์มีอยู่ แต่ถ้อยคำอันเป็นสุภาษิตของกัปปดาบส ย่อมทำให้เราอภิรมย์ยินดี.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วกฺขา ได้แก่ ต้นไม้. แต่ในบาลีเขียนไว้ว่า รุกฺขา.
               บทว่า สุภาสิตานิ ความว่า ถ้อยคำสุภาษิตที่กัปปดาบสกล่าว ย่อมทำเราให้อภิรมย์ยินดี.

               ก็แหละ เกสวดาบสครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงกล่าวว่า กัปปดาบสทำเราให้ยินดีอยู่อย่างนี้ จึงให้เราดื่มยาคูที่หุงด้วยข้าวฟ่างและลูกเดือยอันระคนด้วยผักที่ราดด้วยน้ำ ซึ่งไม่เค็มและไม่ได้อบกลิ่น พยาธิในร่างกายของเราสงบระงับเพราะข้าวยาคูนั้น เราเป็นผู้หายโรคแล้ว.
               นารทอำมาตย์ได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-
               พระคุณเจ้าบริโภคข้าวสุกแห่งข้าวสาลีที่ปรุงด้วยเนื้อสะอาดมาแล้ว ไฉนข้าวฟ่างและลูกเดือยอันหารสมิได้ จึงทำให้พระคุณเจ้ายินดีได้เล่า.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภุญฺเช แปลว่า บริโภคแล้ว. อีกอย่างหนึ่ง บาลีก็อย่างนี้เหมือนกัน.
               บทว่า นาทยนฺติ ได้แก่ ให้ยินดี คือให้อิ่มเอิบชอบใจ ก็เพื่อสะดวกในการประพันธ์คาถา ท่านจึงลงนิคหิต. ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ว่า ไฉนข้าวฟ่างและลูกเดือยอันหารสเค็มมิได้นี้ จึงทำท่านผู้บริโภคภัตแห่งข้าวสาลีอันปรุงด้วยมังสะที่สะอาด สมควรแก่พระราชาในราชสกุล ให้อิ่มเอิบ ยินดีได้ คือว่าไฉนท่านจึงชอบใจอย่างนี้.

               เกสวดาบสได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :-
               ของบริโภคจะดีหรือไม่ดีก็ตาม จะน้อยหรือมากก็ตาม บุคคลผู้คุ้นเคยกันแล้วบริโภคในที่ใด การบริโภคในที่นั้นแหละดี เพราะรสทั้งหลายมีความคุ้นเคยเป็นเยี่ยม.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยทิวาสาธุํ ตัดเป็น ยทิวา อสาธุํ แปลว่า ไม่ดีก็ตาม.
               บทว่า วิสฺสฏฺโฐ ความว่า เป็นผู้ปราศจากความรังเกียจ ถึงความคุ้นเคยกัน.
               บทว่า ยตฺถ ภุญฺเชยฺย ความว่า พึงบริโภคอย่างนี้ในนิเวศน์ใด โภชนะชนิดใดชนิดหนึ่งซึ่งบริโภคแล้วอย่างนี้ในนิเวศน์นั้น เป็นดีทั้งนั้น.
               เพราะเหตุไร ?
               เพราะรสทั้งหลายมีความคุ้นเคยกันเป็นยอดเยี่ยม
               อธิบายว่า รสทั้งหลายชื่อว่ามีความคุ้นเคยเป็นเยี่ยม เพราะความคุ้นเคยเป็นยอดเยี่ยม คือสูงสุดแห่งรสทั้งหลายเหล่านี้. เพราะขึ้นชื่อว่ารสจะเสมอกับรสคือความคุ้นเคยกันย่อมไม่มี เหตุนั้นโภชนาหารแม้มีรสอร่อย ๔ อย่างที่คนผู้ไม่คุ้นเคยจัดให้ ย่อมไม่ถึงค่าน้ำส้มและน้ำข้าวที่คนผู้คุ้นเคยกันจัดให้แล้ว.

               นารทอำมาตย์ได้ฟังคำของเกสวดาบสนั้นแล้ว จึงไปยังราชสำนักกราบทูลว่า เกสวดาบสกล่าวคำชื่อนี้.

               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า
               พระราชาในครั้งนั้น ได้เป็น พระอานนท์
               นารทอำมาตย์ในครั้งนั้น ได้เป็น พระสารีบุตร
               เกสวดาบสในครั้งนั้น ได้เป็น พกมหาพรหม
               ส่วนกัปปดาบส คือ เราตถาคต ฉะนี้แล.


               จบ อรรถกถาเกสวชาดกที่ ๖               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา เกสวชาดก ว่าด้วย ความคุ้นเคยเป็นรสอันยอดเยี่ยม จบ.
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 678 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 682 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 686 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=3255&Z=3267
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=38&A=8407
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=38&A=8407
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๑  มิถุนายน  พ.ศ.  ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :