บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
บทว่า มิจฺฉาทิฏฺฐิยา วุฏฺฐาติ - ออกจากมิจฉาทิฏฐิ คือออกจากมิจฉาทิฏฐิ ๖๒ ด้วยสมุจเฉทโดยการละทิฏฐานุสัยคือทิฏฐิที่นอนเนื่องอยู่ในสันดาน. บทว่า ตทนุวตฺตกกิเลเสหิ - จากกิเลสที่เป็นไปตามมิจฉาทิฏฐินั้น ได้แก่ จากกิเลสหลายๆ อย่างที่เป็นไปตามมิจฉาทิฏฐิอันเกิดขึ้นด้วยสามารถการประกอบกับมิจฉาทิฏฐิ และด้วยอุปนิสัยคือการนอนเนื่องในมิจฉาทิฏฐิ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวถึงการละกิเลสอันตั้งอยู่ในที่เดียวกันกับมิจฉาทิฏฐินั้น. จริงอยู่ การตั้งอยู่ในที่เดียวกันมี ๒ อย่าง คือ ตั้งอยู่ในที่เดียวกันด้วยเกิดร่วมกัน และตั้งอยู่ในที่เดียวกันด้วยการละ. ชื่อว่า ตเทกฏฺฐา เพราะอรรถว่าตั้งอยู่ในจิตดวงเดียวพร้อมกับทิฏฐินั้น, หรือบุคคลคนเดียวตลอดจนละได้. เพราะว่าเมื่อละทิฏฐิได้กิเลสเหล่านี้ คือโลภะ โมหะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนต เมื่อละกิเลสคือทิฏฐิได้ เมื่อบุคคลคนหนึ่งตั้งอยู่ร่วมกันกับทิฏฐินั้น กิเลสเหล่านี้ คือ โลภะ โทสะ โมหะ มานะ วิจิกิจฉา ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนต บทว่า ขนฺเธหิ ได้แก่ ด้วยขันธ์ทั้งหลายอันเป็นไปตามทิฏฐินั้น, ด้วยอรูปขันธ์ ๔ อันตั้งอยู่ในที่เดียวกันด้วยเกิดร่วมกัน และด้วยการตั้งอยู่ในที่เดียวกันด้วยการละอันเป็นไปตามทิฏฐินั้น, หรือด้วยขันธ์ ๕ พร้อมกับรูปอันมีทิฏฐินั้นเป็น บทว่า พหิทฺธา จ สพฺพนิมิตฺเตหิ - จากสรรพนิมิตภายนอก ได้แก่ จากสังขารนิมิตทั้งปวงอันเป็น บทว่า มิจฺฉาสงฺกปฺปา วุฏฺฐาติ - ออกจากมิจฉาสังกัปปะ คือออกจากมิจฉาสังกัปปะในจิต ๕ ดวง คือ ในจิต ๔ ดวงอันสัมปยุตด้วยทิฏฐิ และในจิตสหรคตด้วยวิจิกิจฉาอันจะพึงละได้ด้วยโสดาปัตติมรรค และในอกุศลจิตที่เหลืออันเป็นเหตุไปสู่อบาย. บทว่า มิจฺฉาวาจาย วุฏฺฐาติ - ออกจากมิจฉาวาจา ได้แก่ ออกจากมุสาวาทและจากปิสุณวาจา ผรุสวาจา สัมผัปปลาปะ อันเป็นเหตุไปสู่อบาย. บทว่า มิจฺฉากมฺมนฺตา วุฏฺฐาติ - ออกจากมิจฉากัมมันตะ ได้แก่ ออกจากปาณาติบาต อทินนาทานและมิจฉาจาร. บทว่า มิจฺฉาอาชีวา วุฏฺฐาติ - ออกจากมิจฉาอาชีวะ ได้แก่ โกหก หลอกลวง ทายลักษณะ เล่นกล ปรารถนาลาภโดยลาภ. อีกอย่างหนึ่ง ออกจากกายกรรม วจีกรรม แม้ ๗ อย่าง มีอาชีวะเป็นเหตุ. พึงทราบการออกจากมิจฉาวายามะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ โดยนัยกล่าวแล้วในการออกจากมิจฉาสังกัปปะ. อนึ่ง บทว่า มิจฺฉาสติ ได้แก่ เพียงอกุศลจิตตุปบาทเท่านั้นอันเกิดด้วยอาการตรงกันข้ามกับสติ. พึงทราบวินิจฉัยในหมวด ๓ แห่งมรรคเบื้องสูงดังต่อไปนี้. องค์ของมรรค ๘ มีอาทิว่า ทสฺสนฏฺเฐน สมฺมาทิฏฺฐิ ชื่อว่าสัมมาทิฏฐิ เพราะอรรถว่าเห็น ย่อมได้เหมือนอย่างได้ในปฐมมรรคอันเกิดในปฐมฌาน. ในบทเหล่านั้นมีอธิบายดังนี้ สัมมาทิฏฐิในปฐมมรรค ย่อมละมิจฉาทิฏฐิ เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่าสัมมาทิฏฐิ. แม้สัมมาสังกัปปะเป็นต้นก็พึงทราบโดยอรรถ คือการละมิจฉาสังกัปปะเป็นต้น. เมื่อเป็นอย่างนั้นเพราะละทิฏฐิ ๖๒ ได้ ในปฐมมรรคนั่นเอง จึงไม่มีทิฏฐิที่ควรละด้วยมรรค ๓ เบื้องสูง ในทิฏฐิเหล่านั้นชื่อว่า สัมมาทิฏฐิ เป็นอย่างไร? เหมือนยาพิษมีอยู่ หรือจงอย่ามี ยาวิเศษท่านก็คงเรียกว่า อคโท อยู่นั่นเองฉันใด, มิจฉา เพราะฉะนั้น พึงทำสัมมาทิฏฐิพร้อมด้วยกิจ องค์มรรคจึงจะบริบูรณ์. พึงแสดงสัมมาทิฏฐิในที่นี้พร้อมด้วยกิจ โดยกำหนดตามมีตามได้. มานะอย่างหนึ่ง อันฆ่าด้วยมรรคที่ ๓ เบื้องสูงยังมีอยู่, มานะนั้นตั้งอยู่ในฐานะของทิฏฐิ, ทิฏฐินั้นย่อมละมานะนั้นได้ เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า สัมมาทิฏฐิ. จริงอยู่ สัมมาทิฏฐิย่อมละมิจฉาทิฏฐิได้ในโสดาปัตติ ความดำริเกิดพร้อมกับอกุศลจิต ๗ ดวง มีอยู่แก่จิตดวงนั้น, ความวุ่นวายทางองค์ของวาจาย่อมมีอยู่ด้วยจิตเหล่านั้น, ความวุ่นวายทางองค์ของกายมีอยู่, การบริโภคปัจจัยมีอยู่, ความพยายามเกิดร่วมกันมีอยู่, ความเป็นผู้ไม่มีสติมีอยู่, ความที่จิตมีอารมณ์เดียวเกิดร่วมกันมีอยู่, เหล่านี้ชื่อว่ามิจฉาสังกัปปะเป็นต้น. พึงทราบว่า สัมมาสังกัปปะเป็นต้นในสกทาคามิมรรค ชื่อว่าสัมมาสังกัปปะ เพราะละมิจฉาสังกัปปะเหล่านั้นเสียได้. องค์ ๘ พร้อมด้วยกิจย่อมมีได้ในสกทา พึงทราบความที่องค์ ๘ พร้อมด้วยกิจมีอยู่ ในอนาคามิมรรคด้วยการละจิตเหล่านั้น. มานะที่ฆ่าด้วยอรหัตมรรค ย่อมมีอยู่แก่พระอนาคามี, มานะนั้นตั้งอยู่ในฐานะแห่งทิฏฐิ. สังกัปปะเป็นต้นเกิดร่วมกันกับอกุศลจิต ๕ ดวงเหล่านั้นย่อมมีแก่มานะนั้น. พึงทราบความที่องค์ ๘ พร้อมด้วยกิจในอรหัตมรรค ด้วยการละอกุศลจิตเหล่านั้น. [๑๔๔] บทว่า โอฬาริกา คือ เป็นส่วนหยาบ เพราะความเป็นปัจจัยแห่งการก้าวล่วงกายทวารและวจีทวาร. บทว่า กามราคสญฺโญชนา คือ สังโยชน์กล่าวคือความยินดีในเมถุน. เพราะกามราคะนั้นย่อมประกอบสัตว์ไว้ในกามภพ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวสัญโญชนะ. บทว่า ปฏิฆสญฺโญชนา ได้แก่ สังโยชน์คือพยาบาท, เพราะพยาบาทนั้นย่อมเบียด [๑๔๕] บทว่า อณุสหคตา ได้แก่ ส่วนละเอียดๆ. สหคตศัพท์ ในบทนี้ลงในความเป็นอย่างนั้น. จริงอยู่ กามราคะและพยาบาทของพระสกทาคามี มีเป็นส่วนน้อยด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ เพราะเกิดน้อย และเพราะครอบงำไว้ในที่นี้น้อย. กิเลสทั้งหลายย่อมไม่เกิดขึ้นบ่อยๆ เหมือนกิเลสของพาลปุถุชน, ย่อมเกิดเป็นบางครั้งบางคราว. เมื่อเกิดย่อมไม่เกิดย่ำยี ซ่านไปปกปิดทำให้มืดมิดเหมือนของคนพาล. แต่เกิดขึ้นอ่อนๆ มีอาการเบาบาง เพราะละได้ด้วยมรรค ๒, ไม่สามารถให้ถึงการก้าวล่วงไปได้. ละกิเลสเบาบางได้ด้วย [๑๔๖] บทว่า รูปราคา ได้แก่ ความพอใจยินดีในรูปภพ, บทว่า อรูปราคา ความพอใจยินดีในอรูปภพ. บทว่า มานา ได้แก่ มีลักษณะยกตน. บทว่า อุทฺธจฺจา - มีลักษณะไม่สงบ. บทว่า อวิชฺชาย - มีลักษณะบอด. บทว่า ภวราคานุสยา ได้แก่ นอนเนื่องอยู่ในภวราคะอันเป็นไปด้วยรูปราคะและอรูปราคะ. [๑๔๗] บัดนี้ พระสารีบุตรเมื่อจะพรรณนาถึง ในบทนั้น หลายบทว่า อชาตํ ฌาเปติ ชาเตน, ฌานํ เตน ปวุจฺจติ - ย่อมเผากิเลสที่ยังไม่เกิด ด้วยโล ความว่า สมังคีบุคคลย่อมเผาคือทำลาย ตัดกิเลสนั้นๆ ที่ยังไม่เกิดด้วยโลกุตรฌานนั้นๆ อันปรากฏในสันดานของตน, ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวโลกุตระนั้นว่าเป็นฌาน. บทว่า ฌานวิโมกเข กุสลตา - เพราะความเป็นผู้ฉลาดในฌานและวิโมกข์. ความว่า สมังคีบุคคลย่อมไม่หวั่นไหวในทิฏฐิต่างๆ ที่ละได้แล้วด้วยปฐมมรรค เพราะความเป็นผู้ฉลาดในฌานมีวิตกเป็นต้น อันสัมปยุตด้วยอริยมรรคนั้น และในอริยมรรคอันได้แก่วิโมกข์ด้วยความไม่ลุ่มหลง. ชื่อว่าฌานมี ๒ อย่าง คือ อารัมมณูปนิชฌาน ๑ ลักขณูปนิชฌาน ๑. ฌานมีโลกิยปฐมฌานเป็นต้น ชื่อว่าฌาน เพราะอรรถว่าเข้าไปเพ่งอารมณ์มีกสิณเป็นต้น. วิปัสสนาสังขารชื่อว่าฌาน เพราะอรรถว่าเข้าไปเพ่งลักษณะอันเป็นสภาวสามัญ, โลกุตระชื่อว่าฌาน เพราะอรรถว่าเข้าไปเพ่งลักษณะที่จริงแท้ในนิพพาน. แต่ในที่นี้ท่านกล่าวถึงฌานทั่วไป แม้ด้วยโคตรภูว่าฌาน เพราะอรรถว่าไม่แตะต้องสภาพอันเป็นลักขณูปนิชฌาน แล้วเผากิเลสโดยไม่ทั่วไป. อนึ่ง ในที่นี้สภาพแห่งวิโมกข์เป็นสภาพน้อมไปด้วยดีในอารมณ์คือนิพพาน และสภาพอันพ้นด้วยดีจากกิเลสทั้งหลาย. บทว่า สมาหิตฺวา ยถา เจ ปสฺสติ - ถ้าพระโยคาวจรตั้งใจมั่นดีแล้ว ย่อมเห็นแจ้งฉันใด. ความว่า พระโยคาวจรทำความตั้งจิตมั่นก่อนด้วยสมาธิอย่างใดอย่างหนึ่ง บรรดา เจศัพท์เป็นสมุจจยัตถะ - มีอรรถว่ารวบรวม ย่อมรวบรวมวิปัสสนา. บทว่า วิปสฺสมาโน ตถา เจ สมาทเย - ถ้าเมื่อเห็นแจ้งก็พึงตั้งใจไว้ให้มั่นคงฉันนั้น. ความว่า ชื่อว่าวิปัสสนานี้ เป็นวิปัสสนาเศร้าหมอง ไม่มีความพอใจ อนึ่ง ชื่อว่าสมถะเป็นสมถะที่ละเอียดมีความพอใจ, เพราะฉะนั้น พระโยคาวจรเมื่อเห็นแจ้ง พึงตั้งจิตอันเศร้าหมองด้วยวิปัสสนานั้นเพื่อความเยื่อใย. อธิบายว่า พระโยคาวจรเมื่อเห็นแจ้งเข้าสมาธิอีก แล้วพึงทำการตั้งใจเหมือนอย่างกระทำวิปัสสนา. เจ ศัพท์ในที่นี้ย่อมรวบรวมการตั้งมั่นไว้. เจ อักษรท่านทำด้วยการเป็นไปตามคาถาประพันธ์, แต่ความก็คือ จ อักษรนั่นเอง. บทว่า วิปสฺสนาจ สมโถ ตทา อหุ - สมถะและวิปัสสนาได้มีแล้วในขณะนั้น. ความว่า เพราะเมื่อสมถะและวิปัสสนาเป็นธรรมคู่กัน ความปรากฏแห่งอริยมรรคย่อมมี, ฉะนั้น การประกอบธรรมทั้ง ๒ นั้น ในกาลใดย่อมมีเพราะสามารถยังอริยมรรคให้เกิดขึ้น, ในกาลนั้นวิปัสสนาและสมถะได้มีแล้ว, สมถะและวิปัสสนาชื่อว่าเกิดแล้ว. อนึ่ง สมถะและวิปัสสนานั้นย่อมเป็นคู่ที่มีส่วนเสมอกันเป็นไปอยู่ ชื่อว่าสมานภาคา เพราะอรรถว่าสมถะและวิปัสสนามีส่วนเสมอกัน. ชื่อว่ายุคนัทธา เพราะดุจเทียมคู่กัน. อธิบายว่า มีธุระเสมอกัน มีกำลังเสมอกัน ด้วยอรรถว่าไม่ก้าวล่วงกันและกัน. ส่วนความพิสดารของบทนั้นจักมีแจ้งในยุคนัทธกถา. หลายบทว่า ทุกฺขา สงฺขารา, สุโข นิโรโธติ ทสฺสนํ, ทุภโต วุฏฺฐิตา ปญฺญา ผสฺเสติ อมตํ ปทํ - ความเห็นว่าสังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ นิโรธเป็นสุข ชื่อว่าปัญญาที่ออกจากธรรมทั้งสอง ย่อมถูกต้องอมตบท. ความว่า สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ นิโรธ คือนิพพานเป็นสุข เพราะเหตุนั้นการเห็นนิพพาน อริยมรรคญาณของผู้ปฏิบัติ ชื่อว่าปัญญาออกจากธรรมทั้ง ๒ นั้น. ปัญญานั้นนั่นแลย่อมถูกต้อง คือย่อมได้อมตบทคือนิพพาน ด้วยถูกต้องอารมณ์. นิพพานชื่อว่า อมตํ เพราะเป็นเช่นกับอมตะด้วยอรรถว่าไม่เดือดร้อน. ชื่อว่า อมตํ เพราะนิพพานนั้นไม่มีความตาย ความเสื่อม, ท่านกล่าวว่า ปทํ เพราะอรรถว่าย่อมปฏิบัติด้วยปฏิปทาใหญ่ ด้วยความอุตสาหะใหญ่ตั้งแต่ส่วนเบื้องต้น. บทว่า วิโมกฺขจริยํ ชานาติ - ย่อมรู้วิโมกขจริยา คือรู้ความเป็นไปแห่งวิโมกข์ ด้วยความไม่ลุ่มหลง, ย่อมรู้ด้วยการพิจารณา. พึงทราบวิโมกขจริยาอันมาแล้วในวิโมกขกถาข้างหน้าว่า อริยมรรค ๔ เป็นทุภโตวุ ความพิสดารของวิโมกข์เหล่านั้นมาแล้ว ในวิโมกขกถา๑- นั่นเอง. ____________________________ ๑- ขุ. ป. เล่ม ๓๑/ข้อ ๔๗๐-๔๗๓ บทว่า นานตฺเตกตฺถ โกวิโท - พระโยคาวจรผู้ฉลาดในความเป็นต่างกันและความเป็นอันเดียวกัน คือ เป็นผู้ฉลาดในความต่างและความเป็นอันเดียวกันของวิโมกข์เหล่านั้น. พึงทราบความเป็นอันเดียวกันแห่งวิโมกข์เหล่านั้นด้วยสามารถแห่งวิโมกข์ คือการออกจากธรรมทั้ง ๒ อย่าง, ความต่างกันด้วยสามารถอริยมรรค ๔, หรือความต่างกันด้วยปรารถนาแห่งอนุปัส บทว่า ทวินฺนํ ญาณานํ กุสลตา - ความเป็นผู้ฉลาดในญาณทั้ง ๒ ได้แก่ ความเป็นผู้ฉลาดในญาณทั้ง ๒ เหล่านี้ คือ ทัสนะและภาวนา. บทว่า ทสฺสนํ ได้แก่ โสดาปัตติมรรค. เพราะว่า โสดาปัตติมรรคนั้น ท่านกล่าวว่า ทสฺสนํ - ทัสนะ เพราะเห็นนิพพานก่อน. ส่วนโคตรภูญาณย่อมเห็นนิพพานก่อนกว่าก็จริง ถึงดังนั้นท่านไม่เรียกว่าทัสนะ- เห็น เพราะไม่มีการละกิเลสที่ควรทำ. เหมือนอย่างว่า บุรุษผู้มาสู่สำนักของพระราชาด้วยกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้เห็นพระ จริงอยู่ โคตรภูญาณนั้นตั้งอยู่ในที่อาวัชชนะ คือการนึกถึงมรรค. บทว่า ภาวนา ได้แก่ มรรค ๓ ที่เหลือ. เพราะมรรค ๓ ที่เหลือนั้นย่อมเกิดขึ้น ด้วยสามารถภาวนาในธรรมที่เห็นแล้วด้วยปฐมมรรคนั่นเอง, ไม่เห็นอะไรๆ ที่ไม่เคยเห็น, ฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า ทสฺสนํ. แต่ภายหลังท่านไม่กล่าวว่า ทวินฺ แต่พึงทราบว่า ท่านกล่าวว่า ทวินฺ จบอรรถกถามรรคญาณนิทเทส ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ๑. ญาณกถา มรรคญาณนิทเทส จบ. |