ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 31 / 0อ่านอรรถกถา 31 / 30อรรถกถา เล่มที่ 31 ข้อ 56อ่านอรรถกถา 31 / 64อ่านอรรถกถา 31 / 737
อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ๑. ญาณกถา
ตติยภาณวาร - ปริญเญยยนิทเทส

               อรรถกถาปริญเญยยนิทเทส               
               [๕๖] พึงทราบวินิจฉัยในปริญเญยยนิทเทสดังต่อไปนี้.
               ท่านสงเคราะห์ปริญญา ๓ คือ ญาตปริญญา ๑ ตีรณปริญญา ๑ ปหานปริญญา ๑ ด้วยปริญญาศัพท์ไว้ก็จริง แต่ในนิทเทสนี้ ท่านประสงค์เอาตีรณปริญญาเท่านั้น เพราะท่านกล่าวถึงญาตปริญญาว่า อภิญฺเญยฺยา ควรรู้ยิ่งไว้แล้วในตอนหลัง เพราะท่านกล่าวถึงปหานปริญญาว่า ปหาตพฺพา ควรละไว้ตอนต่อไป.
               บทว่า ผสฺโส สาสโว อุปาทานิโย ผัสสะอันมีอาสวะเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน ได้แก่ ผัสสะอันเป็นไปในภูมิ ๓ เป็นปัจจัยแห่งอาสวะและอุปาทาน.
               จริงอยู่ ผัสสะนั้นชื่อว่าสาสวะ เพราะทำตนให้เป็นอารมณ์พร้อมกับอาสวะที่เป็นไปอยู่. ชื่อว่าอุปาทานิยะ เพราะเข้าถึงความเป็นอารมณ์ แล้วหน่วงอุปาทานไว้ด้วยการผูกพันไว้กับอุปาทาน. เพราะเมื่อผัสสะกำหนดรู้ได้ด้วยตีรณปริญญา อรูปธรรมแม้ที่เหลือย่อมกำหนดรู้ได้ด้วย ผัสสะเป็นประธานและรูปธรรม ย่อมกำหนดรู้ได้ด้วยเป็นไปตามผัสสะนั้น, ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวผัสสะอย่างเดียวเท่านั้น. แม้ในธรรมที่เหลือก็พึงประกอบตามควร.
               บทว่า นามํ ได้แก่ ขันธ์ ๔ และนิพพานอันไม่มีรูป.
               บทว่า รูปํ ได้แก่ มหาภูตรูป ๔ และอุปาทายรูป ๒๔ อาศัยมหาภูตรูป ๔.
               ขันธ์ ๔ ชื่อว่านาม เพราะอรรถว่าน้อมไป.
               จริงอยู่ ขันธ์เหล่านั้นมีอารมณ์เป็นตัวนำ ย่อมน้อมไป. นามแม้ทั้งหมดก็ชื่อว่านาม ในอรรถว่าให้น้อมไป.
               จริงอยู่ ขันธ์ ๔ ยังกันและกันให้น้อมไปในอารมณ์, นิพพานยังธรรมที่ไม่มีโทษให้น้อมไปในตน เพราะเป็นปัจจัยแห่งความเป็นใหญ่ในอารมณ์.
               ชื่อว่า รูปํ เพราะอรรถว่าเปลี่ยนแปลงไปด้วยความเย็นเป็นต้น โดยอำนาจสันตติ - ความสืบต่อ.
               บทว่า รูปนฏฺเฐน ได้แก่ ความกำเริบ. ธรรมชาติที่ถูกความหนาวเป็นต้น กระทบด้วยการปรวนแปรของสันตติ ท่านกล่าวว่า รูปํ.
               แต่ในที่นี้ บทว่า นามํ ท่านประสงค์เอานามที่เป็นโลกิยะเท่านั้น, ส่วนรูปเป็นโลกิยะโดยส่วนเดียว.
               บทว่า ติสฺโส เวทนา เวทนา ๓ ได้แก่ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา. เวทนาเหล่านั้นเป็นไปในโลกเท่านั้น.
               บทว่า อาหารา ได้แก่ ปัจจัย. ปัจจัยชื่อว่าอาหารา เพราะนำมาซึ่งผลแก่ตน.
               อาหาร ๔ อย่าง คือ กพฬีการาหาร (อาหารคือคำข้าว) ๑ ผัสสาหาร (อาหารคือผัสสะ) ๑ มโนสัญเจตนาหาร (อาหารคือมโนสัญเจตนา) ๑ วิญญาณาหาร (อาหารคือวิญญาณ) ๑.
               ชื่อว่ากพฬีการะ เพราะควรทำให้เป็นคำด้วยวัตถุ. ชื่อว่าอาหาร เพราะควรกลืนกิน.
               บทนี้เป็นชื่อของโอชะอันเป็นวัตถุมีข้าวสุกและขนมทำด้วยถั่วเขียวเป็นต้น. โอชะนั้นชื่อว่าอาหาร เพราะนำมาซึ่งรูปมีโอชะเป็นที่ ๘.
               ผัสสะ ๖ อย่างมีจักขุสัมผัสเป็นต้น ชื่อว่าอาหาร เพราะนำมาซึ่งเวทนา ๓.
               ชื่อว่ามโนสัญเจตนา เพราะมีความตั้งใจของใจ มิใช่ของสัตว์ เหมือนความที่จิตมีอารมณ์เดียว.
               อีกอย่างหนึ่ง สัญเจตนาสัมปยุตด้วยใจ ชื่อว่ามโนสัญเจตนา เหมือนรถเทียมด้วยม้าอาชาไนย. ได้แก่กุศลเจตนาและอกุศลเจตนาเป็นไปในภูมิ ๓. มโนสัญเจตนานั้น ชื่อว่าอาหาร เพราะนำมาซึ่งภพ ๓.
               บทว่า วิญฺญาณํ ได้แก่ ปฏิสนธิวิญญาณ ๑๙ อย่าง. ปฏิสนธิวิญญาณนั้นชื่อว่าอาหาร เพราะนำมาซึ่งนามรูปอันเป็นปฏิสนธิ.
               บทว่า อุปาทานกฺขนฺธา ได้แก่ ขันธ์อันเป็นโคจรของอุปาทาน พึงเห็นลบบทท่ามกลาง - มชฺฌปทโลโป.
               อีกอย่างหนึ่ง ขันธ์ที่เกิดเพราะอุปาทาน ชื่ออุปาทานขันธ์ เหมือนไฟไหม้หญ้า ไฟไหม้แกลบ.
               อีกอย่างหนึ่ง ขันธ์ที่เชื่อฟังอุปาทาน ชื่ออุปาทานขันธ์ เหมือนราชบุรุษ.
               อีกอย่างหนึ่ง ขันธ์ที่มีอุปาทานเป็นแดนเกิด ชื่อว่าอุปาทานขันธ์ เหมือนต้นไม้มีดอก ต้นไม้มีผล.
               อุปาทานมี ๔ อย่าง คือ กามุปาทาน - คือมั่นกาม ๑, ทิฏฐุปาทาน - คือมั่นทิฏฐิ ๑, สีลัพพตุปาทาน - คือมั่นศีลพรต ๑, อัตตวาทุปาทาน - คือมั่นวาทะว่าตน ๑. แต่โดยอรรถ ชื่อว่าอุปาทาน เพราะยึดถือจัด.
               อุปาทานขันธ์ ๕ คือ รูปูปาทานขันธ์ ๑ เวทนูปาทานขันธ์ ๑ สัญญูปาทานขันธ์ ๑ สังขารูปาทานขันธ์ ๑ วิญญาณูปาทานขันธ์ ๑.
               บทว่า ฉ อชฺฌตฺติกานิ อายตนานิ ได้แก่ อายตนะภายใน ๖ คือ จักขายตนะ ๑ โสตายตนะ ๑ ฆานายตนะ ๑ ชิวหายตนะ ๑ กายายตนะ ๑ มนายตนะ ๑.
               บทว่า สตฺต วิญฺญาณฏฺฐิติโย ได้แก่ วิญญาณฐิติ ภูมิเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณ ๗.
               วิญญาณฐิติ มีอะไรบ้าง?
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดังนี้ว่า๑-
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งมีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน เช่นมนุษย์ทั้งหลาย เทพบางพวก วินิปาติกะ เปรตบางหมู่ นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๑.
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งมีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น เทพผู้อยู่ในพวกพรหม ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๒.
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งมีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาต่างกัน เช่น พวกเทพอาภัสสรา นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๓.
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งมีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพสุภกิณหา นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๔.
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งก้าวล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง ดับปฏิฆสัญญา ไม่มนสิการถึงสัญญาต่างกัน เป็นผู้เข้าถึงอากาสานัญจายตนะว่า อนนฺโต อากาโส - อากาศไม่มีที่สุด, นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๕.
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งก้าวล่วงอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง เป็นผู้เข้าถึงวิญญาณัญจายตนะว่า อนนฺตํ วิญฺญาณํ วิญญาณไม่มีที่สุด, นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๖.
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง เป็นผู้เข้าถึงอากิญจัญญายตนะว่า นตฺถิ กิญฺจิ ไม่มีอะไรๆ, นี้เป็นวิญญาณฐิติ ที่ ๗.
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิญญาณฐิติ ๗ เหล่านี้แล.๑-
____________________________
๑- องฺ.สตฺตก. เล่ม ๒๓/ข้อ ๔๑

               บทว่า วิญฺญาณฏฺฐิติโย - ภูมิเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณ ได้แก่ ขันธ์พร้อมกับวิญญาณอันเป็นฐานแห่งปฏิสนธิวิญญาณ.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า เสยฺยถาปิ เป็นนิบาตลงในอรรถว่าการชี้แจง.
               บทว่า มนุสฺสา คือ มนุษย์ แม้สองคนจะเป็นเช่นคนเดียวกัน ก็ไม่มีด้วยวรรณะและสัณฐานเป็นต้นของมนุษย์ ไม่มีประมาณในจักรวาลอันหาประมาณมิได้. แม้มนุษย์จะเหมือนกันด้วยวรรณะหรือสัณฐาน ก็ไม่เหมือนกันด้วยการแลและการเหลียวเป็นต้น, เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า นานตฺตกายา - มีกายต่างกัน.
               ปฏิสนธิสัญญาของมนุษย์เหล่านั้นเป็นติเหตุกะบ้าง ทวิเหตุกะบ้าง อเหตุกะบ้าง, เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า นานตฺตสญฺญิโน - มีสัญญาต่างกัน.
               บทว่า เอกจฺเจ จ เทวา - เทพบางพวก ได้แก่ กามาวจรเทพ ๖ ชั้น.
               บรรดาเทพเหล่านั้น เทพบางพวกมีกายสีเขียว, บางพวกมีผิวพรรณสีเหลืองเป็นต้น, แต่สัญญาของเทพเหล่านั้นเป็นไปกับติเหตุกะบ้าง ทวิเหตุกะบ้าง, ไม่เป็นอเหตุกะ.
               บทว่า เอกจฺเจ จ วินิปาติกา - วินิปาติกะบางพวก ได้แก่ เวมานิกเปรตเหล่าอื่นมีอาทิอย่างนี้ คือ ยักษิณีชื่อปุนัพพสุมาตา ปิยังกรมาตา ผุสสมิตตา ธรรมคุตตา พ้นจากอบาย ๔.
               เปรตเหล่านั้นมีกายต่างกันโดยมีผิวขาว ดำ เหลืองและสีนิลเป็นต้น และโดยมีลักษณะผอม อ้วน เตี้ย สูง, แม้สัญญาก็ต่างกันด้วยอำนาจติเหตุกะ ทวิเหตุกะและอเหตุกะเหมือนสัญญาของมนุษย์ทั้งหลาย. แต่เวมานิกเปรตเหล่านั้นไม่มีศักดิ์ใหญ่เหมือนเทพทั้งหลาย. มีศักดิ์น้อย อาหารและเสื้อผ้าหาได้ยาก ถูกทุกข์บีบคั้นเหมือนมนุษย์ยากไร้.
               วินิปาติกะบางพวก ในวันข้างแรมได้รับทุกข์ ในวันข้างขึ้นได้รับสุข, เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่าวินิปาติกา เพราะตกไปจากการสะสมสุข.
               อนึ่ง ในบทนี้ แม้การรู้ธรรมของวินิปาติกะที่เป็นติเหตุกะก็มีได้ ดุจการรู้ธรรมของยักษิณี ชื่อว่าปิยังกรมาตาเป็นต้น.
               บทว่า พฺรหฺมกายิกา - พวกเทพผู้อยู่ในจำพวกพรหม ได้แก่ พรหมปาริสัชชะ พรหมปุโรหิตะและมหาพรหม.
               บทว่า ปฐมาภินิพฺพตฺตา - ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน ได้แก่ พวกเทพทั้งหมดนั้นเกิดแล้วด้วยปฐมฌาน. ส่วนพรหมปาริสัชชะเกิดด้วยฌานเล็กน้อย, พรหมปุโรหิตะเกิดด้วยฌานอย่างกลาง,
               อนึ่ง กายของพวกเทพเหล่านั้นแผ่ซ่านยิ่ง. มหาพรหมเกิดด้วยฌานอันประณีต, กายของมหาพรหมเหล่านั้น แผ่ซ่านยิ่งนัก.
               พรหมกายิกาเหล่านั้น ท่านกล่าวว่า มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เพราะกายต่างกัน เพราะสัญญาอย่างเดียวกันด้วยอำนาจปฐมฌาน.
               สัตว์ที่เกิดในอบาย ๔ ก็เหมือนกัน. ในนรก บางพวกร่างกายคาวุตหนึ่ง, บางพวกกึ่งโยชน์, บางพวก ๓ คาวุต, ส่วนเทวทัตมีร่างกายร้อยโยชน์.
               แม้ในเดียรัจฉาน บางพวกก็เล็ก, บางพวกก็ใหญ่.
               แม้ในเปตติวิสัย บางพวกก็ ๖๐ ศอก บางพวกก็ ๘๐ ศอก บางพวกผิวงาม บางพวกผิวทราม. เหมือนกาลกัญชิกาสูร.
               อนึ่ง บรรดาเปรตเหล่านี้ พวกทีฆปิฏฐิกาเปรตก็มีกายสูง ๖๐ โยชน์. สัญญาของเปรตทั้งหมดนั้นเป็นไปกับอเหตุกะมีอกุศลเป็นวิบาก. แม้สัตว์ในอบายทั้งหลายก็ถือได้ว่าเป็นผู้มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน.
               บทว่า อาภสฺสรา - พวกเทพอาภัสสระ รัศมีจากร่างกายของอาภัสสรเทพเหล่านั้น รุ่งเรืองสว่างไสวดุจขาดแล้วๆ ตกลงมาเหมือนคบเพลิงมีด้าม จึงชื่อว่าอาภัสสรา.
               บรรดาเทพเหล่านั้น รัศมีเกิดขึ้นเพราะเจริญทุติยฌานและตติยฌานทั้งสองในปัญจกนัยนิดหน่อย จึงชื่อว่าปริตตาภา. รัศมีเกิดขึ้นเพราะเจริญฌานปานกลาง จึงชื่อว่าอัปปมาณาภา. รัศมีเกิดขึ้นเพราะเจริญฌานประณีต จึงชื่อว่าอาภัสสรา.
               แต่ในที่นี้ ท่านกำหนดเอาเทพทั้งหมดเหล่านั้น ด้วยการกำหนดชั้นยอด.
               กายของเทพเหล่านั้นทั้งหมด แผ่ซ่านเป็นอันเดียวกัน, แต่สัญญาต่างกัน เพราะไม่มีวิตกมีแต่วิจาร และเพราะไม่มีทั้งวิตกและวิจาร.
               บทว่า สุภกิณฺหา - พวกเทพสุภกิณหะ ได้แก่ พวกเทพผู้เปี่ยมกระจายไปด้วยความงาม.
               อธิบายว่า มีรัศมีเป็นก้อนเดียวกันด้วยสีรัศมีจากร่างกาย. รัศมีของพวกสุภกิณหเทพเหล่านั้นไม่ขาดเป็นตอนๆ เหมือนรัศมีของพวกอาภัสสรเทพ.
               พวกเทพปริตตสุภะ อัปปมาณสุภะ สุภกิณหะเกิดขึ้นด้วยอำนาจตติยฌานในจตุกกนัย จตุตถฌานในปัญจกนัย อันเป็นฌานนิดหน่อย ปานกลางและประณีต.
               พวกเทพทั้งหมดเหล่านั้น พึงทราบว่า มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกันด้วยสัญญาในจตุตถฌาน.
               เวหัปผละ ย่อมรวมเข้ากับวิญญาณฐิติข้อที่ ๔.
               อสัญญสัตว์ - สัตว์ไม่มีสัญญา ไม่สงเคราะห์เข้าในวิญญาณฐิตินี้ เพราะไม่มีวิญญาณ, สงเคราะห์เข้าในสัตตาวาส - ภพเป็นที่อยู่ของสัตว์.
               สุทธาวาส - ภพเป็นที่อยู่ของผู้บริสุทธิ์ ดำรงอยู่ในฝ่ายแห่งวิวัฏฏะ (นิพพาน) มิใช่ดำรงอยู่ตลอดทุกกาล. ภพเทพสุทธาวาสย่อมไม่เกิดในโลกที่ว่างจากพระพุทธเจ้าตลอดแสนกัปบ้าง, ตลอดอสงไขยกัปบ้าง.
               เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติในระหว่างหนึ่งหมื่นหกพันกัป ภพเทพสุทธาวาสจึงเกิด. พวกเทพเหล่านั้นเป็นเหมือนกองทัพของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประกาศพระธรรมจักร, เพราะฉะนั้นจึงไม่เป็นวิญญาณฐิติ. ทั้งไม่รวมเข้ากับสัตตาวาส.
               พระมหาสีวเถระกล่าวโดยพระสูตรนี้ว่า ดูก่อนสารีบุตร สัตตาวาสที่เราไม่เคยอาศัยอยู่ นอกจากเทพสุทธาวาสโดยกาลยาวนานนี้หาได้ไม่ง่ายนักแล ดังนี้๒- แม้สุทธาวาสก็รวมเข้ากับวิญญาณฐิติที่ ๔ และสัตตาวาสที่ ๔,
               สูตรนั้น ท่านเห็นตามด้วย เพราะเป็นสูตรที่ไม่ได้ห้ามไว้.
____________________________
๒- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๑๘๙

               ชื่อว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะวิญญาณละเอียดจะมีวิญญาณก็ไม่ใช่ ไม่มีวิญญาณก็ไม่ใช่ เหมือนสัญญาละเอียด, เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่กล่าวไว้ในวิญญาณฐิติ.
               บทว่า อฏฺฐ โลกธมฺมา - โลกธรรม ๘ เหล่านี้ คือ ลาภ ๑ เสื่อมลาภ ๑ ยศ ๑ เสื่อมยศ ๑ นินทา ๑ สรรเสริญ ๑ สุข ๑ ทุกข์ ๑.
               เมื่อความเป็นไปของโลกมีอยู่ ธรรมของโลกจึงเรียกว่าโลกธรรม เพราะมีความเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา. ชื่อว่าสัตว์จะพ้นจากโลกธรรมเหล่านี้ ย่อมไม่มี. จะมีก็แต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า๓-
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โลกธรรม ๘ เหล่านี้ย่อมหมุนไปตามโลก, และโลกก็ย่อมหมุนไปตามโลกธรรม ๘. โลกธรรม ๘ คืออะไรบ้าง. โลกธรรม ๘ คือ ลาภ ๑ เสื่อมลาภ ๑ ยศ ๑ เสื่อมยศ ๑ นินทา ๑ สรรเสริญ ๑ สุข ๑ ทุกข์ ๑.
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โลกธรรม ๘ เหล่านี้ย่อมหมุนไปตามโลก. และโลกย่อมหมุนไปตามโลกธรรม ๘ เหล่านี้.
____________________________
๓- องฺ. อฏฺฐก. เล่ม ๒๓/ข้อ ๙๕.

               ในบทเหล่านั้น บทว่า อนุปริวตฺตนฺติ - ย่อมหมุนไปตาม ได้แก่ ติดตามไปคือไม่ละ. อธิบายว่า ไม่กลับไปจากโลก.
               บทว่า ลาโภ - ลาภ คือ ลาภของบรรพชิตมีจีวรเป็นต้น, ของคฤหัสถ์มีทรัพย์และข้าวเปลือกเป็นต้น. เมื่อไม่ได้ลาภนั้น ชื่อว่าเสื่อมลาภ. เมื่อกล่าวว่า น ลาโภ อลาโภ - ไม่ใช่ลาภชื่อว่าไม่มีลาภ ไม่ควรเข้าใจโดยความไม่มีประโยชน์.
               บทว่า ยโส - ยศ ได้แก่ บริวารยศ. เมื่อไม่ได้ยศนั้น ชื่อว่าเสื่อมยศ.
               บทว่า นินฺทา คือ พูดกล่าวโทษ.
               บทว่า ปสํสา คือ พูดกล่าวถึงคุณ.
               บทว่า สุขํ ได้แก่ สุขทางกายและสุขทางใจของกามาวจร.
               บทว่า ทุกฺขํ ได้แก่ ทุกข์ทางกายและทุกข์ทางใจของปุถุชน พระโสดาบัน พระสกทาคามี, พระอนาคามีและพระอรหันต์มีแต่ทุกข์ทางกายเท่านั้น.
               บทว่า นว สตฺตาวาสา ได้แก่ ที่อยู่ของสัตว์ทั้งหลาย. อธิบายว่า สถานที่เป็นที่อยู่.
               สถานที่อยู่เหล่านั้น ได้แก่ ขันธ์ อันเป็นที่ปรากฏรู้กันแล้ว.
               สัตตาวาส ๙ คืออะไรบ้าง.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า๔-
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตตาวาส ๙ เหล่านี้, สัตตาวาส ๙ คืออะไรบ้าง,
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งมีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน เช่น พวกมนุษย์ พวกเทพบางหมู่ พวกวินิปาติกะ (เปรต) นี้เป็นสัตตาวาสข้อที่ ๑.
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่ง มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพผู้อยู่ในจำพวกพรหม ผู้เกิดในปฐมฌาน นี้เป็นสัตตาวาสข้อที่ ๒.
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งมีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาต่างกัน เช่น พวกเทพอาภัสสระ. นี้เป็นสัตตาวาสข้อที่ ๓.
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งมีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพสุภกิณหะ นี้เป็นสัตตาวาสข้อที่ ๔.
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งไม่มีสัญญา ไม่เสวยเวทนา เช่น พวกเทพผู้เป็นอสัญญีสัตว์ นี้เป็นสัตตาวาสข้อที่ ๕.
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งก้าวล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง ดับปฏิฆสัญญา ไม่ใส่ใจถึงสัญญาต่างกัน เข้าถึงอากาสานัญจายตนะว่า อนนฺโต อากาโส - อากาศไม่มีที่สุด, นี้เป็นสัตตาวาสข้อที่ ๖.
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งก้าวล่วงอากาสานัญจาตยนะโดยประการทั้งปวง เข้าถึงวิญญาณัญจายตนะว่า อนนฺตํ วิญฺญาณํ - วิญญาณไม่มีที่สุด, นี้เป็นสัตตาวาสข้อที่ ๗.
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง เข้าถึงอากิญจัญญายตนะว่า นตฺถิ กิญฺจิ - ไม่มีอะไรๆ, นี้เป็นสัตตาวาสข้อที่ ๘.
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่าหนึ่งก้าวล่วงอากิญจัญญายตนะโดยประการทั้งปวง เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ นี้เป็นสัตตาวาสข้อที่ ๙.
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตตาวาส ๙ เหล่านี้แล.
____________________________
๔- องฺ. นวก. ๒๓/๒๒๘

               บทว่า ทสายตนานิ ได้แก่ อายตนะ ๑๐ อย่างนี้ คือ จักขายตนะ ๑ รูปายตนะ ๑ โสตายตนะ ๑ สัททายตนะ ๑ ฆานายตนะ ๑ คันธายตนะ ๑ ชิวหายตนะ ๑ รสายตนะ ๑ กายายตนะ ๑ โผฏฐัพพายตนะ ๑.
               ส่วนมนายตนะ ธัมมายตนะ ท่านไม่จัดไว้ เพราะเจือด้วยโลกุตระ.
               [๕๗] ในการวิสัชนา ๑๐ เหล่านี้ ท่านกล่าวถึงตีรณปริญญาด้วยอำนาจวิปัสสนา.
               พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า สพฺพํ ภิกฺขเว ปริญฺเญยฺยํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงควรกำหนดรู้ ดังต่อไปนี้.
               ท่านกล่าวถึงตีรณปริญญา ด้วยการได้เฉพาะธรรมเหล่านี้ คือ
               ธรรม ๓ มีอนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ (อินทรีย์คืออัธยาศัยที่มุ่งบรรลุมรรคผลของผู้ปฏิบัติ) เป็นต้น,
               ธรรม ๑๕ มีอนุปปาทธรรมเป็นต้นของการออกไปแห่งทุกข์เป็นต้น อันเป็นปฏิปทาของการดับทุกข์ เป็นการเจริญเพื่อทำให้แจ้ง เป็นการแทงตลอดธรรมเหล่านั้น,
               ธรรม ๓๑ มี ปริคฺคหฏฺโฐ - สภาพที่กำหนดไว้,
               ธรรม ๓ มีอุตตริปฏิเวธัฏฐะ - สภาพที่แทงตลอดยิ่งขึ้นไป เป็นต้น,
               ธรรม ๘ อันเป็นองค์มรรค, ธรรม ๒ มีสภาพสงบแห่งปโยคะเป็นต้น, ธรรม ๒ มีสภาพออกไปแห่งสภาพที่เป็นอสังขตะ, ธรรม ๓ มีสภาพตรัสรู้ตามสภาพที่นำสัตว์ออกไปเป็นต้น, ธรรม ๓ มีอนุโพธนัฏฐะ - สภาพที่รู้ตาม เป็นต้น, ธรรม ๓ มีอนุโพธิปักขิยะ - ธรรมที่เป็นฝักฝ่ายแห่งการตรัสรู้ตาม เป็นต้น, ธรรม ๔ มีอุชโชตนัฏฐะ - สภาพที่รุ่งเรือง เป็นต้น, ธรรม ๑๘ มีปตาปนัฏฐะ - สภาพที่ทำให้เร่าร้อน เป็นต้น, ธรรม ๙ มีวิวัฏฏนานุปัสสนา - การพิจารณาเห็นนิพพาน เป็นต้น, ญาณในความสิ้นไปและญาณในความไม่เกิด นิพพานอันเป็นปัญญาวิมุตติ,
               พึงทราบว่า ตีรณปริญญา ท่านกล่าวด้วยอำนาจแห่งวิปัสสนาตามสมควรแก่หมู่ธรรม และด้วยอำนาจการได้เฉพาะ.
               [๕๘] ท่านกล่าวถึงตีรณปริญญาด้วยอรรถว่าเข้าถึงกิจ ด้วยบทว่า เยสํ เยสํ ธมฺมานํ ฯเปฯ ติริตา จ ความว่า บุคคลผู้พยายามเพื่อจะได้ธรรมใดๆ เป็นอันได้ธรรมนั้นๆ แล้ว. ธรรมเหล่านั้นเป็นธรรมอันบุคคลกำหนดรู้แล้ว และพิจารณาแล้วอย่างนี้. เมื่อเข้าถึงกิจแล้ว เป็นอันได้ธรรมนั้นๆ แล้ว. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ญาตปริญญาของผู้ยังไม่เข้าถึงวิปัสสนา นั่นไม่ดีเลย เพราะญาตปริญญา ท่านกล่าวด้วยธรรมควรรู้ยิ่ง.
               บทว่า ปริญฺญาตา เจว โหนฺติ ตีริตา จ ธรรมอันบุคคลกำหนดรู้แล้ว และพิจารณาแล้ว.
               ความว่า ธรรมอันบุคคลได้แล้ว ชื่อว่าเป็นอันกำหนดรู้แล้ว และชื่อว่าพิจารณาแล้ว. เป็นอันท่านกล่าวความที่กำหนดรู้ ด้วยการเข้าถึงสมาบัติอย่างนี้.
               [๕๙] บัดนี้ เพื่อประกอบอรรถนั้นด้วยการได้ธรรมอย่างหนึ่งๆ แล้วแสดงสรุปในที่สุด พระสารีบุตรจึงกล่าวว่า เนกฺขมฺมํ เป็นต้น.
               พึงทราบบททั้งหมดนั้นโดยทำนองตามดังที่ท่านกล่าวไว้แล้วในตอนก่อนแล.

               จบอรรถกถาปริญเญยยนิทเทส               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ๑. ญาณกถา ตติยภาณวาร - ปริญเญยยนิทเทส จบ.
อ่านอรรถกถา 31 / 0อ่านอรรถกถา 31 / 30อรรถกถา เล่มที่ 31 ข้อ 56อ่านอรรถกถา 31 / 64อ่านอรรถกถา 31 / 737
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=31&A=456&Z=514
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=47&A=2656
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=47&A=2656
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑  ธันวาคม  พ.ศ.  ๒๕๖๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :