ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 31 / 0อ่านอรรถกถา 31 / 557อรรถกถา เล่มที่ 31 ข้อ 574อ่านอรรถกถา 31 / 588อ่านอรรถกถา 31 / 737
อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค ยุคนัทธวรรค
๔. เมตตากถา

               อรรถกถาเมตตากถา               
               บัดนี้จะพรรณนาตามลำดับความที่ยังไม่เคยพรรณนาแห่งเมตตากถาอันมีพระสูตรเป็นเบื้องต้น ดำเนินตามโพชฌงคกถาอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในลำดับแห่งโพชฌงคกถา.
               พึงทราบวินิจฉัยในพระสูตรนั้นดังต่อไปนี้.
               บทว่า อาเสวิตาย อันบุคคลเสพแล้ว คือเสพแล้วโดยเอื้อเฟื้อ.
               บทว่า ภาวิตาย คือ เจริญแล้ว.
               บทว่า พหุลีกตาย ทำให้มากแล้ว คือทำแล้วบ่อยๆ.
               บทว่า ยานีกตาย ทำให้เป็นดังยาน คือทำเช่นกับยานที่เทียมแล้ว.
               บทว่า วตฺถุกตาย ทำให้เป็นที่ตั้ง คือทำดุจวัตถุเพราะอรรถว่าเป็นที่ตั้ง.
               บทว่า อนุฏฺฐิตาย ตั้งไว้เนืองๆ คือปรากฏแล้ว.
               บทว่า ปริจิตาย อบรมแล้ว คือสะสมดำรงไว้โดยรอบ.
               บทว่า สุสมารทฺธาย ปรารภดีแล้ว คือปรารภแล้วด้วยดี ทำด้วยดีแล้ว.
               บทว่า อานิสํสา คือ คุณ.
               บทว่า ปาฏิกงฺขา หวัง คือพึงหวัง พึงปรารถนา.
               บทว่า สุขํ สุปติ หลับเป็นสุข คือหลับเป็นสุขไม่หลับเหมือนคนส่วนมาก กรนกลิ้งเกลือกไปมาหลับเป็นทุกข์ แม้ก้าวลงสู่ความหลับก็เป็นเหมือนเข้าสมาบัติ.
               บทว่า สุขํ ปฏิพุชฺฌติ ตื่นเป็นสุข คือตื่นเป็นสุข ไม่ผิดปกติ เหมือนดอกปทุมแย้ม ไม่ตื่นเหมือนคนอื่นที่ทอดถอนบิดกายพลิกไปมา ตื่นเป็นทุกข์.
               บทว่า น ปาปกํ สุปินํ ปสฺสติ ไม่ฝันลามก คือเมื่อฝันย่อมเห็นฝันอันเจริญ เหมือนไหว้พระเจดีย์ เหมือนทำการบูชา และเหมือนฟังธรรม ไม่เห็นความฝันลามกเหมือนคนอื่นฝันเห็นเหมือนถูกโจรล้อมตน เหมือนถูกสัตว์ร้ายเบียดเบียนและเหมือนตกลงไปในเหว.
               บทว่า มนุสฺสานํ ปิโย โหติ เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย คือเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของมนุษย์ทั้งหลาย ดุจแก้วมุกดาหารสวมไว้ที่อกและดุจดอกไม้ประดับไว้บนศีรษะ.
               บทว่า อมนุสฺสานํ ปิโย โหติ เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย คือเป็นที่รักแม้ของอมนุษย์เหมือนเป็นที่รักของมนุษย์.
               บทว่า เทวตา รกฺขนฺติ เทวดาย่อมรักษา คือเทวดาย่อมรักษาดุจมารดาบิดารักษาบุตรฉะนั้น.
               บทว่า นาสฺส อคฺคิ วา วิสํ วา สตฺถํ วา กมติ ไฟ ยาพิษ ศัสตรา ย่อมไม่กล้ำกลายเขา คือ ไฟ ยาพิษ หรือศัสตรา ย่อมไม่ก้าวเข้าไปในกายของผู้อยู่ด้วยเมตตา.
               อธิบายว่า ไม่ยังกายของเขาให้กำเริบ.
               บทว่า ตุวฏํ จิตฺตํ สมาธิยติ จิตย่อมตั้งมั่นได้เร็ว คือจิตของผู้อยู่ด้วยเมตตาย่อมตั้งมั่นได้เร็ว ไม่มีความชักช้า.
               บทว่า มุขวณฺโณ วิปฺปสีทติ สีหน้าผ่องใส คือหน้าของเขามีสีผ่องใส ดุจตาบสุกพ้นจากขั้ว.
               บทว่า อสมฺมูฬฺโห กาลํ กโรติ ไม่หลงใหลกระทำกาละ คือผู้อยู่ด้วยเมตตาไม่หลงตาย ไม่หลงทำกาละดุจคนก้าวลงสู่ความหลับ.
               บทว่า อุตฺตรึ อปฺปฏิวิชฺฌนฺโต เมื่อยังไม่แทงตลอดธรรมอันยิ่ง คือเมื่อยังไม่สามารถบรรลุพระอรหัตอันยิ่งกว่าเมตตาสมาบัติได้เคลื่อนจากโลกนี้ดุจหลับแล้วตื่น.
               บทว่า พฺรหฺมโลกูปโค โหติ คือ ย่อมเข้าถึงพรหมโลก.
               พึงทราบวินิจฉัยในเมตตานิเทศดังต่อไปนี้.
               บทว่า อโนธิโส ผรณา คือ แผ่ไปโดยไม่เจาะจง เขตแดนชื่อว่า โอธิ ไม่มีเขตแดนชื่อว่า อโนธิ โดยไม่มีเขตแดนนั้น.
               ความว่า โดยไม่เจาะจง.
               ท่านอธิบายว่า แผ่ไปโดยไม่มีที่กำหนด.
               บทว่า โอธิโส โดยเจาะจง คือโดยมีกำหนด.
               บทว่า ทิสา ผรณา คือ แผ่ไปในทิศทั้งหลาย.
               บทว่า สพฺเพ ทั้งหมด คือกำหนดโดยไม่มีเหลือ.
               อรรถแห่งบทว่า สตฺตา ท่านกล่าวไว้แล้วในอรรถกถามาติกาแห่งญาณกถา.
               โวหารนี้ย่อมเป็นไปแม้ในผู้ที่ปราศจากราคะแล้ว ด้วยรุฬหิศัพท์ ดุจโวหารว่า พัดใบตาลย่อมเป็นไปในพัดวิชนี แม้ทำด้วยไม้ไผ่.
               บทว่า อเวรา ไม่มีเวร คือปราศจากเวร.
               บทว่า อพฺยาปชฺฌา ไม่เบียดเบียน คือเว้นจากความพยาบาท.
               บทว่า อนีฆา คือ ไม่มีทุกข์.
               บทว่า สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตุ รักษาตนอยู่เป็นสุขเถิด คือ มีความสุขยัวงอัตภาพให้เป็นไปได้.
               พึงทราบความสัมพันธ์ของคำในบทนี้อย่างนี้ว่า
               แสดงความไม่มีเวร อาศัยสันดานของตนและคนอื่น อาศัยสันดานของคนอื่นและคนนอกนี้ในบทว่า อเวรา แสดงความไม่มีพยาบาทอันไม่มีเวรนั้นเป็นมูล เพราะความไม่มีเวรในบทมีอาทิว่า อพฺยาปชฺฌา แสดงความไม่มีทุกข์อันไม่มีความพยาบาทนั้นเป็นมูล เพราะไม่มีความพยาบาทในบทว่า อนีฆา แสดงการบริหารอัตภาพด้วยความสุขเพราะไม่มีทุกข์ ในบทว่า สุขี อตฺตานํ ปริหรนฺตุ แผ่เมตตาด้วยอำนาจแห่งคำอันปรากฏแล้วในคำทั้งหลาย ๔ มีอาทิว่า อเวรา โหนฺตุ จงอย่าได้มีเวรเลยเหล่านี้.
               ในบทมีอาทิว่า ปาณา มีความดังต่อไปนี้.
               ชื่อว่า ปาณา เพราะมีชีวิต. ความว่า เพราะยังเป็นไปอาศัยลมหายใจเข้าและลมหายใจออกอยู่.
               ชื่อว่า ภูตา เพราะยังเป็นอยู่. ความว่า เพราะยังเกิดอยู่.
               ชื่อว่า ปุคฺคลา เพราะไปในนรกซึ่งท่านเรียกว่า ปุํ นั้น.
               สรีระหรือขันธปัญจก ท่านเรียกว่าอัตภาพ หมายถึงอัตภาพ เพราะปรากฏเพียงบัญญัติ.
               ชื่อว่า อตฺตภาวปริยาปนฺนา ผู้นับเนื่องด้วยอัตภาพ เพราะนับเนื่องกำหนดหยั่งลงในอัตภาพนั้น.
               ท่านยกคำที่เหลือด้วยอำนาจแห่งรุฬหิศัพท์ (ศัพท์ที่ขยายความ) แล้วพึงทราบว่า คำทั้งหมดนั้นเป็นไวพจน์ของสัตว์ทั้งปวง เหมือนคำว่า สตฺตา ฉะนั้น.
               คำแม้อื่นเป็นไวพจน์ของสัตว์ทั้งปวงมีอาทิว่า สพฺเพ ชนฺตู สพฺเพ ชีวา สัตว์เกิดทั้งปวง สัตว์มีชีวิตทั้งปวงก็มีอยู่โดยแท้ แต่ท่านถือเอาคำ ๕ เหล่านี้ด้วยเป็นคำปรากฏอยุ่แล้วจึงกล่าวว่า เมตตาเจโตวิมุตติแผ่ไปโดยไม่เจาะจงด้วยอาการ ๕.
               อนึ่ง มิใช่โดยเพียงคำพูดอย่างเดียวเท่านั้นแห่งบทมีอาทิว่า สตฺตา ปาณา ที่แท้แล้วสัตว์เหล่าใดพึงปรารถนาความต่างกันแม้โดยอรรถการแผ่ไปโดยไม่เจาะจงของสัตว์เหล่านั้นย่อมผิด เพราะฉะนั้นไม่ถือเอาอรรถอย่างนั้นแล้วแผ่เมตตาโดยไม่เจาะจงด้วยอาการอย่างใดอย่างหนึ่งในอาการ ๕ เหล่านี้.
               อนึ่ง ในการแผ่ไปโดยเจาะจง พึงทราบความดังนี้.
               บทว่า อิตฺถิโย ปุริสา ท่านกล่าวถึงเพศ.
               บทว่า อริยา อนริยา ท่านกล่าวถึงอริยะและปุถุชน.
               บทว่า เทวา มนุสฺสา วินิปาติกา ท่านกล่าวถึงการเกิด.
               แม้ในการแผ่ไปในทิศ ไม่ทำการจำแนกทิศแล้วแผ่ไปโดยไม่เจาะจง เพราะแผ่ไปโดยนัยมีอาทิว่า สพฺเพ สตฺตา ในทิศทั้งปวง แผ่ไปโดยเจาะจงเพราะแผ่ไปโดยนัยมีอาทิว่า สพฺพา อิตฺถิโย ในทิศทั้งปวง.
               อนึ่ง เพราะการแผ่เมตตาแม้ ๓ อย่างนี้ท่านกล่าวด้วยอำนาจแห่งจิตยังไม่ถึงอัปปนา ฉะนั้นพึงถือเอาอัปปนาในวาระ ๓ ในการแผ่โดยไม่เจาะจง ท่านกล่าวถึงการแผ่ ๔ อย่างเหล่านั้นด้วยรวบรวมประโยชน์นั่นเอง คืออย่างหนึ่งว่าสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงจงอย่าได้มีเวรกันเลย อย่างหนึ่งว่าจงอย่าได้เบียดเบียนกันเลย อย่างหนึ่งว่าจงอย่ามีทุกข์เลย อย่างหนึ่งว่าจงมีความสุข รักษาตนเถิด.
               เพราะเมตตามีลักษณะรวบรวมประโยชน์ ด้วยอำนาจแห่งอัปปนาอย่างละ ๔ๆ ในอาการ ๕ มีอาทิว่า สตฺตา รวมเป็นอัปปนา ๒๐ ในการแผ่โดยเจาะจงด้วยอำนาจแห่งอัปปนาอย่างละ ๔ๆ ในอาการ ๗ มีอาทิว่า สพฺพา อิตฺถิโย รวมเป็นอัปปนา ๒๘. อนึ่ง ในการแผ่ไปในทิศ อัปปนา ๔๘๐ คือ อัปปนา ๒๐๐ ทำอย่างละ ๒๐ แห่งทิศหนึ่งๆ โดยนัยมีอาทิว่า สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงในทิศตะวันออก อัปปนา ๒๘๐ ทำอย่างละ ๒๘ แห่งทิศหนึ่งๆ โดยนัยมีอาทิว่า หญิงทั้งหลายทั้งปวงในทิศตะวันออก อัปปนาทั้งหมดที่ท่านกล่าวไว้ในที่นี้รวมเป็นอัปปนา ๕๒๘ ด้วยประการฉะนี้.
               อนึ่ง พึงทราบว่า ท่านกล่าวแม้การแผ่กรุณามุทิตาอุเบกขา เหมือนท่านกล่าวการแผ่เมตตาโดย ๓ อย่างฉะนั้น.

               อรรถกถาอินทริยวาร               
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อทรงแสดงอาการประมวลมาซึ่งเมตตาและการอบรมอินทรีย์เป็นต้น จึงตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า สพฺเพสํ สตฺตานํ ปีฬนํ วชฺเชตฺวา เว้นความบีบคั้นสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงง
               ในบทเหล่านั้น บทว่า ปีฬนํ การบีบคั้น คือบีบคั้นสรีระข้างใน.
               บทว่า อุปฆาตํ การฆ่า คือการฆ่าสรีระข้างนอก.
               บทว่า สนฺตาปํ การทำให้เดือดร้อน คือทำใจให้เดือดร้อนด้วยประการต่างๆ.
               บทว่า ปริยาทานํ ความย่ำยี คือความสิ้นขีวิตเป็นต้นโดยปกติ.
               บทว่า วิเหสํ เบียดเบียน คือเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น.
               บทว่า วชฺเชตฺวา เว้น คือนำอย่างหนึ่งๆ ในการเบียดเบียนเป็นต้นออกไปจากจิตของตนเอง.
               ท่านกล่าวบท ๕ มีการเบียดเบียนเป็นต้นเหล่านี้ ด้วยเว้นสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการรวบรวมเมตตา.
               บทว่า อปีฬนาย ด้วยไม่บีบคั้นเป็นต้น ท่านกล่าวด้วยการรวบรวมเมตตา.
               บทว่า อปีฬนาย พึงเชื่อมความว่า ประพฤติเมตตาในสัตว์ทั้งปวงด้วยอาการไม่บีบคั้น.
               แม้ในบทที่เหลือก็อย่างนั้น.
               สามบทแม้เหล่านี้ว่า มา เวริโน มา ทุกฺขิโน มา ทุกฺขิตตฺตา อย่าได้มีเวร อย่ามีทุกข์ อย่ามีตนเป็นทุกข์ เป็นคำปฏิเสธสิ่งเป็นปฏิปักษ์ของการรวบรวมเมตตา.
               คำว่า มา คือ จงอย่ามี.
               สามบทว่า อเวริโน สุขิโน สุขิตตฺตา จงเป็นผู้ไม่มีเวร มีความสุข มีตนเป็นสุข เป็นคำรวบรวมเมตตา.
               สองบทนี้ว่า อพฺยาปชฺฌา อนีฆา จงเป็นผู้ไม่เบียดเบียน ไม่มีทุกข์.
               พึงทราบว่าท่านสงเคราะห์เข้าด้วยคำว่า สุขิโน จงมีความสุข.
               บทว่า สุขิตตฺตา จงมีตนเป็นสุข แสดงความสุขนั้นเป็นไปเป็นนิจ.
               อนึ่ง บทว่า สุขิตตฺตา และบทว่า สุขี อตตานํ ปริหรนตุ โดยอรรถเป็นอย่างเดียวกัน.
               อีกอย่างหนึ่ง พึงสงเคราะห์คำว่า ความไม่เบียดเบียนกันและไม่มีทุกข์ ด้วยบทมีอาทิว่า อปีฬนาย ด้วยไม่บีบคั้น.
               บทว่า อฏฺฐหากาเรหิ ด้วยอาการ ๘ เหล่านี้ คืออาการรวบรวมเมตตา ๕ มีอาทิว่า อปีฬนาย อาการรวบรวมเมตตา ๓ มีอาทิว่า อเวริโน โหนฺตุ.
               บทว่า เมตฺตายติ ประพฤติด้วยความรัก คือความเยื่อใย.
               บทว่า ตํ ธมฺมํ เจตยติ คิดถึงธรรมนั้น คือคิดติดต่อธรรมนั้นอันรวบรวมประโยชน์. อธิบายว่า ประพฤติ.
               บทว่า สพฺพพยาปาทปริยุฏฐาเนหิ วิมุจฺจติ พ้นจากพยาบาทและปริยุฏฐานกิเลสทั้งปวง คือพ้นจากการข่มด้วยความฟุ้งซ่านของพยาบาลทั้งปวง อันเป็นปฏิปักษ์แห่งเมตตา.
               บทว่า เมตฺตา จ เจโตวิมุตฺติ จ เมตตาและเจโตวิมุตติ คือเมตตาอย่างเดียวเท่านั้น ท่านพรรณนาไว้ ๓ อย่าง.
               บท ๓ บทเหล่านี้คือ อเวริโน เขมิโน สุขิโน เป็นผู้ไม่มีเวร มีความปลอดโปร่ง มีความสุข. ท่านกล่าวสงเคราะห์อาการดังกล่าวแล้ว ในบทก่อนโดยสังเขป.
               อินทรีย์ ๕ สัมปยุตด้วยเมตตา ท่านกล่าวแล้วโดยนัยมีอาทิว่า สทฺธาย อธิมุจฺจติ น้อมใจไปด้วยศรัทธา.
               พึงทราบวินิจฉัยในวาระ ๖ มีอาทิว่า อาเสวนา ดังต่อไปนี้.
               ชื่อว่า อาเสวนา เพราะเสพเมตตา. ภาวนา พหุลีกรรมก็อย่างนั้น.
               บทว่า อลงฺการา อลังการ คือเครื่องประดับ.
               บทว่า สฺวาลงฺกตา ประดับด้วยดี คือประดับตกแต่งด้วยดี.
               บทว่า ปริกฺขารา คือ สัมภาระทั้งหลาย.
               บทว่า สุปริกฺขตา ปรุงแต่งด้วยดี คือเก็บรวบรวมไว้ด้วยดี.
               บทว่า ปริวารา ด้วยอรรถว่ารักษา.
               ท่านกล่าว ๒๘ บทมีอาเสวนะเป็นต้นอีก เพื่อกล่าวถึงคุณของเมตตา.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า ปาริปูริ ทำให้เต็ม คือความบริบูรณ์.
               บทว่า สหคตา คือ สหรคตด้วยปัญญา.
               บทว่า สหชาตา เป็นต้นก็อย่างนั้น.
               บทว่า ปกฺขนฺทนา แล่นไป คือเข้าไปด้วยเมตตา. ชื่อว่า ปกฺขนฺทนา เพราะเป็นเหตุแล่นไปแห่งเมตตา.
               บทว่า สํสีทนา ความผ่องใสเป็นต้นก็อย่างนั้น.
               บทว่า เอตํ สนฺตนฺติ ปสฺสนา เห็นว่านี้สงบ คือเห็นว่าเมตตานี้สงบ เพราะเหตุนั้น การเห็นว่านี้สงบเป็นนปุงลิงค์ ดุจในคำว่า เอตทคฺคํ นี้เลิศ.
               บทว่า สฺวาธิฏฺฐิตา อธิษฐานดีแล้ว คือตั้งไว้ด้วยดี.
               บทว่า สุสมุคฺคตา ดำเนินขึ้นไปดีแล้ว คือยกขึ้นแล้วด้วยดี.
               บทว่า สุวิมุตฺตา พ้นวิเศษแล้ว คือพ้นด้วยดีแล้วจากข้าศึกของตนๆ.
               บทว่า นิพฺพตฺเตนฺติ คือ อินทรีย์ ๕ ประการสัมปยุตด้วยเมตตา ยังเมตตาให้เกิด.
               บทว่า โชเตนฺติ ให้รุ่งเรือง คือทำให้ปรากฏ.
               บทว่า ปตาเปนฺติ ให้สว่างไสว คือให้รุ่งโรจน์.
               จบอรรถกถาอินทริยวาร               

               อรรถกถาพลาทิวารัตตยะ               
               พึงทราบแม้พลวารโดยนัยดังกล่าวแล้วในอินทริยวารนั่นแล.
               ท่านกล่าววาระองค์แห่งมรรคในโพชฌงค์ไว้โดยปริยาย มิได้กล่าวด้วยอำนาจตามลักษณะ.
               ในวาระแห่งองค์มรรค ท่านกล่าวสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะไว้ด้วยอำนาจแห่งส่วนเบื้องต้นของเมตตา มิใช่ด้วยอำนาจแห่งอัปปนา เพราะธรรมเหล่านี้ ย่อมไม่เกิดร่วมด้วยเมตตา.
               พึงทราบอรรถแม้แห่งวาระที่เหลือมีอาทิว่า สพฺเพสํ ปาณานํ แห่งสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงโดยนัยดังกล่าวแล้วในวาระ ๗ นั่นแล.
               ส่วนวิธีเจริญเมตตาพึงถือเอาจากวิสุทธิมรรค.

               จบอรรถกถาพลาทิวารัตตยะ               
               จบอรรถกถาเมตตากถา               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค ยุคนัทธวรรค ๔. เมตตากถา จบ.
อ่านอรรถกถา 31 / 0อ่านอรรถกถา 31 / 557อรรถกถา เล่มที่ 31 ข้อ 574อ่านอรรถกถา 31 / 588อ่านอรรถกถา 31 / 737
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=31&A=8449&Z=8691
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=48&A=5453
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=48&A=5453
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๗  สิงหาคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :