ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 31 / 0อ่านอรรถกถา 31 / 598อรรถกถา เล่มที่ 31 ข้อ 614อ่านอรรถกถา 31 / 620อ่านอรรถกถา 31 / 737
อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค ยุคนัทธวรรค
๗. ธรรมจักรกถา

               อรรถกถาธรรมจักรกถา               
               อรรถกถาสัจจวาระ               
               จะพรรณนาตามลำดับความที่ยังมิได้เคยพรรณนาไว้แห่งธรรมจักรกถาอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำพระธรรมจักกัปวัตตนสูตรให้เป็นเบื้องต้นอีกตรัสแล้ว.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า ทุกฺขวตฺถุกา เป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ คือเพราะมีทุกข์เป็นที่ตั้งด้วยอำนาจแห่งการตรัสรู้อย่างเดียว.
               พระสารีบุตรเถระยังทุกข์นั้นให้วิเศษออกไป จึงกล่าวคำมีอาทิว่า สจฺจวตฺถุกา เป็นที่ตั้งแห่งสัจจะ.
               ชื่อว่า สจฺจารมฺมณา เพราะมีสัจจะเป็นอารมณ์ เป็นตัวอุปถัมภ์.
               ชื่อว่า สจฺจโคจรา เพราะมีสัจจะเป็นโคจรเป็นวิสัย.
               บทว่า สจฺจสงฺคหิตา สงเคราะห์เข้าในสัจจะ คือสงเคราะห์ด้วยมรรคสัจ.
               บทว่า สจฺจปริยาปนฺนา นับเนื่องในสัจจะ คือนับเนื่องในมรรคสัจ.
               บทว่า สจฺเจ สมุปาคตา เข้ามาประชุมในสัจจะ คือเกิดร่วมกันในทุกขสัจด้วยกำหนดรู้ทุกข์.
               บทว่า ฐิตา ปติฏฺฐิตา คือ ตั้งอยู่ในสัจจะ ประดิษฐานอยู่ในสัจจะนั้นนั่นแหละเหมือนกัน.
               บัดนี้ พระสารีบุตรเถระประสงค์จะชี้แจงพระธรรมจักรที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ปวตฺติเต จ ภควตา ธมฺมจกฺเก เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศพระธรรมจักรแล้ว ดังนี้ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า ธมฺมจกฺกํ.
               ในบทว่า ธมฺมจกฺกํ นั้น ธรรมจักรมี ๒ อย่าง คือ ปฏิเวธธรรมจักรและเทศนาธรรมจักร.
               ปฏิเวธธรรมจักร ณ โพธิบัลลังก์. เทศนาธรรมจักร ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน.
               บทว่า ธมฺมญฺจ ปวตฺเตติ จกฺกญฺจ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้ธรรมและจักรเป็นไป ท่านกล่าวถึงปฏิเวธธรรมจักร.
               บทว่า จกฺกญฺจ ปวตฺเตติ ธมฺมญฺจ ทรงให้จักรและธรรมเป็นไป ท่านกล่าวถึงเทศนาธรรมจักร.
               อย่างไร เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งเหนือโพธิบัลลังก์ ยังธรรมมีประเภทเป็นต้นว่า อินทรีย์ พละ โพชฌงค์และองค์แห่งมรรคให้เป็นไปในขณะแห่งมรรค ธรรมนั้นแหละชื่อว่าจักร เพราะเป็นไปเพื่อฆ่าศัตรูคือกิเลส ดุจจักรสำหรับประหาร.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังจักรคือธรรมให้เป็นไป ชื่อว่าทรงยังจักรให้เป็นไป ด้วยบทนั้น ท่านกล่าวเป็นกัมธารสมาสว่า จักรคือธรรม.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่ง ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวันทรงจักรคือเทศนาให้เป็นไป เพราะเป็นไปเพื่อฆ่าศัตรูคือกิเลสในสันดานของเวไนยสัตว์ ในขณะแสดงธรรมเช่นกับจักรสำหรับใช้ประหาร และยังธรรมจักรอันมีประเภทเป็นต้นว่า อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ องค์แห่งมรรคให้เป็นไปในสันดานของเวไนยสัตว์.
               ด้วยบทนี้ ท่านกล่าวถึงทวันทวสมาสว่า ธรรมด้วย จักรด้วย ชื่อว่าธรรมและจักร ก็เพราะเมื่อความเป็นไปยังมีอยู่ ก็ชื่อว่ายังเป็นไปอยู่ ฉะนั้น แม้ในที่ทั้งปวง ท่านกล่าวว่า ปวตฺเตติ ให้เป็นไป แต่พึงทราบว่า ท่านกล่าวว่า จกฺกํ เพราะอรรถว่าเป็นไป.
               บทมีอาทิว่า ธมฺเมน ปวตฺเตนตีติ ธมฺมจกฺกํ ชื่อว่าธรรมจักร เพราะทรงให้จักรเป็นไปโดยธรรม. พึงทราบว่า ท่านกล่าวหมายถึงเทศนาธรรมจักรนั่นเอง.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺเมน ปวตฺเตติ ท่านกล่าวว่าธรรมจักร เพราะจักรเป็นไปแล้วโดยธรรมตามสภาวะอย่างไร.
               บทว่า ธมฺมจริยา ปวตฺเตติ ท่านกล่าวว่าธรรมจักร เพราะจักรเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ธรรมในสันดานของเวไนยสัตว์.
               ด้วยบทมีอาทิว่า ธมฺเม ฐิโต ดำรงอยู่ในธรรม ท่านกล่าวถึงความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้มีธรรม และเป็นเจ้าแห่งธรรม.
               สมดังที่ท่านพระมหากัจจายนะกล่าวว่า๑- ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงรู้ทรงเห็น เป็นผู้มีพระจักษุ เป็นผู้มีพระญาณ เป็นผู้มีธรรม เป็นพรหม เป็นผู้เผยแผ่ เป็นผู้ประกาศ เป็นผู้ขยายเนื้อความ เป็นผู้ให้อมตธรรม เป็นเจ้าของแห่งธรรม เป็นพระตถาคต เพราะฉะนั้น ด้วยบทนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ธมฺมจกฺกํ เพราะเป็นจักรแห่งธรรม.
____________________________
๑- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๒๔๗

               บทว่า ฐิโต ตั้งอยู่แล้ว คือตั้งอยู่โดยความมีอารมณ์.
               บทว่า ปติฏฺฐิโต ประดิษฐานแล้ว คือประดิษฐานโดยความไม่หวั่นไหว.
               บทว่า วสิปฺปตฺโต ทรงบรรลุถึงความชำนาญ คือถึงความมีอิสรภาพ.
               บทว่า ปารมิปฺปตฺโต ทรงบรรลุถึงความยอดเยี่ยม คือบรรลุถึงที่สุด.
               บทว่า เวสารชฺชปฺปตฺโต ทรงบรรลุถึงความแกล้วกล้า คือบรรลุถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า.
               ด้วยบทมีอาทิว่า ธมฺเม ปติฏฺฐาเปนฺโต ทรงให้มหาชนดำรงอยู่ในธรรม ท่านเพ่งถึงสันดานของเวไนยสัตว์ แล้วกล่าวว่า จกฺกํ เพื่อประโยชน์แก่ธรรม เพราะพระองค์เป็นเจ้าของธรรม ด้วยคำดังกล่าวแล้ว.
               ด้วยบทมีอาทิว่า ธมฺมํ สกฺกโรนฺโต ทรงสักการะธรรม ท่านกล่าวว่า จกฺกํ เพื่อประโยชน์แก่ธรรม เพราะผู้ใดประพฤติธรรมด้วยสักการะเป็นต้น ผู้นั้นชื่อว่าประพฤติเพื่อธรรม.
               บทว่า ธมฺมํ ครุกโรนฺโต ทรงเคารพธรรม คือทำความเคารพนั้นด้วยให้เกิดคารวะในธรรมนั้น.
               บทว่า ธมฺมํ มาเนนฺโต ทรงนับถือธรรม คือทรงทำธรรมให้เป็นที่รัก เป็นที่น่ายกย่องอยู่.
               บทว่า ธมฺมํ ปูเชนฺโต ทรงบูชาธรรม คืออ้างถึงธรรมนั้นแล้วทำการบูชา ด้วยปฏิบัติบูชาในเทศนา.
               บทว่า ธมฺมํ อปจายมาโน ทรงนอบน้อมธรรม คือทำความประพฤติถ่อมด้วยการสักการะและเคารพธรรมนั้นนั่นเทียว.
               บทว่า ธมฺมทฺธโช ธมฺมเกตุ มีธรรมเป็นธง มีธรรมเป็นยอด.
               ความว่า มีธรรมเป็นธงและมีธรรมเป็นยอดด้วยการนำธรรมไว้ในเบื้องหน้าดุจธง และยกขึ้นดุจเป็นยอดแล้วให้เป็นไป.
               บทว่า ธมฺมาธิปเตยฺโย มีธรรมเป็นใหญ่ คือมาจากความมีธรรมเป็นใหญ่ เป็นผู้มีธรรมเป็นใหญ่ด้วยกระทำกิริยาทั้งปวง ด้วยอำนาจแห่งธรรมคือการภาวนา.
               บทว่า ตํ โข ปน ธมฺมจกฺกํ อปฺปฏิวตฺติยํ อันใครๆ ยังธรรมจักรนั้นให้เป็นไปไม่ได้ ท่านกล่าวถึงความเป็นธรรมที่ไม่ถูกกำจัด เพราะใครๆ ไม่สามารถจะให้กลับได้ เพราะฉะนั้น ธรรมนั้นท่านจึงกล่าวว่า จกกํ เพราะอรรถว่าเป็นไปได้.
               บทว่า สทฺธินฺทฺริยํ ธมฺโม ตํ ธมฺมํ ปวตฺเตติ สัทธินทรีย์เป็นธรรม ยังธรรมนั้นให้เป็นไป.
               ความว่า ยังสัทธินทรีย์เป็นธรรมนั้นให้เป็นไป ด้วยยังสัทธินทรีย์สัมปยุตด้วยมรรคให้เกิดในสันดานของเวไนยสัตว์.
               แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
               บทว่า สจฺจา คือ สัจจญาณ วิปัสสนา วิชชาและมรรคญาณ.
               บทว่า อนุปฺปาเท ญาณํ ญาณในความไม่เกิด คือญาณในอรหัตผล ยังญาณแม้นั้นให้เป็นไปในสันดานของเวไนยสัตว์ เมื่อทำการแทงตลอดคือนิพพาน ก็ชื่อว่ายังญาณให้เป็นไป.
               ในสมุทยวารเป็นต้น ท่านแสดงย่อบทที่แปลกว่า สมุทยวตฺถุกา นิโรธวตฺถุกา มคฺควตฺถุกา มีสมุทัยเป็นที่ตั้ง มีนิโรธเป็นที่ตั้ง มีมรรคเป็นที่ตั้ง.
               บทต้นเช่นกับที่กล่าวแล้วในวาระแม้นี้ พึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.

               อรรถกถาสติปัฏฐานวาร               
               แม้วาระมีสติปัฏฐาน อิทธิบาทเป็นเบื้องต้น ท่านก็กล่าวไว้แล้วด้วยสามารถแห่งขณะของมรรค. แม้วาระเหล่านั้น ท่านก็แสดงย่อบทที่แปลกไว้ในวาระนั้นๆ ด้วยประการฉะนี้.

               จบอรรถกถาธรรมจักรกถา               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค ยุคนัทธวรรค ๗. ธรรมจักรกถา จบ.
อ่านอรรถกถา 31 / 0อ่านอรรถกถา 31 / 598อรรถกถา เล่มที่ 31 ข้อ 614อ่านอรรถกถา 31 / 620อ่านอรรถกถา 31 / 737
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=31&A=9127&Z=9276
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=48&A=5819
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=48&A=5819
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๗  สิงหาคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :