ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 31 / 0อ่านอรรถกถา 31 / 64อรรถกถา เล่มที่ 31 ข้อ 67อ่านอรรถกถา 31 / 77อ่านอรรถกถา 31 / 737
อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ๑. ญาณกถา
จตุตถภาณวาร - ภาเวตัพพนิเทส

               อรรถกถาภาเวตัพพนิทเทส               
               [๖๗] พึงทราบวินิจฉัยในภาเวตัพพนิทเทสดังต่อไปนี้.
               บทว่า กายคตาสติ ได้แก่ สติสัมปยุตด้วยการมนสิการถึงอานาปานสติ อิริยาบถ ๔ อิริยาบถเล็กน้อย อาการ ๓๒ ธาตุ ๔ ป่าช้า ๙ และการกำหนดสิ่งเป็นปฏิกูล ท่านกล่าวไว้แล้วในสูตรอันว่าด้วยกายคตาสติและสัมปยุตด้วยรูปฌานตามสมควร.
               สตินั้น ท่านกล่าวว่ากายคตา เพราะไป คือเป็นไปในกายเหล่านั้น.
               บทว่า สาตสหคตา - สติสหรคตด้วยความสำราญ ได้แก่ ถึงภาวะมีเกิดขึ้นครั้งเดียวเป็นต้นกับด้วยความสำราญ กล่าวคือการเสวยสุขอันหวานชื่น.
               สหคตะศัพท์ปรากฏในชินวจนะลงในอรรถ ๕ ประการ คือ ในตัพภาวะ - ความกำหนัดด้วยความพอใจ ๑ ในโวกิณณะ - ความเจือ ๑ ในอารัมมณะ - อารมณ์ ๑ ในนิสยะ - นิสัย ๑ ในสังสัฏฐะ - ความเกี่ยวข้อง ๑.
               ปรากฏในอรรถว่าตัพพภาวะ ดังในบทนี้ว่า ยายํ ตณฺหา โปโนพฺภวิกา นนฺทิราคสหคตา - ตัณหาทำให้เกิดภพใหม่สหรคตด้วยนันทิราคะ, อธิบายว่า เป็นความกำหนัดด้วยความพอใจ.
               ปรากฏในอรรถว่าโวกิณณะ ดังในบทนี้ว่า ยา ภิกฺขเว วีมํสา โกสชฺสหคตา โกสชฺสมฺยุตฺตา - วีมังสาสหรคตด้วยโกสัชชะ สัมปยุตด้วยโกสัชชะ, อธิบายว่า วีมังสาเจือด้วยโกสัชชะเกิดขึ้นในระหว่างๆ.
               ปรากฏในบทว่าอารัมมณะ ดังในบทนี้ว่า ลาภี โหติ รูปสหคตานํ วา สมาปตฺตีนํ อรูปสหคตานํ วา สมาปตฺตีนํ - ผู้ได้สมาบัติสหรคตด้วยรูป หรือสหรคตด้วยอรูป, อธิบายว่า สมาบัติอันมีรูปเป็นอารมณ์และมีอรูปเป็นอารมณ์.
               ปรากฏในอรรถว่านิสสยะ ดังในบทนี้ว่า อฏฺฐิกสญฺญาสหคตํ สติสมฺโพชฺฌงฺคํ ภาเวติ - ภิกษุเจริญสติสัมโพชฌงค์ สหรคตด้วยอัฏฐิกสัญญา. อธิบายว่า เจริญอัฏฐิกสัญญาอันมีอัฏฐิกสัญญานอนเนื่องอยู่ในสันดานเป็นอันได้เฉพาะแล้ว.
               ปรากฏในอรรถว่าสังสัฏฐะ ดังในบทนี้ว่า อิทํ สุขํ อิมาย ปีติยา สหคตํ โหติ สหชาตํ สมฺปยุตฺตํ - สุขนี้สหรคต คือเกิดร่วม คือสัมปยุตด้วยปีตินี้. อธิบายว่าเกี่ยวข้องกัน.
               แม้ในบทนี้ ท่านก็ประสงค์เอาความเกี่ยวข้องกัน. เพราะสติเกี่ยวข้องด้วยความสำราญ ท่านกล่าวว่า สาตสหคตา - สหรคตด้วยความสำราญ.
               จริงอยู่ สติเกี่ยวข้องด้วยความสำราญนั้น เว้นจตุตถฌานในฌานที่เหลือย่อมเป็น สาตสหคตา - สหรคตด้วยความสำราญ, แม้เมื่อสติสหรคตด้วยอุเบกขามีอยู่ โดยมากท่านก็กล่าวว่า สาตสหคตา,
               อีกอย่างหนึ่ง เพราะจตุตถฌานเป็นมูลของปุริมฌานเป็นอันท่านกล่าวถึงสติสหรคตด้วยอุเบกขาบ้าง เพราะสหรคตด้วยความสำราญ,
               ก็เมื่อความสุขมีอยู่ด้วยอุเบกขา สติจึงเป็นสาตสหคตา เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้ว ด้วยเหตุนั้นจึงเป็นอันท่านกล่าวถึงสติสัมปยุตด้วยจตุตถฌานด้วย.
               บทว่า สมโถ จ วิปสฺสนา จ - สมถะและวิปัสสนา.
               ชื่อว่าสมถะ เพราะยังธรรมที่เป็นข้าศึกมีกามฉันทะเป็นต้นให้สงบ คือให้หมดไป สมถะนี้เป็นชื่อของสมาธิ.
               ชื่อว่าวิปัสสนา เพราะเห็นธรรมโดยอาการหลายอย่างโดยมีความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น วิปัสสนานี้เป็นชื่อของปัญญา.
               ในสองบทนี้ ในทสุตตรปริยายสูตร ท่านกล่าวว่าเป็นบุพภาค, และในสังคีติปริยายสูตร ท่านกล่าวว่าเจือด้วยโลกิยะและโลกุตระ.
               ตโย สมาธีติ สวิตกฺโก สวิจาโร สมาธิ อวิตกฺโก วิจารมตฺโต สมาธิ อวิตกฺโกอวิจาโร สมาธิ ฯ
               สมฺปยุตฺตวเสน วตฺตมาเนน สห วิตกฺเกน สวิตกฺโก สห วิจาเรน สวิจาโร ฯ

               บทว่า ตโย สมาธี - สมาธิ ๓ ได้แก่ สมาธิมีวิตกมีวิจาร ๑ สมาธิไม่มีวิตกมีเพียงวิจาร ๑ สมาธิไม่มีทั้งวิตกไม่มีทั้งวิจาร ๑.
               สมาธิพร้อมด้วยวิตกเป็นไปด้วยอำนาจสัมปยุตธรรม ชื่อว่า สวิตกฺโก, สมาธิพร้อมด้วยวิจาร ชื่อว่า สวิจาโร.
               สมาธินั้นเป็นขณิกสมาธิ - สมาธิชั่วขณะ, เป็นวิปัสสนาสมาธิ - สมาธิเห็นแจ้ง, เป็นอุปจารสมาธิ - สมาธิเฉียดๆ, ปฐมัชฌานสมาธิ - สมาธิในปฐมฌาน.
               ชื่อว่า อวิตกฺโก - เพราะสมาธิไม่มีวิตก ชื่อว่า วิจารมตฺโต เพราะในวิตกวิจาร สมาธิมีเพียงวิจารมีประมาณยิ่ง, อธิบายว่า สมาธิไม่ถึงการประกอบร่วมกันกับวิตกยิ่งกว่าวิจาร. ในปัญจกนัย สมาธินั้นเป็นสมาธิในทุติยฌาน,
               สมาธิเว้นทั้งสองอย่างนั้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร. สมาธินั้นในจตุกนัยเป็นรูปาวจรสมาธิมีทุติยฌานเป็นต้น, ในปัญจกนัยเป็นรูปาวจรสมาธิมีตติยฌานเป็นต้น. สมาธิแม้ทั้ง ๓ เหล่านี้ก็ยังเป็นโลกิยะอยู่นั่นเอง.
               ในสังคีติปริยายสูตร ท่านกล่าวถึงสมาธิ ๓ แม้อย่างอื่นอีก คือ๑- สุญฺญตสมาธิ - สมาธิว่างจากราคะ โทสะ โมหะ, อนิมิตฺตสมาธิ - สมาธิไม่มีราคะ โทสะ โมหะเป็นนิมิต อปฺปณิหิตสมาธิ - สมาธิหาราคะ โทสะ โมหะเป็นที่ตั้งมิได้.
               ด้วยเหตุนั้น ในที่นี้ ท่านไม่ประสงค์เอาสมาธิเหล่านั้น.
____________________________
๑- ที. ปา. เล่ม ๑๑/ข้อ ๒๒๘

               บทว่า จตฺตาโร สติปฏฺฐานา - สติปัฏฐาน ๔ ได้แก่ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๑ เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๑ จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๑ ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ๑.
               พระโยคาวจรผู้กำหนดกาย โดยวิธี ๑๔ อย่าง ในส่วนเบื้องต้น พึงทราบว่าเป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน.
               พระโยคาวจรผู้กำหนดเวทนา โดยวิธี ๙ อย่าง พึงทราบว่าเป็นเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน.
               พระโยคาวจรผู้กำหนดจิต โดยวิธี ๑๖ อย่าง พึงทราบว่าเป็นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน.
               พระโยคาวจรผู้กำหนดธรรม โดยวิธี ๕ อย่าง พึงทราบว่าเป็นธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน.
               ในที่นี้ ท่านไม่ประสงค์เอาโลกุตรธรรม.
               บทว่า ปญฺจงฺคิโก สมาธิ - สมาธิมีองค์ ๕ ได้แก่ สมาธิในจตุตถฌาน.
               องค์ ๕ คือ ปีติผรณตา - ปีติซาบซ่าน ๑ สุขผรณตา - ความสุขซาบซ่าน ๑ เจโตผรณตา - จิตซาบซ่าน ๑ อาโลกผรณตา - แสงสว่างแผ่ซ่าน ๑ ปัจจเวกขณนิมิต - การพิจารณาเป็นนิมิต ๑.
               ปัญญาในฌาน ๒ ชื่อว่าปีติผรณตา เพราะแผ่ปีติเกิดขึ้น.
               ปัญญาในฌาน ๓ ชื่อว่าสุขผรณตา เพราะแผ่สุขเกิดขึ้น.
               เจโตปริยปัญญา - ปัญญากำหนดรู้จิต ชื่อว่าเจโตผรณตา เพราะแผ่จิตแก่คนอื่นเกิดขึ้น.
               ทิพจักขุปัญญา - ปัญญาเกิดจากตาทิพย์ ชื่อว่าอาโลกผรณตา เพราะแผ่แสงสว่างเกิดขึ้น.
               ปัจจเวกขณญาณ ชื่อว่าปัจจเวกขณนิมิต.
               แม้ข้อนี้ ท่านก็กล่าวไว้ว่า ปัญญาในฌาน ๒ ชื่อว่าปีติผรณตา, ปัญญาในฌาน ๓ ชื่อว่าสุขผรณตา, ปรจิตตปัญญา ชื่อว่าเจโตผรณตา, ทิพจักขุปัญญา ชื่ออาโลกผรณตา, ปัจจเวกขณญาณของผู้ออกจากสมาธินั้น ชื่อว่าปัจจเวกขณนิมิต.
               ปัจจเวกขณญาณนั้น ท่านกล่าวว่า เป็นนิมิต เพราะถือเอาอาการที่เป็นไปของผู้ออกจากสมาธิแล้ว.
               อนึ่ง ในสมาธิมีองค์ ๕ นั้น ปีติผรณตา สุขผรณตา ดุจเท้าทั้งสอง, เจโตผรณตา อาโลกผรณตา ดุจมือทั้งสอง, จตุตถฌานมีอภิญญาเป็นบาท ดุจมัชฌิมกาย - กายในท่ามกลาง, ปัจจเวกขณนิมิตดุจศีรษะ.
               ท่านพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระแสดงสัมมาสมาธิมีองค์ ๕ เปรียบบุรุษผู้สมบูรณ์ด้วยอวัยวะน้อยใหญ่.
               บทว่า ฉ อนุสฺสติฏฺฐานานิ - อนุสติ ๖.
               สตินั่นแล เพราะเกิดขึ้นบ่อยๆ จึงเรียกว่าอนุสติ, สติสมควรแก่กุลบุตรผู้บวชด้วยศรัทธา เพราะเป็นไปในฐานะที่ควรเป็นไป ชื่อว่าอนุสติก็มี, อนุสตินั่นแลชื่อว่าอนุสติฏฐานะ เพราะเป็นฐานแห่งปีติเป็นต้น.
               อนุสติ ๖ เป็นไฉน? อนุสติ ๖ คือ พุทธานุสติ ๑ ธัมมานุสติ ๑ สังฆานุสติ ๑ สีลานุสติ ๑ จาคานุสติ ๑ เทวตานุสติ ๑.
               บทว่า โพชฌงฺคา คือ เพื่อการตรัสรู้, หรือองค์แห่งการตรัสรู้.
               ท่านอธิบายไว้ว่า พระอริยสาวกย่อมตรัสรู้ด้วยธรรมสามัคคี ได้แก่ สติ ธรรมวิจยะ วีริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิและอุเบกขา อันเป็นปฏิปักษ์ต่ออันตรายไม่น้อย มีความหดหู่ ฟุ้งซ่าน ติดแน่น สะสมกามสุขัลลิกานุโยค อัตกิลมถานุโยค อุจเฉททิฏฐิ สัสสตทิฏฐิ การยึดมั่นเป็นต้น อันเกิดขึ้นในขณะแห่งโลกุตรมรรค.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า โพธิ,
               บทว่า พุชฺฌติ ย่อมตื่น ได้แก่ ลุกจากหลับอันเป็นสันดานกิเลส, หรือแทงตลอดอริยสัจ ๔. หรือทำนิพพานให้แจ้ง, องค์แห่งการตรัสรู้ กล่าวคือธรรมสามัคคีนั้นชื่อว่าโพชฌังคาบ้าง ดุจองค์ฌานและองค์มรรคเป็นต้น. อริยสาวกตรัสรู้ด้วยธรรมสามัคคีมีประการดังกล่าวแล้ว ท่านเรียกว่าโพธิ, องค์แห่งโพธินั้น ชื่อว่าโพชฌังคา ดุจองค์แห่งเสนาและองค์แห่งรถเป็นต้น.
               ด้วยเหตุนั้น พระอรรถกถาจารย์จึงกล่าวว่า องค์แห่งบุคคลผู้ตรัสรู้ ชื่อว่าโพชฌังคา.
               อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบอรรถแห่งโพชฌงค์ โดยนัยมีอาทิว่า
               บทว่า โพชฺฌงฺคา ชื่อว่าโพชฌงค์ด้วยอรรถว่ากระไร?
               ชื่อว่า โพชฺฌงฺคา เพราะอรรถว่าย่อมเป็นไปเพื่อการตรัสรู้.๒-
____________________________
๒- ขุ. ป. เล่ม ๓๑/ข้อ ๕๕๗

               บทว่า อริโย อฏฺฐงคิโก มคฺโค - อริยมรรคมีองค์ ๘ ชื่อว่าอริยะ เพราะไกลจากกิเลสที่ถูกฆ่าด้วยมรรคนั้นๆ เพราะทำความเป็นอริยะ และเพราะทำให้ได้อริยผล. มรรคมีองค์ ๘ ชื่อว่าอัฏฐังคิกะ. มรรคมีองค์ ๘ นั้นดุจเสนามีองค์ ๔, เพียงองค์เท่านั้นดุจดนตรีมีองค์ ๕, พ้นไปจากองค์แล้วย่อมไม่มี. องค์มรรคคือโพชฌงค์เป็นโลกุตระ, แม้ส่วนเบื้องต้นก็ย่อมได้โดยปริยายแห่งทสุตตรสูตร.
               บทว่า นว ปาริสุทฺธิปธานิยงฺคานิ - องค์เป็นประธานแห่งความบริสุทธิ์ ๙ ได้แก่๓-
               สีลวิสุทธิ - ความบริสุทธิ์แห่งศีล เป็นองค์เป็นประธานแห่งความบริสุทธิ์ ๑
               จิตตวิสุทธิ - ความบริสุทธิ์แห่งจิต เป็นองค์เป็นประธานแห่งความบริสุทธิ์ ๑
               ทิฏฐิวิสุทธิ - ความบริสุทธิ์แห่งทิฏฐิ เป็นองค์เป็นประธานแห่งความบริสุทธิ์ ๑
               กังขาวิตรณวิสุทธิ - ความบริสุทธิ์แห่งญาณเป็นเครื่องข้ามพ้นความสงสัย เป็นองค์เป็นประธานแห่งความบริสุทธิ์ ๑
               มัคคามัคคญาณทัสนวิสุทธิ - ความบริสุทธิ์แห่งญาณเป็นเครื่องเห็นว่าทางหรือมิใช่ทาง เป็นองค์เป็นประธานแห่งความบริสุทธิ์ ๑
               ปฏิปทาญาณทัสนวิสุทธิ - ความบริสุทธิ์แห่งญาณเป็นเครื่องเห็นทางปฏิบัติ เป็นองค์เป็นประธานแห่งความบริสุทธิ์ ๑
               ญาณทัสนวิสุทธิ - ความบริสุทธิ์แห่งญาณทัสนะ เป็นองค์เป็นประธานแห่งความบริสุทธิ์ ๑
               ปัญญาวิสุทธิ - ความบริสุทธิ์แห่งปัญญา เป็นองค์เป็นประธานแห่งความบริสุทธิ์ ๑
               วิมุตติวิสุทธิ - ความบริสุทธิ์แห่งวิมุตติ เป็นองค์เป็นประธานแห่งความบริสุทธิ์ ๑.
____________________________
๓- ที. ปา. เล่ม ๑๑/ข้อ ๔๕๖

               บทว่า สีลวิสุทฺธิ ได้แก่ จตุปาริสุทธิศีล อันสามารถให้ถึงความหมดจด. สีลวิสุทธินั้น ชำระมลทิน คือ ความเป็นผู้ทุศีล.
               บทว่า ปาริสุทฺธิปธานิยงฺคํ คือ องค์เป็นประธานสูงสุดแห่งความเป็นผู้บริสุทธิ์.
               บทว่า จิตฺตวิสุทฺธิ ได้แก่ สมาบัติ ๘ อันคล่องแคล่ว เป็นปทัฏฐานแห่งวิปัสสนา.
               บทว่า ทิฏฺฐิวิสุทฺธิ คือ การเห็นนามรูปพร้อมด้วยปัจจัย.
               ทิฏฐิวิสุทธินั้นชำระมลทินคือสัตวทิฏฐิ - ความเห็นว่าเป็นสัตว์ให้หมดจด.
               บทว่า กงฺขาวิตรณวิสุทฺธิ คือ ความรู้ปัจจยาการ.
               พระโยคาวจรเมื่อเห็นว่าธรรมทั้งหลาย ย่อมเป็นไปด้วยสามารถปัจจัยในอัทธา - กาลอันยืดยาว ๓ ด้วยกังขาวิตรณวิสุทธินั้น ข้ามมลทินคือความสงสัย ๗ ในอัทธาแม้ ๓ ย่อมบริสุทธิ์.
               บทว่า มคฺคามคฺคญาณทสฺสนวิสุทฺธิ ได้แก่ วิปัสสนูปกิเลส ๑๐ คือ :-
                         โอภาส - แสงสว่าง ๑
                         ญาณ - ความรู้ ๑
                         ปีติ - ความอิ่มใจ ๑
                         ปัสสัทธิ - ความสงบ ๑
                         สุข - ความสุข ๑
                         อธิโมกข์ - ความน้อมใจเชื่อ ๑
                         ปัคคหะ - ความเพียร ๑
                         อุปัฏฐาน - ความตั้งมั่น ๑
                         อุเบกขา - ความวางเฉย ๑
                         นิกันติ - ความใคร่ ๑
               เกิดขึ้นในขณะอุทยัพพยานุปัสสนา - พิจารณาเห็นความเกิดและความดับ, มิใช่ทาง, อุทยัพพยญาณปฏิบัติไปตามวิถี เป็นทางด้วยเหตุนั้น ชื่อว่ามัคคามัคคญาณ - ญาณในทางและมิใช่ทาง ด้วยประการฉะนี้จึงยังมลทินอันมิใช่ทางให้หมดจดด้วยญาณนั้น.
               บทว่า ปฏิปทาญาณทสฺสนวิสุทฺธิ ได้แก่ วิปัสสนาญาณ ๙ เหล่านี้คือ :-
               อุทยัพพยานุปัสนาญาณ - ปรีชาคำนึงเห็นทั้งความเกิดทั้งความดับ ๑
               ภังคานุปัสนาญาณ - ปรีชาคำนึงเห็นความดับ ๑
               ภยตูปัฏฐานานุปัสนาญาณ - ปรีชาคำนึงเห็นสังขารปรากฏเป็นของน่ากลัว ๑
               อาทีนวานุปัสนาญาณ - ปรีชาคำนึงเห็นโทษ ๑
               นิพพิทานุปัสนาญาณ - ปรีชาคำนึงถึงด้วยความเบื่อหน่าย ๑
               มุญจิตุกัมยตาญาณ - ปรีชาคำนึงด้วยใคร่จะพ้นไปเสีย ๑
               ปฏิสังขานุปัสนาญาณ - ปรีชาคำนึงด้วยพิจารณาหาทาง ๑
               สังขารุเปกขาญาณ - ปรีชาคำนึงด้วยความวางเฉยในสังขาร ๑
               สัจจานุโลมิกญาณ - ปรีชาเป็นไปโดยสมควรแก่กำหนดรู้อริยสัจ ๑.
               วิปัสสนาญาณเหล่านั้น ย่อมชำระมลทินมีความสำคัญว่าเที่ยงเป็นต้น.
               บทว่า ญาณทสฺสนวิสุทฺธิ ได้แก่ ปัญญาในอริยมรรค ๔.
               อริยมรรคปัญญานั้นย่อมชำระมลทินคือกิเลสที่ถูกฆ่าด้วยมรรคของตนๆ โดยเด็ดขาด.
               บทว่า ปญฺญาวิสุทฺธิ ได้แก่ ปัญญาในอรหัตผล.
               บทว่า วิมุตฺตีวิสุทฺธิ ได้แก่ วิมุตติในอรหัตผล.
               บทว่า ทส กสิณายตนานิ - กสิณ ๑๐.
               ท่านกล่าวถึงกสิณ ๑๐ ไว้อย่างนี้ คือ ท่านหนึ่งรู้พร้อมปฐวีกสิณ เบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง ไม่มีสอง ไม่มีประมาณ, ท่านหนึ่งรู้พร้อมอาโปกสิณ ฯลฯ ท่านหนึ่งรู้พร้อมเตโชกสิณ. ท่านหนึ่งรู้พร้อมวาโยกสิณ. ท่านหนึ่งรู้พร้อมนีลกสิณ. ท่านหนึ่งรู้พร้อมปีตกสิณ. ท่านหนึ่งรู้พร้อมโลหิตกสิณ. ท่านหนึ่งรู้พร้อมโอทาตกสิณ. ท่านหนึ่งรู้พร้อมอากาสกสิณ. ท่านหนึ่งรู้พร้อมวิญญาณกสิณ เบื้องบน เบื้องต่ำ เบื้องขวาง ไม่มีสอง ไม่มีประมาณ.๔-
____________________________
๔- อํ. ทสก. เล่ม ๒๔/ข้อ ๒๕

               ชื่อว่ากสิณ เพราะอรรถว่าแผ่ไปทั่ว.
               อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าอายตนะ เพราะอรรถว่าเป็นเขต หรือเป็นที่ตั้งของธรรมอันมีกสิณนั้นเป็นอารมณ์.
               บทว่า อุทฺธํ คือ มุ่งเฉพาะท้องฟ้าเบื้องบน.
               บทว่า อโธ คือ มุ่งเฉพาะภาคพื้นเบื้องล่าง.
               บทว่า ติริยํ คือ กำหนดไว้โดยรอบดุจบริเวณของพื้นที่. เพราะบางท่านเจริญกสิณเบื้องบน, บางท่านเบื้องต่ำ, บางท่านโดยรอบ. หรือว่าแม้ท่านหนึ่งประสงค์จะเห็นรูป ดุจประสงค์จะเห็นแสงสว่าง ย่อมขยายออกไปอย่างนี้ด้วยเหตุนั้นๆ.
               ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า ท่านหนึ่งรู้พร้อมปฐวีกสิณ เบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง.
               บทว่า อทฺวยํ นี้ ท่านกล่าวเพื่อไม่ให้กสิณอย่างหนึ่งถึงความเป็นอย่างอื่น. ปฐวีกสิณย่อมเป็นปฐวีกสิณเท่านั้น ปฐวีกสิณนั้นไม่มีกสิณอื่นปะปนเหมือนเมื่อคนลงไปสู่น้ำ น้ำเท่านั้นย่อมมีในทิศทั้งปวง มิใช่อื่น.
               ในบททั้งปวงมีนัยอย่างนี้.
               บทว่า อปฺปมาณํ นี้ ท่านกล่าวด้วยอำนาจการแผ่ไปของกสิณนั้นๆ ไม่มีกำหนด.
               จริงอยู่ กสิณนั้น เมื่อแผ่ไปทางใจ ชื่อว่าแผ่ไปทั่ว, มิได้กำหนดว่า นี้เป็นเบื้องต้น นี้เป็นท่ามกลางของกสิณนั้น.
               บทว่า อากาสกสิณํ ได้แก่ อากาศที่เพิกกสิณ และอากาศกสิณที่กำหนดไว้.
               บทว่า วิญฺญาณกสิณํ ได้แก่ วิญญาณอันเป็นไปในอากาศที่เพิกกสิณ.
               ในวิญญาณกสิณนั้น พึงทราบความเป็นเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง ในอากาศที่เพิกกสิณ ด้วยอำนาจกสิณ ในวิญญาณอันเป็นไปแล้ว ในวิญญาณกสิณนั้น ด้วยอำนาจอากาศที่เพิกกสิณ, พึงทราบด้วยสามารถกสิณนั้น เพราะแม้อากาสกสิณที่กำหนดไว้ก็ควรเจริญดังนี้บ้าง.
               [๖๘] บัดนี้ ท่านพระสารีบุตร เมื่อจะแสดงประเภทของภาวนา จึงกล่าวบทมีอาทิว่า เทฺว ภาวนา - ภาวนา ๒.
               พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า เทฺว ภาวนา ดังต่อไปนี้
               วัฏฏะ ท่านกล่าวว่าโลก เพราะอรรถว่าแตกสลายไป, ชื่อว่าโลกิยา เพราะอรรถว่าประกอบแล้วในโลก ด้วยความเกี่ยวเนื่องกันในวัฏฏะนั้น, การเจริญธรรมอันเป็นโลกิยะ ชื่อว่าโลกิยา.
               แม้ท่านจะกล่าวว่าการเจริญธรรมโดยโวหารก็จริง, ถึงดังนั้น ก็ไม่มีการเจริญแยกออกจากธรรมเหล่านั้น. เพราะท่านเจริญธรรมเหล่านั้นนั่นเอง จึงเรียกว่าภาวนา.
               บทว่า อุตฺติณฺณา แปลว่า ข้าม, ชื่อว่า โลกุตฺตรา เพราะอรรถว่าข้ามไปจากโลกด้วยความไม่เกี่ยวข้องในโลก.
               ชื่อว่า รูปาวจรา เพราะอรรถว่าท่องเที่ยวไปในรูปอันได้แก่รูปภพ.
               กุสลศัพท์ ในบทว่า รูปาวจรกุสลานํ นี้ ย่อมปรากฏในความไม่มีโรค ไม่มีโทษ ฉลาดและสุขวิบาก.
               ปรากฏในความไม่มีโรค ในบทมีอาทิว่า๕- กจฺจิ นุ โภโต กุสลํ, กจฺจิ โภโต อนามยํ - พระคุณเจ้าสบายดีหรือ, มีอนามัยดีหรือ.
____________________________
๕- ขุ. ชา. เล่ม ๒๗/ข้อ ๒๑๓๓

               ปรากฏในความไม่มีโทษ ในบทมีอาทิอย่างนี้ว่า๖- ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็กายสมาจารเป็นกุศล เป็นไฉน? มหาบพิตร กายสมาจารไม่มีโทษแลเป็นกุศล.
               และในบทมีอาทิว่า๗- ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้ออื่นยังมีอยู่อีก พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมในกุศลธรรม นั่นเป็นอนุตริยะ ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า.
____________________________
๖- ม. ม. เล่ม ๑๓/ข้อ ๕๕๔  ๗- ที. ปา. เล่ม ๑๑/ข้อ ๗๕

               ปรากฏในความฉลาด ในบทมีอาทิว่า๘- ข้าแต่ราชกุมาร พระองค์เป็นผู้ฉลาดทรงสำคัญส่วนน้อยใหญ่ของรถเป็นอย่างไร.
               และในบทมีอาทิว่า๙- หญิงมีความสามารถ มีความสำเหนียก เป็นหญิงฉลาด การฟ้อนและการขับร้อง.
____________________________
๘- ม. ม. เล่ม ๑๓/ข้อ ๙๕  ๙- ขุ. ชา. เล่ม ๒๘/ข้อ ๔๓๖

               ปรากฏในสุขวิบาก ในบทมีอาทิว่า๑๐- บุญนี้ย่อมเจริญอย่างนี้ เพราะเหตุการสมาทานกุศลธรรม.
               และในบทอาทิว่า๑๑- เพราะทำ คือสะสมกุศลธรรม.
____________________________
๑๐- ที. ปา. เล่ม ๑๑/ข้อ ๓๓  ๑๑- อภิ. สํ. เล่ม ๓๔/ข้อ ๓๓๘

               กุสลศัพท์ ในที่นี้ย่อมสมควรแม้ในความไม่มีโรค แม้ในความไม่มีโทษ แม้ในสุขวิบาก.
               ก็ในบทนี้ มีอธิบายคำดังต่อไปนี้
               กุจฺฉิเต ปาปเก ธมฺเม สลยนฺติ จลยนฺติ กมฺเปนฺติ วิทฺธํ เสนฺตีติ กุสลา - ธรรมเหล่านี้ ชื่อว่ากุสล เพราะอรรถว่าป้องกัน ย่อมทำให้หวั่นไหว ย่อมทำให้สะเทือน ย่อมกำจัดธรรมอันลามก น่าเกลียด.
               อีกอย่างหนึ่ง บาปธรรมชื่อว่ากุส เพราะอรรถว่าย่อมนอน คือย่อมเป็นไปโดยอาการอันน่าเกลียด.
               ชื่อว่ากุสล เพราะอรรถว่าตัด ทำลายกุสธรรมอันน่าเกลียด อันได้แก่อกุศลเหล่านั้น,
               อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่ากุสล เพราะทำสิ่งน่าเกลียดให้น้อยให้สิ้นสุด ได้แก่ญาณ.
               ชื่อว่ากุสล เพราะอรรถว่าพึงตัด พึงยึด คือพึงให้เป็นไปด้วย กุส - ญาณนั้น.
               อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่ากุสล เพราะอรรถว่ากุศลแม้เหล่านี้ย่อมตัดฝ่ายที่เป็นสังกิเลสที่ถึงส่วนทั้งสอง ทั้งที่เกิดและยังไม่เกิด, เหมือนหญ้าบาดมือ อันถึงส่วนทั้งสอง, เพราะฉะนั้น จึงเหมือนหญ้าคาอันบุคคลตัด ได้แก่ การเจริญรูปาวจรกุศลเหล่านั้น. ที่ชื่อว่า อรูปาวจร เพราะท่องเที่ยวไปในอรูปอันได้แก่อรูปภพ.
               ชื่อว่า ปริยาปนฺนา - การนับเนื่อง เพราะอรรถว่านับเนื่อง คือหยั่งลงภายในในวัฏฏะเป็นไปในภูมิ ๓, ที่ชื่อว่า อปริยาปนฺนา - การไม่นับเนื่อง เพราะอรรถว่าไม่นับเนื่องในวัฏฏะเป็นไปในภูมิ ๓ นั้น จึงเป็นโลกุตระ.
               หากถามว่า เพราะเหตุไรท่านจึงไม่กล่าวถึงการเจริญธรรมที่เป็นกามาวจรกุศลเล่า?
               ตอบว่า เพราะเมื่อการเจริญยังไม่ถึงขั้นอัปปนา ท่านประสงค์เอาการเจริญในอภิธรรม ดังที่ท่านกล่าวไว้ในอภิธรรมนั้นว่า๑๒-
                                   พระโยคาวจรไม่ได้สดับจากผู้อื่น ย่อมได้
                         เฉพาะซึ่งขันติ ทิฏฐิ รุจิ มุติ - ความรู้ เปกขะ -
                         ความเพ่ง ธัมมนิชฌานักขันติ - ขันติคือความเพ่ง
                         ธรรม อันเป็นอนุโลมเห็นปานนี้ คือ รูป เวทนา
                         สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นกัมมสกตาญาณ
                         หรือสัจจานุโลมิกญาณ ในกัมมายตนะสิปปายตนะ
                         วิทยฐานะ อันจัดไว้ด้วยโยคะ เป็นของไม่เที่ยง
                         นี้ท่านกล่าวว่า จินตามยปัญญา. อีกอย่างหนึ่ง
                         พระโยคาวจรได้สดับจากผู้อื่น ย่อมได้ซึ่งขันติ
                         ทิฏฐิ รุจิ มุติ เปกขะ ธัมมนิชฌานักขันติ ใน
                         กัมมายตนะอันจัดไว้ด้วยโยคะ ฯลฯ นี้ท่านกล่าวว่า
                         สุตมยปัญญา. ปัญญาของผู้เข้าถึงแล้วแม้ทั้งหมด
                         เป็นภาวนามยปัญญา.๑๒-
____________________________
๑๒- อภิ.วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๘๐๔

               ส่วนกามาวจรภาวนานั้น พึงทราบว่า ท่านไม่เรียกว่าภาวนา เพราะความที่แห่งกามาวจรภาวนานั้น มีอยู่ในระหว่างอาวัชชนะและภวังค์.
               ความที่อุปจารสมาธิและวิปัสสนาสมาธิ เป็นบุญสำเร็จด้วยภาวนา เป็นอันสำเร็จแล้วเพราะบุญทั้งหมดหยั่งลงภายในบุญกิริยาวัตถุ ๓ อย่าง.
               แต่ในที่นี้ ท่านสงเคราะห์ภาวนาเข้าในโลกิยภาวนานั่นเอง.
               พึงทราบในความที่รูปาวจรและอรูปาวจร มี ๓ อย่าง ดังต่อไปนี้
               บทว่า หีนา คือ ลามก.
               ภาวนาในท่ามกลางแห่งธรรมเลวและธรรมสูงสุด ชื่อว่า มชฺฌา ปาฐะว่า มชฺฌิมา บ้าง.
               ชื่อว่า ปณีตา เพราะอรรถว่านำไปสู่ความเป็นประธาน ได้แก่สูงสุด.
               พึงทราบความที่ภาวนาเป็นส่วนเลว เป็นส่วนปานกลาง และเป็นส่วนประณีต ด้วยการรวบรวมมา. เพราะว่าในขณะรวบรวมมาภาวนาที่เป็นฉันทะ วีริยะ จิตตะ วีมังสา เลว ชื่อว่า หีนา. ภาวนาที่เป็นธรรมปานกลาง ชื่อว่า มชฺฌิมา. ภาวนาที่เป็นประณีต ชื่อว่า ปณีตา.
               อีกอย่างหนึ่ง ภาวนาที่สัมปยุตด้วยอินทรีย์อ่อน ชื่อว่า หีนา. ภาวนาที่สัมปยุตด้วยอินทรีย์ปานกลาง ชื่อว่า มชฺฌิมา. ภาวนาที่สัมปยุตด้วยอินทรีย์มีประมาณยิ่ง ชื่อว่า ปณีตา.
               ท่านกล่าวถึงความประณีตเท่านั้น เพราะภาวนาอันไม่นับเนื่อง ไม่มีส่วนเลวและส่วนปานกลาง. ภาวนานั้นชื่อว่าปณีตา เพราะอรรถว่าสูงสุดและเพราะอรรถว่าไม่เดือดร้อน.
               [๖๙] ในปฐมภาวนาจตุกะ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               บทว่า ภาเวติ ได้แก่ พระโยคาวจรเมื่อแทงตลอดอย่างนั้นๆ ในขณะเดียวเท่านั้น ชื่อว่าย่อมเจริญอริยมรรค.
               ในทุติยภาวนาจตุกะ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
               บทว่า เอสนาภาวนา ได้แก่ ภาวนาในส่วนเบื้องต้นของอัปปนา. เอสนาภาวนานั้น ท่านกล่าวว่าเอสนา เพราะเป็นเหตุแสวงหาอัปปนา.
               บทว่า ปฏิลาภภาวนา ได้แก่ อัปปนาภาวนา. ปฏิลาภภาวนานั้น ท่านกล่าวว่าปฏิลาภ เพราะได้ด้วยการแสวงหานั้น.
               บทว่า เอกรสาภาวนา ได้แก่ ภาวนาในเวลาประกอบความเพียรของผู้ใคร่จะบรรลุ ความเป็นผู้ชำนาญในการได้เฉพาะ. เอกรสาภาวนานั้นมีรสเป็นอันเดียวกันด้วยวิมุตติรส เพราะพ้นจากกิเลสนั้นๆ ด้วยปหานะนั้นๆ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่าเอกรสา.
               บทว่า อาเสวนาภาวนา ได้แก่ ภาวนาในเวลาบริโภคตามความชอบใจของผู้บรรลุความชำนาญในการได้เฉพาะ. อาเสวนาภาวนานั้น ท่านกล่าวว่าอาเสวนา เพราะอรรถว่าเสพหนัก.
               แต่อาจารย์บางพวกพรรณนาไว้ว่า อาเสวนาภาวนาเป็นวสีกรรม.
               เอกรสาภาวนามีประโยชน์ทั้งหมด.
               พึงทราบความในจตุกวิภาคดังต่อไปนี้
               บทว่า สมาธึ สมาปชฺชนฺตานํ - เมื่อพระโยคาวจรเข้าสมาธิอยู่ เป็นคำกล่าวถึงปัจจุบันใกล้ปัจจุบัน.
               บทว่า ตตฺถ ชาตา ได้แก่ ธรรมทั้งหลายที่เกิดในธรรมอันเป็นส่วนเบื้องต้นนั้น.
               บทว่า เอกรสา โหนฺติ ได้แก่ เป็นธรรมมีกิจเสมอกันในการเข้าถึงอัปปนา.
               บทว่า สมาธึ สมาปนฺนานํ - เมื่อพระโยคาวจรเข้าสมาธิแล้ว ได้แก่มีอัปปนาแน่นแฟ้นแล้ว.
               บทว่า ตตฺถ ชาตาได้แก่ ธรรมทั้งหลายที่เกิดในอัปปนานั้น.
               บทว่า อญฺญมญฺญํ นาติวตฺตนฺติ - ไม่เป็นไปล่วงกันและกัน ได้แก่ไม่ก้าวล่วงกันและกัน โดยเป็นไปเสมอกัน.
               [๗๐] พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า อธิโมกฺขฏฺเฐน สทฺธินฺทฺริยํ ภาวยโต - เมื่อพระโยคาวจรเจริญสัทธินทรีย์ ด้วยอรรถว่าน้อมใจเชื่อ ดังต่อไปนี้.
               อินทรีย์แม้ที่เหลือมีกิจของตนๆ เป็นเหตุด้วยอาศัยอินทรีย์นั้นๆ ในการทำกิจของตนๆ แห่งอินทรีย์หนึ่งๆ
               แม้ในขณะเดียวกัน จึงมีรสอย่างเดียวกันด้วยวิมุตติรส เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าภาวนา เพราะอรรถว่ามีรสอย่างเดียวกันด้วยวิมุตติรสนั่นแล.
               แม้ในพละ โพชฌงค์และองค์มรรคก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
               อนึ่ง บทว่า เอกรสา เป็นลิงควิปลาส.
               [๗๑] บทว่า อิธ ภิกฺขุ คือ ภิกษุในศาสนานี้. ชื่อว่า ภิกฺขุ เพราะอรรถว่าเห็นภัยในสงสาร.
               ในบทมีอาทิว่า ปุพฺพณฺหสมยํ เป็นทุติยาวิภัตติลงในอรรถแห่งอัจจันตสังโยค - สิ้น, ตลอด. แต่โดยอรรถเป็นสัตตมีวิภัตติ มีความว่า ในกาลก่อนแห่งวัน คือเวลาเช้า.
               บทว่า อาเสวติ ได้แก่ เสพเป็นอันมาก ซึ่งสมาธิที่ถึงความชำนาญ.
               บทว่า มชฺฌนฺติกสมยํ ได้แก่ ในเวลากลางวัน คือเวลาเที่ยง.
               บทว่า สายณฺหสมยํ ได้แก่ ในเวลาเย็น.
               บทว่า ปุเรภตฺตํ ได้แก่ ในเวลาก่อนภัตในตอนกลางวัน.
               บทว่า ปจฺฉาภตฺตํ ได้แก่ ในเวลาหลังภัตตอนกลางวัน.
               บทว่า ปุริเมปิ ยาเม ได้แก่ ในยามต้นของราตรี.
               บทว่า กาเฬ ได้แก่ ในกาฬปักษ์ - ข้างแรม.
               บทว่า ชุณฺเห ได้แก่ ในศุกลปักษ์ - ข้างขึ้น.
               บทว่า ปุริเมปิ วโยขนฺเธ ได้แก่ ในส่วนวัยต้น คือปฐมวัย.
               อนึ่ง ใน ๓ วัย คนมีอายุ ๑๐๐ ปี ในวัยหนึ่งๆ มีอายุ ๓๓ ปี ๔ เดือน.
               [๗๒-๗๖] พึงทราบวินิจฉัยในตติยภาวนาจตุกะ ดังต่อไปนี้ :-
               บทว่า ตตฺถ ชาตานํ ธมฺมานํ อนติวตฺตนฏฺเฐน - ภาวนา ด้วยอรรถว่าไม่ก้าวล่วงกันและกันแห่งธรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นในภาวนานั้น คือด้วยความไม่ก้าวล่วงกันและกันแห่งธรรมคู่กัน ได้แก่สมาธิและปัญญาที่เกิดขึ้นในภาวนาวิเศษ มีเนกขัมมะเป็นต้นนั้น.
               บทว่า อินฺทฺริยานํ เอกรสฏฺเฐน - ภาวนา ด้วยอรรถว่าอินทรีย์ทั้งหลายมีรสอย่างเดียวกัน คือด้วยความที่อินทรีย์ทั้งหลายมีศรัทธาเป็นต้น มีรสอย่างเดียวกันด้วยวิมุตติรส เพราะพ้นจากกิเลสต่างๆ.
               บทว่า ตทุปควีริยวาหนฏฺเฐน - ภาวนา ด้วยอรรถว่านำไปซึ่งความเพียรอันเข้าถึงธรรมนั้นๆ คือด้วยการนำไปซึ่งความเพียรอันสมควรแก่ความที่ธรรมนั้น มีรสเป็นอันเดียวกันไม่ก้าวล่วงกัน.
               บทว่า อาเสวนฏฺเฐน - ภาวนา ด้วยอรรถว่าเสพเป็นอันมาก คือด้วยการเสพเป็นอันมากของการเสพที่เป็นไปในสมัยนั้นๆ.
               บทว่า รูปสญฺญํ ได้แก่ รูปสัญญา กล่าวคือรูปาวจรฌาน ๑๕ อย่างด้วยอำนาจกุศลวิบากกิริยา.
               แม้รูปาวจรฌาน ท่านก็กล่าวว่ารูป ในบทมีอาทิว่า๑๓- รูปี รูปานิ ปสฺสติ - ผู้มีรูปย่อมเห็นรูป,
               แม้อารมณ์แห่งฌานนั้น ท่านก็กล่าวว่ารูป ในบทมีอาทิว่า๑๔- เห็นรูปภายนอกมีผิวงามและผิวทราม.
               รูปาวจรฌานเป็นสัญญาในรูปด้วย หัวข้อว่าสัญญา เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่ารูปสัญญา.
____________________________
๑๓- ที. มหา. เล่ม ๑๐/ข้อ ๑๐๑  ๑๔- ที. มหา. เล่ม ๑๐/ข้อ ๑๐๐

               บทว่า ปฏิฆสญฺญํ ได้แก่ ปฏิฆสัญญา ๑๐ อย่าง คือกุศลวิบาก ๕, อกุศลวิบาก ๕.
               สัญญาสัมปยุตด้วยทวิปัญจวิญญาณ ท่านเรียกว่า ปฏิฆสญฺญา เพราะวัตถุมีจักขุเป็นต้นและอารมณ์มีรูปเป็นต้นเกิดขึ้นด้วยการกระทบ.
               ชื่อของสัญญานี้ คือ รูปสัญญา สัททสัญญา คันธสัญญา รสสัญญา โผฏฐัพสัญญาบ้าง.
               บทว่า นานตฺตสญฺญํ ได้แก่ นานัตตสัญญา ๔๔ อย่าง คือ กามาวจรกุศลสัญญา ๘, อกุศลสัญญา ๑๒, กามาวจรกุศลวิบากสัญญา ๑๑, อกุศลวิบากสัญญา ๒, กามาวจรกิริยาสัญญา ๑๑.
               นานัตตสัญญานั้นเป็นสัญญาเป็นไปในโคจร อันมีประเภทมีรูปและเสียงเป็นต้น มีความต่างกัน คือมีสภาพต่างกัน เพราะเหตุนั้นจึงเป็นนานัตตสัญญา.
               อีกอย่างหนึ่ง สัญญาไม่เหมือนกัน มีความต่างกัน มีสภาพต่างกันโดยประเภท ๔๔ อย่าง ท่านกล่าวว่า เป็น นานตฺตสญฺญา. แม้สัญญามีมากท่านก็ทำให้เป็นเอกวจนะด้วยชาติศัพท์.
               บทว่า นิจฺจสญฺญํ ได้แก่ สัญญาว่าเป็นของเที่ยง ชื่อ นิจฺจสญฺญา. สุขสญฺญา อตฺตสญฺญา ก็อย่างนั้น.
               บทว่า นนฺทึ - ความเพลิดเพลิน ได้แก่ ตัณหาอันมีความอิ่มใจ.
               บทว่า ราคํ ได้แก่ ตัณหาไม่มีความอิ่ม.
               บทว่า สมุทยํ ได้แก่ เหตุเกิดราคะ.
               อีกอย่างหนึ่ง อุทยํ - ความเกิดแห่งสังขารทั้งหลาย เพราะเห็นความดับด้วยภังคานุปัสนาญาณ.
               บทว่า อาทานํ - ความถือมั่น คือถือมั่นกิเลสด้วยอำนาจความเกิด หรือถือมั่นอารมณ์อันเป็นสังขตะ เพราะยังไม่เห็นโทษ.
               บทว่า ฆนสญฺญํ ได้แก่ สัญญาว่าเป็นก้อนด้วยสันตติความสืบต่อ.
               บทว่า อายูหนํ ได้แก่ การทำความเพียรเพื่อประโยชน์แก่สังขาร.
               บทว่า ธุวสญฺญํ ได้แก่ สัญญาว่ามั่นคง.
               บทว่า นิมิตฺตํ ได้แก่ เครื่องหมายว่าเที่ยง.
               บทว่า ปณิธึ ได้แก่ ปรารถนาความสุข.
               บทว่า อภินิเวสํ ได้แก่ การยึดมั่นว่าตนมีอยู่.
               บทว่า สาราทานาภินิเวสํ - ความยึดมั่นด้วยถือว่าเป็นแก่นสาร ได้แก่ ความยึดมั่นด้วยถือว่าตนมีแก่นสารเป็นนิจ.
               บทว่า สมฺโมหาภินิเวสํ - ความยึดมั่นด้วยความหลงใหล ได้แก่ ความยึดมั่นด้วยความหลงใหลด้วยบทมีอาทิว่า เราได้เป็นแล้วตลอดกาลในอดีต๑๕- และด้วยบทมีอาทิว่า สัตวโลกเกิดจากพระผู้เป็นใหญ่.
____________________________
๑๕- สํ. นิ. เล่ม ๑๖/ข้อ ๖๓

               บทว่า อาลยาภินิเวสํ - ความยึดมั่นด้วยความอาลัย ได้แก่ ยึดมั่นว่านี้ควรยึดให้แน่นเพราะยังไม่เห็นโทษ.
               บทว่า อปฺปฏิสงฺขํ - ความไม่พิจารณา ได้แก่ การไม่ถืออุบาย.
               บทว่า สญฺโญคาภินิเวสํ - การยึดมั่นด้วยกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ ได้แก่ความเป็นไปแห่งกิเลสมีกามโยคะเป็นต้น.
               บทว่า ทิฏฺเฐกฏฺเฐ - กิเลสที่ตั้งรวมกับทิฏฐิ ได้แก่ ชื่อว่าทิฏฺเฐกฏฺฐา เพราะอรรถว่าตั้งในที่เดียวกันกับทิฏฐิ. ซึ่งกิเลสที่ตั้งรวมกันกับทิฏฐินั้น.
               ชื่อว่า กิเลสา เพราะกิเลสทำให้เศร้าหมอง ให้เดือดร้อน ให้ลำบาก.
               กิเลสตั้งอยู่ในที่เดียวกัน ๒ อย่าง คือ ตั้งอยู่ในที่เดียวกันด้วยการละ ๑ ตั้งอยู่ในที่เดียวกันด้วยเกิดร่วมกัน ๑.
               ชื่อว่าตั้งอยู่ในที่เดียวกันด้วยการละ เพราะละทิฏฐิ ๖๓ มีสักกายทิฏฐิเป็นประธานด้วยโสดาปัตติมรรค.
               อธิบายว่า กิเลสทั้งหลายตั้งอยู่ในบุคคลคนเดียว.
               บทนี้ท่านประสงค์เอาในที่นี้.
               ในกิเลส ๑๐ อย่าง ในที่นี้หมายถึงกิเลสคือทิฏฐิเท่านั้น.
               ก็ในกิเลสที่เหลือ กิเลส ๙ อย่าง คือ โลภะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑ มานะ ๑ วิจิกิจฉา ๑ ถีนะ ๑ อุทธัจจะ ๑ อหิริกะ ๑ อโนตตัปะ ๑ เป็นกิเลสทำสัตว์ให้ไปสู่อบาย ตั้งอยู่ในที่เดียวกันกับทิฏฐิ ละได้ด้วยโสตาปัตติมรรค, กิเลสทั้งหมดที่นำสัตว์ไปสู่อบาย.
               อีกอย่างหนึ่ง บรรดากิเลส ๑,๕๐๐ มีราคะ โทสะ โมหะ เป็นประธาน เมื่อละทิฏฐิได้ด้วยโสดาปัตติมรรค กิเลสทั้งหมดนำสัตว์ไปสู่อบายพร้อมกับทิฏฐิ ย่อมละได้ด้วยการตั้งอยู่ในที่เดียวกัน ด้วยปหานะ,
               ในกิเลสตั้งอยู่ในที่เดียวกันโดยการเกิดร่วมกัน มีอธิบายว่า กิเลสทั้งหลายตั้งอยู่ในจิตดวงเดียวกันกับด้วยทิฏฐิ.
               เมื่อละจิตอันเป็นอสังขาริกะสัมปยุตด้วยทิฏฐิ ๒ อย่าง ด้วยโสดาปัตติมรรคได้ กิเลสเหล่านี้คือโลภะ โมหะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะ เกิดร่วมกันกับจิตเหล่านั้น ย่อมละได้ด้วยอำนาจกิเลสตั้งอยู่ในที่เดียวกันโดยการเกิดร่วมกัน.
               เมื่อละจิตอันเป็นสสังขาริกที่สัมปยุตด้วยทิฏฐิ ๒ อย่างได้ กิเลสเหล่านี้คือโลภะ โมหะ ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะเกิดร่วมกับจิตเหล่านั้น ย่อมละได้ด้วยอำนาจกิเลสตั้งอยู่ในที่เดียวกันโดยการเกิดร่วมกัน.
               บทว่า โอฬาริเก กิเลเส - กิเลสอย่างหยาบ ได้แก่ กามราคะ พยาบาทอันเป็นกิเลสอย่างหยาบ.
               บทว่า อณุสหคเต กิเลเส - กิเลสอย่างละเอียด ได้แก่ กามราคะ พยาบาทอันเป็นกิเลสอย่างละเอียด.
               บทว่า สพฺพกิเลเส ได้แก่ กิเลสที่เหลือละได้ด้วยมรรคที่ ๓.
               บทว่า วีริยํ วาเหติ - ย่อมนำไปซึ่งความเพียร. ความว่า พระโยคาวจรยังความเพียรให้เป็นไป.
               ท่านกล่าวถึงเอสนาภาวนา ปฏิลาภเทสนา เอกรสาภาวนา อาเสวนาภาวนา ในหนหลังเพื่อแสดงถึงความต่างกันแห่งภาวนาทั้งหลายว่า ภาวนาเป็นอย่างนี้. เพื่อแสดงเหตุแห่งภาวนา ท่านจึงกล่าวคำทั้งหลายว่า ชื่อว่าภาวนาด้วยอรรถว่าไม่ก้าวล่วงธรรมที่เกิดในภาวนานั้น ด้วยอรรถว่าอินทรีย์ทั้งหลายมีรสอย่างเดียวกัน ด้วยอรรถว่านำไปซึ่งความเพียรอันเข้าถึงธรรมนั้นๆ ด้วยอรรถว่าเสพเป็นอันมาก. echo $br5 ?>ท่านกล่าวว่าภาวนา ด้วยเหตุนี้และด้วยเหตุนี้ แล้วกล่าวด้วยสามารถขณะต่างๆ กันว่า อาเสวนาภาวนา ในภายหลัง, ในที่นี้ชื่อว่า ภาวนา ด้วยอรรถว่าเสพเป็นอันมาก เพราะเหตุนั้นจึงมีความต่างกัน ด้วยบทว่า เอกกฺขณวเสน - ด้วยสามารถขณะหนึ่ง.
               ในบทมีอาทิว่า รูปํ ปสฺสนฺโต ภาเวติ พระโยคาวจรเมื่อพิจารณาเห็นรูป ชื่อว่าเจริญภาวนา มีอธิบายว่า พระโยคาวจรเมื่อพิจารณาเห็นรูปเป็นต้นโดยอาการที่ควรเห็น ชื่อว่าย่อมเจริญภาวนาที่ควรภาวนา.
               บทว่า เอกรสา โหนฺติ - ภาวนามีรสเป็นอันเดียวกัน คือมีรสเป็นอันเดียวกันด้วยวิมุตติรส หรือด้วยรสอันเป็นกิจ.
               บทว่า วิมุตฺติรโส ได้แก่ สัมปัตติรส - รสคือการถึงพร้อม.
               ชื่อว่ารส ท่านกล่าวด้วยอรรถว่าถึงพร้อมด้วยกิจ ด้วยเหตุนั้น เป็นอันท่านกล่าวไว้แล้วแล.

               จบอรรถกถาภาเวตัพพนิทเทส               
               จบอรรถกถาจตุตถภาณวาร               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ๑. ญาณกถา จตุตถภาณวาร - ภาเวตัพพนิเทส จบ.
อ่านอรรถกถา 31 / 0อ่านอรรถกถา 31 / 64อรรถกถา เล่มที่ 31 ข้อ 67อ่านอรรถกถา 31 / 77อ่านอรรถกถา 31 / 737
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=31&A=559&Z=720
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=47&A=3019
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=47&A=3019
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๓  สิงหาคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :