ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 31 / 0อ่านอรรถกถา 31 / 67อรรถกถา เล่มที่ 31 ข้อ 77อ่านอรรถกถา 31 / 79อ่านอรรถกถา 31 / 737
อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ๑. ญาณกถา
สัจฉิกาตัพพนิทเทส

               อรรถกถาสัจฉิกาตัพพนิทเทส               
               [๗๗] พึงทราบวินิจฉัยในสัจฉิกาตัพพนิทเทสดังต่อไปนี้
               พระสารีบุตรกล่าววิสัชนา เอกุตตรธรรม ๑๐ ข้อ ด้วยการทำให้แจ้งถึงการได้เฉพาะ.
               ในบทเหล่านั้นบทว่า อกุปฺปา เจโตวิมุตฺติ - เจโตวิมุตติอันไม่กำเริบ ได้แก่อรหัตผลวิมุตติ. เจโตวิมุตตินั้น ชื่อว่า อกุปฺปา เพราะอรรถว่าไม่กำเริบ ไม่หวั่นไหว ไม่เสื่อม, ท่านกล่าวว่า เจโตวิมุตฺติ เพราะจิตพ้นจากกิเลสทั้งปวง.
               บทว่า วิชฺชา ได้แก่ วิชชา ๓.
               บทว่า วิมุตฺติ ท่านกล่าวถึงอรหัตผลโดยปริยายในทสุตตรสูตร.
               แต่ท่านกล่าวด้วยปริยายในสังคีติสูตรว่า บทว่า วิมุตฺติ ได้แก่ วิมุตติ ๒ คือ การน้อมจิตไป - จิตฺตสฺส จ อธิมุตฺติ และนิพพาน.
               อนึ่ง ในนิทเทสนี้ สมาบัติ ๘ ชื่อว่าวิมุตติ เพราะพ้นด้วยดีจากนิวรณ์เป็นต้น, นิพพาน ชื่อว่าวิมุตติ เพราะพ้นจากสังขตธรรมทั้งปวง.
               บทว่า ติสฺโส วิชฺชา - วิชชา ๓ คือ ญาณกำหนดระลึกชาติหนหลังได้ ๑ ญาณกำหนดรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย ๑ ญาณรู้จักทำอาสวะให้สิ้น ๑.
               ชื่อว่าวิชชา ด้วยอรรถว่าทำลายความมืดได้, ชื่อว่าวิชชา ด้วยอรรถว่าทำความรู้ให้แจ้งบ้าง,
               บุพเพนิวาสานุสติญาณ ชื่อว่า วิชฺชา เพราะทำลายความมืดอันปกปิดความระลึกชาติที่เกิดขึ้นเสียได้, และทำความรู้แจ้งถึงการระลึกชาติได้.
               จุตูปปาตญาณ ชื่อว่า วิชฺชา เพราะทำลายความมืดอันปกปิดจุติและปฏิสนธิเสียได้ และทำให้รู้แจ้งถึงจุติและอุปบัติได้.
               อาสวักขยญาณ ชื่อว่า วิชฺชา เพราะทำลายความมืดอันปกปิดอริยสัจ ๔ และทำให้รู้แจ้งถึงสัจธรรม ๔.
               บทว่า จตฺตาริ สามญฺญผลานิ - สามัญญผล ๔ คือ โสดาปัตติผล ๑ สกทาคามิผล ๑ อนาคามิผล ๑ อรหัตผล ๑.
               ชื่อว่าสมณะ เพราะอรรถว่ายังธรรมลามกให้สงบ คือให้พินาศ, ความเป็นสมณะ ชื่อว่าสามัญญะ. สามัญญะนี้เป็นชื่อของอริยมรรค ๔. ผลแห่งสามัญญะ ชื่อว่าสามัญผล.
               บทว่า ปญฺจ ธมฺมกฺขนฺธา ธรรมขันธ์ ๕ คือ สีลขันธ์ ๑ สมาธิขันธ์ ๑ ปัญญาขันธ์ ๑ วิมุตติขันธ์ ๑ วิมุตติญาณทัสนขันธ์ ๑.
               บทว่า ธมฺมกฺขนฺธา คือ การจำแนกธรรม ส่วนของธรรม.
               แม้ในสีลขันธ์เป็นต้นก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
               ศีล สมาธิ ปัญญา ทั้งที่เป็นโลกิยะทั้งที่เป็นโลกุตระนั่นแล ชื่อว่าศีลสมาธิปัญญาขันธ์.
               สมุจเฉทวิมุตติ ปฏิปัสสัทธิวิมุตติและนิสสรณวิมุตตินั่นแล ชื่อว่าวิมุตติขันธ์.
               การพิจารณาวิมุตติ ๓ อย่างนั่นแล ชื่อว่าวิมุตติญาณทัสนขันธ์ ขันธ์เป็นโลกิยะ
               ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้, ชื่อว่าทัสนะ เพราะอรรถว่าเห็น เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่าญาณทัสนะ,
               ญาณทัสนะแห่งวิมุตติทั้งหลาย ท่านกล่าวว่าวิมุตติญาณทัสนะ.
               ส่วนวิกขัมภนวิมุตติและตทังควิมุตติ ท่านสงเคราะห์เข้าด้วยสมาธิขันธ์และปัญญาขันธ์.
               ธรรมขันธ์ ๕ เหล่านี้ ท่านกล่าวว่าเป็นเสกขธรรมของผู้ยังต้องศึกษา เป็นอเสกขธรรมของผู้ไม่ต้องศึกษา.
               ในธรรมขันธ์เหล่านี้ ธรรมขันธ์ที่เป็นโลกิยะและเป็นนิสสรณวิมุตติ เป็นเนวเสกขานาเสกขธรรม - ธรรมของผู้ยังต้องศึกษาก็ไม่ใช่ ไม่ต้องศึกษาก็ไม่ใช่.
               แม้เสกขธรรมมีอยู่ ท่านก็กล่าวเสกขธรรมว่า เหล่านี้ของผู้ยังต้องศึกษา, กล่าวอเสกขธรรมว่า เหล่านี้ของผู้ไม่ต้องศึกษา.
               ในบทนี้ว่า พระโยคาวจรเป็นผู้ประกอบด้วยวิมุตติขันธ์อันเป็นเสกขธรรม แต่ก็พึงทราบว่า พระโยคาวจรเป็นผู้ประกอบด้วยการทำนิสสรณวิมุตติให้เป็นอารมณ์.
               บทว่า ฉ อภิญฺญา ได้แก่ ญาณอันยิ่ง ๖.
               ญาณอันยิ่ง ๖ เป็นไฉน? ญาณ ๖ เหล่านี้ คือ อิทธิวิธญาณ ๑ ทิพโสตธาตุญาณ ๑ บุพเพนิวาสานุสติญาณ ๑ เจโตปริยญาณ ๑ ทิพจักขุญาณ ๑ อาสวักขยญาณ ๑.
               บทว่า สตฺต ขีณาสวพลานิ - กำลังของพระขีณาสพ ๗.
               ชื่อว่าขีณาสวะ เพราะมีอาสวะสิ้นแล้ว กำลังของพระขีณาสพ ชื่อว่าขีณาสวพละ.
               ขีณาสวะ ๗ เป็นไฉน?
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า๑-
                         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุขีณาสพในธรรมวินัยนี้
               เห็นดีแล้วซึ่งสังขารทั้งปวงโดยความเป็นของไม่เที่ยง ด้วย
               ปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง, ข้อที่ภิกษุขีณาสพเห็นดี
               แล้วซึ่งสังขารทั้งปวง โดยความเป็นของไม่เที่ยง ด้วยปัญญา
               อันชอบตามความเป็นจริง นี้เป็นกำลังของภิกษุขีณาสพ,
               กำลังที่ภิกษุขีณาสพอาศัย ย่อมรู้ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้ง
               หลาย ว่าอาสวะของเราสิ้นแล้ว นี้เป็นข้อที่ ๑.
                         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก ภิกษุขีณาสพ
               เห็นดีแล้วซึ่งกามทั้งหลาย เปรียบด้วยหลุมถ่านเพลิง ด้วย
               ปัญญาอันชอบตามความเป็นจริง, ข้อที่ภิกษุขีณาสพเห็นดี
               แล้วซึ่งกามทั้งหลายเปรียบด้วยหลุมถ่านเพลิง ด้วยปัญญา
               อันชอบตามความเป็นจริง นี้เป็นกำลังของภิกษุขีณาสพ,
               กำลังที่ภิกษุขีณาสพอาศัย ย่อมรู้ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้ง
               หลายว่า อาสวะของเราสิ้นแล้ว นี้เป็นข้อที่ ๒.
                         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก จิตของภิกษุ-
               ขีณาสพน้อมไปในวิเวก โอนไปในวิเวก เงื้อมไปในวิเวก
               ตั้งอยู่ในวิเวก ยินดีในเนกขัมมะ สิ้นสุดจากธรรมเป็นที่ตั้ง
               แห่งอาสวะ โดยประการทั้งปวง ฯลฯ แม้นี้ก็เป็นกำลังของ
               ภิกษุขีณาสพ ฯลฯ. นี้เป็นข้อที่ ๓.
                         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออื่นยังมีอยู่อีก สติปัฏฐาน ๔
               อันภิกษุขีณาสพอบรมแล้ว อบรมดีแล้ว ฯลฯ นี้เป็นข้อที่ ๔.
               อินทรีย์ ๕ อันภิกษุขีณาสพอบรมแล้ว อบรมดีแล้ว ฯลฯ นี้
               เป็นข้อที่ ๕. โพชฌงค์ ๗ อันภิกษุขีณาสพอบรมแล้ว อบรม
               ดีแล้ว ฯลฯ นี้เป็นข้อที่ ๖. อริยมรรคมีองค์ ๘ อันภิกษุขีณา-
               สพอบรมแล้ว อบรมดีแล้ว ฯลฯ นี้เป็นข้อที่ ๗.
____________________________
๑- ที. ปา. เล่ม ๑๑/ข้อ ๔๔๒

               ในกำลังเหล่านั้น ท่านประกาศการแทงตลอดทุกขสัจด้วยกำลังที่ ๑, การแทงตลอดสมุทยสัจด้วยกำลังที่ ๒. การแทงตลอดนิโรธสัจด้วยกำลังที่ ๓, การแทงตลอดมรรคสัจด้วยกำลังที่ ๔.
               บทว่า อฏฺฐ วิโมกฺขา - วิโมกข์ ๘. ชื่อว่าวิโมกข์ ด้วยอรรถว่าน้อมไปในอารมณ์ และด้วยอรรถว่าพ้นด้วยดีจากธรรมเป็นข้าศึก.
               วิโมกข์ ๘ เป็นไฉน?๒-
               วิโมกข์ ๘ คือ ภิกษุมีรูปย่อมเห็นรูป นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๑ ภิกษุมีความสำคัญในอรูปภายใน ย่อมเห็นรูปภายนอก นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๒. ภิกษุน้อมใจไปว่านี้งาม เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๓. ภิกษุเข้าถึงอากาสานัญจายตนะว่า อนนฺโต อากาโส - อากาศไม่มีที่สุดอยู่ เพราะล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวงดับปฏิฆสัญญา ไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญา นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๔. ภิกษุเข้าถึงวิญญาณัญจายตนะว่า อนนฺตํ วิญฺญาณํ - วิญญาณไม่มีที่สุดอยู่ เพราะล่วงอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๕. ภิกษุเข้าถึงอากิญจัญญายตนะว่า นตฺถิ กิญฺจิ - อะไรๆ ไม่มีอยู่ เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๖. ภิกษุเข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะอยู่ เพราะล่วงอากิญจัญญายตนะโดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๗. ภิกษุเข้าถึงสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๘.
____________________________
๒- ที. มหา. เล่ม ๑๐/ข้อ ๑๐๑

               บทว่า นว อนุปุพฺพนิโรธา - อนุปุพพนิโรธ ๙ คือ การดับตามลำดับ ๙ อย่าง.
               นิโรธ ๙ อย่างเป็นไฉน?๓-
               กามสัญญาของผู้เข้าปฐมฌาน ย่อมดับไป ๑ วิตกวิจารของผู้เข้าถึงทุติยฌาน ย่อมดับไป ๑ ปีติของผู้เข้าถึงตติยฌาน ย่อมดับไป ๑ ลมอัสสาสะปัสสาสะของผู้เข้าถึงจตุตถฌาน ย่อมดับไป ๑ รูปสัญญาของผู้เข้าถึงอากาสานัญจายตนะ ย่อมดับไป ๑ อากาสานัญจายตนสัญญาของผู้เข้าถึงวิญญาณัญจายตนะ ย่อมดับไป ๑ วิญญาณัญจายตนสัญญาของผู้เข้าถึงอากิญจัญญายตนะ ย่อมดับไป ๑ อากิญจัญญายตนสัญญาของผู้เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ ย่อมดับไป ๑ สัญญาและเวทนาของผู้เข้าถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ ย่อมดับไป ๑.
____________________________
๓- ที. ปา. เล่ม ๑๑/ข้อ ๓๕๖

               บทว่า ทส อเสกฺขา ธมฺมา - อเสกขธรรม ๑๐.
               ชื่อว่า อเสกฺขา เพราะไม่มีสิ่งที่ควรศึกษาต่อไป.
               อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า เสกฺขา เพราะยังต้องศึกษาในไตรสิกขา, ชื่อว่า อเสกฺขา เพราะเสกขธรรมหมดสิ้นแล้ว, ได้แก่ พระอรหันต์. ชื่อว่า อเสกฺขา เพราะธรรมเหล่านี้ของพระอเสกขะ.
               อเสกขธรรม ๑๐ เป็นไฉน?๓-
               อเสกขธรรม ๑๐ คือ สัมมาทิฏฐิ ๑ สัมมาสังกัปปะ ๑ สัมมาวาจา ๑ สัมมากัมมันตะ ๑ สัมมาอาชีวะ ๑ สัมมาวายามะ ๑ สัมมาสติ ๑ สัมมาสมาธิ ๑ สัมมาญาณะ ๑ สัมมาวิมุตติ ๑ ที่เป็นของพระอเสกขะ.
____________________________
๓- ที. ปา. เล่ม ๑๑/ข้อ ๓๖๒, ข้อ ๔๗๕

               บทว่า อเสกฺขํ สมฺมาญาณํ - สัมมาญาณที่เป็นของพระอเสกขะ ได้แก่ โลกิยปัญญาที่เหลือเว้นอรหัตผลปัญญา.
               บทว่า สมฺมาวิมุตฺติ ได้แก่ อรหัตผลวิมุตติ.
               ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาว่า๔-
                                   ธรรมสัมปยุตด้วยผลแม้ทั้งหมดมีสัมมาทิฏฐิเป็น
                         ต้นนั่นแล เป็นอเสกขธรรม. อนึ่ง ในบทนี้ ท่านกล่าว
                         ปัญญาไว้ในฐานะ ๒ อย่าง คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาญาณะ
                         สงเคราะห์ธรรมอันเป็นผลสมาบัติเหลือจากที่ท่านกล่าว
                         ไว้ด้วยบทนี้ว่า สัมมาวิมุตติ.
____________________________
๔- สุมังคลวิลาสินี ๓/๓๑๘

               [๗๘] ในบทมีอาทิว่า สพฺพํ ภิกฺขเว สจฺฉิกาตพฺพํ - ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงควรทำให้แจ้ง พึงทราบว่า ได้แก่การทำให้แจ้งด้วยอารมณ์.
               ในบทมีอาทิว่า รูปํ ปสฺสนฺโต สจฺฉิกโรติ - เมื่อเห็นรูปย่อมทำให้แจ้ง.
               ความว่า พระโยคาวจรเมื่อเห็นรูปเป็นต้นอันเป็นโลกิยะโดยอาการอันควรเห็น ย่อมทำให้แจ้งซึ่งรูปเป็นต้นเหล่านั้นด้วยทำให้แจ้งด้วยอารมณ์, หรือเมื่อเห็นรูปเป็นต้น โดยอาการอันควรเห็น ย่อมทำให้แจ้งซึ่งนิพพานอันควรทำให้แจ้งด้วยเหตุนั้น. นักคิดอักขระทั้งหลายต้องการ บทว่า ปสฺสนฺโต ลงในอรรถแห่งเหตุ พระโยคาวจร เมื่อเห็นโลกุตรธรรมมีอนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์เป็นต้น ด้วยการพิจารณา ย่อมทำให้แจ้งซึ่งโลกุตรธรรมนั้นด้วยอารมณ์. บทนี้ว่า พระโยคาวจรย่อมทำให้แจ้งซึ่งนิพพานอันหยั่งลงสู่อมตะ ด้วยอรรถว่าหยั่งลงคือทำให้ตรงทีเดียว เพราะทำให้แจ้งในปริญเญยยะ - ทุกข์ ควรกำหนดรู้, ปหาตัพพะ - สมุทัยควรละ, สัจฉิกาตัพพะ - นิโรธควรทำให้แจ้ง, ภาเวตัพพะ - มรรคควรเจริญ.
               บทว่า เย เย ธมฺมา สจฺฉิกตา โหนฺติ, เต เต ธมฺมา ผุสิตา โหนฺติ - ธรรมใดๆ เป็นธรรมอันทำให้แจ้งแล้ว, ธรรมนั้นๆ ย่อมเป็นธรรมอันถูกต้องแล้ว ได้แก่ธรรมอันทำให้แจ้งแล้ว ด้วยการทำให้แจ้งด้วยอารมณ์ ย่อมเป็นธรรมอันถูกต้องแล้วด้วยความถูกต้อง อารมณ์, ธรรมอันทำให้แจ้งแล้วด้วยการทำให้แจ้งซึ่งการได้เฉพาะ ย่อมเป็นธรรมอันถูกต้องแล้วด้วยความถูกต้องการได้เฉพาะ ด้วยประการฉะนี้.

               จบอรรถกถาสัจฉิกาตัพพนิทเทส               
               -----------------------------------------------------               

               อรรถกถาหานภาคิยจตุกนิทเทส๑-               
๑- อยู่ในข้อ ๗๘

               บัดนี้ เพราะความที่ธรรมเป็นไปในส่วนแห่งความเสื่อม ย่อมมีโดยประเภทที่ว่างจากสมาธิอย่างหนึ่งๆ, ฉะนั้น พระสารีบุตรจึงได้ชี้แจงหานภาคิยจตุกะโดยเป็นอันเดียวกัน.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า ปฐมสฺส ฌานสฺส ลาภึ คือ ของพระโยคาวจรผู้ได้ปฐมฌาน.
               บทว่า ลาภึ เป็นทุติยาวิภัตติลงในอรรถฉัฏฐีวิภัตติ. ลาโภ ท่านกล่าวเป็นลาภี เพราะอรรถว่ามีการทำให้แจ้ง.
               ศัพท์ว่า สหคต ในบทว่า กามสหคตา นี้ท่านประสงค์เอาความว่าอารมณ์, อธิบายว่า มีวัตถุกามและกิเลสกามเป็นอารมณ์.
               บทว่า สญฺญามนสิการา - สัญญาและมนสิการ ได้แก่ ชวนสัญญาและมนสิการด้วยความคำนึงถึงสัญญานั้น. มนสิการสัมปยุตด้วยญาณก็ควร.
               บทว่า สมุทาจรนฺติ ย่อมปรากฏ คือย่อมเป็นไป.
               บทว่า ธมฺโม ได้แก่ ธรรม คือปฐมฌาน.
               พระโยคาวจร เมื่อเสื่อมจากฌาน ชื่อว่าเสื่อมด้วยเหตุ ๓ ประการ คือ ด้วยกิเลสกำเริบ ๑ ด้วยอสัปปายกิริยา ๑ ด้วยการไม่ประกอบความเพียร ๑.
               เมื่อเสื่อมด้วยกิเลสกำเริบ ชื่อว่าเสื่อมเร็ว.
               เมื่อเสื่อมด้วยอสัปปายกิริยา ด้วยอำนาจการประกอบความเป็นผู้ยินดีในการงาน ความเป็นผู้ยินดีในการพูดเหลวไหล ความเป็นผู้ยินดีในการนอน ความเป็นผู้ยินดีในการคลุกคลี ชื่อว่าเสื่อมช้า,
               เมื่อไม่เข้าถึงเนืองๆ ด้วยปลิโพธ - ความกังวล มีความเจ็บไข้และความวิบัติด้วยปัจจัยเป็นต้น แม้เมื่อเสื่อมด้วยการไม่ประกอบความเพียร ก็ชื่อว่า เสื่อมช้า.
               แต่ในนิทเทสนี้ พระสารีบุตรเมื่อจะแสดงเหตุอันมีกำลังเท่านั้น จึงกล่าวถึงกิเลสกำเริบอย่างเดียว.
               ก็เมื่อพระโยคาวจรเสื่อมจากทุติยฌานเป็นต้น ชื่อว่าเสื่อม แม้ด้วยความพอใจในฌานชั้นต่ำๆ กำเริบ.
               ถามว่า เป็นอันเสื่อมด้วยเหตุประมาณเท่าไร?
               ตอบว่า เป็นอันเสื่อมด้วยเหตุเท่าที่ไม่สามารถจะเข้าถึงได้.
               บทว่า ตทนุธมฺมตา - ความพอใจอันเป็นธรรมสมควรแก่ปฐมฌานนั้น คือธรรมอันเป็นไปสมควร ชื่อว่า อนุธมฺโม.
               บทนี้เป็นชื่อของธรรม คือความพอใจอันเป็นไปเพราะทำฌานให้ยิ่ง. ธรรมอันสมควรนั่นแล ชื่อว่า อนุธมฺมตา. ความเป็นธรรมสมควรแก่ฌานนั้น ชื่อว่า ตทนุธมฺมตา.
               บทว่า สติ คือ พอใจ.
               บทว่า สนฺติฏฺฐติ คือ ตั้งอยู่. ท่านอธิบายว่า ความพอใจอันเป็นไปตามปฐมฌานนั้น ยังเป็นไปอยู่.
               บทว่า อวิตกฺกสหคตา - ไม่สหรคตด้วยวิตก ได้แก่ มีทุติยฌานเป็นอารมณ์.
               บทนั้น ท่านกล่าวว่า อวิตกฺกํ เพราะในทุติยฌานนี้ไม่มีวิตก.
               บทว่า นิพฺพิทาสหคตา - สหรคตด้วยนิพพิทา ได้แก่ มีวิปัสสนาเป็นอารมณ์. วิปัสสนานั้น ท่านกล่าวว่า นิพฺพิทา เพราะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งหลาย,
               สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า นิพฺพินฺทํ วิรชฺชติ๒- เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด.
____________________________
๒- วิ. มหา. เล่ม ๔/ข้อ ๒๓

               บทว่า วิราคูปสญฺหิตา ประกอบด้วยวิราคะ ได้แก่ วิปัสสนาประกอบด้วยอริยมรรค. วิปัสสนานั้นถึงยอดแล้ว ให้บรรลุความตั้งขึ้นของมรรค. เพราะฉะนั้น สัญญาและมนสิการมีวิปัสสนาเป็นอารมณ์ ท่านจึงกล่าวว่า วิราคูปสญฺหิตา - ประกอบด้วยวิราคะ.
               สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า๓- วิราคา วิมุจฺจติ เพราะคลายความกำหนัด จิตย่อมหลุดพ้น.
____________________________
๓- สํ. ขนฺธ. เล่ม ๑๗/ข้อ ๑๐๐

               บทว่า วิตกฺกสหคตา - สหรคตด้วยวิตก ได้แก่ มีปฐมฌานเป็นอารมณ์ ด้วยอำนาจวิตก.
               บทว่า อุเปกฺขาสุขสหคตา - สหรคตด้วยอุเบกขาและสุข ได้แก่ มีตติยฌานเป็นอารมณ์ ด้วยอำนาจอุเบกขา คือ เป็นกลางในฌานนั้นและด้วยสุขเวทนา.
               บทว่า ปีติสุขสหคตา - สหรคตด้วยปีติและสุข ได้แก่ มีทุติยฌานเป็นอารมณ์ ด้วยอำนาจปีติและสุขเวทนา.
               บทว่า อทุกฺขมสุขสหคตา - สหรคตด้วยอทุกขมสุข ได้แก่มีจตุตถฌานเป็นอารมณ์ ด้วยอำนาจอุเบกขาเวทนา. เวทนานั้นไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่าอทุกฺสุขเวทนา. อักษรในบทนี้ท่านกล่าวด้วยบทสนธิ.
               บทว่า รูปสหคตา - สหรคตด้วยรูป ได้แก่ แม้เมื่อมีธรรมเป็นไปในส่วนแห่งความเสื่อม ธรรมเป็นไปในส่วนแห่งความตั้งอยู่และธรรมเป็นไปในส่วนแห่งการชำแรกกิเลสของพระโยคาวจรผู้ตั้งอยู่ในเนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะมีรูปฌานเป็นอารมณ์ ท่านก็มิได้ชี้แจงถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะไม่มีธรรมเป็นไปในส่วนแห่งความวิเศษ.
               ท่านกล่าวว่า สมาธิอันเป็นโลกิยะนี้แม้ทั้งหมดเป็นไปในส่วนแห่งความเสื่อมแก่พระโยคีผู้มีอินทรีย์อย่างอ่อน มีปกติอยู่ด้วยความประมาท, เป็นไปในส่วนแห่งความตั้งอยู่แก่พระโยคีผู้มีอินทรีย์อย่างอ่อน มีปกติอยู่ด้วยความไม่ประมาท, เป็นไปในส่วนแห่งความพิเศษแก่พระโยคีผู้มีอินทรีย์แก่กล้าอันมีตัณหาเป็นจริต, เป็นไปในส่วนแห่งการชำแรกกิเลสแก่พระโยคีผู้มีอินทรีย์แก่กล้ามีทิฏฐิเป็นจริต.

               จบอรรถกถาหานภาคิยจตุกนิทเทส               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ๑. ญาณกถา สัจฉิกาตัพพนิทเทส จบ.
อ่านอรรถกถา 31 / 0อ่านอรรถกถา 31 / 67อรรถกถา เล่มที่ 31 ข้อ 77อ่านอรรถกถา 31 / 79อ่านอรรถกถา 31 / 737
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=31&A=721&Z=799
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=47&A=3281
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=47&A=3281
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๓  สิงหาคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :