ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 31 / 0อ่านอรรถกถา 31 / 79อรรถกถา เล่มที่ 31 ข้อ 80อ่านอรรถกถา 31 / 83อ่านอรรถกถา 31 / 737
อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ๑. ญาณกถา
ทุกขสัจนิทเทส

               อรรถกถาทุกขสัจนิทเทส               
               [๘๐] พระสารีบุตรได้ชี้แจงแม้จตุกอริยสัจ โดยเป็นอันเดียวกัน เพราะสัจจะทั้งหลายเกี่ยวเนื่องเป็นอันเดียวกันด้วยอรรถว่า เป็นของจริงแท้.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า ตตฺถ ตตฺถ ได้แก่ ในอริยสัจ ๔ เหล่านั้น.
               บทว่า กตมํ ได้แก่ กเถตุกัมยตาปุจฉา - ถามเพื่อประสงค์จะตอบเอง.
               บทว่า ทุกฺขํ อริยสจฺจํ - ทุกขอริยสัจ ได้แก่ เป็นการแสดงธรรมที่ถามแล้ว.
               ในบทมีอาทิว่า ชาติปิ ทุกฺขา นั้นท่านประกาศอรรถแห่งชาติศัพท์ไว้ไม่น้อย.
               ดังที่กล่าวไว้ว่า
                         ภพ ตระกูล พวก ศีล บัญญัติ ลักษณะ ปสูติ ปฏิสนธิ
                         ท่านประกาศอรรถแห่งชาติ ไว้ด้วยประการฉะนี้.

               จริงดังนั้น ชาติศัพท์มีอรรถว่าภพ ในบทมีอาทิว่า๑- เอกมฺปิ ชาตึ เทฺวปิ ชาติโย - ภพแม้หนึ่ง แม้สองภพ.
               มีอรรถว่าตระกูล ในบทนี้ว่า๒- อกฺขิตฺโต อนุปกฺกุฏฺโฐ ชาติวาเทน - ไม่ซัดทอด ไม่ด่าว่า ถึงตระกูล.
               มีอรรถว่าพวก ในบทมีอาทิว่า๓- อตฺถิ วิสาเข นิคณฺฐา นาม สมณชาติ ดูก่อนวิสาขา พวกสมณะนิครนถ์ยังมีอยู่.
               มีอรรถว่าอริยศีล ในบทมีอาทิว่า๔- ยโตหํ ภคินิ อริยาย ชาติยา ชาโต นาภิชานามิ - ดูก่อนน้องหญิง ตั้งแต่เราเกิดในอริยชาติแล้วจะได้รู้สึกว่าแกล้งปลงสัตว์จากชีวิตหามิได้.
               มีอรรถว่าบัญญัติ ในบทมีอาทิว่า๕- ติริยา นาม ติณชาติ นาภิยา อุคฺคนฺตฺวา นภํ อาหจฺจ ฐิตา อโหสิ หญ้าคาผุดขึ้นจากนาภี พุ่งขึ้นไปจดท้องฟ้า.
               มีอรรถว่าสังขตลักษณะ ในบทนี้ว่า๖- ชาติ ทฺวีหิ ขนฺเธหิ สงฺคหิตา - ชาติ ท่านสงเคราะห์ด้วยขันธ์ ๒.
____________________________
๑- วิ. มหาวิภงฺค เล่ม ๑/ข้อ ๓  ๒- ที. สี. เล่ม ๙/ข้อ ๒๐๒
๓- องฺ. ติก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๕๑๐  ๔- ม. ม. เล่ม ๑๓/ข้อ ๕๓๑
๕- องฺ. ปญฺจก. เล่ม ๒๒/ข้อ ๑๙๖  ๖- อภิ. ธา. เล่ม ๓๖/ข้อ ๖๗.

               มีอรรถว่าปสูติ ในบทนี้ว่า๗- สมฺปติชาโต อานนฺท โพธิสตฺโต - ดูก่อนอานนท์ โพธิสัตว์เกิดทันทีทันใด.
               มีอรรถว่าปฏิสนธิ โดยปริยายในบทนี้ว่า๘- ภวปจฺจยา ชาติ - เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ. และบทว่า๙- ชาติปิ ทุกฺขา - แม้ชาติก็เป็นทุกข์. แต่โดยนิปริยาย - โดยตรง ได้แก่ ความปรากฏครั้งแรกของขันธ์ทั้งหลายที่ปรากฏแก่สัตว์ผู้เกิดในภพนั้นๆ.
____________________________
๗- ม. อุ. เล่ม ๑๔/ข้อ ๓๗๗
๘- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๒๕๕  ๙- ขุ. ป. เล่ม ๓๑/ข้อ ๘๐

               หากถามว่า เพราะเหตุไร ชาตินี้จึงเป็นทุกข์?
               ตอบว่า เพราะชาติเป็นที่ตั้งของทุกข์ไม่น้อย. ทุกข์ไม่น้อย คือ ทุกขทุกข์ วิปริณามทุกข์ สังขารทุกข์ ปฏิจฉันนทุกข์ อัปปฏิจฉันนทุกข์ ปริยายทุกข์ นิปริยายทุกข์.
               ในทุกข์เหล่านี้ ทุกข์ทางกายและทุกข์ทางใจ ท่านกล่าวว่าทุกขทุกข์ เพราะเป็นทุกข์โดยสภาพของเวทนาและโดยชื่อ.
               สุขเวทนา ชื่อว่าวิปริณามทุกข์ เพราะเป็นเหตุเกิดทุกข์ด้วยความปรวนแปร.
               อุเบกขาเวทนา และสังขารเป็นไปในภูมิ ๓ ที่เหลือ ชื่อว่าสังขารทุกข์ เพราะถูกบีบคั้นด้วยความเกิดและความดับ.
               อาพาธทางกาย ทางใจ มีปวดหู ปวดฟัน ความร้อนใจเกิดเพราะราคะ เกิดเพราะโทสะเป็นต้น ชื่อว่าปฏิจฉันนทุกข์ - ทุกข์ปกปิด เพราะถามจึงรู้ และเพราะความเจ็บปวดไม่ปรากฏ.
               อาพาธที่มีสมุฏฐานจากโทษ ๓๒ เป็นต้น ชื่อว่าอัปปฏิจฉันนทุกข์ - ทุกข์ไม่ปกปิด เพราะไม่ต้องถามก็รู้ได้ และเพราะความเจ็บปวดปรากฏ.
               แม้ทุกข์ทั้งหมดมีชาติเป็นต้น มาในสัจจวิภังค์๑๐- เว้นทุกขทุกข์ ที่เหลือชื่อว่าปริยายทุกข์ - ทุกข์โดยอ้อม เพราะเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์นั้นๆ.
               ส่วนทุกขทุกข์ ท่านกล่าวว่าเป็นนิปริยายทุกข์ - ทุกข์โดยตรง.
____________________________
๑๐- อภิ. วิ. เล่ม ๓๕/ข้อ ๑๔๔

               ในบทนั้น ชาติเป็นอาปายิกทุกข์ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงประกาศด้วยอุปมาในพาลบัณฑิตสูตร๑๑- เป็นต้น.
               อนึ่ง ชาติเป็นทุกข์เพราะเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์อันเป็นประเภทมีทุกข์มีมูลมาจากการหยั่งลงสู่ครรภ์เป็นต้น ซึ่งเกิดในมนุษยโลก แม้ในสุคติ. ในบทนี้ ชาตินี้เป็นทุกข์อันเป็นประเภทมีทุกข์มีมูลจากการหยั่งลงสู่ครรภ์เป็นต้น.
____________________________
๑๑- ม. อุ. เล่ม ๑๔/ข้อ ๔๖๘

               จริงอยู่ สัตว์นี้เกิดในครรภ์มารดา มิได้เกิดในดอกอุบล ดอกบัวหลวงและดอกบัวขาวเป็นต้น. โดยที่แท้ สัตว์ย่อมเกิดในท้องน่าเกลียดอย่างยิ่ง คล้ายเที่ยวไปในป่าใหญ่ที่มีกลิ่นเหม็นมากอบอวลด้วยกลิ่นซากศพนานาชนิด ทั้งมืดตื้อทั้งคับแคบอย่างยิ่งในท่ามกลางพื้นท้องกระดูกสันหลัง ข้างล่างกระเพาะอาหาร ข้างบนท้อง ดุจหนอนเกิดในปลาเน่า นมเปรี้ยวบูดและหลุมขยะเป็นต้น.
               สัตว์นั้นเกิดในท้องมารดา อบอุ่นอยู่กับท้องมารดาตลอด ๑๐ เดือน เว้นจากการงอ การเหยียดเป็นต้น หมกอยู่เหมือนอาหารใส่ไว้ในถุง เหมือนก้อนแป้งถูกนึ่ง ย่อมเสวยความทุกข์อย่างยิ่ง. นี้ชื่อว่าทุกข์มีมูลมาจากการหยั่งลงสู่ครรภ์.
               สัตว์นั้นในขณะที่มารดาหกล้ม เดิน นั่ง ลุก เปลี่ยนอิริยาบถเป็นต้นอย่างรีบร้อน ย่อมเสวยทุกข์หนัก เพราะความเจ็บปวดมีการคร่า ฉุด ทึ้ง ขยับไปขยับมาเป็นต้น ดุจลูกแกะตกอยู่ในมือของนักเลงสุรา และดุจลูกงูตกอยู่ในมือของหมองู. สัตว์ย่อมเสวยทุกข์หนักในเวลามารดาดื่มน้ำเย็นปรากฏ ดุจเกิดในนรกเย็น ในเวลามารดากลืนข้าวต้มอาหารร้อน ปรากฏดุจฝนถ่านเพลิงโปรยลงมา ในเวลามารดากลืนของเค็มของเปรี้ยวเป็นต้น ปรากฏดุจได้รับโทษมีการแทงด้วยหอกอันคมเป็นต้น, นี้เป็นทุกข์มีมูลมาจากการบริหารครรภ์.
               อนึ่ง สัตว์ย่อมเสวยทุกข์ด้วยการผ่าตัดเป็นต้นของมารดาผู้มีครรภ์หลงในที่เกิดของทุกข์ไม่ควรที่ แม้มิตร อำมาตย์และเพื่อนสนิทเป็นต้น ไม่ควรดู, นี้ชื่อว่าทุกข์มีมูลมาจากความวิบัติของครรภ์.
               ทุกข์ย่อมเกิดแก่สัตว์ผู้ถูกลมเบ่งของมารดาซึ่งจะคลอด พัดหมุนกลับไปทางช่องคลอดน่ากลัวนัก ดุจตกเหว ดุจถูกช้างฉุดออกจากช่องดาล เพราะปากช่องคลอดแคบอย่างยิ่ง และดุจสัตว์นรกถูกภูเขาในสังฆาตนรกบดละเอียด, นี้ทุกข์มีมูลจากการคลอด,
               ทุกข์เช่นกับแทงด้วยปลายเข็มและเฉือนด้วยมีดโกน ย่อมเกิดแก่สัตว์ผู้เกิดแล้วมีร่างกายแบบบาง เช่นกับแผลอ่อนๆ ในเวลาจับมือ อาบน้ำ ล้างหน้า เช็ดด้วยผ้าผืนเล็กเป็นต้น, นี้ทุกข์มีมูลออกไปภายนอกจากท้องแม่.
               ในความเป็นไปนอกจากนี้ ทุกข์ย่อมมีแก่ผู้ทำลายตนด้วยตนเองผู้ประกอบความเพียรด้วยการทรมานตน ทำตนให้เดือดร้อนด้วยอเจลกวัตรเป็นต้นผู้ไม่บริโภคและบีบคอด้วยความโกรธ, นี้เป็นทุกข์มีมูลจากความพยายามของตน, ที่นอกจากนี้ไปทุกข์ย่อมเกิดแก่ผู้เสวยกรรม มีการฆ่าและการจองจำเป็นต้น, นี้ทุกข์มีมูลจากความพยายามของผู้อื่น.
               ชาตินี้เป็นที่ตั้งของทุกข์แม้ทั้งหมดด้วยประการฉะนี้.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ว่า
                                   หากสัตว์ไม่พึงเกิดในนรกทั้งหลายไซร้ เขา
                         ก็จะไม่ต้องได้รับกรรม มีถูกไฟเผาเป็นต้นในชาติ
                         นั้น, สัตว์พึงได้ทุกข์เป็นที่พึ่งในที่ไหนเล่า พระมุนี
                         ในธรรมวินัยนี้กล่าวชาติ ว่าเป็นทุกข์ ด้วยประการ
                         ฉะนี้.
                                   ทุกข์ในจำพวกเดียรัจฉานมีไม่น้อย มีการ
                         กระหน่ำด้วยแส้ ปฏัก ท่อนไม้เป็นต้น, เว้นชาติ
                         เสีย ทุกข์จะพึงมีในสัตว์นั้นได้อย่างไร แม้เพราะ
                         เหตุนั้น ชาติจึงชื่อว่าเป็นทุกข์ในพวกสัตว์นั้น.
                                   ทุกข์ในเปรตทั้งหลาย เกิดเพราะหิวกระหาย
                         และมีทุกข์ชนิดต่างๆ มีเกิดแต่ลมและแดดเป็นต้น,
                         เพราะทุกข์ในที่นั้นย่อมมีแก่สัตว์ที่ยังไม่เกิด ก็หาไม่
                         ฉะนั้น พระมุนีจึงตรัสชาติ ว่าเป็นทุกข์.
                                   ทุกข์ในหมู่อสูรในโลกันตรนรกมืดตื้อ เย็นจัด,
                         เพราะความเกิดในนรกนั้นไม่มี ทุกข์ก็มีไม่ได้ เพราะ
                         ฉะนั้น พระมุนีจึงตรัสว่า ทุกข์ทั้งหลายมีเพราะชาติ.
                                   สัตว์เมื่ออยู่ในครรภ์มารดาก็เหมือนอยู่ในคูถ-
                         นรก เมื่ออยู่นานก็ดี ออกไปภายนอกก็ดี, สัตว์ย่อมถึง
                         ทุกข์ เว้นชาติเสียแล้ว แม้ทุกข์อันร้ายแรงยิ่งนักก็ไม่มี
                         เพราะชาตินี้มีจึงเป็นทุกข์ ด้วยประการฉะนี้.
                                   อันที่จริงทุกข์นี้มีอยู่ในโลกนี้ตลอดกาล
                         ประโยชน์อะไรที่จะต้องพูดมากไปในกาลไหนๆ
                         มิใช่หรือ, ทุกข์เว้นชาติเสียแล้วก็มีไม่ได้ เพราะ
                         พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้แสวงหาคุณยิ่งใหญ่ตรัสถึง
                         ชาติ นี้ว่าเป็นทุกข์ก่อนทุกข์อื่นทั้งหมด ดังนี้.
               ในบทว่า ชราปิ ทุกฺขา - แม้ชราก็เป็นทุกข์ นี้มีอธิบายดังต่อไปนี้.
               ชรามี ๒ อย่าง คือ ลักษณะของสังขตะและความเป็นขันธ์เก่าอันเนื่องในภพเดียวในสันตติที่รู้กันว่ามีฟันหักเป็นต้น. ในที่นี้ ท่านประสงค์เอาชรานั้น.
               ชรานั้นชื่อว่าเป็นทุกข์ เพราะความเป็นสังขารทุกข์ และเพราะเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์. ทุกข์ทางกายทางใจเกิดขึ้น มีหลายปัจจัยอาทิว่าความเป็นหนุ่มสาวเสื่อมไป กำลังถดถอยสติปัญญาเสื่อมโทรม ถูกคนอื่นดูแคลน เพราะอวัยวะน้อยใหญ่ย่อหย่อนและอินทรีย์วิกลวิการ, ชราจึงเป็นที่ตั้งของทุกข์นั้น.
               ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
                                   เพราะอวัยวะหย่อน อินทรีย์วิการ ความเป็น
                         หนุ่มสาวเสื่อมกำลังถดถอย. สติเป็นต้นเสื่อมโทรม
                         ขาดความเลื่อมใสจากลูกเมียของตน ถึงความอ่อนแอ
                         มากขึ้น. สัตว์ได้รับทุกข์ทางกายทางใจทั้งหมดนั้น
                         เพราะชราเป็นเหตุ ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่าชราเป็นทุกข์.
               แม้เมื่อท่านควรกล่าวพยาธิทุกข์ ในลำดับชราทุกข์ ก็พึงทราบว่า ท่านไม่กล่าว เพราะพยาธิทุกข์ ท่านถือเอาด้วยกายิกทุกข์นั่นเอง.
               ในบทว่า มรณมฺปิ ทุกฺขํ - แม้ความตายก็เป็นทุกข์.
               ความตายมี ๒ อย่าง คือ ความตายที่ท่านกล่าวหมายถึงลักษณะของสังขตะว่า๑๒- ชรามรณะ ท่านสงเคราะห์ด้วยขันธ์ ๒, และที่ท่านกล่าวหมายถึงการขาดชีวิตินทรีย์อันเนื่องกันในภพหนึ่งว่า ความกลัวแต่ความตายเป็นนิจ ในที่นี้ท่านประสงค์เอาความตายนั้น.
____________________________
๑๒- อภิ. ธา. เล่ม ๓๖/ข้อ ๖๗

               ชื่อของความตายนั้น คือ
               ชาติปัจจยมรณะ - ความตายเพราะชาติเป็นปัจจัย,
               อุปักกมมรณะ - ความตายเพราะความพยายาม,
               สรสมรณะ - ตายเพราะสิ้นอายุและกรรม,
               อายุกขยมรณะ - ความตายเพราะสิ้นอายุ,
               บุญญักขยมรณะ - ความตายเพราะสิ้นบุญ.
               พึงทราบประเภทของความตายในที่นี้อีก คือ
               ขณิกมรณะ - ความตายชั่วขณะ,
               สมมติมรณะ - ความตายโดยสมมติ,
               สมุจเฉทมรณะ - ความตายเด็ดขาด.
               ประเภทของรูปธรรมและอรูปธรรมในความเปลี่ยนแปลง ชื่อว่าขณิกมรณะ.
               บทนี้ว่า ติสฺโส มโต, ปุสฺโส มโต - นายติสสะตายแล้ว นายปุสสะตายแล้ว ชื่อว่าสมมติมรณะ เพราะไม่มีสัตว์โดยปรมัตถ์.
               บทนี้ว่า สสฺสํ มตํ, รุกฺโข มโต - ข้าวกล้าตายแล้ว, ต้นไม้ตายแล้ว ชื่อว่าสมมติมรณะ เพราะไม่มีชีวิตินทรีย์.
               กาลกิริยาอันไม่มีปฏิสนธิของพระขีณาสพ ชื่อว่าสมุจเฉทมรณะ. สมมติมรณะและสมุจเฉทมรณะนอกนี้ เว้นสมมติมรณะภายนอก ท่านสงเคราะห์ด้วยการตัดขาดการติดต่อตามที่กล่าวแล้ว.
               มรณะชื่อว่าทุกข์ เพราะเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
                                   วัตถุเป็นที่รักของคนชั่วผู้เห็นนิมิตมีบาปกรรม
                         เป็นต้น ผู้ประสบสิ่งเจริญต้องพลัดพรากไป, ทุกข์
                         ทางใจของคนใกล้ตายโดยไม่แตกต่างกัน ทุกข์ใน
                         สรีระมีโรคลมอันตัดข้อต่อและเส้นเอ็นขาดเป็นต้น
                         ย่อมมีแก่สัตว์ทั้งปวงผู้ถูกทิ่มแทงส่วนสำคัญของ
                         ร่างกาย ย่อมเป็นทุกข์เกิดแต่สรีระ.
                                   ความตายนี้เป็นสิ่งที่ทนไม่ได้ ไม่มีการตอบ-
                         แทน เป็นที่ตั้งของทุกข์, เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าว
                         ว่า ความตายนี้เป็นทุกข์แน่นอน.

               [๘๑] จิตเร่าร้อนมีการเพ่งภายในเป็นลักษณะของผู้ที่ถูกความเสื่อมแห่งญาติเป็นต้นมากระทบ ชื่อว่าความโศก ในบทว่า โสกะ เป็นต้น. ความโศกชื่อว่าเป็นทุกข์ เพราะเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ จากทุกขทุกข์.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
               ความโศกย่อมทิ่มแทงหัวใจของสัตว์ทั้งหลาย ดุจถูกลูกศรอาบยาพิษเจาะ และย่อมแผดเผาอย่างแรงกล้าดุจหลาวเหล็กถูกไฟเผาสังหารอยู่
               ความโศกย่อมนำมาซึ่งพยาธิ ชรา มรณะและการทำลาย แม้ทุกข์หลายอย่าง เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ความโศกเป็นทุกข์.
               ความพร่ำเพ้อของผู้ถูกความเสื่อมจากญาติเป็นต้น มาถูกต้อง ชื่อว่าปริเทวะ. ปริเทวะชื่อว่าเป็นทุกข์ เพราะความเป็นสังขารทุกข์ และเพราะเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
                                   สัตว์ถูกลูกศร คือความโศกกำลังร้องไห้
                         คร่ำครวญ คอ ริมฝีปาก เพดานแห้งผาก เป็น
                         โรคผอมแห้ง, ย่อมได้รับทุกข์อย่างแสนสาหัส
                         ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสปริเทวะ
                         ว่าเป็นทุกข์.
               ทุกข์ชื่อว่าเป็นทุกข์ ได้แก่ ทุกข์ทางกายมีลักษณะบีบคั้นทางใจ,
               อนึ่ง ชื่อว่าทุกข์เป็นทุกข์ เพราะเป็นทุกข์ในทุกข์ และเพราะนำมาซึ่งทุกข์มีในใจ.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ว่า
                         ทุกข์นี้ย่อมบีบคั้นกาย และให้เกิดทุกข์ใจยิ่งขึ้น
                         เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวโดยวิเศษว่า ทุกฺขํ.
               โทมนัสสะเป็นทุกข์ ได้แก่ ทุกข์ทางใจมีลักษณะบีบคั้นทางใจ.
               อนึ่ง โทมนัสสะชื่อว่าเป็นทุกข์ เพราะเป็นทุกขทุกข์ และเพราะนำมาซึ่งทุกข์ทางกาย.
               จริงอยู่ สัตว์ทั้งหลายที่ได้รับทุกข์ทางใจมาก ย่อมเสวยทุกข์มากมายเช่นสยายผมร้องไห้คร่ำครวญ, ขยี้อก, หมุนมาหมุนไป, หกขะเมน, คว้าศัสตรา, ดื่มยาพิษ, แขวนคอ, เข้ากองไฟ,
               ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
                                   เพราะจิตได้รับการบีบคั้น และนำความบีบคั้น
                         แก่กายอีกด้วย, ฉะนั้นท่านจึงกล่าวโทมนัสสะว่าเป็น
                         ทุกข์เพราะความเสียใจ.
               อุปายาสะเป็นทุกข์ ได้แก่ โทสะทำให้เกิดทุกข์ทางใจอย่างยิ่งของผู้ถูกความเสื่อมจากญาติเป็นต้นมาถูกต้อง.
               อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ธรรมข้อหนึ่งอันนับเนื่องด้วยสังขารขันธ์. อุปายาสะชื่อว่าเป็นทุกข์ เพราะเป็นสังขารทุกข์ เพราะเผาผลาญจิต เพราะความอึดอัดทางกาย.
               ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
                                   อุปายาสะเป็นทุกข์ เพราะความเผาผลาญจิต
                         และเพราะความอึดอัดทางกายเป็นอย่างมาก ย่อมยัง
                         ทุกข์ให้เกิด เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า อุปายาสะ
                         เป็นทุกข์.
               อนึ่ง ในบทว่า โสกะ ปริเทวะและอุปายาสะนี้ พึงเห็นว่าโสกะเหมือนน้ำหุงข้าวด้วยไฟอ่อนน้ำข้าวเดือดอยู่ภายในภาชนะ,
               พึงเห็นปริเทวะ เหมือนน้ำหุงข้าวด้วยไฟแรงน้ำข้าวก็เดือดล้นออกนอกภาชนะ,
               พึงเห็นอุปายาสะ เหมือนน้ำข้าวส่วนที่เหลือจากการล้นออกไม่เพียงพอที่จะออกได้ น้ำข้าวที่หุงก็จะหมดสิ้นไปภายในภาชนะนั่นเอง.
               [๘๒] การอยู่ร่วมกับสัตว์และสังขารอันไม่เป็นที่รัก ชื่อว่าอัปปิยสัมปโยคทุกข์. อัปปิยสัมปโยคทุกข์ ชื่อว่าเป็นทุกข์เพราะเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์.
               สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
                                   ทุกข์ครั้งแรกย่อมเกิดในจิต เพราะเห็นสัตว์
                         และสังขารอันไม่เป็นที่รัก หรือทุกข์ที่เกิดเพราะ
                         การทรมาน ย่อมมีในกายนี้.
                                   แม้ทุกข์ทั้งสองนี้โดยวัตถุ ก็เป็นการอยู่ร่วม
                         กับสัตว์และสังขารอันไม่เป็นที่รัก เป็นที่รู้กันว่า
                         พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้แสวงหาคุณยิ่งใหญ่ตรัสว่า
                         การอยู่ร่วมกับสัตว์และสังขารว่าเป็นทุกข์.
               การพลัดพรากจากสัตว์และสังขารอันเป็นที่รัก ชื่อว่าปิยวิปโยคทุกข์. ปิยวิปปโยคทุกข์ ชื่อว่าเป็นทุกข์เพราะเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์.
               สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
                                   คนพาลทั้งหลายเพียบพร้อมด้วยลูกศร คือ
                         ความโศก เพราะการพลัดพรากจากญาติและสมบัติ
                         ย่อมเสียดแทงหัวใจ วิปปโยคทุกข์นี้รู้กันแล้วว่าเป็น
                         ทุกข์.
               ในการไม่ได้สมความปรารถนาพึงทราบความต่อไปนี้
               ความปรารถนาในวัตถุที่ไม่ควรได้ ท่านกล่าวว่า ยมฺปิจฺฉํ น ลภติ, ตมฺปิทุกฺขํ - ความไม่ได้สมความปรารถนาก็เป็นทุกข์.
               อธิบายว่า เมื่อปรารถนาในวัตถุที่ไม่ควรได้โดยธรรมก็ไม่ได้, ความปรารถนานั้นก็เป็นทุกข์. ความไม่ได้สมความปรารถนา ชื่อว่าเป็นทุกข์ เพราะเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์.
               สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
                                   ทุกข์เกิดจากการพิฆาต ย่อมเกิดแก่สัตว์ทั้ง-
                         หลายในโลกนี้โดยที่ไม่ได้สิ่งนั้นๆ ตามปรารถนา.
                         เพราะความปรารถนาวัตถุที่ไม่ควรได้ อันเป็นเหตุ
                         แห่งทุกข์นั้น, ฉะนั้น พระชินเจ้าจึงได้ตรัสถึงความ
                         ไม่ได้สมปรารถนาว่าเป็นทุกข์.
               ในบทว่า สงฺขิตฺเตน ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา - โดยย่ออุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ มีอธิบายดังต่อไปนี้
               บทว่า สงฺขิตฺเตน ท่านกล่าวหมายถึงเทศนา. เพราะไม่สามารถจะย่อทุกข์ได้ว่า ทุกข์ร้อยมีประมาณเท่านี้ ทุกข์พันมีประมาณเท่านี้, แต่เทศนาสามารถจะย่อได้. ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงย่อเทศนาจึงตรัสอย่างนี้ว่า ชื่อว่าทุกข์ ไม่มีอะไรอื่น, โดยย่ออุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์.
               บทว่า ปญฺจ เป็นการกำหนดจำนวน.
               บทว่า อุปาทานกฺขนฺธา ได้แก่ ขันธ์อันเป็นอารมณ์ของอุปาทาน.
                                   พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้คงที่ตรัสถึงทุกข์ที่มีชาติเป็น
                         แดนเกิด ไม่ตรัสถึงทุกข์ทั้งหมด ทุกข์นอกจากนี้ก็ยังมีอยู่.
                                   เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้แสวงหาคุณอัน
                         ยิ่งใหญ่ ทรงแสดงที่สุดของทุกข์ว่า โดยย่ออุปาทานขันธ์
                         เหล่านี้เป็นทุกข์.
               เป็นความจริงดังนั้น ชาติเป็นต้นเบียดเบียนอุปาทานขันธ์ ๕ ด้วยประการต่างๆ ดุจไฟกำจัดเชื้อไฟ, ดุจเครื่องประหารกำจัดเป้า, ดุจเหลือบและยุงเป็นต้นกัดโค, ดุจคนตัดหญ้าทำลายดิน, ดุจโจรปล้นชาวบ้าน, ทำลายชาวบ้าน ฉะนั้น ย่อมเกิดในอุปาทานขันธ์นั่นเอง ดุจหญ้าและเถาวัลย์เกิดบนแผ่นดิน, ดุจดอกไม้ ผลไม้และใบไม้อ่อนเกิดในต้นไม้.
               ชาติเป็นทุกข์ในเบื้องต้นของอุปาทานขันธ์,
               ชราเป็นทุกข์ในท่ามกลาง,
               มรณะเป็นทุกข์ในที่สุด,
               โสกะเป็นทุกข์ถูกเผาผลาญ ด้วยถูกทุกข์ใกล้จะตายเบียดเบียน,
               ปริเทวะเป็นทุกข์ด้วยการพร่ำเพ้อ เพราะทนทุกข์นั้นไม่ได้,
               ทุกขะเป็นทุกข์ด้วยความเจ็บป่วยของกาย เพราะประสบกับสัมผัสอันไม่น่าปรารถนา กล่าวคือธาตุกำเริบ,
               โทมนัสสะเป็นทุกข์ด้วยการรบกวนทางใจ เพราะเกิดปฏิฆะ - ความขึ้งเคียด ในโทมนัสของปุถุชนผู้ถูกโทมนัสนั้นเบียดเบียน,
               อุปายาสะ เป็นทุกข์ด้วยความทอดถอนใจของผู้เกิดความตกต่ำ เพราะความโศกเป็นต้นท่วมท้น.
               การไม่ได้สมความปรารถนาเป็นทุกข์ เพราะทำลายความปรารถนาของผู้ที่ถึงความหมดหวัง, อุปาทานขันธ์ที่ถูกกำหนดโดยประการต่างๆ ด้วยประการฉะนี้ ชื่อว่าทุกข์ เพราะฉะนั้นเพื่อจะแสดงทุกข์นั้นอย่างหนึ่งๆ นำมากล่าว แต่ก็ไม่สามารถจะกล่าวให้หมดสิ้นได้ตั้งหลายกัป, เพื่อแสดงย่อทุกข์ทั้งหมดไว้ในอุปาทานขันธ์ ๕ เป็นบางส่วน ดุจรสน้ำในมหาสมุทรก็ย่อลงในหยาดน้ำเดียวกัน พระเถระจึงได้กล่าวพระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ ด้วยประการฉะนี้.
               พึงทราบวินิจฉัยในบทภาชนีย์ มีอาทิว่า ตตฺถ กตมา ชาติ.
               บทว่า ตตฺถ คือ เมื่อชาติเป็นต้นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วในทุกขสัจนิทเทส.
               บทว่า ยา เตสํ เตสํ สตฺตานํ คือ แสดงถึงสัตว์ไม่น้อยทั่วไปโดยสังเขป.
               เมื่อกล่าวอยู่อย่างนี้ตลอดวันว่า ชาติของเทวทัต, ชาติของโสมทัต สัตว์ทั้งหลายย่อมไม่กำหนดถือเอา, การแสดงความอื่นอีกทั้งหมดก็ย่อมไม่สำเร็จ, แต่ด้วยบทสองบทนี้ สัตว์ไรๆ ก็ไม่กำหนดถือเอา, การแสดงความอื่นอีกอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมไม่สำเร็จก็หามิได้.
               บทว่า ตมฺหิ ตมฺหิ คือ การแสดงถึงหมู่สัตว์ไม่น้อยทั่วไปด้วยคติและชาติ.
               บทว่า สตฺตนิกาเย - ในหมู่สัตว์ทั้งหลาย คือ ในชุมนุมสัตว์ ในที่ประชุมสัตว์.
               บทว่า ชาติ คือ ความเกิด. บทนี้ในที่นี้เป็นปฐมาวิภัตติลงในอรรถสภาวะ แปลว่า ความเกิด.
               บทว่า สญฺชาติ คือ ความเกิดพร้อม.
               บทนี้เพิ่มอุปสัคลงไป แปลว่า ความเกิดพร้อม.
               บทว่า โอกฺกนฺติ คือ ความก้าวลง.
               อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าชาติ ด้วยอรรถว่าความเกิด, ท่านกล่าวว่าชาติ นั้นโดยที่อายตนะยังไม่บริบูรณ์. ชื่อว่าสัญชาติ ด้วยอรรถว่าเกิดพร้อม, ท่านกล่าวสัญชาตินั้นโดยที่อายตนะบริบูรณ์แล้ว. ชื่อว่าโอกกันติ ด้วยอรรถว่าก้าวลง, ท่านกล่าวโอกกันตินั้นด้วยอำนาจของอัณฑชะ - เกิดในไข่ และชลาพุชะ - เกิดในครรภ์. เพราะว่าสัตว์เหล่านั้นก้าวลงสู่รังไข่และถุงกระเพาะ. สัตว์ก้าวลงย่อมถือปฏิสนธิ ดุจเข้าไป, ชื่อว่าอภินิพพัตติ ด้วยอรรถว่าความบังเกิด, ท่านกล่าวอภินิพพัตตินั้นด้วยอำนาจแห่งสังเสทชะ - เกิดจากเถ้าไคล และโอปปาติกะ - เกิดผุดขึ้น เพราะสัตว์เหล่านั้นเป็นผู้ปรากฏเกิดขึ้น,
               นี้เป็นสมมุติกถา - กล่าวโดยสมมติเท่านั้น.
               บัดนี้จะกล่าวโดยปรมัตถ์ว่า ขนฺธานํ ปาตุภาโว อายตนานํ ปฏิลาโภ - ความปรากฏแห่งขันธ์ทั้งหลาย ความกลับได้อายตนะ เพราะโดยปรมัตถ ขันธ์นั่นแลปรากฏ มิใช่สัตว์ปรากฏ.
               อนึ่ง ในบทว่า ขนฺธานํ นี้ พึงทราบการถือเอาแม้ขันธ์ ๕ ในภพแห่งขันธ์ ๕, ขันธ์หนึ่งในภพแห่งขันธ์หนึ่ง, ขันธ์ ๔ ในภพแห่งขันธ์ ๔.
               บทว่า ปาตุภาโว - ความปรากฏ ได้แก่การเกิดขึ้น.
               บทว่า อายตนานํ พึงทราบว่า ท่านสงเคราะห์ด้วยอำนาจอายตนะซึ่งเกิดขึ้นในภพนั้นๆ.
               บทว่า ปฏิลาโภ - การได้เฉพาะ ได้แก่ ความปรากฏในเพราะสันตตินั่นเอง. เพราะว่าอายตนะเหล่านั้นปรากฏ เป็นอันชื่อว่าได้เฉพาะแล้ว.
               บทว่า อยํ วุจฺจติ ชาติ คือ นี้ ท่านกล่าวว่าชาติ.
               พึงทราบวินิจฉัยในชรานิทเทสดังต่อไปนี้
               บทว่า ชรา เป็นปฐมาวิภัตติลงในอรรถสภาวะ แปลว่า ความแก่.
               บทว่า ชีรณตา เป็นอาการนิทเทส แปลว่า ความชำรุด.
               สามบทมีบทว่า ขณฺฑิจฺจํ - ความเป็นผู้มีฟันหักเป็นต้นเป็นกิจนิทเทส - แสดงกิจที่ปรากฏ ในขณะล่วงกาลผ่านวัย, สองบทหลังเป็นปกตินิทเทส - แสดงความเป็นปกติ.
               จริงอยู่ ความนี้ท่านแสดงโดยสภาวะด้วยบทว่า ชรา. เพราะเหตุนั้น บทว่า ขณฺฑิจฺจํ นี้จึงเป็นปฐมาวิภัตติลงในอรรถแห่งสภาวะของชรานั้น.
               ด้วยบทว่า ชีรณตา - ความชำรุดนี้ท่านแสดงโดยอาการ, เพราะเหตุนั้น บทนี้จึงเป็นอาการนิทเทสของชรานั้น.
               ด้วยบทว่า ขณฺฑิจฺจํ นี้ ท่านแสดงโดยกิจ คือความที่ฟันและเล็บหักในเมื่อล่วงกาลผ่านวัยไป.
               ด้วยบทว่า ปาลิจฺจํ - ความเป็นผู้มีผมหงอก นี้ท่านแสดงโดยกิจ คือความที่ผมและขนทั้งหลายหงอก.
               ด้วยบทว่า วลิตฺตจตา - ความเป็นผู้มีหนังเหี่ยว นี้ท่านแสดงโดยอาการ คือความที่เนื้อแห้งเหี่ยวและหนังย่น, เพราะเหตุนั้น ๓ บทของชรานั้นจึงเป็นกิจนิทเทส ในขณะกาลเวลาผ่านไป. ด้วยบททั้ง ๓ นั้นท่านแสดงถึงชราปรากฏ เห็นได้ชัดด้วยแสดงความผิดปกติเหล่านี้. ทางไปของชราปรากฏในฟันเป็นต้น ด้วยความเป็นผู้มีฟันหักเป็นต้น แม้ลืมตาก็รู้ได้.
               อนึ่ง ชรามีความเป็นผู้มีฟันหักเป็นต้น รู้ไม่ได้, เพราะชราจะพึงรู้ด้วยตาไม่ได้. เหมือนทางไปของน้ำ ลมหรือไฟ ย่อมปรากฏ เพราะหญ้าและต้นไม้เป็นต้น โค่นหัก หรือถูกไฟไหม้.
               อนึ่ง ทางไปนั้นไม่ปรากฏ น้ำเป็นต้นเท่านั้นปรากฏ.
               ด้วยบทเหล่านี้ว่า อายุโน สํหานิ อินฺทฺริยานํ ปริปาโก - ความเสื่อมอายุ ความแก่แห่งอินทรีย์ทั้งหลาย คือท่านแสดงตามปกติ กล่าวคือความสิ้นไปแห่งอายุ เพราะอายุเสื่อมยิ่งในขณะกาลเวลาผ่านไปและความแก่แห่งอินทรีย์มีชาติเป็นต้น, เพราะเหตุนั้น พึงทราบว่าบททั้งสองนี้เป็นปกตินิทเทส.
               ในบททั้งสองนั้น เพราะอายุของผู้ถึงชราย่อมเสื่อม ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวชรา โดยผลูปจารนัย - โดยมุ่งผลว่า อายุโน สํหานิ - ความเสื่อมแห่งอายุ ดังนี้.
               อนึ่ง ในเวลาเป็นหนุ่มอินทรีย์มีจักษุเป็นต้นแจ่มใสดี สามารถจะรับวิสัยของตนแม้สุขุมได้โดยง่ายทีเดียว ครั้นถึงชราก็แก่หง่อม ขุ่นมัว หดหู่ ไม่สามารถจะรับวิสัยของตนได้, ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวโดยมุ่งผลว่า อินฺทฺริยานํ ปริปาโก - ความแก่แห่งอินทรีย์ทั้งหลาย. ท่านชี้แจงชราไว้อย่างนี้ แม้ชราทั้งหมดก็มี ๒ อย่าง คือ ปรากฏ ๑ ปกปิด ๑.
               ในชราเหล่านั้น ชราในรูปธรรมมีฟันเป็นต้น เป็นชราปรากฏ เพราะแสดงความเป็นผู้มีฟันหักเป็นต้น, ส่วนชราในอรูปธรรม ชื่อว่าชราปกปิด เพราะไม่แสดงความผิดปรกติเช่นนั้น.
               ในชราปรากฏนั้น ความที่ฟันหักเป็นต้น ย่อมปรากฏเป็นชนิดของฟันเป็นต้นเช่นนั้นเอง. บุคคลเห็นความที่ฟันหักเป็นต้นนั้นด้วยตาแล้วคิดด้วยมโนทวารว่า ฟันเหล่านี้ถูกชราทำลายเสียแล้ว จึงรู้ชรา เหมือนแลดูเขาโคเป็นต้น ที่เขาผูกไว้ในที่มีน้ำแล้วรู้ว่า ข้างล่างมีน้ำ.
               ยังมีชราอีก ๒ อย่าง คือ สวีจิชรา - ชรารู้ง่าย ๑ อวีจิชรา - ชรารู้ยาก ๑.
               ในชรา ๒ อย่างนั้น ชรา ชื่อว่าอวีจิชรา เพราะรู้ความแตกต่างของชนิด ในระหว่างๆ มีแก้วมณี ทอง เงิน แก้วประพาฬ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์เป็นต้นได้ยาก เหมือนรู้สัตว์มีชีวิตในจำพวกมันททสกะ - วัยอ่อน ๑๐ ขวบเป็นต้นได้ยาก, และเหมือนรู้สิ่งไม่มีชีวิตในจำพวกดอกไม้ ผลไม้และใบไม้เป็นต้นได้ยากฉะนั้น.
               อธิบายว่า ได้แก่ นิรันตรชรา - ชราติดต่อกันไป.
               เมื่อกล่าวโดยประการอื่น จากนั้น ชรา ชื่อว่าสวีจิชรา เพราะรู้ความแตกต่างของชนิดเป็นต้นในระหว่างๆ ได้ง่าย.
               ในชรา ๒ อย่างนั้น สวีจิชรา พึงทราบอย่างนี้.
               ด้วยอำนาจของอุปาทินนกะและอนุปาทินนกะ ฟันน้ำนมย่อมขึ้นแก่เด็กเล็กเป็นครั้งแรก แต่ฟันน้ำนมเหล่านั้นไม่มั่นคง. เมื่อฟันน้ำนมหลุดไป ฟันก็ขึ้นอีก. ฟันเหล่านั้นครั้งแรกเป็นสีขาว, ครั้นถูกลมชรากระทบ ก็กลายเป็นสีดำ. ผมครั้งแรกเป็นสีแดง จากนั้นก็เป็นสีดำ จากนั้นก็เป็นสีขาว. ผิวก็มีเลือดฝาด. เมื่อเจริญขึ้นๆ ส่วนที่สีขาวก็ผ่องใส, ส่วนที่สีดำก็ปรากฏเป็นสีดำ, เมื่อถูกลมชรากระทบ ก็มีรอยย่น. ข้าวกล้าในเวลาหว่านก็เป็นสีขาว ภายหลังก็เป็นสีเขียว, เมื่อถูกลม ชรากระทบก็เป็นสีเหลือง. ควรแสดงถึงพืชต้นมะม่วงบ้าง.
               พึงทราบวินิจฉัยในมรณนิทเทสงต่อไปนี้.
               บทว่า จุติ ท่านกล่าวด้วยอำนาจการเคลื่อน. บทนี้เป็นคำกล่าวถึงความเสมอกันของขันธ์ ๑ ขันธ์ ๔ และขันธ์ ๕.
               บทว่า จวนตา - ความเคลื่อน เป็นบทชี้ถึงลักษณะโดยกล่าวถึงภาวะ.
               บทว่า เภโท - ความแตก เป็นบทแสดงถึงการเกิดความแตกของจุติขันธ์.
               บทว่า อนฺตรธานํ - ความหายไป เป็นบทแสดงถึงความไม่มีฐานะ โดยปริยายอย่างใดๆ ของจุติขันธ์ที่แตกแล้ว ดุจหม้อที่แตก.
               บทว่า มจฺจุ มรณํ ได้แก่ ความตาย กล่าวคือถึงความตาย มิใช่ตายชั่วขณะ. มัจจุผู้ทำที่สุด ชื่อว่ากาละ, การทำกาละนั้น ชื่อว่ากาลกิริยา. ด้วยเหตุเพียงนี้ ท่านแสดงถึงความตายโดยสมมติ.
               บัดนี้ เพื่อแสดงโดยปรมัตถ์ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ขนฺธานํ เภโท - ความแตกแห่งขันธ์.
               จริงอยู่ โดยปรมัตถ์ ขันธ์เท่านั้นแตก สัตว์ไรๆ ไม่ตาย. เมื่อขันธ์แตก สัตว์ก็ตาย, จึงมีคำกล่าวว่า เมื่อขันธ์แตก สัตว์ตายแล้ว.
               อนึ่ง ในบทนี้พึงทราบความแตกแห่งขันธ์ ด้วยอำนาจของขันธ์ ๔ และขันธ์ ๕.
               พึงทราบความทอดทิ้งซากศพ ด้วยอำนาจของขันธ์ ๑, พึงทราบความแตกแห่งขันธ์ ด้วยอำนาจของขันธ์ ๔ พึงทราบการทอดทิ้งซากศพ ด้วยอำนาจสองขันธ์ที่เหลือ.
               ถามว่า เพราะเหตุไร?
               ตอบว่า เพราะซากศพ คือรูปกายยังมีอยู่แม้ในสองภพ.
               อีกอย่างหนึ่ง เพราะขันธ์แม้ในชั้นจาตุมหาราชิกายังแตกได้ ย่อมไม่ทอดทิ้งอะไรๆ ไว้, ฉะนั้น ความแตกแห่งขันธ์ด้วยอำนาจขันธ์เหล่านั้นจึงเป็นการทอดทิ้งซากศพไว้ในมนุษย์เป็นต้น.
               อนึ่ง ในบทนี้ ท่านกล่าวถึงมรณะเพราะทำการทอดทิ้งซากศพว่า กเฬวรสฺส นิกฺเขโป - การทอดทิ้งซากศพ.
               ด้วยบทนี้ว่า ชีวิตินฺทฺริยสฺสุปจฺเฉโท - ความขาดแห่งชีวิตินทรีย์.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า ชื่อว่ามรณะ ย่อมมีแก่ผู้ที่ยังมีอินทรีย์ผูกพันอยู่เท่านั้น, ย่อมไม่มีแก่ผู้ที่ไม่มีอินทรีย์ผูกพันอยู่.
               ส่วนบทว่า สสฺสํ มตํ, รุกฺโข มโต - ข้าวกล้าตาย ต้นไม้ตายเป็นเพียงโวหารเท่านั้น. แต่โดยอรรถคำเห็นปานนี้ แสดงถึงความสิ้นไปและความเสื่อมไปของข้าวกล้าเป็นต้นเท่านั้น.
               อีกอย่างหนึ่ง ชาติ ชรา มรณะเหล่านี้ เที่ยวแสวงหาช่องของสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ดุจปัจจามิตรผู้มุ่งร้าย ฉะนั้น.
               เหมือนอย่างว่า ปัจจามิตร ๓ คนของบุรุษเที่ยวคอยหาช่อง. ปัจจามิตรคนหนึ่งพึงกล่าวว่า เราจักกล่าวพรรณนาคุณของป่าโน่น แล้วจักพาบุรุษนั้นไปที่ป่านั้น, เราจะไม่ทำร้ายในบุรุษนี้เลย.
               ปัจจามิตรคนที่สองพึงกล่าวว่า ในเวลาที่ท่านพาบุรุษนี้ไปเราจักโบยทำให้หมดกำลัง, เราจักไม่ทำรุนแรงในบุรุษนี้เลย.
               ปัจจามิตรคนที่สามพึงกล่าวว่า เมื่อท่านโบยบุรุษนี้ ทำให้หมดกำลังแล้ว การเอาดาบตัดศีรษะเป็นภาระของเรา ครั้นปัจจามิตรเหล่านั้นกล่าวอย่างนี้แล้วก็พึงทำตามนั้น.
               การคร่าออกจากแวดวงของเพื่อนและญาติ แล้วให้ไปอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง ดุจปัจจามิตรคนที่หนึ่งกล่าวพรรณนาคุณของป่า แล้วพาบุรุษนั้นไปในป่านั้น พึงทราบว่าเป็นกิจของชาติ,
               การล้มลงในขันธ์ที่เกิดแล้วต้องอาศัยผู้อื่นและนอนพักผ่อนบนเตียง ดุจการโบยของปัจจามิตรคนที่สองแล้วทำให้หมดกำลัง พึงทราบว่าเป็นกิจของชรา.
               การทำให้ถึงสิ้นชีวิต ดุจการเอาดาบที่คมตัดศีรษะของปัจจามิตรคนที่สาม พึงทราบว่าเป็นกิจของมรณะ.
               อีกอย่างหนึ่ง ในบทนี้ ชาติทุกข์ พึงเห็นดุจการเข้าไปสู่ที่มหากันดารอันมีโทษ, ชราทุกข์ พึงเห็นดุจคนที่ไม่มีข้าวและน้ำในที่นั้นหมดกำลังลง, มรณทุกข์ พึงเห็นดุจการถึงความเสื่อมและความพินาศด้วยสัตว์ร้ายเป็นต้นของคนที่หมดกำลัง ผู้หมดความพยายามในการเปลี่ยนอิริยาบถ.
               พึงทราบวินิจฉัยในโสกนิทเทสดังต่อไปนี้
               ชื่อว่า พฺยสนํ เพราะอรรถว่าถึงความพินาศ.
               อธิบายว่า ทอดทิ้งประโยชน์และความสุขนอนซบเซา.
               ความพินาศของญาติทั้งหลาย ชื่อว่า ญาติพฺยสนํ, ความสิ้นญาติเพราะภัยแต่โจรและโรคเป็นต้น ชื่อว่า ญาติวินาโส. ด้วยความพินาศแห่งญาตินั้น.
               บทว่า ผุฏฺฐสฺส - กระทบแล้ว คือท่วมทับ ครอบงำ, ได้แก่ประกอบพร้อม.
               แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
               แต่ความต่างกันมีดังนี้
               ความพินาศแห่งสมบัติ ชื่อว่า โภคพฺยสนํ, อธิบายว่า ความสิ้นสมบัติ ความพินาศแห่งโภคะ ด้วยราชภัยและโจรภัยเป็นต้น.
               ความพินาศ คือ โรคนั้นเอง ชื่อว่า โรคพฺยสนํ.
               จริงอยู่ โรคชื่อว่าพยสนะ เพราะอรรถว่ายังความไม่มีโรคให้พินาศไป.
               ความพินาศแห่งศีล ชื่อว่า สีลพฺยสนํ บทนี้เป็นชื่อของความเป็นผู้ทุศีล.
               ความพินาศ คือทิฏฐินั่นเองเกิดขึ้นแล้วทำสัมมาทิฏฐิให้พินาศ ชื่อว่า ทิฏฺฐิพฺยสนํ - ความพินาศแห่งทิฏฐิ.
               อนึ่ง ในบทนี้ สองบทแรกยังไม่สมบูรณ์,๑๓- สามบทหลังสมบูรณ์แล้ว ถูกกำจัดด้วยไตรลักษณ์.
               อนึ่ง สามบทแรกเป็นกุศลก็ไม่ใช่เป็นอกุศลก็ไม่ใช่. สองบทคือสีลพยสนะและทิฏฐิพยสนะ เป็นอกุศล.
____________________________
๑๓- สองบทแรก คือ ญาติพยสนะ โภคพยสนะ เป็นอนิปผันนะ.

               บทว่า อญฺญตรญฺญตเรน - ความพินาศอื่นๆ คือ เมื่อถูกความพินาศอย่างใดอย่างหนึ่งจับต้องก็ดี เมื่อถูกความพินาศแห่งมิตรและอำมาตย์อย่างใดอย่างหนึ่งไม่จับต้องก็ดี.
               บทว่า สมนฺนาคตสฺส - ประจวบแล้ว คือติดตามอยู่เสมอ ไม่พ้นไปได้.
               บทว่า อญฺญตรญฺญตเรน ทุกฺขธมฺเมน - อันเหตุแห่งทุกข์อื่นๆ คือเหตุเกิดทุกข์เพราะความโศกอย่างใดอย่างหนึ่ง.
               บทว่า โสโก ได้แก่ ความโศกด้วยอำนาจแห่งกิริยาที่โศก.
               บทนี้เป็นปฐมาวิภัตติลงในอรรถแห่งสภาวะของความโศก อันเกิดขึ้นด้วยเหตุเหล่านั้น.
               บทว่า โสจนา - กิริยาที่โศก ได้แก่อาการของความโศก.
               บทว่า โสจิตตฺตํ ได้แก่ ความเป็นผู้โศก.
               บทว่า อนฺโตโสโก ได้แก่ ความโศก ณ ภายใน. บทที่สองเพิ่มอุปสรรคลงไป.
               จริงอยู่ ความโศกนั้น ท่านกล่าวว่า อนฺโตโสโก อนฺโตปริโสโก - ความตรอมตรม ณ ภายใน เพราะความโศกเกิดขึ้นดุจเหี่ยวแห้งตรอมตรม ณ ภายใน.
               บทว่า เจตโส ปริชฺฌายนา - ความเผาจิต ได้แก่ อาการเผาจิต. เพราะความโศกเมื่อเกิดขึ้น. ย่อมเผาจิตดุจไฟเผา. ทำให้พูดได้ว่า จิตของเราถูกเผา, แสงสว่างไรๆ ไม่มีแก่เราเลย.
               ใจมีทุกข์ ชื่อว่า ทุมฺมโน - เสียใจ. ความเป็นผู้เสียใจ ชื่อว่า โทมนสฺสํ.
               ชื่อว่า โสกสลฺลํ ได้แก่ ลูกศรคือความโศก ด้วยอรรถว่าเข้าไปข้างใน.
               พึงทราบในปริเทวนิทเทสดังต่อไปนี้
               ชื่อว่า อาเทโว - ครวญหา ด้วยอรรถว่าเป็นเหตุร้องไห้ครวญหาอย่างนี้ว่าธิดาของฉัน, บุตรของฉันดังนี้.
               ชื่อว่า ปริเทโว - ความคร่ำครวญ ด้วยอรรถว่าเป็นเหตุประกาศคุณความดีแล้วคร่ำครวญ. ท่านกล่าวสองบท สองบทอื่นจากบทนั้นด้วยแสดงถึงอาการของสองบทต้นนั่นเอง.
               บทว่า วาจา คือ คำพูด.
               บทว่า ปลาโป - ความบ่น ได้แก่ คำพูดที่ไร้ประโยชน์ไปเปล่าๆ.
               ชื่อว่า วิปฺปลาโป - ความเพ้อ ด้วยอรรถว่าบ่นเรื่อยเปื่อยไปโดยพูดไปได้หน่อยหนึ่ง แล้วก็พูดอย่างอื่นเป็นต้น.
               บทว่า ลาลปฺโป - ความพูดพร่ำเพรื่อ ได้แก่พูดแล้วพูดอีก.
               อาการพูดพร่ำเพรื่อ ชื่อว่า ลาลปฺปนา - กิริยาที่พูดพร่ำเพรื่อ. ความเป็นผู้พูดพร่ำเพรื่อ ชื่อว่า ลาลปฺปิตตฺตํ.
               พึงทราบวินิจฉัยในทุกขนิทเทสดังต่อไปนี้
               ชื่อว่า กายิกํ - เพราะอาศัยกาย.
               ชื่อว่า อสาตํ - ความไม่สำราญ ด้วยอรรถว่าไม่มีความชื่นฉ่ำ ความไม่สำราญทางใจย่อมใช้ด้วยบทว่ากายิกะ, ความสำราญทางกาย ย่อมใช้ด้วยบทว่า อสาตํ.
               ชื่อว่า ทุกฺขํ ด้วยอรรถว่าถึงความยาก.
               อธิบายว่า ทุกข์นั้นเกิดแก่ผู้ใด ย่อมทำผู้นั้นให้ลำบาก.
               อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ทุกฺขํ เพราะทนได้ยาก.
               บทว่า กายสมฺผสฺสชํ ได้แก่ เกิดแต่กายสัมผัส.
               บทว่า อสาตํ ทุกฺขํ เวทยิตํ - ความไม่สำราญ ความลำบากที่สัตว์เสวยแล้ว ได้แก่ ความไม่สำราญที่สัตว์เสวยแล้ว, ความสำราญที่สัตว์ไม่ได้เสวย, ทุกข์ที่สัตว์เสวยแล้ว, สุขที่สัตว์ไม่ได้เสวย.
               สามบทข้างหน้า ท่านกล่าวเป็นอิตถีลิงค์.
               อสาตา เวทนา น สาตา ทุกฺขา เวทนา น สุขาติ อยเมว ปเนตฺถ อตฺโถ ฯ
               ยํ กายิกํ อสาตํ ทุกฺขํ เวทยิตํ ยา กายสมฺผสฺสชา อสาตา ทุกฺขา เวทนา อิทํ วุจฺจติ ทุกฺขนฺติ เอวํ โยชนา เวทิตพฺพา ฯ

               ในบทนี้มีอธิบายอย่างนี้ว่า ความไม่สำราญเป็นเวทนา, ความสำราญไม่ใช่เวทนา. ทุกข์เป็นเวทนา สุขไม่ใช่เวทนา.
               พึงทราบโยชนา ท่านแก้ไว้อย่างนี้ว่า ความไม่สำราญ ความลำบากอันมีทางกายที่สัตว์เสวยแล้วอันใด. ความไม่สำราญ ทุกขเวทนาอันเกิดแต่กายสัมผัสอันใด นี้ท่านกล่าวว่าทุกข์.
               พึงทราบวินิจฉัยในโทมนัสสนิทเทสดังต่อไปนี้
               ชื่อว่า ทุมฺมโน เพราะอรรถว่าใจเสีย.
               อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ทุมฺมโน เพราะอรรถว่าใจน่าเกลียด เพราะได้รับแต่ความเลวร้าย,
               ความมีใจเสีย ชื่อว่า โทมนสฺสํ.
               ชื่อว่า เจตสิกํ เพราะอาศัยจิต.
               บทว่า เจโตสมฺผสฺสชํ เกิดแต่สัมผัสทางใจ.
               พึงทราบวินิจฉัยในอุปายาสนิทเทสดังต่อไปนี้
               ชื่อว่า อายาโส เพราะอรรถว่าความทุกข์ใจ.
               บทนี้เป็นชื่อของความลำบากใจ อันเป็นไปในอาการใจหายใจคว่ำ.
               ความทุกข์ใจมีกำลัง ชื่อว่า อุปายาโส - ความแค้น. ความเป็นผู้แค้น ชื่อว่า อายาสิตตฺตํ. ความเป็นผู้เคือง ชื่อว่า อุปายาสิตตฺตํ.
               พึงทราบวินิจฉัยในอัปปิยสัมปโยคนิทเทสดังต่อไปนี้
               บทว่า อิธ ได้แก่ ในโลกนี้.
               บทว่า ยสฺส ตัดบทเป็น เย อสฺส.
               บทว่า อนิฏฺฐา - ไม่น่าปรารถนา คือไม่น่าแสวงหา. จะน่าแสวงหาก็ตาม ไม่น่าแสวงหาก็ตาม ยกไว้,
               บทนี้เป็นชื่อของอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ.
               ชื่อว่า อกนฺตา - ไม่น่าใคร่ เพราะอรรถว่าไม่ก้าวเข้าไปในใจ.
               ชื่อว่า อมนาปา - ไม่น่าพอใจ เพราะอรรถว่าไม่น่ารักในใจ หรือไม่เจริญใจ.
               บทว่า รูปา เป็นต้น แสดงถึงสภาวะของบทเหล่านั้น.
               ชื่อว่า อนตฺถกามา เพราะอรรถว่าหวัง คือปรารถนาสิ่งไม่เป็นประโยชน์.
               ชื่อว่า อหิตกามา เพราะอรรถว่าหวัง คือปรารถนาสิ่งไม่เกื้อกูล.
               ชื่อว่า อผาสุกามา เพราะอรรถว่าหวัง คือปรารถนาความไม่ผาสุกอยู่อย่างลำบาก.
               ชื่อว่า อโยคกฺเขมกามา เพราะอรรถว่าไม่หวังความปลอดโปร่ง ความปลอดภัย ความหลุดพ้นจากโยคะ ๔ คือ หวังปรารถนาความมีภัย ความเวียนว่ายตายเกิด ของรูปเป็นต้นเหล่านั้น.
               อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า อนตฺถกามา เพราะไม่หวังสิ่งเป็นประโยชน์ คือความเจริญแห่งศรัทธาเป็นต้น, และเพราะหวังสิ่งไม่เป็นประโยชน์ คือความเสื่อมแห่งศรัทธาเป็นต้นเหล่านั้น.
               ชื่อว่า อหิตกามา เพราะไม่หวังประโยชน์เกื้อกูลอันเป็นอุบายเข้าถึงศรัทธาเป็นต้น และเพราะหวังสิ่งไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล อันเป็นอุบายเข้าถึงความเสื่อมศรัทธาเป็นต้น.
               ชื่อว่า อผาสุกามา เพราะไม่หวังอยู่สบาย, และเพราะหวังอยู่ไม่สบาย.
               ชื่อว่า อโยคกฺเขมกามา เพราะไม่หวังความปลอดภัยใดๆ. และเพราะหวังความมีภัย.
               พึงเห็นความในบทนี้ อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้.
               บทว่า สงฺคติ ได้แก่ การไปร่วมกัน.
               บทว่า สมาคโม ได้แก่ การมาร่วมกัน.
               บทว่า สโมธานํ ได้แก่ การอยู่ร่วมทั้งในเวลายืนเวลานั่งเป็นต้น.
               บทว่า มิสฺสีภาโว ได้แก่ การทำกิจทั้งปวงร่วมกัน.
               บทนี้โยชนาแก้ว่า ด้วยอำนาจสัตว์. แต่พึงถือเอากิจที่ได้ด้วยอำนาจของสังขาร. การอยู่ร่วมกันกับสัตว์หรือสังขารอันไม่เป็นที่รักนั้น โดยอรรถ ชื่อว่าธรรมข้อหนึ่งไม่มี, ท่านกล่าวว่าทุกข์ เพราะความเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์แม้ ๒ อย่างของสัตว์ผู้อยู่ร่วมกันกับสัตว์หรือสังขารอันไม่เป็นที่รัก.
               ปิยวิปปโยคนิทเทส พึงทราบโดยนัยตรงกันข้ามกับที่กล่าวแล้ว.
               ในบทมีอาทิว่า มาตา วา ท่านกล่าวเพื่อแสดงถึงความหวังประโยชน์โดยสรุป.
               ในบทเหล่านั้น ชื่อว่า มาตา เพราะอรรถว่าถนอมรัก.
               ชื่อว่า ปิตา เพราะอรรถว่าประพฤติน่ารัก.
               ชื่อว่า ภาตา เพราะอรรถว่าย่อมคบ.
               ชื่อว่า ภคินี ก็เหมือนกัน.
               ชื่อว่า มิตร เพราะอรรถว่าเป็นที่รัก.
               อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า มิตร เพราะอรรถว่านับไว้ คือวางใจได้ในความลับทั้งปวง
               ชื่อว่า อมัจจา เพราะอรรถว่าเป็นอยู่ด้วยกัน โดยความร่วมกันในกิจที่ควรทำ.
               ชื่อว่า ญาติ เพราะอรรถว่ารู้ คือเข้าใจอย่างนี้ว่า บุคคลนี้เป็นคนภายในของเรา.
               ชื่อว่า สาโลหิตา เพราะอรรถว่าเกี่ยวเนื่องกันทางสายเลือด.
               ญาติ คือคนฝ่ายบิดา, สาโลหิต คือคนฝ่ายมารดา.
               อีกอย่างหนึ่ง ญาติ คือคนฝ่ายมารดาบิดา, สาโลหิต คือคนฝ่ายพ่อผัวแม่ผัว.
               การพลัดพรากจากสัตว์หรือสังขารนี้ โดยอรรถ ชื่อธรรมข้อหนึ่งย่อมไม่มี, ท่านกล่าวว่าทุกข์ เพราะความเป็นที่ตั้งแห่งทุกข์ แม้ ๒ อย่างของสัตว์ผู้พลัดพรากจากสัตว์หรือสังขารอันเป็นที่รักอย่างสิ้นเชิง.
               คำนี้ในบทนี้ เป็นคำในอรรถกถาทั้งหมด.
               ควรจะกล่าวว่าวัตถุอันไม่เป็นที่รักและเป็นที่รัก ต่างจากคำว่า สมฺปโยโค - การอยู่ร่วม และคำว่า วิปฺปโยโค - ความพลัดพราก เพราะสัจธรรมทั้งหลายมีลักษณะเป็นของจริงแท้.
               พึงทราบวินิจฉัยในอิจฉิตาลาภนิทเทสดังต่อไปนี้
               บทว่า ชาติ ธมฺมานํ - สัตว์ทั้งหลายมีความเกิดเป็นธรรมดา ได้แก่ มีความเกิดเป็นสภาพ คือมีความเกิดเป็นปรกติ
               บทว่า อิจฺฉา อุปฺปชฺชติ - ความปรารถนาเกิดขึ้น ได้แก่ตัณหาเกิดขึ้น.
               บทว่า อโห วต คือ ความปรารถนา.
               บทว่า อสฺสาม แปลว่า พึงเป็น.
               บทว่า น โข ปเนตํ อิจฺฉาย ปตฺตพฺพํ ข้อนี้ สัตว์ไม่พึงได้ตามความปรารถนา.
               ข้อที่สัตว์ทั้งหลายปรารถนาความไม่มาแห่งชาติอันมีอยู่ในความดีทั้งหลายเป็นเหตุแห่งความละอย่างนี้ว่า ขอเราอย่ามีชาติเป็นธรรมดา และชาติอย่ามาถึงแก่เราเลย และมีอยู่ในความดับความไม่เกิดเป็นธรรมดา นี้เป็นอันสัตว์ไม่พึงได้ตามความปรารถนา เพราะแม้ผู้ปรารถนาเว้นมรรคภาวนาก็ไม่พึงถึง และเพราะแม้ผู้ไม่ปรารถนาก็พึงถึงได้ด้วยภาวนา.
               บทว่า อิทมฺปิ คือ เอตมฺปิ - แม้ข้อนั้น.
               อปิศัพท์หมายถึงบทที่เหลือข้างหน้า.
               พึงทราบวินิจฉัยในอุปาทานขันธนิทเทสดังต่อไปนี้.
               บทว่า เสยฺยถีทํ เป็นนิบาต,
               ความแห่งบทนั้นว่า หากถามว่า อุปาทานขันธ์เหล่านั้นเป็นไฉน?
               ตอบว่า อุปาทานขันธ์ คือรูปนั่นเอง เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า รูปูปาทานกฺขนฺโธ.
               แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน.

               จบอรรถกถาทุกขสัจนิทเทส               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ๑. ญาณกถา ทุกขสัจนิทเทส จบ.
อ่านอรรถกถา 31 / 0อ่านอรรถกถา 31 / 79อรรถกถา เล่มที่ 31 ข้อ 80อ่านอรรถกถา 31 / 83อ่านอรรถกถา 31 / 737
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=31&A=814&Z=882
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=47&A=3435
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=47&A=3435
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๓  สิงหาคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :