บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] บทว่า ปญฺจ คือการกำหนดจำนวน. บทว่า สีลานิ เป็นการแสดงธรรมที่กำหนดไว้. บทมีอาทิว่า ปริยนฺตปาริสุทฺธิสีลํ - ศีลคือความบริสุทธิ์มีส่วนสุด ได้แก่ แสดงศีล ๕ โดยสรุป. พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า ปริยนฺตปาริสุทฺธิ ดังต่อไปนี้ ความบริสุทธิ์ชื่อว่าปริยันตะ เพราะความบริสุทธิ์มีส่วนสุด คือมีกำหนดด้วยการนับเหมือนผ้า เพราะย้อมด้วยสีเขียว จึงเรียกว่า นีลํ เพราะมีสีเขียว. อีกอย่างหนึ่ง เมื่อศีลสมบูรณ์แล้ว ความบริสุทธิ์ชื่อว่าปริยันตะ เพราะมีที่สุดคืออวสาน เพราะผู้มีศีลยังไม่สมบูรณ์ ปรากฏอวสานแล้ว. อีกอย่างหนึ่ง ควรกล่าวว่า สปริยนฺตา พึง ____________________________ ๑- สํ. ขนฺธ. เล่ม ๑๗/ข้อ ๑๕๕ ความบริสุทธิ์ชื่อว่าปาริสุทธิ, ความบริสุทธิ์นั้นมีส่วนสุด จึงชื่อว่าปริยันตปาริสุทธิ, ศีลคือปริยันตปาริสุทธิ ชื่อปริยันตปาริสุทธิศีล. โดยตรงกันข้ามกับที่กล่าวแล้ว ความบริสุทธิ์ไม่มีส่วนสุด ชื่อว่าอปริยันตะ, ชื่อว่าอปริยันตะ เพราะส่วนสุดของความบริสุทธิ์นั้นไม่มีบ้าง, ส่วนสุดของความบริสุทธิ์นั้นเจริญแล้วบ้าง. ชื่อว่า ปริปุณฺณา - เต็มรอบ ด้วยอรรถว่าไม่หย่อนเป็น ชื่อว่า อปรามัฏฐะ เพราะได้ด้วยทิฏฐิ เพราะทิฏฐิไม่จับต้อง, อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า อปรามัฏฐะ เพราะโจทก์ไม่สามารถจะกล่าวหาได้ว่า นี้เป็นโทษในเพราะศีลของท่าน. ชื่อว่า ปฏิปปัสสัทธิ เพราะสงบความกระวนกระวายทั้งปวง ในขณะอรหัตผล. บทว่า อนุปฺปสมฺปนฺนานํ ชื่อว่าอุปสัมปันนา เพราะถึงพร้อมแล้วเป็นอันมากด้วยศีล ในบทว่า ปริยนฺตสิกฺขาปทานํ - ผู้มีสิกขาบทมีที่สุดนี้ มีอธิบายดังต่อไปนี้ ชื่อว่า สิกฺขา ด้วยอรรถว่าควรศึกษา, ชื่อว่า ปทานิ ด้วยอรรถว่าส่วน, อธิบายว่า ส่วนที่ควรศึกษา. อีกอย่างหนึ่ง กุศลธรรมทั้งหมด ชื่อว่า สิกฺขา เพราะควรปฏิบัติให้ยิ่งด้วยการตั้งอยู่ในศีล, ศีลทั้งหลาย ชื่อว่า ปทานิ ด้วยอรรถว่าเป็นที่ตั้งแห่งสิกขาเหล่านั้น เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่าสิกขาบท เพราะเป็นส่วนแห่งสิกขาทั้งหลาย, ชื่อว่า ปริยันตสิกขาบท เพราะสิกขาบทมีที่สุด. แห่งอนุปสัมบันผู้มีสิกขาบทมีที่สุดเหล่านั้น. อนึ่ง ในบทนี้ ที่สุดมี ๒ อย่าง คือ สิกขาบทมีที่สุด ๑ กาลมีที่สุด ๑. สิกขาบทมีที่สุดเป็นอย่างไร? อุบาสกอุบาสิกามีสิกขาบท ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๘ หรือ ๑๐ ตามที่สมาทาน, สิกข กาลมีที่สุดเป็นอย่างไร? อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายให้ทาน ย่อมสมาทานศีลมีการจัดอาหารเลี้ยงดูกันเป็นที่สุด, ไปวิหารแล้ว ย่อมสมาทานศีล มีวิหารเป็นที่สุด, กำหนดคืนวัน ๑ หรือ ๒ หรือ ๓ หรือยิ่งกว่านั้นแล้วสมาทานศีล นี้ชื่อว่ามีกาลเป็นที่สุด. ในที่สุด ๒ อย่างนี้ ศีลที่สมาทานแล้วทำสิกขาบทให้มีที่สุด ด้วยการก้าวล่วงกาลหรือด้วยความตายย่อมสงบ, ศีลที่สมาทานแล้วทำกาลมีที่สุด ด้วยการก้าวล่วงกาลนั้นย่อมสงบ. บทว่า อปริยนฺตสิกฺขาปทานํ - สิกขาบทไม่มีที่สุด. ท่านกล่าวว่า
ชื่อว่า อปริยนฺตสิกฺขาปทา - สิกขาบทไม่มีที่สุด เพราะอนุปสัมบันมีสิกขาบทไม่มีที่สุด, แห่งอนุปสัมบันผู้มีสิกขาบทไม่มีที่สุดเหล่านั้น. อีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า วุทฺธปริยนฺตสิกฺขาปทานํ - แห่งอนุปสัมบันผู้มีสิกขาบทมีที่สุดเจริญแล้ว. พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า ปุถุชฺชนกลฺยาณกานํ ดังต่อไปนี้ ท่านกล่าวว่า
ศีลของกัลยาณปุถุชน ผู้เป็นปุถุชนมีกัลยาณธรรมตั้งอยู่ในความเป็นกัลยาณปุถุชน ล่วงเลยความเป็นอันธปุถุชนด้วยการประพฤติกัลยาณธรรม. อีกอย่างหนึ่ง ผู้มีกัลยาณธรรมในหมู่ปุถุชน ชื่อว่า ปุถุชฺชนกลฺยาณกานํ. กุสลศัพท์ในบทนี้ว่า กุสลธมฺเม ยุตฺตานํ ย่อมปรากฏในความไม่มีโรค ความไม่มีโทษ ความฉลาดและผลของความสุข. กุสลศัพท์ปรากฏในความไม่มีโรค ในบทมีอาทิว่า๒- กจฺจิ นุ โภโต กุสลํ, กจฺจิ โภโต อนามยํ - ท่านผู้เจริญสบายดีหรือ, มีอนามัยดีหรือ. ปรากฏในความไม่มีโทษ ในบทมีอาทิอย่างนี้ว่า๓- กตโม ปน ภนฺเต กายสมาจาโร กุสโล, โย โข มหาราช กายสมาจาโร อนวชฺโช - ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กายสมาจารเป็นกุศล เป็นไฉน? มหาราช กายสมาจารที่ไม่มีโทษ เป็นกายสมาจารเป็นกุศล. และในบทมีอาทิว่า๔- ปุน จปรํ ภนฺเต เอตทานุตฺตริยํ ยถา ภควา ธมฺมํ เทเสติ กุสเลสุ ธมฺเมสุ - ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ยังมีข้ออื่นอีก ข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมในกุศลธรรมทั้งหลาย นั้นเป็นธรรมไม่มีธรรมอื่นยิ่งไปกว่า. ____________________________ ๒- ขุ. ชา. เล่ม ๒๗/ข้อ ๒๑๓๓ ๓- ม. ม. เล่ม ๑๓/ข้อ ๕๕๔ ๔- ที. ปา. เล่ม ๑๑/ข้อ ๗๕ ปรากฏในความฉลาด ในบทมีอาทิว่า๕- กุสโล ตฺวํ รถสฺส องฺคปจฺจงฺคานํ - ท่านเป็นผู้ฉลาดในส่วนใหญ่น้อยของรถ, และหญิงคล่องแคล่วมีกุศล คือความฉลาดการฟ้อนรำขับร้องที่ศึกษาแล้ว.๖- ปรากฏในวิบากของความสุข ในประโยคมีอาทิว่า๗- กุสลานํ ภิกฺขเว ธมฺมานํ สมาทาน เหตุ, กุสลสฺส กมฺมสฺส กตตฺตา อุปจิตตฺตา.๘- - ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะกุศลธรรมที่ท่านทำแล้ว สะสมแล้ว เพราะเหตุสมาทานกุศลกรรม. กุสลศัพท์ในที่นี้สมควรในความไม่มีโรคบ้าง ในความไม่มีโทษบ้าง ในวิบาก ____________________________ ๕- ม. ม. เล่ม ๑๓/ข้อ ๙๕ ๖- ขุ. ชา เล่ม ๒๘/ข้อ ๔๓๖ ๗- ที. ปา. เล่ม ๑๑/ข้อ ๓๓ ๘- อภิ. สงฺ. เล่ม ๓๔/ข้อ ๓๓๘ ส่วนอธิบายคำในกุสลศัพท์มีดังต่อไปนี้ กุจฺฉิเต ปาปเก ธมฺเม สลยนฺติ จลยนฺติ กมฺเปนฺติ วิทฺธํเสนฺตีติ กุสลา - ชื่อว่ากุศล เพราะอรรถว่าทำลาย ทำให้ไหว ทำให้หวั่นไหว กำจัดธรรมอันลามกน่าเกลียด. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่ากุสา เพราะอรรถว่าย่อมอยู่ คือย่อมเป็นไปโดยอาการอันน่าเกลียด, ชื่อว่ากุศล เพราะอรรถว่าทำลาย คือตัดอาการน่าเกลียดเหล่านั้น, อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่ากุสะ เพราะทำให้เบาบาง โดยทำให้สิ้นสุดซึ่งอาการน่าเกลียดทั้งหลาย ได้แก่ญาณ. ชื่อว่ากุศล เพราะอรรถว่าควรทำลาย ควรถือเอา ควรให้เป็นไปด้วยกุสญาณนั้น, อีกอย่างหนึ่ง เหมือนอย่างว่า หญ้าคาย่อมบาดมือที่ถึงส่วนทั้งสองฉันใด, แม้กุศลธรรมเหล่านี้ก็ย่อมตัดฝ่ายเศร้าหมองที่ถึงส่วนทั้งสอง โดยความที่เกิดแล้วและยังไม่เกิดฉันนั้น, เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่ากุศล เพราะอรรถว่าย่อมตัดดุจหญ้าคาฉะนั้น. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่ากุศล ด้วยอรรถว่าไม่มีโรค ด้วยอรรถว่าไม่มีโทษ หรือด้วยอรรถว่าเกิดเพราะความเป็นผู้ฉลาด. แต่ในที่นี้ เพราะท่านประสงค์เอาวิปัสสนากุศลเท่านั้น, ฉะนั้น เพื่อละธรรมที่เหลือ แล้วแสดงวิปัสสนากุศลเท่านั้น พึงทราบว่า ท่านจึงทำเป็นเอกวจนะในบทว่า กุสลธมฺเม - ในกุศลธรรม. อธิบายว่า ประกอบแล้วในกุศลธรรมคือวิปัสสนา เพราะทำติดต่อกัน และเพราะทำด้วยความเคารพ. ในบทนี้ว่า เสกฺขปริยนฺเต ปริปูรการีนํ - ผู้กระทำให้บริบูรณ์ในธรรมอันเป็นที่สุดของพระเสกขะ มีความดังต่อไปนี้. ชื่อว่า เสกฺขา เพราะเกิดในสิกขา ๓ บ้าง, เพราะธรรมเหล่านี้ของพระเสกขะ ๗ จำพวกบ้าง, เพราะพระเสกขะทั้งหลายย่อมศึกษาด้วยตนเองบ้าง. ได้แก่ ธรรมคือโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกทาคามิมรรค สกทาคามิผล อนาคา ชื่อว่า เสกฺขปริยนฺโต เพราะอรรถว่ามีเสกขธรรมในที่สุด คือในอวสาน, หรือมีเสกขธรรมอันเป็นที่สุด คือมีกำหนด. พึงเชื่อมความว่า ในธรรมอันเป็นที่สุดของพระเสกขะนั้น. ชื่อว่า ปริปูรการิโน เพราะอรรถว่ากัลยาณปุถุชน ย่อมทำกุศลธรรมให้เต็มรอบคือให้บริบูรณ์, หรือกัลยาณปุถุชนมีการทำให้เต็มรอบ คือทำให้บริบูรณ์, ของกัลยาณ ในบทนี้ว่า กาเย จ ชีวิเต จ อนเปกฺขานํ - ผู้ไม่อาลัยในร่างกายและชีวิต มีความดังต่อไปนี้. บทว่า กาเย คือ สรีระ. จริงอยู่ สรีระ ท่านกล่าวว่ากาย เพราะเป็นที่สะสมความไม่สะอาดของร่างกายมีผมเป็นต้นอันน่าเกลียด และเพราะเป็นที่มาหลายร้อยโรคมีจักขุโรคเป็นต้น. บทว่า ชีวิเต ได้แก่ ชีวิตินทรีย์. เพราะว่าชีวิตินทรีย์นั้น ท่านกล่าวว่าชีวิต เพราะอรรถว่าเป็นเหตุให้เป็นอยู่. ชื่อว่า อนเปกฺขา เพราะอรรถว่าไม่มีอาลัยในชีวิต. อธิบายว่า หมดความเยื่อใย. กัลยาณปุถุชนเหล่านั้นผู้ไม่อาลัยในร่างกายและในชีวิตนั้น. บัดนี้ พระสารีบุตร เมื่อจะแสดงเหตุของความเป็นผู้ไม่อาลัยในร่างกายและชีวิตของกัลยาณปุถุชนเหล่านั้น จึงกล่าวว่า ปริจฺจตฺตชีวิตานํ - ผู้สละชีวิตแล้ว. จริงอยู่ กัลยาณปุถุชนเหล่านั้นเป็นผู้ไม่อาลัยในร่างกาย แม้ลำบากในชีวิต แม้อับเฉา ด้วยการสละชีวิตของตนแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า หรือแด่อาจารย์. บทว่า สตฺตนฺนํ เสกฺขานํ - พระเสกขะ ๗ จำพวก ได้แก่พระอริยบุคคล ๗ จำพวกมีท่านผู้ตั้งอยู่ในโสดา บทว่า ตถาคตสาวกานํ ได้แก่ สาวกของพระตถาคต. จริงอยู่ พระอริยบุคคล ๘ จำพวก ชื่อว่าสาวก เพราะอรรถว่าฟังเทศนาการพร่ำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยความเคารพ ด้วยตั้งปสาทะอันไม่หวั่นไหว เพราะเกิดในชาติอันเป็นอริยะในที่สุดของการฟัง. แม้ในพระอริยบุคคลเหล่านั้น พระสารีบุตรเมื่อจะแสดงให้วิเศษในผู้ตั้งอยู่ในอรหัตผลเท่านั้น จึงกล่าวว่า ขีณาสวานํ ดังนี้. อธิบายว่า พระขีณาสพผู้สิ้นอาสวะทั้งปวง ด้วยอรหัตมรรคญาณ. บทว่า ปจฺเจกพุทฺธานํ ชื่อว่าปัจเจก .. อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ๑. ญาณกถา สีลมยญาณนิทเทส |