บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
คำมีอาทิว่า ก็พระเถระนี้ได้กระทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าปางก่อนทั้งหลาย สั่งสมบุญทั้งหลายอันเป็นอุปนิสัยแก่วิวัฏฏะไว้ในภพนั้นๆ ครั้นในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าอโนมทัสสีดังนี้ ได้กล่าวไว้แล้วในเรื่องของพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระ. ความพิสดารว่า จำเดิมแต่วันที่บวชแล้ว ในวันที่ ๗ พระเถระเข้าไปอาศัยบ้าน กัลลวาลคาม ในมคธรัฐ บำเพ็ญสมณธรรมอยู่ เมื่อถีนมิทธะคือความโงกง่วงครอบงำ อันพระศาสดาทรงให้สลดใจด้วยพระดำรัสมีอาทิว่า โมคคัลลานะ ความพยายามของเธออย่าได้ไร้ผลเสียเลย เมื่อได้ฟังธาตุ ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ ครั้นได้บรรลุความเป็นทุติยสาวกอย่างนี้แล้ว ได้ระลึกถึงบุพกรรมของตน เมื่อจะประกาศอปทานอันเป็นบุพจริยาด้วยอำนาจความโสมนัส จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อโนมทสฺสี ภควา ดังนี้. ในคำนั้น ที่ชื่อว่าอโนมทัสสี เพราะมีทัสสนะคือความเห็นไม่ต่ำทราม คือไม่เลวทราม. จริงอยู่ พระองค์มีการเห็นอันกระทำความไม่อิ่มแก่คนผู้มองดูพระองค์อยู่ตลอดทั้งวัน ตลอดทั้งเดือน ตลอดทั้งปี แม้ตลอดแสนปี เพราะพระองค์เป็นผู้มีพระสรีระประดับด้วยมหา อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าอโนมทัสสี เพราะมีปกติเห็นพระนิพพานอันไม่ต่ำทราม คือไม่เลวทราม. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้พระนามว่าอโนมทัสสี เพราะเหตุทั้งหลายมีความเป็นผู้มีภาคยะคือบุญเป็นต้น. บทว่า โลกเชฏฺโฐ ได้แก่เป็นใหญ่ คือเป็นประธานแห่งสัตว์โลกทั้งมวล. ชื่อว่าอาสภะ เพราะเป็นเช่นกับวัวผู้ ผู้ยิ่งใหญ่, ผู้ยิ่งใหญ่แห่งนระทั้งหลาย ชื่อว่านราสภะ. พระผู้มีพระภาคเจ้าอโนมทัสสีผู้เป็นใหญ่แห่งโลก ผู้ยิ่งใหญ่แห่งนระ เชื่อมความต่อกันไปว่า ประทับอยู่ในหิมวันตประเทศ. อธิบายความว่า ในคราวที่ได้กระทำความปรารถนาในวาระที่สอง เพื่อเป็นทุติยสาวกนั้น เราได้บังเกิดเป็นนาคราชมีนามชื่อว่าวรุณ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ในกาลนั้น เราเป็นนาคราชมีนามชื่อว่าวรุณ ดังนี้. บทว่า กามรูปี ได้แก่ มีปกตินิรมิตสิ่งที่ใคร่ได้ตามปรารถนา. บทว่า วิกุพฺพามิ แปลว่า กระทำการแผลงฤทธิ์ได้ต่างๆ. บทว่า มโหทธินิวาสหํ ความว่า ในระหว่างนาคเหล่านี้ คือมัญเชริกนาค ๑ นาคที่อยู่บนแผ่นดิน ๑ นาคที่อยู่บนภูเขา ๑ นาคที่อยู่ในแม่น้ำ ๑ นาคที่อยู่ในสมุทร ๑ เราเป็นนาคอยู่ในสมุทร อาศัยอยู่. อธิบายว่า สำเร็จการอยู่ในห้วงน้ำใหญ่คือในสมุทร. บทว่า สงฺคณิยํ คณํ หิตฺวา ความว่า ละ คือเว้นหมู่นาคซึ่งเป็นบริวารประจำ คือซึ่งเป็นบริวารของตน. บทว่า ตุริยํ ปฏฺฐเปสหํ ความว่า เราเริ่มตั้งดนตรี อธิบายว่า ให้บรรเลงดนตรี. บทว่า สมฺพุทฺธํ ปริวาเรตฺวา ความว่า ในกาลนั้น เหล่านางอัปสรคือนางนาคมาณวิกาทั้งหลาย แวดล้อมพระ บทว่า วชฺชมาเนสุ ตุริเยสุ ความว่า เมื่อดนตรีมนุษย์และดนตรี นาคอันประกอบด้วยองค์ ๕ บรรเลงอยู่. บทว่า เทวตุริยานิ วชฺชยุํ ความว่า เทวดาชั้นจาตุมหาราชก็บรรเลง คือประโคมดนตรีทิพย์. บทว่า อุภินฺนํ สทฺทํ สุตฺวาน ความว่า ได้ทรงฟังเสียงกลองเทวดาและมนุษย์ทั้งสองฝ่าย. อธิบายว่า พระพุทธเจ้าแม้ผู้ทรงเสมอด้วยครูของโลกทั้งสามก็ทรงรู้พร้อม คือทรงทราบ ทรงสดับ. บทว่า นิมนฺเตตฺวาน สมฺพุทฺธํ ความว่า นิมนต์พระสัมพุทธเจ้าพร้อมทั้งหมู่สาวก เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้ แล้วแวดล้อม. บทว่า สกภวนํ ได้แก่ เข้าไปยังนาคพิภพของตน. บทว่า คนฺตฺวา จ อาสนํ ปญฺญาเปตฺวาน ความว่า ให้ปูลาด คือตระเตรียมที่พักกลางคืน ที่พักกลางวัน กุฎี มณฑป ที่นอนและที่นั่ง. บทว่า กาลมาโรจยึ อหํ ความว่า เรากระทำวิธีเบื้องต้นอย่างนี้แล้ว ให้กราบทูล คือให้ทรงทราบเวลาว่า ได้เวลาแล้วพระเจ้าข้า ภัตตาหารเสร็จแล้ว. บทว่า ขีณาสวสหสฺเสหิ ความว่า ในกาลนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น อันพระอรหันต์หนึ่งพันห้อมล้อมแล้ว เป็นนายกของโลก ทรงยังทิศทั้งปวงให้สว่างไสว เสด็จเข้าไปคือเสด็จถึงภพของเรา. เมื่อจะแสดงอาการที่ให้พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เสด็จเข้าไปยังภพของตนแล้ว ให้เสวย จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อุปวิฏฺฐ มหาวีรํ ดังนี้. คำนั้นเข้าใจได้ง่ายมาก. บทว่า โอกฺกากกุลสมฺภโว ความว่า พระศาสดาพระนามว่าโคดมโดยพระโคตร คือโดยอำนาจพระโคตร ทรงอุบัติในราชสกุลอันมาแล้วโดยสืบๆ กันแห่งพระเจ้าโอกกากราช หรืออุบัติในราชสกุลอันปรากฏในชมพูทวีปทั้งสิ้น จักเกิดมีในมนุษยโลก. ด้วยบทว่า โส ปจฺฉา ปพฺพชิตฺวาน นี้ พระศาสดาได้ทรงกระทำการพยากรณ์ว่านาคราชนั้นอันกุศลมูลคือบุญสมภารตักเตือนคือส่งเสริม ในภายหลังคือภพสุดท้ายจึงบวชในพระศาสนา จักเป็นทุติยอัครสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าโคดม. บทว่า อารทฺธวีริโย ได้แก่ มีความเพียรในอิริยาบถทั้งหลายมีการยืนและการนั่งเป็นต้น. บทว่า ปหิตตฺโต แปลว่า มีจิตส่งไปแล้วในพระนิพพาน. บทว่า อิทฺธิยา ปารมึ คโต ความว่า ถึง คือบรรลุถึงความเต็มเปี่ยม คือที่สุดในอธิษฐานฤทธิ์ วิกุพพนฤทธิ์ กัมมวิปากชฤทธิ์เป็นต้น ด้วยพระดำรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาโมคคัลลานะนี้เป็นยอดแห่งภิกษุสาวกของเราผู้มีฤทธิ์. บทว่า สพฺพาสเว ความว่า กำหนดรู้คือรู้ทั่ว ได้แก่รอบด้าน คือละธรรมคือกาม ภพ ทิฏฐิ และอวิชชาทั้งหมด อันได้ชื่อว่าอาสวะ เพราะไหลไป คือเป็นไปทั่วคือรอบด้าน เป็นผู้ไม่มีอาสวะ คือไม่มีกิเลส. บทว่า นิพฺพายิสฺสติ เชื่อมความว่า จักนิพพานด้วยกิเลสปรินิพพานและขันธปรินิพพาน. พระเถระครั้นกล่าวถึงการพยากรณ์ที่ได้ด้วยอำนาจบุญของตนอย่างนี้แล้ว เมื่อจะประกาศจริยาอันลามกอีก จึงกล่าวคำมีอาทิว่า ปาปมิตฺโตปนิสฺสาย ดังนี้. ในคำนั้นมีอธิบายว่า เข้าไปอาศัยคือกระทำปาปมิตรคือมิตรผู้มีบาปคือผู้ลามก ให้เป็นที่อาศัย ได้แก่เป็นผู้เกี่ยวข้องกับปาปมิตรเหล่านั้น. ในข้อนั้นมีอนุบุพพิกถาดังต่อไปนี้. สมัยหนึ่ง พวกเดียรถีย์ประชุมกันปรึกษากันว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกท่านรู้ไหม เพราะเหตุไร ลาภสักการะจึงบังเกิดมากมายแก่พระสมณโคดม. พวกเดียรถีย์กล่าวว่าพวกเราไม่รู้ ก็ท่านเล่า ไม่รู้หรือ. พวกเดียรถีย์กล่าวว่า เออ เรารู้ลาภสักการะเกิดขึ้น เพราะอาศัยภิกษุรูปหนึ่งชื่อโมคคัลลานะ. ด้วยว่าพระโมคคัลลานะนั้นไปยังเทวโลก ถามถึงกรรมที่เหล่าเทวดากระทำ แล้วกลับมาบอกแก่พวกมนุษย์ว่า พวกเขาทำกรรมชื่อนี้จึงได้สมบัติเห็นปานนี้ และถามกรรมแม้ของพวกที่เกิดในนรก แล้วกลับมาบอกแก่พวกมนุษย์ว่าพวกเขาทำกรรมชื่อนี้จึงได้เสวยทุกข์เห็นปานนี้. มนุษย์ทั้งหลายได้ฟังถ้อยคำของพระมหาโมคคัลลานะแล้ว จึงนำไปเฉพาะซึ่งลาภสักการะใหญ่. เดียรถีย์ทั้งหมดได้มีฉันทะเป็นอย่างเดียวกันว่า ถ้าพวกเราอาจฆ่าพระโมคคัลลานะนั้น ลาภสักการะนั้นจักบังเกิดแก่พวกเรา อุบายนี้มีประโยชน์ แล้วคิดกันว่า พวกเราจักกระทำอุบายอย่างใดอย่างหนึ่งฆ่าพระโมคคัลลานะนั้นเสีย จึงชักชวนพวก พวกโจรรับคำเพราะได้ทรัพย์ พากันกล่าวว่า พวกเราจักฆ่าพระเถระ จึงไปล้อมสถานที่อยู่ของพระเถระนั้น. พระเถระรู้ว่าพวกโจรเหล่านั้นล้อมตนอยู่ จึงหนีออกไปทางช่องกุญแจ. พวกโจรไม่เห็นพระเถระในวันนั้น จึงพากันล้อมสถานที่อยู่ของพระเถระนั้นในวันรุ่งขึ้น. พระเถระรู้แล้วจึงทำลายมณฑลช่อฟ้าแล้วเหาะไป. เมื่อเป็นอย่างนั้น พวกโจรเหล่านั้นจึงไม่อาจจับพระเถระทั้งในเดือนต้นและเดือนกลาง แต่เมื่อถึงเดือนหลัง พระเถระรู้ว่ากรรมที่ตนกระทำไว้ชักพามา จึงไม่หลบหนี. พวกโจรประหารพระเถระ ทุบทำลายกระทำกระดูกทั้งหลายให้มีขนาดเมล็ดข้าวสารเป็นประมาณ. ทีนั้น พวกโจรสำคัญพระเถระนั้นว่าตายแล้ว จึงโยนไปบนหลังพุ่มไม้แห่งหนึ่ง แล้วพากันหลีกไป. พระเถระคิดว่า เราจักเฝ้าพระศาสดาถวายบังคมแล้วทีเดียวจึงจักปรินิพพาน แล้วประสานอัตภาพด้วยเครื่องประสานคือฌาน แล้วเหาะไปยังสำนักของพระศาสดา ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว พระศาสดาตรัสว่า เธอจักปรินิพพานหรือโมคคัลลานะ. พระเถระกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ. พระศาสดา. เธอจักไปปรินิพพานที่ไหน. พระเถระ. จะไปยังกาฬศิลาประเทศ พระเจ้าข้า. พระศาสดา. โมคคัลลานะ ถ้าอย่างนั้น เธอกล่าวธรรมแก่เราแล้วจงไปเถิด. เพราะตั้งแต่บัดนี้ไป เราจะไม่มีการเห็นสาวกเช่นท่าน (อีกต่อไป). พระเถระกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักทำอย่างนั้น พระเจ้าข้า. แล้วถวายบังคมพระศาสดา เหาะขึ้นสู่อากาศ กระทำฤทธิ์มีประการต่างๆ เหมือนพระสารีบุตรเถระกระทำในวันปรินิพพาน แล้วกล่าวธรรม ถวายบังคมลาพระศาสดา ไปยังกาฬศิลาประเทศแล้วปรินิพพาน. เรื่องราวนี้ว่า เขาว่า พวกโจรฆ่าพระเถระดังนี้ ได้แพร่สะพัดไปในชมพูทวีปทั้งสิ้น. พระเจ้าอชาตศัตรูได้ทรงประกอบพวกจารบุรุษ เพื่อให้แสวงหาพวกโจร. เมื่อโจรเหล่านั้นดื่มสุราในโรงดื่มสุราอยู่เมาเหล้า โจรคนหนึ่งประหารหลังของโจรคนหนึ่งให้ล้มลงไป. โจรคนนั้นเมื่อจะคุกคามโจรที่ประหารตนนั้น จึงกล่าวว่า แน่ะเจ้าคนแนะนำยาก เหตุไร เจ้าจึงประหารหลังของเราทำให้ล้มลง เฮ้ย! เจ้าโจรร้าย ก็พระมหาโมคคัลลานเถระน่ะ เจ้าประหารก่อนหรือ. โจรผู้ประหารกล่าวว่า ก็เจ้าไม่รู้ว่าข้าประหารก่อนหรือ. เมื่อโจรเหล่านั้นพูดกันอยู่อย่างนี้ว่า ข้าประหาร ข้าประหาร ดังนี้ จารบุรุษเหล่านั้นได้ฟังแล้วจึงจับโจรเหล่านั้นทั้งหมด แล้วกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ. พระราชารับสั่งให้เรียกโจรเหล่านั้นมาแล้วตรัสถามว่า พวกเจ้าฆ่าพระเถระหรือ? พวกโจรกราบทูลว่า พระเจ้าข้า ข้าแต่สมมติเทพ. พระราชา. ใครส่งพวกเจ้ามา. พวกโจร. พวกสมณะเปลือย พระเจ้าข้า. พระราชารับสั่งให้จับพวกสมณะเปลือยทั้ง ๕๐๐ คนแล้วให้ฝังในหลุมประมาณเพียงสะดือที่ท้องสนามหลวง พร้อมกับพวกโจรทั้ง ๕๐๐ คน แล้วให้เอาฟางสุมแล้วให้จุดไฟ. ครั้นทรงทราบว่า คนเหล่านั้นถูกเผาแล้วให้เอาไถเหล็กไถ ให้ทำคนทั้งหมดให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่. ในกาลนั้น ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า พระมหาโมคคัลลานเถระถึงแก่ความตายไม่เหมาะสมแก่ตน. พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ความตายของโมคคัลลานะไม่เหมาะสมแก่อัตภาพนี้เท่านั้น แต่เหมาะสมแท้แก่กรรมที่โมคคัลลานะนั้นทำไว้ในชาติก่อน. อันภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็บุรพกรรมของพระเถระนั้นเป็นอย่างไร พระเจ้าข้า จึงตรัสบุรพกรรมนั้นโดยพิสดารว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล มีกุลบุตรคนหนึ่งในนครพาราณสี กระทำการงานมีการซ้อมข้าวและหุงข้าวเป็นต้นด้วยตนเอง ปฏิบัติบิดามารดา. ทีนั้น บิดามารดาของเขาจึงกล่าวว่า ลูกเอ๋ย เจ้าผู้เดียวกระทำการงานทั้งในบ้านและในป่าลำบาก เราจักนำนางกุมาริกาคนหนึ่งมาให้เจ้า แม้ถูกกุลบุตรนั้นห้ามว่า ข้าแต่คุณพ่อและคุณแม่ ท่านทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ตราบใด ลูกจักบำรุงคุณพ่อและคุณแม่ด้วยมือของตนเองตราบนั้น ดังนี้ ก็ยังอ้อนวอนอยู่แล้วๆ เล่าๆ แล้วนำนางกุมาริกามาให้. กุมาริกานั้นบำรุงบิดามารดาของเขาได้ ๒-๓ วันเท่านั้น ภายหลังไม่ปรารถนาแม้จะเห็นคนทั้งสองนั้น จึงยกโทษว่า ดิฉันไม่อาจอยู่ในที่เดียวกันกับบิดามารดาของท่าน เมื่อกุลบุตรนั้นไม่เชื่อถือถ้อยคำของตน ในเวลาเขาออกไปข้างนอก จึงเอาชิ้นเปลือกปอและฟองข้าวยาคูมาโรยในที่นั้นๆ อันกุลบุตรนั้นมาแล้วถามว่า นี้อะไรกัน. นางจึงกล่าวว่า นี่เป็นกรรมของคนทั้งแก่ทั้งบอดเหล่านี้ เขาเที่ยวกระทำให้สกปรกไปทั่วเรือน ฉันไม่อาจอยู่ในที่เดียวกันกับคนเหล่านี้. เมื่อนางกล่าวอยู่บ่อยๆ อย่างนี้ สัตว์ผู้ได้บำเพ็ญบารมีมาแล้วแม้เห็นปานนี้ ก็แตกกับบิดามารดา. กุลบุตรนั้นจึงกล่าวว่า ช่างเถอะ เราจักรู้กรรมที่จะทำแก่คนเหล่านั้น จึงให้บิดามารดา ในเวลาถึงท่ามกลางดงจึงกล่าวว่า ข้าแต่พ่อ ท่านจงถือเชือก พวกโคจะเดินไปตามความสำคัญของอาญา ในที่นี้มีพวกโจรอยู่ ฉันจะลงเดินไป แล้วให้เชือกในมือของบิดา ตนเองลงเดินไป ได้เปลี่ยนเสียงกระทำให้เป็นเสียงพวกโจรตั้งขึ้น. บิดามารดาได้ยินเสียง สำคัญว่าโจรตั้งขึ้น จึงกล่าวว่า พ่อ พวกโจรตั้งขึ้นแล้ว พวก พระศาสดาครั้นตรัสบุรพกรรมนี้ของพระเถระแล้วจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โมคคัลลานะกระทำกรรมมีประมาณเท่านี้ ไหม้อยู่ในนรกหลายแสนปี ด้วยผลวิบากที่เหลือเพียงนั้น จึงเป็นผู้แหลกละเอียดเพราะทุบอย่างนั้นแหละ แล้วถึงความตายสิ้นร้อยอัตภาพ โมคคัลลานะได้ความตายอันสมควรแก่กรรมของตนอย่างนี้ทีเดียว. ฝ่ายพวกเดียรถีย์ ๕๐๐ กับโจร ๕๐๐ ประทุษร้ายบุตรของเราผู้ไม่ประทุษ เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า บุคคลใดประทุษร้ายคนผู้ไม่ประทุษร้าย ผู้ไม่มีอาชญา ด้วยอาชญา บุคคลนั้นย่อมพลันเข้าถึงฐานะ ๑๐ อย่าง อย่างใด อย่างหนึ่ง คือ ย่อมถึงเวทนาอันหยาบ ๑ ความเสื่อม ๑ ความแตกทำลายแห่งสีรระ ๑ อาพาธหนัก ๑ ความฟุ้งซ่านแห่งจิต ๑ ความขัดข้องแต่พระราชา ๑ การกล่าวตู่อย่างร้ายแรง ๑ ความสิ้นญาติ ๑ ความผุพังแห่งโภคทรัพย์ ๑ อีกอย่างหนึ่ง ไฟผู้ชำระย่อมไหม้เรือนของเขา ๑ เพราะ กายแตกทำลาย คนปัญญาทรามนั้น ย่อมเข้าถึงนรก ดังนี้. บทว่า ปวิเวกมนุยุตฺโต ความว่า ประกอบเนืองๆ คือประกอบแล้ว ได้แก่ประกอบแล้ว ประกอบทั่วแล้วซึ่งความสงัด คือความเป็นผู้เดียวโดยอาการ. บทว่า สมาธิภาวนารโต ความว่า ยินดีแล้ว คือติดแน่นแล้วในการเจริญ บัดนี้ เมื่อจะแสดงบุพจริตด้วยอำนาจบุญสมภารของตน จึงกล่าวคำมีอาทิว่า ธรณิมฺปิ สุคมฺภีรํ ดังนี้. ในคำนั้นมีอนุปุพพิกถาดังต่อไปนี้. บทว่า ปุพฺเพน โจทิโต ความว่า อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตักเตือนแล้ว คือทรงส่งไปแล้ว. บทว่า ภิกฺขุสงฺฆสฺส เปกฺขโต ความว่า เมื่อภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เห็นอยู่. บทว่า มิคารมาตุปาสาทํ ปาทงฺคุฏฺเฐน กมฺปยิ ความว่า เราทำมหาปราสาทอันประดับด้วยเสาพันต้น ซึ่งนางวิสาขามหาอุบาสิกาให้สร้างไว้ในบุพพาราม ให้หวั่นไหวด้วยนิ้วหัวแม่เท้าของตน. ก็สมัยนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในปราสาทตามที่กล่าวแล้วในบุพพาราม พวกภิกษุมากหลายนั่งในปราสาทชั้นบน ไม่คำนึงถึงแม้แต่พระศาสดา เริ่มกล่าวเดรัจฉานกถา พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงสดับดังนั้น ทรงพระประสงค์จะให้พวกภิกษุเหล่านั้นสลดใจแล้ว กระทำให้เป็นภาชนะรองรับพระธรรมเทศนา พระเถระได้ฟังพระดำรัสนั้น ทราบพระอัธยาศัยของพระศาสดา จึงเข้าจตุตถฌานมีอาโปกสิณเป็นอารมณ์ มีอภิญญาเป็นบาท แล้ว ภิกษุเหล่านั้นกลัวตื่นเต้น เพราะกลัวตกปราสาท จึงออกจากปราสาทนั้นแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระศาสดาทรง เนื้อความนี้นั้นพึงแสดงด้วยปาสาทกัมปนสูตร. บทว่า เวชยนฺตปาสาทํ ความว่า เวชยันตปราสาทนั้นสูงพันโยชน์ ประดับ ท่านหมายเอาปราสาทนั้น จึงกล่าวว่า เวชยนฺตปาสาทํ ดังนี้ พระเถระทำเวชยันต ก็สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในบุพพาราม ท้าวสักกเทวราชเข้าไปเฝ้าแล้วทูลถามถึงวิมุตติ คือธรรมเครื่องสิ้นตัณหา. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะคิดอย่างนี้ว่า ท้าวสักกะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทูลถามปัญหาอันประกอบด้วยพระนิพพานอันลึกซึ้งเห็นปานนี้ และพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ทรงแก้ปัญหาแล้ว ท้าวสักกะรู้แล้วจึงเสด็จไป หรือว่าไม่รู้ได้เสด็จไปแล้ว. ถ้ากระไรเราควรไปยัง ในทันใดนั้น พระเถระได้ไปยังภพดาวดึงส์ ทูลถามเนื้อความ ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระเถระผู้มั่นคงด้วยกำลังฤทธิ์ ทำเวชยันตปราสาทให้ไหว ด้วยนิ้วหัวแม่เท้า และทำเทวดาทั้งหลายให้สลดใจแล้ว ดังนี้. ก็เนื้อความนี้พึงแสดงด้วยจูฬตัณหาสังขยวิมุตติสูตร. อาการที่ไหวได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังหมดแล้ว. คำว่า พระเถระนั้นสอบถามท้าวสักกะ ดังนี้ ท่านกล่าวหมายเอาการที่พระเถระถามวิมุตติ คือธรรมเครื่องสิ้นตัณหา ตามที่กล่าวไว้แล้วนั่นแหละ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ผู้มีอายุ ท่านทราบตัณหาขยวิมุตติบ้างไหม ดังนี้. ท้าวสักกะได้พยากรณ์แก่พระเถระนั้นแล้ว. คำนี้ท่านกล่าวหมายเอาว่า เมื่อพระเถระกระทำปราสาทให้ไหวแล้ว ท้าวเธอสลด ก็ในกาลนั้น ท้าวเธอตรัสตามทำนองที่พระศาสดาทรงเทศนาเหมือนกัน. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ท้าวเธอถูกพระเถระถามแล้วจึงพยากรณ์ปัญหาตามเป็นจริง ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สกฺกํ โส ปริปุจฺฉติ ความว่า พระมหาโมคคัลลานเถระถามถึงความที่ตัณหาสังขย ก็คำนี้เป็นคำกล่าวในกาลปัจจุบัน ใช้ในอรรถเป็นอดีตกาล. บทว่า อปาวุโส ชานาสิ ความว่า ผู้มีอายุ พระองค์ทราบบ้างไหม คือทรงทราบหรือ. ด้วยบทว่า ตณฺหกฺขยวิมุตฺติโย นี้ พระเถระทูลถามว่า พระศาสดาทรงแสดงตัณหาสังขย อีกอย่างหนึ่ง ด้วยบทว่า ตณฺหกฺขยวิมุตฺติโย นี้ พระเถระทูลถามถึงการแสดงตัณหาสังขย บทว่า พฺรหฺมานํ ได้แก่ ท้าวมหาพรหม. บทว่า สุธมฺมายาภิโต สภํ ได้แก่ ในสุธรรมาสภา. ก็สุธรรมาสภานี้เป็นสุธรรมาสภาในพรหมโลก ไม่ใช่ในภพดาวดึงส์. ธรรมดา บทว่า อชฺชาปิ เต อาวุโส สา ทิฏฺฐิ, ยา เต ทิฏฺฐิ ปุเร อหุ ความว่า สมณะหรือพราหมณ์ไรๆ ผู้สามารถเพื่อจะเข้าไปยังพรหมโลกนี้ ย่อมไม่มี ในกาลก่อนแต่พระศาสดาเสด็จมาในที่นี้ ทิฏฐิใดได้มีแล้วแก่ท่าน ทำไม แม้วันนี้คือแม้บัดนี้ ทิฏฐินั้นจึงไม่ปราศจากไป. บทว่า ปสฺสสิ วีติวตฺตนฺตํ พฺรหฺมโลเก ปภสฺสรํ ความว่า ท่านเห็นโอภาสของพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมทั้งสาวก อันพระสาวกทั้งหลายมีพระมหากัปปินะและพระมหากัสสปเป็นต้นห้อมล้อม ประทับนั่งเข้าเตโชธาตุ แผ่ไปใน ก็สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทราบความคิดของพรหมผู้นั่งประชุมอยู่ในสุธรรมสภาในพรหมโลกผู้กำลังคิดอยู่ว่า สมณะหรือพราหมณ์ไรๆ ผู้มีฤทธิ์อย่างนี้ มีอยู่หรือหนอ สมณะหรือพราหมณ์นั้นพึงสามารถมาในที่นี้ พระองค์จึงเสด็จไปใน พระมหาโมคคัลลานะเป็นต้นแม้เหล่านั้นก็ได้ไปในที่นั้นพร้อมกับทรงดำริ ถวายบังคม พระศาสดาทรงทราบว่า พรหมเป็นผู้มีจิตพร้อมพรั่งแล้ว จึงทรงแสดงธรรมประกาศสัจจะ ๔. ในเวลาจบเทศนา พรหมหลายพันได้ตั้งอยู่ในมรรคและผลทั้งหลาย. ท่านหมายถึงข้อนั้น เมื่อจะทักท้วงจึงกล่าวคาถาว่า อชฺชาปิ เต อาวุโส สา ทิฏฺฐิ ดังนี้. ก็เนื้อความนี้พึงแสดงด้วยพกพรหมสูตร. สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระเชตวัน อันเป็นอารามของ ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความปริวิตกแห่งใจของพรหมนั้นด้วยใจ จึงทรงอันตรธานหายจากพระเชตวัน ไปปรากฏขึ้นในพรหมโลกนั้น เหมือนบุรุษผู้มีกำลังเหยียดแขนที่คู้ออกไป หรือคู้แขนที่เหยียดเข้ามาฉะนั้น. ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนั่งขัดสมาธิเข้าเตโชธาตุ ในอากาศเบื้องบนของพรหมนั้น. ครั้งนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้มีความคิดดังนี้ว่า บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอ. ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้านั่งขัดสมาธิ เข้าเตโชธาตุ ณ เวหาสเบื้องบนของพรหมนั้น ด้วยจักษุทิพย์อันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์. ครั้นเห็นแล้วจึงอันตรธานหายจากพระเชตวัน ครั้งนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะอาศัยทิศตะวันออก นั่งขัดสมาธิเข้าเตโชธาตุ ณ เวหาสเบื้องบนของพรหมนั้น แต่ต่ำกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า. ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะได้มีความคิดดังนี้ว่า บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอ. ท่านพระมหากัสสปะได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งขัดสมาธิเข้าเตโชธาตุ ณ เวหาสเบื้องบนของพรหมนั้น ด้วยจักษุทิพย์อันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ครั้นได้เห็นแล้วจึงอันตรธานหายจากพระเชตวันไปปรากฏขึ้นในพรหมโลกนั้น เหมือนบุรุษผู้มีกำลัง ฯลฯ คู้แขนที่เหยียดเข้ามาฉะนั้น. ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะอาศัยทิศใต้นั่งขัดสมาธิเข้าเตโชธาตุ ณ เวหาสเบื้องบนของพรหมนั้น แต่ต่ำกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า. ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัปปินะได้มีความคิดดังนี้ว่า บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอ. ท่านพระมหากัปปินะได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งขัดสมาธิเข้าเตโชธาตุ ณ เวหาสเบื้องบนของพรหมนั้น ด้วยจักษุทิพย์อันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ครั้นได้เห็นแล้วจึง ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัปปินะอาศัยทิศตะวันตก นั่งขัดสมาธิเข้าเตโชธาตุ ณ เวหาสเบื้องบนของพรหมนั้น แต่ต่ำกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า. ครั้งนั้นแล ท่านพระอนุรุทธะได้มีความคิดดังนี้ว่า บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอ. ท่านพระอนุรุทธะได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งขัดสมาธิเข้าเตโชธาตุ ณ เวหาสเบื้องบนของพรหมนั้น ด้วยจักษุทิพย์อันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ครั้นเห็นแล้วจึง ครั้งนั้นแล ท่านพระอนุรุทธะอาศัยทิศเหนือ นั่งขัดสมาธิเข้าเตโชธาตุ ณ เวหาสเบื้องบนของพรหมนั้น แต่ต่ำกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า. อถ โข อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน ตํ พฺรหฺมานํ คาถาย อชฺฌภาสิ อชฺชาปิ เต อาวุโส สา ทิฏฺฐิ ยา เต ทิฏฺฐิ ปุเร อหุ ปสฺสสิ วีติวตฺตนฺตํ พฺรหฺมโลเก ปภสฺสรนฺติ ฯ น เม มาริส สา ทิฏฺฐิ ยา เม ทิฏฺฐิ ปุเร อหุ ปสฺสามิ วีติวตฺตนฺตํ พฺรหฺมโลเก ปภสฺสรํ สฺวาหํ อชฺช กถํ วชฺชํ อหํ นิจฺโจมฺหิ สสฺสโตติ ฯ ครั้งนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้กล่าวกะพรหมนั้น ด้วยคาถาว่า ผู้มีอายุ แม้ทุกวันนี้ ท่านก็ยังมีทิฏฐิที่ได้มีมาแล้วใน กาลก่อน ท่านย่อมเห็นรัศมีมีสีเลื่อมพรายแผ่ไปในพรหมโลก. (พรหมกล่าวว่า) ท่านผู้นิรทุกข์ ข้าพเจ้าไม่มีทิฏฐิที่ข้าพเจ้าได้เคยมีมา แล้วในกาลก่อน ข้าพเจ้าเห็นรัศมีสีเลื่อมพรายอันแผ่ไปใน พรหมโลก. วันนี้ข้าพเจ้านั้น ขอกล่าวถ้อยคำว่า เป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน ดังนี้. ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงทำพรหมนั้นให้สลดใจแล้ว ทรงอันตรธานหายจากพรหมโลกนั้น ไปปรากฏในพระเชตวัน เหมือนบุรุษผู้มีกำลัง ฯลฯ ฉะนั้น. ครั้งนั้นแล พรหมนั้นเรียกพรหมปาริสัชชะองค์หนึ่งมาว่า นี่แน่ะ พรหมปาริสัชชะนั้นรับคำพรหมนั้นว่า ได้ ท่านผู้นิรทุกข์. แล้วเข้าไปหา ลำดับนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้กล่าวกะพรหมปาริสัชชะนั้นด้วยคาถาว่า เหล่าสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ มีวิชชา ๓ บรรลุอิทธิฤทธิ์ ฉลาดในการกำหนดจิตของผู้อื่น มีมากหลาย ดังนี้. ลำดับนั้นแล พรหมปาริสัชชะนั้นเพลิดเพลินอนุโมทนาภาษิตของท่านพระมหาโมคคัลลานะ แล้วเข้าไปหาพรหมนั้นจนถึงที่อยู่ ครั้นเข้าไปหาแล้วกล่าวคำนั้นว่า ท่านผู้นิรทุกข์ พระ เหล่าสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ มีวิชชา ๓ บรรลุอิทธิฤทธิ์ ฉลาดในการกำหนดจิตของผู้อื่น มีมากหลาย ดังนี้. พรหมปาริสัชชะนั้นได้กล่าวดังนี้แล้ว และพรหมนั้นดีใจ เพลิดเพลินภาษิตของพรหมปาริสัชชะนั้น ฉะนี้แล. ท่านหมายถึงเรื่องราวดังกล่าวนี้ จึงกล่าวว่า ก็เนื้อความนี้พึงแสดงโดยพกพรหมสูตร. ด้วยบทว่า มหาเนรุโน กูฏํ นี้ ท่านกล่าวถึงขุนเขาสิเนรุทั้งสิ้นทีเดียว โดยจุดเด่นคือยอด. บทว่า วิโมกฺเขน อปสฺสยิ มีอธิบายว่า เห็นแล้วด้วยวิโมกข์อันสัมปยุตด้วยฌาน คืออภิญญาอันเป็นที่อาศัย. บทว่า วนํ ได้แก่ ชมพูทวีป. จริงอยู่ ชมพูทวีปนั้น ท่านเรียกวนะ เพราะมีป่ามากหลาย. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ชมฺพุมณฺฑสฺส อิสฺสโร ผู้เป็นใหญ่แห่งชมพูมัณฑประเทศ. บทว่า ปุพฺพวิเทหานํ ได้แก่ ปุพพวิเทหสถาน คือปุพพวิเทหทวีป. บทว่า เย จ ภูมิสยา นรา ความว่า พวกมนุษย์ชาวอปรโคยานทวีปและอุต จริงอยู่ นระเหล่านั้น ท่านเรียกว่าภูมิสยะ นอนบนพื้นดิน เพราะไม่มีเรือน. เชื่อมความว่า นรชนแม้เหล่านั้นทั้งหมดไม่เห็นอยู่. ก็เนื้อความนี้พึงแสดงด้วยการทรมานนันโทปนันทนาคราช. ได้ยินว่า สมัยนั้น อนาถบิณฑิกคฤหบดีได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทูลนิมนต์ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อพระองค์จงรับภิกษาหารในเรือนของข้าพระองค์ พร้อมกับภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ ในวันพรุ่งนี้ ดังนี้ แล้วหลีกไป. ก็ในวันนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูหมื่นโลกธาตุในเวลาใกล้รุ่ง นาคราชชื่อว่านันโทปนันทะมาสู่คลองในมุขแห่งพระญาณ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรำพึงว่า นาคราชนี้มาสู่คลองในมุขแห่งญาณของเรา จักมีอะไรหนอ ก็ได้ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งสรณคมน์ จึงทรงรำพึงว่า นาคราชนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ใครหนอจะพึงปลดเปลื้องนาคราชนี้จากมิจฉาทิฏฐิ ดังนี้ ก็ได้ทรงเห็นพระมหาโมคคัลลานะ. ลำดับนั้น เมื่อราตรีสว่างแล้ว พระองค์ทรงกระทำการปฏิบัติพระสรีระแล้ว ตรัสเรียกพระอานนท์ผู้มีอายุมาว่า อานนท์ เธอจงบอกภิกษุทั้ง ๕๐๐ ว่า พระตถาคตจะเสด็จจาริกไปในเทวโลก. ก็วันนั้น พวกนาคจัดแจงพื้นที่สำหรับดื่มของนันโทปนันทนาคราช. นาค ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำโดยประการที่นาคราชจะแลเห็น จึงเสด็จมุ่งพระพักตร์ไปยังดาวดึงส์เทวโลก ทางเหนือวิมานทองนาคราชนั้นนั่นแหละ พร้อมกับภิกษุ ๕๐๐. ก็สมัยนั้น นันโทปนันทนาคราชเกิดทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้ว่า ก็พวกสมณะโล้นชื่อเหล่านี้เข้าไปยังภพของเทวดาชั้นดาวดึงส์ก็ดี ทางเบื้องบนภพของเรา บัดนี้ ตั้งแต่นี้ไป เราจักไม่ให้พวกสมณะโล้นเหล่านี้โปรยละอองเท้าบนกระหม่อมของเราทั้งหลายไป. จึงลุกขึ้นไปยังเชิงภูเขาสิเนรุ ละอัตภาพนั้น เอาขนดวงภูเขาสิเนรุ ๗ รอบ แผ่พังพานไว้เบื้องบนแล้วเอาพังพานคว่ำลงยึดภพดาวดึงส์ไว้ ให้ถึงการแลไม่เห็น. ครั้งนั้นแล ท่านพระรัฏฐปาละได้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อก่อน ข้าพระองค์ยืนที่ประเทศนี้แลเห็นภูเขาสิเนรุ แลเห็นภูเขาล้อมเขาสิเนรุ เห็นภพดาวดึงส์ เห็น พระศาสดาตรัสว่า รัฏฐปาละ นาคราชชื่อนันโทปนันทะนี้โกรธพวกเธอ จึงเอาขนดวงภูเขาสิเนรุ ๗ รอบ ให้ปิดเบื้องบนด้วยพังพาน กระทำให้มืด. พระรัฏฐปาละกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงอนุญาตพระรัฏฐปาละนั้น. ครั้งนั้นแล ภิกษุแม้ทั้งปวง คือท่านพระภัททิยะ ท่านพระราหุล ต่างลุกขึ้นโดยลำดับ. พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงอนุญาต. ในที่สุดพระมหาโมคคัลลานเถระกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตว่า โมคคัลลานะ เธอจงทรมาน. พระเถระละอัตภาพนั้น แล้วนิรมิตเพศนาคราชใหญ่ แล้วเอา ลำดับนั้น นาคราชจึงโพลงเป็นไฟ. ฝ่ายพระเถระก็กล่าวว่า ไม่ไช่จะมีไฟในสรีระของท่านเท่านั้น แม้ของเราก็มี แล้วโพลงไฟ. ไฟของนาคราชไม่เบียดเบียนพระเถระ แต่ไฟของพระเถระเบียดเบียนนาคราช. นาคราชคิดว่า สมณะนี้กดเรากับภูเขาสิเนรุ บังหวนควันและโพลงไฟ จึงสอบถามว่า ผู้เจริญ ท่านเป็นใคร? พระเถระตอบว่า นันทะ เราแลเป็นโมคคัลลานะ. นาคราชกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ท่านจงดำรงอยู่โดยภิกขุภาวะแห่งตนเถิด. พระเถระจึงละอัตภาพนั้นแล้ว เข้าไปทางช่องหูขวาของนาคราชนั้น |