บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อปทานของท่านพระวังคีสเถระมีคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน ดังนี้. แม้พระเถระรูปนี้ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ท่านได้บังเกิดในตระกูล ในพุทธุปบาทกาลนี้ เขาได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในกรุงสาวัตถี เพราะมีปริพาชิกาเป็นมารดา ในกาลต่อมาจึงได้ปรากฏว่า ปริพาชก และมีชื่อว่าวังคีสะ เล่าเรียนไตรเพทแล้ว เพราะไตรเพทนั้นจึงทำอาจารย์ให้ยินดี ได้ศึกษามนต์ชนิดที่สามารถจะรู้ได้ด้วยหัวกะโหลก เอาเล็บดีดหัวกะโหลกแล้วย่อมรู้ว่า สัตว์ผู้นี้ได้บังเกิดในกำเนิดโน้น. พวกพราหมณ์พากันคิดว่า อาชีพนี้เป็นทางเครื่องเลี้ยงชีวิตของพวกเรา จึงพาวังคีสะนั้นท่องเที่ยวไปในหมู่บ้าน ตำบลและตัวมือง. วังคีสะประกาศให้ผู้คนนำเอาศีรษะ เฉพาะของพวกคนผู้ตายไปแล้ว ภายในขอบเขต ๓ ปีมาแล้วเอาเล็บดีด เขาอาศัยมนต์อันนั้นย่อมได้เงิน ๑๐๐ กหาปณะบ้าง ๑,๐๐๐ กหาปณะบ้างจากมือของมหาชน. พวกพราหมณ์อาศัยวังคีสะพากันเที่ยวไปแล้วตามความสบายใจ. วังคีสะได้สดับพระคุณทั้งหลายของพระศาสดาแล้ว ได้มีความประสงค์จะเข้าไปเฝ้าพระศาสดา. พวก วังคีสะไม่เชื่อคำของพราหมณ์เหล่านั้น เข้าไปเฝ้าพระศาสดา กระทำการปฏิสันถารแล้ว นั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง. พระศาสดาตรัสถามเขาว่า วังคีสะ เธอรู้ศิลปะอะไรบ้าง. วังคีสะกราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ใช่แล้ว ข้าพระองค์ รู้มนต์อย่างหนึ่งชื่อว่ามนต์สำหรับดีดหัวกะโหลก โดยการที่ข้าพระองค์เอาเล็บดีดศีรษะแม้ของคนที่ตายแล้วภายในระยะเวลา ๓ ปี ก็จะรู้ถึงที่ที่เขาไปบังเกิดแล้วได้. ลำดับนั้น พระศาสดารับสั่งให้ภิกษุนำเอาศีรษะของผู้ที่บังเกิดในนรก ๑ ศีรษะ ศีรษะของคนที่บังเกิดในหมู่มนุษย์ ๑ ศีรษะ ศีรษะของผู้บังเกิดในหมู่เทวดา ๑ ศีรษะ ศีรษะของผู้ปรินิพพานแล้ว ๑ ศีรษะให้แสดงแก่วังคีสะนั้น. เขาดีดศีรษะที่ ๑ แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สัตว์ผู้นี้ไปบังเกิดในนรก. พระศาสดาตรัสว่า ดีละ วังคีสะ เธอเห็นแล้วด้วยดี แล้วตรัสถามอีกว่า สัตว์ผู้นี้ไปบังเกิดที่ไหน? วังคีสะกราบทูลว่า ในมนุษยโลก พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสถามอีกว่า ได้กราบทูลที่บังเกิดของสัตว์ทั้ง ๓ ได้อย่างถูกต้อง. แต่เมื่อเอาเล็บดีดศีรษะของผู้ปรินิพพานแล้ว ก็ไม่เห็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย. ลำดับนั้น พระศาสดาจึงตรัสถามเขาว่า วังคีสะไม่สามารถหรือ? วังคีสะกราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระองค์คอยดูนะ ขอให้ข้า ลำดับนั้น เหงื่อได้ไหลออกจากศีรษะของเขาแล้ว. เขาละอายใจได้แต่นิ่งเงียบไป. ลำดับนั้น พระศาสดาจึงได้ตรัสกะเขาว่า ลำบากใจนักหรือ วังคีสะ. วังคีสะกราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ใช่แล้ว ข้า พระศาสดาตรัสว่า วังคีสะ เรารู้ถึงศีรษะนี้ได้อย่างดี เรารู้ยิ่งกว่านี้ ดังนี้แล้วได้ตรัสพระคาถา ๒ คาถานี้ว่า ผู้ใดรู้การจุติและการอุบัติของปวงสัตว์ได้ทั้งหมด เรากล่าวผู้นั้น ซึ่งไม่ขัดข้อง ไปดีแล้ว รู้แล้วว่า เป็นพราหมณ์. เทวดา คนธรรพ์และหมู่มนุษย์ ไม่รู้ทางไปของผู้ใด เรากล่าว ผู้นั้น ผู้สิ้นอาสวะ เป็นพระอรหันต์ ว่าเป็นพราหมณ์ ดังนี้. วังคีสะนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ถ้าเช่นนั้นขอพระองค์จงประทานวิชานั้นให้แก่พระองค์เถิดแล้ว แสดงความเคารพนั่งเฝ้าพระศาสดาแล้ว. พระศาสดาตรัสว่า เราจะให้แก่คนที่มีเพศเสมอกับเรา. วังคีสะคิดว่า เราควรทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วเรียนมนต์นี้ให้ได้ จึงเข้าไปหาพวกพราหมณ์พูดว่า เมื่อเราออกบวช พวกท่านก็อย่าคิดอะไรเลย เราเรียนมนต์แล้วจักได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในชมพูทวีปทั้งสิ้น แม้พวกท่านก็จักมีชื่อเสียงไปกับเรานั้นด้วย. วังคีสะนั้นเข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้ว ทูลขอบวชเพื่อต้องการมนต์. ก็ในเวลานั้น พระนิโครธกัปปเถระอยู่ในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสั่งเธอว่า นิโครธกัปปะ เธอจงบวชวังคีสะผู้นี้ด้วยเถิด ดังนี้แล้วทรงบอก (สมถะ) กัม พระวังคีสะนั้น เมื่อกำลังสาธยายกัมมัฏฐานคืออาการ ๓๒ อยู่ ก็เริ่ม พระวังคีสะตอบว่า ใช่ เราเล่าเรียนจบแล้ว. พวกพราหมณ์กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นท่านจงมา พวกเราจักไปกัน ประโยชน์อะไรด้วยการศึกษาศิลปะ. พระวังคีสะตอบว่า พวกท่านจงไปกันเถิด เราไม่มีกิจที่จะพึงทำร่วมกับพวกท่าน. พวกพราหมณ์กล่าวว่า บัดนี้ ท่านตกอยู่ภายใต้อำนาจของพระสมณ พระวังคีสะเจริญวิปัสสนาแล้วกระทำให้แจ้งพระอรหัต. พระเถระบรรลุพระอรหัตแล้วอย่างนั้น ก็ระลึกถึง ข้าพเจ้าจักพรรณนาเฉพาะบทที่มีเนื้อความยากเท่านั้น. บทว่า ปภาหิ อนุรญฺชนฺโต ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า บทว่า เวเนยฺยปทุมานิ โส ความว่า พระอาทิตย์คือพระ บทว่า เวสารชฺเชหิ สมฺปนฺโน ความว่า สมบูรณ์ พรั่งพร้อมคือประกอบพร้อมแล้วด้วยจตุ สมความที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า :- พระพุทธเจ้าทรงแกล้วกล้าเป็นอย่างดีในฐานะ ๔ เหล่านี้คือ ในเมื่อมีอันตราย ในธรรมเครื่องนำออก จากวัฏฏะ ในความเป็นพระพุทธเจ้าและในการทำ อาสวะให้สิ้นไป ดังนี้. บทว่า วาคีโส วาทิสูทใน ความว่า เป็นใหญ่คือเป็นประธานของ พึงทราบว่า ควรจะกล่าวว่า วาทีโส แต่กล่าวไว้อย่างนั้น เพราะทำ ท อักษรให้เป็น ค อักษร. ชื่อว่าวาทิสูทนะ เพราะทำอรรถะของตนให้เป็นอรรถะอื่น คือให้ไหลออก ได้แก่ทำให้ชัดเจน. บทว่า มารมสนา มีวิเคราะห์ว่า ชื่อว่ามารมสนะ เพราะถูกต้อง ลูบคลำ ทำลายมาร ๕ มีขันธมารเป็นต้นได้. บทว่า ทิฏฐิสูทนา มีวิเคราะห์ว่า ชื่อว่าทิฏฐิสุทนะ เพราะความเห็นทิฏฐิคือจริงตามที่โลกกล่าว ย่อมหลั่งไหลออก คือแสดงถึงความไหลออก. บทว่า วิสฺสามภูมิ สนฺตานิ ความว่า ภูมิเป็นที่พัก ที่เป็นที่หยุดอยู่ ได้แก่ที่เป็นที่เข้าไปสงบของสัตว์ผู้ต้องสืบต่อ ผู้ลำบากอยู่ใน บทว่า ตโตหํ วิหตารมฺโภ ความว่า เพราะได้เห็นพระ คำที่เหลือมีเนื้อความพอจะรู้ได้โดยง่ายทีเดียวแล. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๕. ภัททิยวรรค ๔. วังคีสเถราปทาน จบ. |