ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 33.1 / 1อ่านอรรถกถา 33.1 / 135อรรถกถา เล่มที่ 33.1 ข้อ 136อ่านอรรถกถา 33.1 / 137อ่านอรรถกถา 33.1 / 180
อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๕. ภัททิยวรรค
๖. กาฬุทายีเถราปทาน

               ๕๔๖. อรรถกถากาฬุทายีเถราปทาน               
               พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ ๖ ดังต่อไปนี้ :-
               อปทานของท่านพระกาฬุทายีเถระมีคำเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน ดังนี้.
               แม้พระเถระรูปนี้ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพนั้นๆ.
               ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ท่านได้บังเกิดในเรือนอันมีสกุล ในหังสวดีนคร ได้บรรลุนิติภาวะแล้ว ขณะฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา มองเห็นภิกษุรูปหนึ่งซึ่งพระศาสดาทรงสถาปนาเธอไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าพวกภิกษุผู้ทำสกุลให้เลื่อมใสแล้ว เร่งกระทำบุญกรรมสะสมไว้เพื่อได้ตำแหน่งนั้น ได้ปรารถนาตำแหน่งนั้นแล้ว.
               ถึงแม้พระศาสดาก็ได้ทรงพยากรณ์แล้ว.
               เขาได้บำเพ็ญกุศลกรรมไว้จนตลอดชีวิตแล้ว ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ในวันที่พระโพธิสัตว์ของพวกเราถือปฏิสนธิในครรภ์มารดา (เขาก็) จุติจากเทวโลกแล้ว ได้ถือปฏิสนธิในตระกูลอำมาตย์ในกรุงกบิลพัสดุ์นั่นเอง.
               เขาได้เกิดในวันเดียวกันกับพระโพธิสัตว์ทีเดียว ในวันนั้นนั่นเอง มารดาบิดาให้เขานอนบนที่นอนที่ทำด้วยผ้าเนื้อดีชนิดหนึ่งแล้วพาไปสู่ที่บำรุงของพระโพธิสัตว์.
               จริงอยู่ ต้นโพธิพฤกษ์ มารดาของพระราหุล ขุมทรัพย์ ๔ แห่ง ช้างทรง ม้ากัณฐกะ นายฉันนะและกาฬุทายีอำมาตย์ รวม ๗ อย่างเหล่านี้ได้เป็นสหชาติกับพระโพธิสัตว์ เพราะเกิดในวันเดียวกัน.
               ครั้นถึงวันตั้งชื่อ มารดาบิดาได้ตั้งชื่อเขาว่าอุทายี เพราะเหตุที่เขาเกิดในวันที่ชาวพระนครทั้งสิ้นมีจิตเบิกบาน. แต่กลับปรากฏชื่อว่ากาฬุทายี เพราะเขามีธาตุดำไปหน่อย. เขาเมื่อจะเล่นตามประสาเด็กๆ ก็เล่นกับพระโพธิสัตว์ ได้ถึงความเจริญวัยแล้ว.
               ในกาลต่อมา เมื่อพระโลกนาถเจ้าเสด็จออกสู่พระมหาภิเนษกรมณ์ ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณตามลำดับแล้ว ทรงอาศัยพระนครราชคฤห์ ประกาศพระธรรมจักรอันประเสริฐให้เป็นไปแล้ว ประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร พระเจ้าสุทโธทนมหาราชได้ทรงทราบความเป็นไปนั้นแล้ว ทรงสั่งอำมาตย์คนหนึ่งซึ่งมีบริวาร ๑,๐๐๐ คนไปด้วยพระดำรัสว่า เธอจงไปนำลูกของเรามาในพระราชวังนี้เถิด.
               ในเวลาที่พระศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนา เขาก็ได้เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ยืนอยู่ที่ท้ายบริษัท ฟังพระธรรมเทศนาแล้ว พร้อมด้วยบริวาร ก็ได้บรรลุพระอรหัตแล้ว.
               ลำดับนั้น พระศาสดาทรงเหยียดพระหัตถ์ตรัสกะคนเหล่านั้นว่า พวกเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด. ในบัดดลนั้นเอง ชนทั้งหมดได้ทรงบาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ ได้เป็นเช่นกับพระเถระมีพรรษาตั้ง ๖๐ พรรษา.
               ตั้งแต่ได้บรรลุพระอรหัตแล้ว ธรรมดาว่าพระอริยทั้งหลายย่อมเป็นผู้วางตนเป็นกลาง เพราะฉะนั้น ข่าวสารที่พระราชาทรงส่งไปจึงมิได้กราบทูลให้พระทศพลได้ทรงทราบ.
               พระราชาตรัสว่า เขาไปแล้วไม่ยอมกลับมา ไม่ได้รับข่าวสารกันเลย จึงทรงส่งอำมาตย์อีกคนหนึ่งพร้อมด้วยบริวาร ๑,๐๐๐ คนไปอีก. ถึงจะทรงส่งไปอีกคนหนึ่งก็คงปฏิบัติดำเนินตามอำมาตย์นั้นดังนั้น ทรงส่งไปโดยนัยนี้จึงรวมอำมาตย์ได้ถึง ๙ คน บริวารของอำมาตย์รวมได้ ๙,๐๐๐ คน.
               ชนทั้งหมดไปแล้วพอบรรลุพระอรหัตแล้ว ก็ได้เป็นผู้นิ่งเฉยเสีย.
               ลำดับนั้น พระราชาทรงพระดำริว่า ชนทั้งหลายมีประมาณเท่านี้มิได้กราบทูลคำอะไรๆ เพื่อการเสด็จมาในพระราชวังนี้แด่พระทศพล เพราะไม่ได้มีความเยื่อใยในเราเลย แต่อุทายีคนนี้แลมีวัยเสมอกันกับพระทศพล เคยเล่นฝุ่นด้วยกัน และมีความเยื่อใยในเราแท้ เราจักส่งอุทายีนี้ไป.
               ลำดับนั้น พระราชาทรงมีรับสั่งให้เรียกอุทายีนั้นมาแล้ว ตรัสว่า พ่อคุณเอ๋ย พ่อจงพาบริวาร ๑,๐๐๐ คนไป นิมนต์พระทศพลมาในพระราชวังนี้เถิด ดังนี้แล้ว จึงทรงส่งไปแล้ว.
               ก็อุทายีนั้น เมื่อจะไปจึงกราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่สมมติเทพ ถ้าหากว่าข้าพระองค์จักได้บวชไซร้ ข้าพระองค์ก็จักนิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้ามาในพระราชวังนี้ให้จงได้ ดังนี้แล้ว พระราชาตรัสว่า แม้เจ้าบวชแล้ว จงชี้แจงกะบุตรของเราด้วย ดังนี้.
               เขาจึงไปยังพระนครราชคฤห์ ในเวลาที่พระศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนา จึงยืนอยู่ที่ท้ายบริษัท ฟังธรรมแล้ว พร้อมกับบริวารได้บรรลุพระอรหัต ดำรงอยู่ในความเป็นเอหิภิกขุแล้ว.
               ท่านบรรลุพระอรหัตแล้ว คิดว่า รอก่อน เวลานี้ยังมิใช่เวลาที่พระทศพลจะเสด็จไปยังพระนครตระกูลเดิม แต่เมื่อใกล้จะเข้าพรรษาจักเป็นกาลที่ควรเสด็จไปได้ ตามภูมิภาคที่ดารดาษไปด้วยติณชาติอันเขียวชอุ่มตามที่ภูเขาลำเนาไพร ดังนี้ เมื่อรอกาลเวลาอันควรเสด็จไป ถึงใกล้เข้าพรรษาเข้ามา จึงพรรณนาถึงหนทางที่พระศาสดาจะเสด็จไปยังพระนครแห่งราชตระกูล.
               สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ในเถรคาถาว่า :-
                                   ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ หมู่ไม้ทั้งหลาย
                         มีดอกและใบมีสีแดงดังถ่านเพลิง ผลิตผลผลัดใบเก่า
                         ร่วงหล่นไป หมู่ไม้เหล่านั้นงดงาม รุ่งเรืองดังเปลวเพลิง
                         ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียรใหญ่ กาลนี้เป็นเวลา
                         สมควรอนุเคราะห์หมู่พระญาติ
                                   ข้าแต่พระองค์ผู้แกล้วกล้า หมู่ไม้ทั้งหลายมี
                         ดอกบานงามดี น่ารื่นรมย์ใจ ส่งกลิ่นหอมฟุ้งตระหลบ
                         ไปทั่วทิศโดยรอบด้าน ผลัดใบเก่า ผลิดอกออกผล
                         เวลานี้เป็นเวลาสมควรจะหลีกออกไปจากที่นี้ ขอเชิญ
                         พระพิชิตมารเสด็จไปสู่กรุงกบิลพัสดุ์เถิด.
                                   ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ฤดูนี้ก็เป็นฤดูที่ไม่
                         หนาวนัก ไม่ร้อนนัก เป็นฤดูพอสบาย ทั้งมรรคาก็
                         สะดวก ขอพวกศากยะและโกลิยะทั้งหลาย จงได้เข้า
                         เฝ้าพระองค์ที่แม่น้ำโรหินี อันมีหน้าในภายหลังเถิด.
                                   ชาวนาไถนาด้วยความหวังผล หว่านพืช
                         ด้วยความหวังผล พ่อค้าผู้เที่ยวไปหาทรัพย์ ย่อม
                         ไปสู่สมุทรด้วยความหวังทรัพย์ ข้าพระองค์อยู่ใน
                         ที่นี้ด้วยความหวังผลอันใด ขอความหวังผลอันนั้น
                         จงสำเร็จแก่ข้าพระองค์เถิด
                                   ข้าแต่พระมหามุนี ภาคพื้นมีหญ้าสีเขียวสด
                         ไม่หนาวเกินไป ไม่ร้อนเกินไป ภิกษาหาได้ง่าย
                         ไม่แร้นแค้น กาลนี้แลเป็นกาลสมควรจะเสด็จไปได้.
                                   ชาวนาหว่านพืชบ่อยๆ ฝนตกลงบ่อยๆ ชาว
                         นาไถนาบ่อยๆ แว่นแคว้นสมบูรณ์ด้วยธัญญาหาร
                         บ่อยๆ
                                   พวกยาจกเที่ยวขอทานบ่อยๆ ผู้เป็นทานาธิบดี
                         ก็ให้ทานบ่อยๆ ครั้นให้ทานบ่อยๆแล้ว ย่อมเข้าถึง
                         สวรรค์บ่อยๆ
                                   บุรุษผู้มีความเพียร มีปัญญากว้างขวาง เกิดใน
                         สกุลใด ย่อมยังสกุลนั้นให้บริสุทธิ์สะอาดตลอด ๗ ชั่วคน
                         ข้าพระองค์ย่อมเข้าใจว่า พระองค์เป็นเทพเจ้า ประเสริฐ
                         กว่าเทพเจ้าทั้งหลาย ย่อมทรงสามารถทำให้สกุล
                         บริสุทธิ์ เพราะพระองค์เกิดแล้วโดยอริยชาติ ได้
                         สัจนามว่าเป็นนักปราชญ์
                                   สมเด็จพระบิดาของพระองค์ผู้แสวงหาคุณอัน
                         ยิ่งใหญ่ ทรงพระนามว่าสุทโธทนะ สมเด็จพระนาง
                         เจ้ามายาพระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ เป็นพระ
                         พุทธมารดา ทรงบริหารพระองค์ผู้เป็น พระโพธิสัตว์
                         มาด้วยพระครรภ์เสด็จสวรรคตไปบันเทิงอยู่ในไตร
                         ทิพย์
                                   สมเด็จพระนางเจ้ามายาเทวีนั้น ครั้นสวรรคต
                         จุติจากโลกนี้แล้ว ทรงพรั่งพร้อมด้วยกามคุณอันเป็น
                         ทิพย์ มีหมู่นางฟ้าห้อมล้อม บันเทิงอยู่ด้วยเบญจกาม
                         คุณ
                                   อาตมภาพเป็นบุตรของพระพุทธเจ้าผู้ไม่มีสิ่ง
                         ใดจะย่ำยีได้ มีพระรัศมีแผ่ซ่านออกจากพระวรกาย
                         ไม่มีผู้จะเปรียบปาน ผู้คงที่ ดูก่อนมหาบพิตร พระ
                         องค์เป็นโยมบิดาของโยมบิดาแห่งอาตมภาพ ดูก่อน
                         มหาบพิตร พระองค์เป็นพระอัยกาของอาตมภาพ
                         โดยธรรม.
                                   มะม่วง ขนุน และมะขวิด ถูกประดับประดา
                         ไปด้วยดอกและใบ มีผลอยู่เนืองนิตย์ ยังมีผลเล็กรส
                         อร่อยมีอยู่สองข้างทาง ข้าแต่พระผู้ทรงยศใหญ่ บัดนี้
                         เป็นเวลาสมควรจะเสด็จไปได้.
                                   ผลหว้ามีรสอร่อยหวานเย็น ผลไม้สวรรค์คือ
                         รวงผึ้งเหล่านั้น รุ่งเรืองงามทั้งสองข้างทาง ข้าแต่พระ
                         ผู้ทรงยศใหญ่ บัดนี้เป็นเวลาสมควรจะเสด็จไปได้.
                                   หมู่ต้นหญ้า ไม้มะหาด มีสีดุจทองคำเป็นที่
                         น่ารื่นรมย์ใจ ผลไม้อันประกอบด้วยน้ำก็มีอยู่เป็น
                         นิตย์ ข้าแต่พระผู้ทรงยศใหญ่ บัดนี้เป็นเวลาสมควร
                         จะเสด็จไปได้.
                                   ต้นกล้วยและกล้วยเล็บมือนาง ต่างก็มีผลสุก
                         งอมห้อยย้อยอยู่สองข้างทาง ข้าแต่พระผู้ทรงยศใหญ่
                         บัดนี้เป็นเวลาสมควรจะเสด็จไปได้.
                                   ต้นไม้มีผลหวานอร่อยเป็นนิตย์ ต้นหางนก
                         ยูง ดูเป็นที่น่ารื่นรมย์ใจ ต้นไม้ที่มีผลเล็กก็มีอยู่เป็น
                         นิตย์ ข้าแต่พระผู้ทรงยศใหญ่ บัดนี้เป็นเวลาสมควร
                         จะเสด็จไปได้.
                                   ต้นเต่าร้างมีผลสุก มีลำต้นคล้ายสีเงินโชติ
                         ช่วง ต้นไม้เล็กซึ่งดารดาษไปด้วยผลสุก มีรสอร่อย
                         จะได้เสวยผลไม้เหล่านั้น ข้าแต่พระผู้ทรงยศใหญ่
                         บัดนี้เป็นเวลาสมควรจะเสด็จไปได้.
                                   ต้นมะเดื่อมีสีคล้ายสีอรุณ มีผลอร่อยดีทุก
                         เมื่อ มีผลห้อยย้อยอยู่สองข้างทาง ข้าแต่พระผู้ทรง
                         ยศใหญ่ บัดนี้เป็นเวลาสมควรจะเสด็จไปได้.
                                   ต้นไม้ที่มีผลนานาชนิดมากมายเหล่านั้น
                         เป็นเช่นนี้ ห้อยย้อยอยู่ในที่ทั้งสองข้างทาง ข้าแต่
                         พระผู้ทรงยศใหญ่ บัดนี้เป็นเวลาสมควรจะเสด็จ
                         ไปได้.
                                   ดอกจำปา ดอกช้างน้าว มีกลิ่นหอมยาม
                         เมื่อลมรำเพยพัด ที่ยอดที่ดอกสะพรั่ง งามรุ่งเรือง
                         ได้บูชาแล้วด้วยกลิ่นอันหอมชื่น มีความเอื้อเฟื้อ
                         นอบน้อมแล้ว ข้าแต่พระผู้ทรงยศใหญ่ บัดนี้เป็น
                         เวลาสมควรจะเสด็จไปได้.
                                   ดอกบุนนาค ดอกบุนนาคบนเขา ก็เบ่ง
                         บาน มีลำต้นอันมั่นคง มีดอกงามสะพรั่งรุ่งเรือง
                         ได้บูชาแล้วด้วยกลิ่นอันหอมหวล เอื้อเฟื้อ มีปลาย
                         ยอดน้อมลง ข้าแต่พระผู้ทรงยศใหญ่ บัดนี้เป็น
                         เวลาสมควรจะเสด็จไปได้.
                                   ดอกอโศก และดอกปาริชาติ อันประเสริฐ
                         สร้างเสริมความโสมนัสใจ กรรณิการ์กิ่งก้านเกี่ยว
                         พันมีดอกหอม ประดับพื้นที่ด้วยสีเงิน เอื้อเฟื้อ มี
                         ปลายยอดน้อมลง ข้าแต่พระผู้ทรงยศใหญ่ บัดนี้
                         เป็นเวลาสมควรของพระองค์จะเสด็จไปได้.
                                   ต้นกรรณิการ์ผลิดอกบานเป็นนิตย์ รุ่ง
                         โรจน์ด้วยแสงทอง มีดอกหอมคล้ายดอกไม้เอื้อเฟื้อ
                         น้อมกิ่งลง ข้าแต่พระผู้ทรงยศใหญ่ บัดนี้เป็นเวลา
                         สมควรของพระองค์เสด็จไปได้.
                                   ดอกการะเกด ดอกลำเจียก มีใบงาม
                         สมบูรณ์ด้วยกลิ่น มีกลิ่นหอมฟุ้งขจรไป หอมไป
                         ทั่วทุกทิศ มีความเอื้อเฟื้อ น้อมกิ่งลงบูชา ข้าแต่
                         พระผู้ทรงยศใหญ่ บัดนี้เป็นเวลาสมควรของพระ
                         องค์จะเสด็จไปได้.
                                   ดอกมัลลิกา ดอกมะลิวัลย์ มีกลิ่นหอม
                         มีดอกเล็ก ส่งกลิ่นหอมไปทั่วทุกทิศ งดงามใน
                         ระหว่างสองข้างทาง มีความเอื้อเฟื้อ น้อมกิ่งลง
                         เพื่อพระองค์ ข้าแต่พระผู้ทรงยศใหญ่ บัดนี้เป็น
                         เวลาสมควรของพระองค์จะเสด็จไปได้.
                                   ดอกไม้ใกล้ฝั่งแม่น้ำสินธุ มีกลิ่นหอม
                         ฟุ้ง น้อมลงบูชาทั่วทุกทิศ งดงามในระหว่าง
                         สองฟากทาง มีความเอื้อเฟื้อน้อมกิ่งลง มีปลาย
                         อ่อนน้อมลง ข้าแต่พระผู้ทรงยศใหญ่ บัดนี้เป็น
                         เวลาสมควรของพระองค์จะเสด็จไปได้.
                                   สิงห์และราชสีห์ สัตว์ ๔ เท้าอาศัยตั้งมั่น
                         มิคราชผู้ไม่สะดุ้งกลัวถึงความเป็นสัตว์แกล้วกล้า
                         ย่อมพากันบูชาด้วยการบันลือสีหนาท มีความ
                         เอื้อเฟื้อแด่พระองค์ ครองงำหมู่เนื้อ ไล่ออกไป
                         จากสองข้างทาง ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงยศใหญ่
                         บัดนี้เป็นเวลาสมควรของพระองค์จะเสด็จไปได้.
                                   เสือโคร่ง ม้าสินธพ พังพอน ซึ่งมีรูปร่าง
                         งดงามมีความสะดุ้งกลัว เหมือนโลดแล่นไปใน
                         อากาศ ไม่มีความกลัวอะไรๆ ด้วยเหตุบางอย่าง
                         สัตว์เหล่านั้นมีความเอื้อเฟื้ออ่อนน้อมต่อพระองค์
                         ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงยศใหญ่ บัดนี้เป็นเวลาสมควร
                         ของพระองค์จะเสด็จไปได้.
                                   ช้างตระกูลฉัททันต์ ตกมันแล้ว ๓ ครั้ง
                         มีรูปร่างดี มีเสียงไพเราะ งดงาม มีองค์อันตั้งมั่น
                         น้อมลงเพื่อพระองค์ ส่งเสียงร้องบันลือในสองข้าง
                         ทาง มีความเอื้อเฟื้อ ร่าเริงอยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรง
                         ยศใหญ่ บัดนี้เป็นเวลาสมควรของพระองค์จะ
                         เสด็จไปได้.
                                   มิคะ หมู อีเก้ง มีอวัยวะงดงาม งดงามด้วย
                         เส้นคาดเป็นทางลงมีรูปดีสำรวมตัว ขับกล่อมใน
                         ระหว่างสองข้างทาง ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงยศใหญ่
                         บัดนี้เป็นเวลาสมควรของพระองค์จะเสด็จไปได้.
                                   กวางโคกัณณา กวางสรภาและกวางรุรุ ซึ่ง
                         มีเขาตรงและโค้ง มีรูปดี มีร่างกายสมบูรณ์ซึ่งกำลัง
                         พากันหยุดพักอยู่ในคราวนั้น ผู้ต้องการจะคบหา
                         กับพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงยศใหญ่ บัดนี้เป็น
                         เวลาสมควรของพระองค์เสด็จไปได้.
                                   เสือเหลือง หมี และเสือดาว ซึ่งตะปบกิน
                         สัตว์ทุกเมื่อ บัดนี้สัตว์เหล่านั้นทั้งหมด ได้ศึกษา
                         ดีแล้ว มีความมั่นคงต่อพระองค์ด้วยเมตตา เป็น
                         ผู้ต้องการคบหาเฉพาะพระองค์มาเป็นเวลานาน
                         ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงยศใหญ่ บัดนี้เป็นเวลาสมควร
                         ของพระองค์จะเสด็จไปได้.
                                   กระต่าย สุนัขจิ้งจอก พังพอนและกระรอก
                         กระแตเป็นจำนวนมาก ไม่มีความสะดุ้ง กล้าหาญ
                         พากันขับร้องเพื่อพระองค์อย่างเดียว ข้าแต่พระองค์
                         ผู้ทรงยศใหญ่ บัดนี้เป็นเวลาสมควรของพระองค์จะ
                         เสด็จไปได้.
                                   หมู่นกยูงเหล่านั้น มีคอสีเขียว มีหงอนงาม
                         มีปีกสวย มีกำหางงาม ร้องไพเราะ งดงามคล้ายกับ
                         แก้วไพฑูรย์และแก้วมณี ย่อมพากันเปล่งเสียงร้อง
                         บูชาพระองค์อยู่ บัดนี้เป็นเวลาที่พระองค์จะได้เห็น
                         ชนกแล้ว.
                                   หมู่หงส์ทองอันงดงาม เป็นหงส์ที่บินไวไป
                         ในอากาศ หงส์เหล่านั้นทั้งหมด ทั้งถิ่นแล้วอาศัย
                         อยู่ พากันขวยขวายในการที่จะได้เห็นพระชินเจ้า
                         ย่อมส่งเสียงร้องด้วยเสียงอันไพเราะ บัดนี้เป็นเวลา
                         ที่พระองค์จะได้เห็นพระชนกแล้ว.
                                   หมู่หงส์ หมู่นกกระเรียน พากันร้องเสียง
                         ไพเราะ หมู่นกจากพรากก็เที่ยวไปในน้ำ หมู่นก
                         กระยาง หมู่นกตะกรุมอันงดงามน่าพอใจ หมู่กา
                         น้ำ หมู่ไก่ฟ้าเหล่านั้นพากันมีความเอื้อเฟื้อ ร้อง
                         เสียงอันไพเราะ บัดนี้เป็นเวลาที่พระองค์จะได้
                         เห็นพระชนกแล้ว.
                                   หมู่นกสาลิกา หมู่นกแก้ว มีรูปงามวิจิตร
                         มีเสียงไพเราะ พากันส่งเสียงร้องบนยอดไม้
                         ส่งเสียงร้องทั้งสองข้างทาง บัดนี้เป็นเวลาที่พระ
                         องค์จะได้เห็นพระชนกแล้ว.
                                   นกดุเหว่า ซึ่งล้วนแต่สวยวิจิตร มีสำเนียง
                         เสียงไพเราะ ประเสริฐ เป็นที่อัศจรรย์ใจแก่ปวง
                         ชน มีความกล้าหาญ ในการเป็นมิตรร่วมกัน
                         เป็นต้น กำลังพากันบูชาอยู่ด้วยเสียง บัดนี้เป็น
                         เวลาที่พระองค์จะได้เห็นพระชนกแล้ว.
                                   พวกลูกช้าง นกเขา นกกระเต็น มีอยู่
                         บริบูรณ์ในป่าทุกเมื่อ พากันขับกล่อม มีความ
                         สามัคคีกันและกัน ขับร้องด้วยเสียงอันไพเราะ
                         บัดนี้เป็นเวลาที่พระองค์จะได้เห็นพระชนกแล้ว.
                                   หมู่นกกระทา นกกระเต็น มีเสียงอัน
                         ไพเราะ ไก่ป่าก็มีเสียงเพราะ น่ารื่นรมย์ใจ บัดนี้
                         เป็นเวลาที่พระองค์จะได้เห็นพระชนกแล้ว.
                                   มีสถานที่อันมั่นคง งดงามน่ารื่นรมย์
                         ดารดาษไปด้วยทรายสีขาว มีสระน้ำอันบริบูรณ์
                         ด้วยน้ำสะอาด สวยงามทุกเมื่อ ทุกชีวิตพากัน
                         อาบและดื่มกินในสระน้ำมัน บัดนี้เป็นเวลาที่
                         พระองค์จะได้เห็นหมู่พระญาติแล้ว.
                                   จระเข้แหวกว่ายไปมาเกลื่อนกล่น ปลาสร้อย
                         ปลาเค้า ปลาตะเพียนแดง ปลา และเต่า แหวกว่าย
                         ไปมาในสระที่มีน้ำเย็นสะอาด ซึ่งเป็นที่อาบและ
                         ดื่มกินของทุกชีวิต บัดนี้เป็นเวลาที่พระองค์จะได้
                         เห็นพระญาติแล้ว.
                                   มีสระน้ำงดงาม ดารดาษไปด้วยดอกอุบล
                         สีเขียวและดอกอุบลสีแดง ดารดาษไปด้วยดอกโกมุท
                         มากมายหลายชนิดในสระน้ำนั้น มีน้ำเย็นสะอาด
                         บัดนี้เป็นเวลาที่พระองค์จะได้เห็นพระญาติแล้ว.
                                   สระน้ำนั้นดารดาษด้วยดอกบุณฑริก มาก
                         ด้วยดอกปทุม สวยงามทั้งสองข้างทาง ในที่นั้นๆ
                         ได้มีสระโบกขรณีอื่นๆ อีก ซึ่งเป็นที่ชนทั้งหลาย
                         สรงสนานในสระนั้น บัดนี้เป็นเวลาที่พระองค์จะ
                         ได้เห็นพระญาติแล้ว.
                                   มีสถานที่อันตั้งมั่น น่ารื่นรมย์ใจ เกลื่อน
                         กล่นไปด้วยเม็ดทรายสีขาว มีแม่น้ำอันสวยงดงาม
                         สมบูรณ์เปี่ยมด้วยน้ำเย็นและมีห้วงน้ำกว้างใหญ่
                         มีน้ำไหลทั้งสองข้างทาง บัดนี้เป็นเวลาที่พระองค์
                         จะได้เห็นพระญาติแล้ว.
                                   ในสองข้างทาง มีบ้านและนิคมตั้งเรียง
                         ราย ประชาชนทั้งหลายมีศรัทธาเลื่อมใส นับถือ
                         พระรัตนตรัย พวกเขามีความดำริอันเต็มเปี่ยม
                         บัดนี้เป็นเวลาที่พระองค์จะได้เห็นพระญาติแล้ว.
                                   พวกเทวดาและพวกมนุษย์ทั้งสอง ในถิ่น
                         ที่นั้นๆ ต่างก็พากันบูชาพระองค์ด้วยระเบียบของ
                         หอม บัดนี้เป็นเวลาที่พระองค์จะได้เห็นพระญาติ
                         แล้ว.
               พระเถระได้พรรณนาถึงความงดงามแห่งหนทางเสด็จไปแด่พระศาสดา ด้วยคาถาประมาณ ๖๐ คาถาอย่างนี้แล้ว.
               ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระดำริว่า กาฬุทายีปรารถนาจะให้เราไป เราจักทำความดำริของเธอให้บริบูรณ์ ดังนี้แล้วทรงเห็นว่าในการไปในที่นั้น ประชาชนเป็นจำนวนมากจะได้บรรลุคุณวิเศษ ทรงมีพระขีณาสพ ๒ หมื่นรูปแวดล้อม เสด็จออกจากกรุงราชคฤห์ ทรงเสวยผลาผลมีประการดังได้กล่าวแล้ว ด้วยอำนาจการเสด็จไปโดยไม่รีบด่วน หมู่แห่งสัตว์ ๒ เท้าและ ๔ เท้าเป็นต้นพากันบูชาด้วยเครื่องบูชา ได้ทรงรับกลิ่นหอมแห่งดอกไม้มีประการดังได้กล่าวแล้ว ทรงกระทำการสงเคราะห์แก่ชาวบ้านและชาวนิคมเสด็จถึงหนทางไปกรุงกบิลพัสดุ์แล้ว.
               พระเถระไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ด้วยฤทธิ์ยืนกลางอากาศข้างหน้าพระราชา.
               พระราชาได้เห็นเพศที่ยังไม่เคยเห็น จึงตรัสว่า ท่านเป็นใครกัน?
               พระเถระเมื่อจะกล่าวว่า ถ้าพระองค์ไม่ทรงรู้จักลูกอำมาตย์ผู้ถูกพระองค์ส่งไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วไซร้ ก็จงรู้จักอย่างนั้นเถิด ดังนี้จึงกล่าวคาถาว่า :-
                                   อาตมภาพเป็นบุตรของพระพุทธเจ้า ผู้ไม่
                         มีสิ่งใดจะย่ำยีได้ มีพระรัศมีแผ่ซ่านออกจากพระ
                         วรกาย ไม่มีผู้ที่จะเปรียบปานได้ ผู้คงที่ ดูก่อน
                         มหาบพิตร พระองค์เป็นพระบิดาของบิดาแห่ง
                         อาตมภาพ ดูก่อนมหาบพิตร พระองค์เป็นพระ
                         ไอยกาของอาตมภาพโดยทางธรรม ดังนี้.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พุทฺธสฺส ปุตฺโตมฺหิ ความว่า อาตมภาพเป็นพระโอรส เพราะเกิดจากความพยายามให้เกิดในพระอุระ และจากพระธรรมเทศนาของพระสัมพัญญูพุทธเจ้า.
               บทว่า อสยฺหสหิโน ความว่า ตั้งแต่ในกาลที่ได้บรรลุพระสัมโพธิญาณแล้วไป เป็นผู้ที่มีพระโพธิสมภารทั้งสิ้น ใครๆ จะย่ำยีไม่ได้ เพราะคนเหล่าอื่นไม่สามารถจะข่มขี่พระมหาโพธิสัตว์ได้ และเป็นผู้มากไปด้วยพระมหากรุณา มีความอดทน เพราะคนเหล่าอื่นแม้ที่อื่นยิ่งไปกว่านั้นก็ยังไม่สามารถเพื่อที่จะข่มขี่ครอบงำได้ ทรงข่มขี่ครอบงำมารทั้ง ๕ ที่คนอื่นย่ำยีไม่ได้ ทรงอดทนต่อพุทธกิจที่คนพวกอื่นจะอดทนย่ำยีไม่ได้ กล่าวคือทรงพร่ำสอนทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ สัมปรายิกัตถประโยชน์และปรมัตถประโยชน์ แก่ปวงเวไนยสัตว์ผู้สมควรซึ่งมีอาสัย อนุสัย จริตและอธิมุตติที่จะหยั่งรู้เบื้องต้นและคุณส่วนพิเศษได้หรือเป็นผู้ไม่มีสิ่งใดจะย่ำยีได้ เพราะทรงมีปกติกระทำคุณงามความดีไว้ในที่นั้นๆ.
               บทว่า องฺคีรสสฺส ได้แก่ ผู้มีสมบัติเช่นศีลที่ทรงทำเป็นส่วนๆ.
               อาจารย์พวกอื่นกล่าวว่า พระองค์ผู้มีพระโอภาสแผ่ไปจากส่วนต่างๆ.
               ส่วนอาจารย์บางพวกกล่าวว่า พระนามทั้งสองเหล่านี้คือ อังคีรสและสิทธัตถะ ที่พระบิดาเท่านั้นทรงถือเอาแล้ว.
               บทว่า อปฺปฏิมสฺส ความว่า ไม่มีผู้จะเปรียบปานได้เป็นผู้คงที่ เพราะสมบูรณ์ด้วยพระลักษณะแห่งความเป็นผู้คงที่ ในอารมณ์ที่น่าปรารถนาเป็นต้น.
               บทว่า ปิตุปิตา มยฺหํ ตุวํสิ ความว่า พระองค์เป็นพระบิดาโดยโลกโวหารของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระบิดาของอาตมภาพโดยอริยชาติ. พระเถระเรียกพระราชาโดยพระวงศ์ว่าสักกะ.
               บทว่า ธมฺเมน ได้แก่ สภาวสโมธานที่มีเองโดยทั้ง ๒ ชาติ คืออริยชาติและโลกียชาติโดยสภาพ. พระเถระเรียกพระราชาโดยพระโคตรว่า โคตมะ.
               บทว่า อยฺยโกสิ ได้แก่ ได้เป็นพระปิตามหะ (ปู่).
               และพระเถระเมื่อกล่าวคำเป็นต้นว่า พุทฺธสฺส ปุตฺโตมฺหิ ดังนี้ ในคาถานั้นก็ได้พยากรณ์พระอรหัตผลไว้แล้ว.
               ก็พระเถระได้ให้พระราชารู้จักตนอย่างนั้นแล้ว พระราชาทรงร่าเริงยินดี นิมนต์ให้นั่งบนบัลลังก์ที่สมควรแล้ว ทรงบรรจุบาตรให้เต็มด้วยโภชนะอันมีรสเลิศนานาชนิด ที่ราชบุรุษตระเตรียมไว้เพื่อพระองค์.
               เมื่อพระราชาทรงถวายบาตรแล้ว พระเถระก็แสดงอาการที่จะไป.
               เมื่อพระราชาตรัสว่า เพราะเหตุไร ท่านจึงประสงค์จะไปเสียเล่า นิมนต์ฉันภัตรก่อน.
               พระเถระทูลว่า จะไปเฝ้าพระศาสดา แล้วจึงจักฉันภัตร.
               พระราชาตรัสถามว่า พระศาสดาอยู่ที่ไหนเล่า.
               พระเถระทูลว่า พระศาสดาทรงมีภิกษุสองหมื่นเป็นบริวาร กำลังดำเนินมาตามทางเพื่อต้องการพบพระองค์แล้ว.
               พระราชาตรัสว่า ท่านจงฉันบิณฑบาตนี้เถิด จงนำบิณฑบาตอื่นไปถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า. เวลาที่บุตรของเราถึงพระนครนี้ ท่านจึงค่อยนำบิณฑบาตจากที่นี้เท่านั้นไปถวาย.
               พระเถระทำภัตกิจเสร็จแล้ว แสดงธรรมโปรดพระราชาและบริษัท เพราะมาถึงยังพระราชนิเวศน์ก่อนกว่าพระศาสดา จึงกระทำให้หมู่ชนเลื่อมใสยิ่งในคุณของพระรัตนตรัย เมื่อคนทั้งหมดกำลังแลดูอยู่นั่นแหละ ได้ปล่อยบาตรที่เต็มด้วยภัตรที่ต้องนำไปเพื่อพระศาสดาไปในกลางอากาศ แม้ตนเองก็เหาะขึ้นสู่เวหาส น้อมเอาบิณฑบาตไปวางไว้ในพระหัตถ์พระศาสดา.
               แม้พระศาสดาก็ได้เสวยบิณฑบาตนั้นแล้ว. เมื่อเดินทางไปวันละโยชน์ตลอดหนทาง ๖๐ โยชน์อย่างนี้ พระเถระได้นำเอาภัตรจากพระราชวังไปถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปถึงพระนครกบิลพัศดุ์แล้ว วันรุ่งขึ้นเสด็จเที่ยวไปบิณฑบาตในถนนหลวง.
               พระจ้าสุทโธทนมหาราชได้สดับถึงข่าวนั้นแล้ว เสด็จไปในที่นั้นตรัสว่า อย่าสำคัญถึงสิ่งที่พึงกระทำอย่างนี้เลย สิ่งนี้มิใช่ประเพณีแห่งพระราชวงศ์เลย.
               พระศาสดาตรัสว่า มหาราชเจ้า นี้เป็นวงศ์ของพระองค์ แต่การกระทำเช่นนี้เป็นพุทธวงศ์ของพวกเรา แล้วแสดงธรรมว่า :-
                                   บรรพชิตไม่พึงประมาทในก้อนข้าว อันตนพึง
                         ลุกขึ้นยืนรับ บุคคลพึงประพฤติธรรมให้สุจริต ผู้มีปกติ
                         ประพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็นสุขในโลกนี้และโลกหน้า
                         บุคคลพึงประพฤติธรรมให้สุจริต ไม่พึงประพฤติธรรม
                         นั้นให้ทุจริต ผู้มีปกติประพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็นสุขใน
                         โลกนี้และโลกหน้า ดังนี้

               พระราชาทรงดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล.
               แต่นั้น พระราชาก็ทรงนิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ให้เสวยและบริโภคโภชนะที่พระองค์ตบแต่งไว้แล้วในพระราชมนเทียรของพระองค์ ในที่สุดแห่งการบริโภคทรงสดับธัมมปาลชาดกแล้ว พร้อมด้วยบริษัทได้ทรงดำรงอยู่ในอนาคามิผล.
               กาลต่อมาบรรทมอยู่ ณ ภายใต้มหาเศวตฉัตรนั่นแหละทรงบรรลุพระอรหัต ปรินิพพานแล้ว.
               ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จไปยังปราสาทของพระนางพิมพาเทวี พระมารดาของพระราหุลกุมาร ทรงแสดงธรรมแก่พระนาง ทรงบรรเทาความเศร้าโศกแล้ว ทรงทำให้พระนางได้เกิดความเลื่อมใสด้วยเทศนาคือจันทกินรีชาดกแล้ว ได้เสด็จไปยังนิโครธาราม.
               ครั้นนั้น พระนางพิมพาเทวีได้ตรัสกะพระราหุลกุมารผู้พระราชโอรสว่า พ่อจงไปขอทรัพย์ที่มีอยู่ของพระบิดาของพ่อเถิด.
               พระกุมารทูลว่า ข้าแต่พระสมณะ ขอพระองค์จงพระราชทานสมบัติแก่หม่อมฉันเถิด แล้วติดตามประผู้มีพระภาคเจ้าไปพลางกราบทูลว่า ข้าแต่พระสมณะ พระองค์เป็นร่มเงาที่สุขสบายของหม่อมฉัน.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำพระราหุลกุมารนั้นไปยังนิโครธารามแล้วตรัสว่า เธอจงรับเอาทรัพย์สมบัติคือโลกุตตรธรรมเถิด แล้วทรงให้บรรพชา.
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับนั่ง ณ ท่ามกลางหมู่พระอริยสงฆ์ ทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่งที่เลิศว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาพวกภิกษุสาวกที่ทำตระกูลให้เลื่อมใสของเราแล้ว กาฬุทายีนับว่าเป็นเลิศกว่าเขาทั้งหมด.
               พระเถระได้รับตำแหน่งเอตทัคคะนั้นแล้ว ระลึกถึงบุรพกรรมของตนได้เกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนได้เคยประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงได้กล่าวคาถาเริ่มต้นว่า ปทุมุตฺตโร นาม ชิโน ดังนี้.
               ในคาถานั้น ข้าพเจ้าจักพรรณนาแต่เฉพาะบทที่ยากเท่านั้น.
               บทว่า คุณาคุณวิทู มีความหมายว่า คุณและสิ่งมิใช่คุณ ชื่อว่าคุณาคุณะ คือคุณและโทษ.
               อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าคุณาคุณวิทู เพราะย่อมรู้จักชัดซึ่งกุศลกรรมและอกุศลกรรมนั้น.
               บทว่า กตญฺญู ความว่า ชื่อว่ากตัญญู เพราะรู้คุณที่คนเหล่าอื่นกระทำแล้ว.
               ชื่อว่ากตัญญู เพราะสามารถเพื่อจะให้แม้ราชสมบัติ แก่ผู้กระทำอุปการะด้วยการให้ภัตรเป็นต้นแม้ตลอดวันหนึ่งได้.
               บทว่า กตเวที ความว่า ชื่อว่ากตเวที เพราะย่อมได้ ย่อมเสวยคือย่อมรับเฉพาะซึ่งอุปการะที่เขาทำแล้ว.
               บทว่า ติตฺเถ โยเชติ ปาณิเน ความว่า ย่อมประกอบ คือย่อมประกอบพร้อมสรรพ ได้แก่ย่อมให้สัตว์ทั้งปวงดำรงอยู่เฉพาะในหนทางแห่งกุศลธรรมคือมรรค อันเป็นอุบายให้เข้าถึงพระนิพพานได้ด้วยการแสดงธรรม.
               คำที่เหลือมีเนื้อความง่ายทั้งนั้นแล.
               เนื้อความแห่งคาถาอันพรรณนาถึงหนทางเสด็จ ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในเถรคาถานั้นนั่นแล.
               จบอรรถกถากาฬุทายีเถราปทาน               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๕. ภัททิยวรรค ๖. กาฬุทายีเถราปทาน จบ.
อ่านอรรถกถา 33.1 / 1อ่านอรรถกถา 33.1 / 135อรรถกถา เล่มที่ 33.1 ข้อ 136อ่านอรรถกถา 33.1 / 137อ่านอรรถกถา 33.1 / 180
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=33&A=3763&Z=3824
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=50&A=6792
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=50&A=6792
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๕  กรกฎาคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :