ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 

อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒]อ่านอรรถกถา 33.1 / 1อ่านอรรถกถา 33.1 / 139อรรถกถา เล่มที่ 33.1 ข้อ 140อ่านอรรถกถา 33.1 / 141อ่านอรรถกถา 33.1 / 180
อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๕. ภัททิยวรรค
๑๐. จูฬสุคันธเถราปทาน

หน้าต่างที่ ๗ / ๑๒.

               ยสวรรคที่ ๕๖#-               
               อุตตรเถราปทานที่ ๖ (๕๕๖)               
               ว่าด้วยบุพจริยาของพระอุตตรเถระ               
____________________________
#- วรรคนี้ในบาลีไทย ขาดหายไป แต่ของฉบับภาษาอื่นและอรรถกถา (มีอยู่) จึงนำมาเพิ่มให้ครบ พร้อมทั้งเพิ่มเลขข้อต่อจากข้อ ๑๔๐ ไปตามลำดับ.

                                   [๑๔๖] พระผู้มีพระภาคสัมพุทธเจ้าพระ
                         นามว่า สุเมธะ ทรงประกอบด้วยพระวรลักษณะ
                         ๓๒ ประการ ทรงพอพระทัยในความวิเวก เสด็จ
                         เข้าไปยังหิมวันตประเทศ
                                   พระมุนี ผู้เป็นบุรุษสูงสุด ทรงประกอบ
                         ด้วยพระกรุณา ผู้เลิศ ครั้นถึงหิมวันตประเทศ
                         แล้ว ประทับนั่งขัดสมาธิ.
                                   ในกาลครั้งนั้น ข้าพเจ้าเกิดเป็นวิทยาธร
                         สามารถแม้เหาะไปในอากาศได้ ถืออาวุธวิเศษ
                         คือตรีศูลอันคมฉกาจนัก ในเวลานั้น ข้าพเจ้า
                         กำลังเหาะท่องเที่ยวไปในอัมพร.
                                   พระพุทธเจ้า ทรงยังป่าหิมวันต์ให้สว่าง
                         กระจ่างแจ้งอยู่ เสมือนกองไฟที่ลุกโพลงอยู่
                         บนยอดภูเขา เสมือนแสงแห่งดวงจันทร์ที่
                         กำลังเต็มดวง หรือเสมือนต้นพญาสาละที่
                         มีดอกกำลังบานเต็มต้นฉะนั้น.
                                   จิตของข้าพเจ้าเลื่อมใส เพราะได้เห็น
                         พระพุทธเจ้า ผู้กำลังเสด็จออกมาจากป่า มี
                         พระพุทธรังสีกำลังซ่านออก ดุจดังแสงไฟที่
                         กำลังเผาไหม้ป่าต้นอ้อฉะนั้น.
                                   ข้าพเจ้าได้ถือเอาดอกไม้ ๓ ดอก คือ
                         ดอกทานตะวัน ดอกกรรณิการ์ และดอกเทว-
                         คันธีมาบูชาพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐ.
                                   เพราะอานุภาพของพระพุทธเจ้า ในขณะ
                         นั้น ดอกไม้ทั้งสามดอกของข้าพเจ้า ได้ทำขั้ว
                         ขึ้นเบื้องบน เอาดอกลงเบื้องล่าง ทำเป็นดังร่ม
                         บังเงาให้พระศาสดา.
                                   เพราะกรรมที่ข้าพเจ้า ได้กระทำมาดี
                         แล้วนั้น ประกอบกับที่ข้าพเจ้าตั้งเจตนาไว้ดี
                         เมื่อข้าพเจ้าจุติจากความเป็นมนุษย์แล้ว ก็
                         ไปเกิดในดาวดึงส์.
                                   วิมานของข้าพเจ้าในดาวดึงส์นั้น บุญ
                         กรรมได้สร้างให้เป็นอย่างดี มีชื่อปรากฏว่า
                         กัณณิการี สูง ๖๐ โยชน์ กว้าง ๓๐ โยชน์.
                                   มียอดแหลม ๑,๐๐๐ ยอด มียอดเป็นโดม
                         ๑๐๐ ยอดประดับด้วยธงสีเหลือง ประกอบด้วย
                         ป้อมหอคอยหนึ่งแสนป้อม สิ่งเหล่านี้มีปรากฏอยู่
                         ในวิมานของข้าพเจ้า.
                                   แท่นนั่งสำเร็จด้วยแก้วผลึกก็มี สำเร็จ
                         ด้วยทอง ด้วยแก้วมณี และด้วยทับทิมก็มี ผู้นั่ง
                         ย่อมได้ตามปรารถนา.
                                   ที่นอนมีราคามาก ประกอบด้วยชนิดที่
                         ยัดด้วยนุ่น แต่ละชายประดับด้วยครุยขนสัตว์
                         และประกอบด้วยหมอน.
                                   ครั้นข้าพเจ้าจุติจากภพแล้ว ท่องเที่ยวไป
                         สู่ภพเทวดา ข้าพเจ้าท่องเที่ยวไปตามปรารถนา
                         เป็นผู้มีหมู่เทวดาแวดล้อมแล้ว.
                                   ข้าพเจ้าดำรงอยู่ภายใต้ร่มดอกไม้ ดอก
                         ไม้กั้นอยู่เบื้องบนข้าพเจ้า กว้างโดยรอบหนึ่ง
                         ร้อยโยชน์แวดล้อมด้วยดอกกรรณิการ์.
                                   นักดนตรีหกหมื่นคน บำรุงข้าพเจ้า อยู่
                         ตลอดเวลาตั้งแต่เย็นถึงเช้า แวดล้อมข้าพเจ้า
                         อยู่เป็นประจำทั้งกลางคืนกลางวัน โดยไม่เกียจ
                         คร้าน.
                                   ในเทวโลกนั้น ข้าพเจ้ายินดีอยู่กับนางรำ
                         นางร้อง นางประโคม นางนักดนตรี เพลิดเพลิน
                         อยู่กับความยินดี บันเทิงอยู่กับความใคร่ในกาม.
                                   ในเทวโลกนั้นมีแต่รับประทานและดื่ม ใน
                         ครั้งนั้น ข้าพเจ้าเพลิดเพลินอยู่ในไตรทศ พรั่ง
                         พร้อมไปด้วยหมู่นางสนมนารี ข้าพเจ้าเพลิด
                         เพลินอยู่ในวิมานอันอุดม.
                                   ข้าพเจ้าเสวยรัชสมบัติอยู่ ๕๐๐ ครั้ง และ
                         ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิอยู่ ๓๐๐ ครั้ง ส่วนที่
                         เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์ ไม่อาจจะ
                         นับประมาณได้.
                                   เมื่อข้าพเจ้าท่องเที่ยวอยู่ในระหว่างภพ
                         กับภพ ย่อมได้โภคสมบัติเป็นอันมาก ข้าพเจ้า
                         ไม่มีความบกพร่องในโภคสมบัติเป็นอันมาก
                         นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า.
                                   เมื่อข้าพเจ้าท่องเที่ยวอยู่ในภพ ก็ท่อง
                         เที่ยวอยู่ในภพทั้งสอง คือ ภพแห่งเทวดา และ
                         ภพแห่งมนุษย์ ข้าพเจ้าไม่รู้จักทุคติอื่นเลย นี้
                         เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า.
                                   เมื่อข้าพเจ้าเกิด ก็เกิดในตระกูลทั้งสอง
                         คือ ตระกูลกษัตริย์ และตระกูลพราหมณ์ ข้าพ-
                         เจ้า ไม่รู้จักตระกูลต่ำเลย นี้เป็นผลแห่งการบูชา
                         พระพุทธเจ้า.
                                   ข้าพเจ้า ได้รับยานช้าง ยานม้า ยานวอ
                         อันไปได้รวดเร็ว ทั้งหมดนี้ นี้เป็นผลแห่งการ
                         บูชาพระพุทธเจ้า.
                                   ข้าพเจ้า ได้รับหมู่ทาสี หมู่ทาส หมู่สตรี
                         ผู้แต่งกายงดงาม ทั้งหมดนี้ นี้เป็นผลแห่งการ
                         บูชาพระพุทธเจ้า.
                                   ข้าพเจ้าได้รับผ้าไหม ผ้ากัมพล ผ้าลินิน
                         และผ้าฝ้าย ทั้งหมดนี้ นี้เป็นผลแห่งการบูชา
                         พระพุทธเจ้า.
                                   ข้าพเจ้า ได้รับผ้าใหม่ และผลไม้ใหม่
                         โภชนะมีรสอร่อยเลิศ ทั้งหมดนี้ นี้เป็นผลแห่ง
                         การบูชาพระพุทธเจ้า.
                                   ข้าพเจ้าได้รับคำบอกเล่าว่า เชิญท่านจง
                         เคี้ยวกินสิ่งนี้ เชิญท่านจงบริโภคสิ่งนี้ เชิญท่าน
                         จงนอนบนที่นอนนี้ ทั้งหมดนี้ นี้เป็นผลแห่ง
                         การบูชาพระพุทธเจ้า.
                                   ข้าพเจ้าได้รับการบูชาในที่ทุกแห่ง เกียรติ
                         ยศของข้าพเจ้าฟุ้งขจรไป มีสหายมากในกาลทุก
                         เมื่อ ข้าพเจ้าเป็นผู้มีบริษัทไม่แตกแยกในกาล
                         ทุกเมื่อ ข้าพเจ้าเป็นผู้สูงสุดกว่าหมู่ญาติ นี้เป็น
                         ผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า.
                                   ข้าพเจ้าไม่รู้จักความหนาว ความร้อน
                         ไม่มีความเร่าร้อน อนึ่ง ข้าพเจ้าไม่มีทุกข์ทาง
                         จิตในหทัยเลย.
                                   ข้าพเจ้าเป็นผู้มีวรรณะ เพียงดังวรรณะ
                         แห่งทอง ท่องเที่ยวไปในระหว่างภพกับภพ
                         ข้าพเจ้าไม่รู้จักความเป็นผู้มีวรรณะต่างออกไป
                         เลย นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า.
                                   ข้าพเจ้าจุติจากเทวโลกแล้ว อันกุศลมูล
                         ชักจูงแล้ว ไปเกิดในนครสาวัตถี ในตระกูล
                         มหาศาล ผู้มั่งคั่ง.
                                   ครั้น ข้าพเจ้าละกามคุณ ๕ แล้ว บวช
                         ในความเป็นผู้ไม่มีเรือน ข้าพเจ้ามีอายุเพียง ๗
                         ขวบแต่ปีเกิด ได้บรรลุพระอรหัตแล้ว.
                                   พระพุทธเจ้าผู้มีพระจักษุทรงทราบคุณ
                         ของข้าพเจ้าแล้ว ทรงอนุญาตการอุปสมบท
                         ข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก เป็นผู้ได้รับการบูชา
                         ผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า.
                                   ข้าพเจ้าเป็นผู้มีทิพยจักษุบริสุทธิ์ เป็น
                         ผู้ฉลาดในสมาธิ เป็นผู้บรรลุถึงฝั่งแห่งอภิญญา
                         นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า.
                                   ข้าพเจ้า เป็นผู้บรรลุปฏิสัมภิทาตามลำดับ
                         แล้ว เป็นผู้ฉลาดในอิทธิบาท เป็นผู้บรรลุถึงฝั่ง
                         ในธรรมทั้งหลาย นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระ
                         พุทธเจ้า.
                                   ในกัปที่ ๓๐,๐๐๐ ข้าพเจ้าได้บูชาพระ
                         พุทธเจ้าใด ด้วยกรรมนั้น ข้าพเจ้าไม่รู้จักทุคติ
                         เลย นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระพุทธเจ้า.
                                   ข้าพเจ้าเผากิเลสทั้งหลายสิ้นแล้ว ฯลฯ
                         ข้าพเจ้าเป็นไม่มีอาสวะอยู่.
                                   ข้าพเจ้าเป็นผู้มาดีแล้วแล ฯลฯ คำสอน
                         พระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้กระทำเสร็จแล้ว.
                                   ปฏิสัมภิทา ๔ ฯลฯ คำสอนของพระพุทธ
                         เจ้า ข้าพเจ้าได้กระทำเสร็จแล้ว.
               ทราบว่า ท่านพระอุตตรเถระได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
               จบอุตตรเถราปทาน               
               -----------------------------------------------------               
               ยศวรรคที่ ๕๖               
               ๕๕๖. อรรถกถาอุตตรเถราปทาน               
               พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ ๖ ดังต่อไปนี้ :-
               อปทานของท่านอุตรสามเณรมีคำเริ่มต้นว่า สุเมโธ นาม สมฺพุทฺโธ ดังนี้.
               แม้พระเถระรูปนี้ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพนั้นๆ.
               ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสุเมธะ ท่านเป็นวิทยาธร เที่ยวไปทางอากาศ.
               ก็โดยสมัยนั้น พระศาสดาประทับนั่งเปล่งพระพุทธรัศมีมีพรรณะ ๖ ประการ ณ โคนต้นไม้แห่งหนึ่งระหว่างป่า เพื่อทรงอนุเคราะห์สรรพสัตว์ในที่นั้นนั่นแล.
               วิทยาธรนั้นไปทางอากาศ มองเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วมีใจเลื่อมใส ลงจากอากาศนำเอาดอกกรรณิการ์อันบริสุทธิ์สะอาดงามตา น้อมบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้า. ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า ดอกไม้ทั้งหลายได้ตั้งอยู่ในอาการดังฉัตรอยู่เบื้องบนพระศาสดา.
               วิทยาธรนั้นมีจิตเลื่อมใสโดยประมาณยิ่ง ในกาลต่อมากระทำกาละแล้ว บังเกิดในดาวดึงส์ เสวยทิพยสมบัติ ดำรงอยู่ในดาวดึงส์นั้นจนตลอดอายุ จุติจากภพนั้นแล้วท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก.
               ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้บังเกิดเป็นบุตรของพราหมณ์มหาศาลในกรุงราชคฤห์. เขาได้มีชื่อว่าอุตตระ. เขาได้บรรลุนิติภาวะแล้ว ถึงความสำเร็จในวิชาของพราหมณ์แล้ว ด้วยชาติตระกูล ด้วยรูปสมบัติ ด้วยความรู้ ด้วยวัยและด้วยศีลาจารวัตร เขาจึงได้รับความยกย่องจากชาวโลก.
               วัสสการพราหมณ์ตำแหน่งมหาอำมาตย์ประจำแคว้นมคธ ได้มองเห็นสมบัติอันนั้นของอุตตระนั้นแล้ว จึงมีความประสงค์ที่จะยกธิดาของตนมอบให้แก่เขา ได้ประกาศความประสงค์ของตนให้ทราบแล้ว.
               อุตตระนั้นปฏิเสธเรื่องผู้หญิง เพราะว่าเขาเป็นผู้มีอัธยาศัยเพื่อจะออกจากทุกข์ เข้าไปหาพระธรรมเสนาบดีเป็นประจำตามกาลอันสมควร ได้ฟังธรรมในสำนักของท่านแล้ว ได้มีศรัทธาบรรพชาแล้ว เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวัตรปฏิบัติ บำรุงพระเถระเป็นประจำ.
               ก็โดยสมัยนั้น อาพาธอย่างหนึ่งเกิดขึ้นแก่พระเถระ. อุตตรสามเณรประสงค์จะปรุงเภสัชถวายพระเถระ รุ่งขึ้นเช้า จึงถือบาตรและจีวรออกจากวิหาร ในระหว่างหนทางได้วางบาตรไว้ใกล้สระน้ำแล้ว เข้าไปใกล้น้ำ ล้างหน้าอยู่.
               ครั้งนั้น โจรขุดอุโมงค์คนหนึ่งไปทำการลักขโมยมาแล้ว ถูกพวกตำรวจติดตามไล่จับ ออกจากเมืองโดยถนนใหญ่ เมื่อจะหนีไปได้ใส่ห่อรัตนะที่ตนถือมาลงในบาตรของสามเณรแล้ว จึงหนีไป. แม้สามเณรเข้าไปใกล้บาตรแล้ว.
               พวกตำรวจติดตามโจรไป มองเห็นห่อของในบาตรของสามเณรเข้าใจผิดว่า ผู้นี้เป็นโจร ผู้นี้ได้กระทำโจรกรรมแล้ว ดังนี้แล้วจึงผูกแขนสามเณรไพล่หลัง นำไปแสดงแก่ท่านวัสสการพราหมณ์.
               ก็ในครั้งนั้น ท่านวัสสการพราหมณ์เป็นผู้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาประจำพระราชสำนัก ย่อมตัดสินการตัดและการทำลายได้. ท่านวัสสการพราหมณ์กล่าวว่า ครั้งก่อน ท่านไม่เชื่อถ้อยคำเรา ไปบวชในหมู่ผู้ประพฤตินอกรีตนอกรอยจากทางที่บริสุทธิ์ ดังนี้ไม่ยอมชำระคดีให้ขาวสะอาด ใคร่จะตัดสินฆ่าอย่างเดียว โดยวิธีเอาหลาวเสียบเขาทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่นั่นแหละ.
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแลเห็นว่าญาณของเขาแก่กล้าแล้ว จึงเสด็จไปยังสถานที่นั้น ทรงวางพระหัตถ์มีพระองคุลียาวเรียวอ่อนนุ่มดุจปุยนุ่นเหมือนดัดด้วยเปลวไฟ คล้ายท่อธารทองคำสีแดงชาติหลั่งไหลออก เพราะมีพระหัตถ์และพระนขาอันงดงามดุจสำเร็จด้วยแก้วมณีทำให้สั่นสะเทือน ลงบนศีรษะของอุตตรสามเณรตรัสว่า อุตตระ นี้เป็นผลกรรมในครั้งก่อน เกิดขึ้นแล้วแก่เธอ เธอพึงอดกลั้นด้วยกำลังแห่งปัจจเวกขณญาณแล้ว จึงทรงแสดงธรรมอันเหมาะแก่อัธยาศัย.
               อุตตรสามเณรได้รับปีติปราโมทย์อันโอฬาร เพราะเกิดความเลื่อมใสโสมนัสใจ ด้วยการสัมผัสพระหัตถ์ของพระศาสดา เช่นกับได้รับการรดด้วยน้ำอมฤต เริ่มยกจิตขึ้นสู่หนทางวิปัสสนาตามที่ตนได้สั่งสมมา เพราะญาณถึงความแก่กล้า และเพราะความไพเราะแห่งเทศนาของพระศาสดา จึงทำกิเลสทั้งปวงให้สิ้นไปได้ตามลำดับแห่งมรรค ในขณะนั้นนั่นเอง เป็นผู้ได้อภิญญา ๖.
               ก็ครั้นท่านเป็นผู้ได้อภิญญา ๖ แล้วได้ถอนตนขึ้นจากหลาว ยืนอยู่ในอากาศ เพื่ออนุเคราะห์ผู้อื่นจึงแสดงปาฏิหาริย์แล้ว. มหาชนได้เกิดความอัศจรรย์ใจ. ในขณะนั้นนั้นเอง แผลของท่านก็หายสนิทดี.
               สามเณรนั้นถูกพวกภิกษุถามว่า อาวุโสได้รับทุกข์ถึงอย่างนั้น เธอยังสามารถเพื่อเจริญวิปัสสนาได้อย่างไร ดังนี้จึงกล่าวว่า อาวุโส จะกล่าวไปทำไมถึงโทษในสงสารของผมเล่า ก็สภาวะแห่งสังขารทั้งหลาย ผมเห็นได้ชัดเจนแล้ว ผมแม้จะเสวยทุกข์ถึงเช่นนั้นก็ยังสามารถเพื่อบรรลุวิปัสสนาได้ และกล่าวอีกว่า ในชาติก่อนเวลาเป็นเด็กหนุ่ม ผมถือหลาวไม้สะเดาไล่แทงแมลงวัน เพราะอาศัยการเล่นจับสัตว์เสียบหลาว จึงได้เสวยความทุกข์ถูกเสียบหลาว ตั้งหลายร้อยชาติอย่างนี้ ในชาติสุดท้ายนี้ก็ยังได้รับทุกข์ถึงอย่างนี้แล.
               ครั้นในกาลต่อมา ท่านระลึกถึงบุรพกรรมได้เกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนเคยได้ประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า สุเมโธ นาม สมฺพุทฺโธ ดังนี้.
               ในคำนั้นข้าพเจ้าจักทำการอธิบายเฉพาะบทที่ยากเท่านั้น.
               บทว่า วิชฺชาธโร ตทา อาสึ ความว่า เราได้เป็นผู้สามารถไปในอากาศได้ด้วยวิชาที่สำเร็จมามีมนต์ภายนอกศาสนาเป็นต้น รักษาวิชานั้นไม่ให้เสื่อมไปด้วยการประพฤติเสมอ ด้วยอำนาจการบริหารรักษาไว้ จึงได้กำเนิดเกิดเป็นวิทยาธร.
               บทว่า อนฺตลิกฺขจโร อหํ ความว่า ชื่อว่าอันตลิกขะ เพราะกระทำการกำหนดเบื้องต้นและที่สุดได้.
               อีกความหมายหนึ่ง ชื่อว่าอันตลิกขะ เพราะเป็นเหตุให้กำหนดแลดูเบื้องต้นและที่สุดได้.
               อธิบายว่า ในอากาศนั้น ข้าพเจ้าเที่ยวไปในอากาศเป็นประจำ.
               บทว่า ติสูลํ สุกตํ คยฺห ความว่า หลาวอันคมกริบ คืออาวุธชั้นยอด ได้แก่หลาวที่ทำเป็นอย่างดี.
               อธิบายว่า ข้าพเจ้าถือเอาอาวุธคือหลาวที่ทำอย่างดี สามารถที่จะทิ่มแทง ย่ำยีและประหารสัตว์ได้ แล้วไปทางท้องฟ้า.
               คำที่เหลือทั้งหมดมีเนื้อความพอที่จะกำหนดรู้ได้โดยง่าย ด้วยวิธีประกอบตามเนื้อความ เพราะมีความหมายดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั่นแล.
               จบอรรถกถาอุตตรเถราปทาน               
               -----------------------------------------------------               

               เนื้อความในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/m_siri.php?B=33&siri=146

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๕. ภัททิยวรรค ๑๐. จูฬสุคันธเถราปทาน
อ่านอรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒]
อ่านอรรถกถา 33.1 / 1อ่านอรรถกถา 33.1 / 139อรรถกถา เล่มที่ 33.1 ข้อ 140อ่านอรรถกถา 33.1 / 141อ่านอรรถกถา 33.1 / 180
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=33&A=3969&Z=4056
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=50&A=7129
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=50&A=7129
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๕  กรกฎาคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :