บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ต่อจากสมัยของพระโกณฑัญญพุทธเจ้า ล่วงไปอสงไขยหนึ่ง ในกัปเดียวกันนี่แล ก็บังเกิดพระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ คือ พระมังคละ พระสุมนะ พระเรวตะ พระโสภิตะ. ใน ๔ พระองค์นั้น พระมงคลพุทธเจ้าผู้นำโลก ทรงบำเพ็ญบารมีสิบหกอสงไขยกำไรแสนกัป ก็บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต ทรงดำรงตลอดอายุในสวรรค์ชั้นนั้น เมื่อบุพนิมิต ๕ ประการเกิดขึ้นแล้ว ก็เกิดพุทธโกลาหลขึ้น. ครั้งนั้น เทวดาในหมื่นจักรวาลก็ประชุมกันในจักรวาลนั้น จึงพากันอ้อนวอนว่า
ครั้งนั้นได้ปรากฏปาฏิหาริย์เป็นอันมาก. ปาฏิหาริย์เหล่านั้นพึงทราบตามนัยที่กล่าวไว้แล้ว ในวงศ์ของพระทีปังกรพุทธเจ้านั่นแล. นับตั้งแต่พระมงคลมหาสัตว์ผู้เป็นมงคลของโลกทั้งปวง ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางอุตตระมหาเทวีพระองค์นั้น พระรัศมีแห่งพระสรีระก็แผ่ไปตลอดเนื้อที่ประมาณ ๘๐ ศอกทั้งกลางคืนกลางวัน แสงจันทร์และแสงอาทิตย์สู้ไม่ได้ พระรัศมีนั้นกำจัดความมืดได้โดยที่พระรัศมีแห่งพระสรีระของพระองค์เกิดขึ้น ไม่ต้องใช้แสงสว่างอย่างอื่น พระพี่เลี้ยงพระนม ๖๘ นางคอยปรนนิบัติอยู่. เล่ากันว่า พระนางอุตตราเทวีนั้นมีเทวดาถวายอารักขา ครบทศมาสก็ประสูติ พระมหาสัตว์พระองค์นั้นพอประสูติเท่านั้น ก็ทรงแลดูทุกทิศ หันพระพักตร์สู่ทิศอุดร ทรงย่างพระบาท ๗ ก้าว ทรงเปล่งอาสภิวาจา. ขณะนั้น เทวดาสิ้นทั้งหมื่นโลกธาตุก็ปรากฏกาย ประดับองค์ด้วยทิพยมาลัยเป็นต้น ยืนอยู่ในที่นั้นๆ แซ่ซ้องถวายสดุดีชัยมงคล ปาฏิหาริย์ทั้งหลายมีนัยที่กล่าวแล้วทั้งนั้น. ในวันขนานพระนามพระมหาบุรุษนั้น โหรทำนายลักษณะขนานพระนามว่ามงคลกุมาร เพราะประสูติด้วยมงคลสมบัติทุกอย่าง. ได้ยินว่า พระมหาบุรุษนั้นมีปราสาท ๓ หลัง คือ ยสวา รุจิมา สิริมา. สตรีเหล่านาฏกะ [ฟ้อน, ขับ, บรรเลง] จำนวนสามหมื่น มีพระนางยสวดีเป็นประธาน ณ ปราสาทนั้นพระมหาสัตว์เสวยสุขเสมือนทิพยสุข เก้าพันปี ทรงได้พระโอรสพระนามว่าสีลวา ในพระครรภ์ของพระนางยสวดี พระอัครมเหสี ทรงม้าตัวงามนามว่าปัณฑระ ที่ตกแต่งตัวแล้ว เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ทรงผนวช มนุษย์สามโกฏิก็พากันบวชตามเสด็จพระมหาสัตว์ที่ทรงผนวชพระองค์นั้น พระมหาบุรุษอันภิกษุเหล่านั้นแวดล้อมแล้วทรงบำเพ็ญความเพียรอยู่ ๘ เดือน. แต่นั้นก็เสวยข้าวมธุปายาส มีโอชะทิพย์ที่เทวดาใส่ไว้อันนางอุตตรา ธิดาของอุตตรเศรษฐี ในหมู่บ้านอุตตรคามถวายแล้ว ทรงยับยั้งพักกลางวัน ณ สาละวัน ซึ่งประดับด้วยไม้ดอกหอมกรุ่น มีแสงสีเขียว น่ารื่นรมย์ทรงรับหญ้า ๘ กำที่อุตตระอาชีวกถวาย เสด็จเข้าไปยังต้นไม้ที่ตรัสรู้ชื่อนาคะ [กากะทิง] มีร่มเงาเย็นคล้ายอัญชันคิรี สีครามแก่ ประหนึ่งมียอด มีตาข่ายทองคลุม เว้นจากการชุมนุมของฝูงมฤคนานาพันธุ์ ประดับด้วยกิ่งหนาทึบ ที่ต้องลมอ่อนๆ แกว่งไกวคล้ายฟ้อนรำ ถึงต้นนาคะโพธิที่น่าชื่นชม ก็ทรงทำประทักษิณต้นนาคะโพธิ ประทับยืนข้างทิศอีสาน [ตะวันออกเฉียงเหนือ] ทรงลาดสันถัตหญ้า ๕๘ ศอก ประทับนั่งขัดสมาธิเหนือสันถัตหญ้านั้น. ทรงอธิษฐานความเพียรอันประกอบด้วยองค์ ๔ ทรงทำการพิจารณาปัจจยาการ หยั่งลงโดยอำนาจอนิจจลักษณะเป็นต้นในขันธ์ทั้งหลาย ก็ทรงบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณโดยลำดับ ทรงเปล่งอุทานว่า
พระองค์มีพระชนมายุถึงเก้าหมื่นปี. รัศมีของดวงจันทร์ดวงอาทิตย์และดวงดาวเป็นต้นไม่มีตลอดเวลาถึงเท่านั้น การกำหนดเวลากลางคืนกลางวันไม่ปรากฏ สัตว์ทั้งหลายทำการงานกันทุกอย่างด้วยแสงสว่างของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เหมือนทำงานด้วยแสงสว่างของดวงอาทิตย์เวลากลางวัน โลกกำหนดเวลาตอนกลางคืนกลางวัน โดยดอกไม้บานยามเย็นและนกร้องยามเช้า. ถามว่า อานุภาพนี้ของพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นๆ ไม่มีหรือ. ตอบว่า ไม่มี หามิได้. ความจริง พระพุทธเจ้าแม้เหล่านั้น เมื่อทรงประสงค์ ก็ทรงแผ่พระรัศมีไปได้ตลอด เขาว่า ครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ พระมงคลพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงมีพระโอรสและพระชายา ในอัตภาพเช่นเดียวกับอัตภาพเป็นพระเวสสันดร ประทับอยู่ ณ ภูเขาเช่นเดียวกับเขาวงกต. ครั้งนั้น ยักษ์ผู้มีศักดิ์ใหญ่ตนหนึ่งกินมนุษย์เป็นอาหาร ชอบเบียดเบียนคนทุกคน ชื่อขรทาฐิกะ ได้ข่าวว่า พระมหาบุรุษชอบให้ทาน จึงแปลงกายเป็นพราหมณ์เข้าไปหา ทูลขอทารกสองพระองค์กะพระมหาสัตว์. พระมหาสัตว์ทรงดีพระทัยว่า เราจะให้ลูกน้อยสองคนแก่พราหมณ์ พระมหาบุรุษมองดูยักษ์ พอยักษ์อ้าปากก็เห็นปากยักษ์นั้น มีสายเลือดไหลออกเหมือนเปลวไฟ ก็ไม่เกิดโทมนัสแม้เท่าปลายผม เมื่อคิดว่าเราให้ทานดีแล้ว ก็เกิดปีติโสมนัสมากในสรีระ. พระมหาสัตว์นั้นทรงทำความปรารถนาว่า ด้วยผลแห่งทานของเรานี้ ในอนาคตกาล ขอรัศมีทั้งหลายจงแล่นออกโดยทำนองนี้ เมื่อพระองค์อาศัยความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว รัศมีทั้งหลายจึงเปล่งออกจากสรีระ แผ่ไปตลอดสถานที่มีประมาณเท่านั้น. บุพจริยาอย่างอื่นของพระองค์ยังมีอีก. เล่ากันว่า ครั้งเป็นพระโพธิ เมื่อพระโพธิสัตว์พยายามอยู่จนอรุณขึ้นอย่างนี้ ไออุ่นก็ไม่จับแม้เพียงขุมขน ได้เป็นเหมือนเวลาเข้าไปสู่ห้องดอกปทุม. จริงทีเดียว ชื่อว่าธรรมนี้ย่อมรักษาบุคคลผู้รักษาตน. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ เอสานิสํโส ธมฺเม สุจิณฺเณ น ทุคฺคตึ คจฺฉติ ธมฺมจารี. ธรรมแล ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมที่ ประพฤติดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้ นี้เป็นอานิสงส์ใน ธรรมที่ประพฤติดีแล้ว ผู้ประพฤติธรรม ย่อมไม่ไป ทุคติ ดังนี้. ด้วยผลแห่งกรรมแม้นี้ แสงสว่างแห่งพระสรีระของพระองค์จึงแผ่ไปตลอดหมื่นโลกธาตุ. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า ต่อจากสมัยของพระโกณฑัญญพุทธเจ้า พระพุทธ เจ้าผู้นำโลก พระนามว่ามงคล ก็ทรงกำจัดความมืดในโลก ทรงชูประทีปธรรม. รัศมีของพระมงคลพุทธเจ้าพระองค์นั้น ไม่มีผู้ เทียบยิ่งกว่าพระชินเจ้าพระองค์อื่นๆ ครอบงำแสงสว่าง ของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ หมื่นโลกธาตุก็สว่างจ้า. แก้อรรถ บทว่า นิหนฺตฺวาน ได้แก่ ครอบงำ. ในคำว่า ธมฺโมกฺกํ นี้ อุกฺกา ศัพท์นี้ใช้ในอรรถเป็นอันมาก มีเบ้าของช่างทองเป็นต้น. จริงอย่างนั้น เบ้าของช่างทองทั้งหลาย พึงทราบว่า อุกฺกา ในอาคตสถานว่า สณฺฑาเสน ชาตรูปํ คเหตฺวา อุกฺกามุเข ปกฺขิเปยฺย ใช้คีมคีบทองใส่ลงในปากเบ้า. ภาชนะถ่านไฟของช่างทองทั้งหลาย ก็พึงทราบว่า อุกฺกา ในอาคตสถานว่า อุกฺกํ พนฺ เตาไฟของช่างทอง ก็พึงทราบว่า อุกฺกา ในอาคตสถานว่า กมฺมารานํ ยถา อุกฺกา อนฺโต ฌายติ โน พหิ เปรียบเหมือนเตาของช่างทอง ความเร็วของพายุ พึงทราบว่า อุกฺกา ในอาคตสถานว่า เอวํวิปาโก อุกฺกาปาโต ภวิสฺสติ มีอุกกาบาตจักมีผลเป็นอย่างนี้. คบเพลิง ท่านเรียกว่า อุกฺกา ในอาคตสถานว่า อุกฺกาสุ ธาริยมานาสุ เมื่อคบเพลิงทั้งหลาย แม้ในที่นี้คบเพลิง ท่านประสงค์ว่า อุกฺกา. เพราะฉะนั้นในที่นี้จึงมีความว่า ทรงชูคบเพลิงที่สำเร็จด้วยธรรม พระองค์ทรงชูคบเพลิงอันสำเร็จด้วยธรรมแก่โลก ซึ่งถูกความมืดคืออวิชชาปกปิดไว้ อันความมืดคืออวิชชาครอบงำไว้. บทว่า อตุลาสิ ได้แก่ ไม่มีรัศมีอื่นเทียบได้ หรือปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน. ความว่า มีพระรัศมีอันพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นๆ เทียบไม่ได้. บทว่า ชิเนหญฺเญหิ ตัดบทเป็น ชิเนหิ อญฺเญหิ แปลว่า กว่าพระชินเจ้าพระองค์อื่นๆ. บทว่า จนฺทสุริยปฺปภํ หนฺตฺวา ได้แก่ กำจัดรัศมีของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์. บทว่า ทสสหสฺสี วิโรจติ ความว่า เว้นแสงสว่างของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ หมื่น ก็พระมงคลสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุพระโพธิญาณแล้ว ทรงยับยั้ง ณ โคนต้นไม้ที่ตรัสรู้ ๗ สัปดาห์ ทรงรับคำวอนขอให้ทรงแสดงธรรมของพรหม ทรงใคร่ครวญว่าเราจะแสดงธรรมนี้แก่ใครหนอ ก็ทรงเห็นว่า ภิกษุสามโกฏิที่บวชกับพระองค์ ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย. ครั้งนั้น ทรงดำริว่า กุลบุตรเหล่านี้บวชตามเราซึ่งกำลังบวชอยู่ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย พวกเขาถูกเราซึ่งต้องการวิเวกสละไว้ เมื่อวันเพ็ญเดือนวิสาขะ เข้าไปอาศัย ภิกษุเหล่านั้นถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แสดงอันเตวาสิกวัตรแล้วนั่งแวดล้อมพระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ซึ่งพระ ต่อจากนั้น ภิกษุสามโกฏิก็บรรลุพระอรหัต ธรรมาภิสมัยการตรัสรู้ธรรม ได้มีแก่เทวดาและมนุษย์แสนโกฏิ. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงประกาศสัจจะ ๔ อันประเสริฐสุด เทวดาและมนุษย์นั้นๆ ดื่มรสสัจจะ บรรเทาความมืดใหญ่ได้. ธรรมาภิสมัย การตรัสรู้ธรรม ได้มีแก่เทวดา และมนุษย์แสนโกฏิ ในปฐมธรรมเทศนาของพระผู้มี พระภาคเจ้าผู้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ที่ชั่งไม่ได้. แก้อรรถ บทว่า สจฺจวรุตฺตเม ความว่า จริงด้วย ประเสริฐด้วย ชื่อว่าสัจจะอันประเสริฐ. อธิบายว่า สัจจะสูงสุด. ปาฐะว่า จตฺตาโร สจฺจวรุตฺตเม ดังนี้ก็มี ความว่า สัจจะอันประเสริฐสูงสุดทั้ง ๔. บทว่า เต เต ได้แก่ เทวดาและมนุษย์นั้นนั่นอันพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงแนะนำแล้ว. บทว่า สจฺจรสํ ได้แก่ ดื่มรสอมตะคือการแทงตลอดสัจจะ ๔. บทว่า วิโนเทนฺติ มหาตมํ ความว่า บรรเทาคือกำจัด ความมืดคือโมหะ ที่พึงละด้วยมรรคนั้นๆ. บทว่า ปตฺวาน ได้แก่ แทงตลอด. ในบทว่า โพธึ นี้ โพธิศัพท์นี้
มาในอรรถว่าผล ได้ในประโยคเป็นต้นว่า อุปสมาย อภิญฺญาย สมฺโพธาย สํวตฺตติ ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ ความรู้ยิ่ง ความตรัสรู้พร้อม. มาในอรรถว่านิพพาน ได้ในประโยคนี้ว่า ปตฺวาน โพธึ อมตํ อสงฺขตํ บรรลุพระนิพพานอันไม่ตาย ปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้. มาในอรรถว่าต้นอัสสัตถะ ต้นโพธิใบ ได้ในประโยคนี้ว่า อนฺตรา จ คยํ อนฺตรา จ โพธึ ระหว่างแม่น้ำคยาและต้นโพธิ. มาในอรรถว่าบัญญัติ ได้ในประโยคนี้ว่า โพธิ โข ราชกุมาโร โภโต โคตมสฺส ปาเท สิรสา วนฺทติ พระราชกุมารพระนามว่าโพธิ ถวายบังคมพระยุคลบาทของพระโคดม ด้วยเศียรเกล้า. มาในอรรถว่าพระสัพพัญญุตญาณ ได้ในประโยคนี้ว่า ปปฺโปติ โพธึ วรภูริเมธโส พระผู้มีพระปัญญาดีอันประเสริฐดังแผ่นดิน ทรงบรรลุพระ แม้ในที่นี้ก็พึงเห็นว่าลงในอรรถว่าพระสัพพัญ บทว่า อตุลํ ได้แก่ เว้นที่จะชั่งได้ คือเกินประมาณ. อธิบายว่า ไม่มีประมาณ. พึงถือความว่า ในปฐมธรรมเทศนาของพระผู้มีพระ สมัยใด พระมงคลพุทธเจ้าทรงอาศัยนคร ชื่อจิตตะ ประทับอยู่ ทรงทำยมก สมัยนั้น ธรรมาภิสมัยการตรัสรู้ธรรมได้มีแก่เทวดาแสนโกฏิ นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๒. สมัยใด พระเจ้าจักรพรรดิพระนามสุนันทะ ทรงบำเพ็ญ เล่ากันว่า เมื่อพระมงคลทศพลเสด็จอุบัติขึ้นในโลก จักรรัตนะนั้นก็ สมัยนั้น พราหมณ์เหล่านั้นจึงพยากรณ์ ถึงเหตุที่จักรรัตนะนั้น แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระชนมายุของพระองค์ยังไม่สิ้นดอก พระเจ้าสุนันทจักรพรรดิราชพร้อมทั้งบริษัท จึงทรงไหว้จักรรัตนะนั้นด้วยเศียรเกล้า ทรงวอนขอว่า ตราบใดเราจักสักการะพระมงคลทศพล ด้วยอานุภาพของท่าน ขอท่านอย่าเพิ่งอันตรธานไป ตราบนั้นด้วยเถิด. ลำดับนั้น จักรรัตนะนั้นก็ได้ตั้งอยู่ที่ฐานตามเดิม. แต่นั้น พระเจ้าสุนันทจักรพรรดิผู้มีความบันเทิงพระ แม้พระราชโอรสของพระองค์ พระนาม ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอนุ ลำดับนั้น พระศาสดาทรงสำรวจบุพจริยาของชนเหล่านั้น ทรงเห็นอุปนิสสัยแห่งบาตรจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ ก็ทรงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาซึ่งประดับด้วยข่ายจักร ตรัสว่า พวกเธอจงเป็นภิกษุมาเถิด. ในทันทีภิกษุทุกรูปก็มีผมขนาดสองนิ้ว ทรงบาตรจีวรสำเร็จด้วยฤทธิ์ ถึงพร้อมด้วยอาการอันสมควรแก่สมณะ ประหนึ่งพระเถระ ๖๐ พรรษา แวดล้อมพระผู้มีพระภาคเจ้า. นี้เป็นอภิสมัยครั้งที่ ๓. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรม ในสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์ ภพของท้าวสักกะจอมทวยเทพ ธรรมาภิสมัย ครั้งที่ ๒ ได้มีแก่เทวดาแสนโกฏิ. สมัยใด พระเจ้าสุนันทจักรพรรดิเสด็จเข้าไปเฝ้า พระสัมพุทธเจ้า สมัยนั้น พระสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐได้ ทรงลั่นธรรมเภรีอันสูงสุด. สมัยนั้น หมู่ชนที่ตามเสด็จพระเจ้าสุนันทะมี จำนวนเก้าสิบโกฏิ ชนเหล่านั้นแม้ทั้งหมดไม่มีเหลือ เป็นเอหิภิกขุ. แก้อรรถ บทว่า ธมฺมํ ได้แก่ พระอภิธรรม. บทว่า อาหนิ ได้แก่ ตี. บทว่า วรุตฺตมํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประเสริฐได้ทรงลั่นธรรมเภรีอันสูงสุด. บทว่า อนุจรา ได้แก่ เสวกผู้ตามเสด็จประจำ. บทว่า อาสุํ ได้แก่ ได้มีแล้ว. ปาฐะว่า ตทาสิ นวุติโกฏิโย ดังนี้ก็มี. ความว่า หมู่ชนของพระเจ้าสุนันทจักรพรรดิพระองค์นั้นได้มีแล้ว. ถ้าจะถามว่า หมู่ชนนั้นมีจำนวนเท่าไร ก็จะตอบได้ว่า มีจำนวนเก้าสิบโกฏิ. เล่ากันว่า ครั้งนั้น เมื่อพระมงคลโลกนาถประทับอยู่ ณ เมขลบุรี. ในนครนั้นนั่นแล สุเทวมาณพและธัมม เมื่อคู่พระอัครสาวกพร้อมบริวารบรรลุพระอรหัต ในวันเพ็ญเดือนมาฆะ พระศาสดาทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง ใน ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง ในการประชุมของบรรพชิต ในสมาคมญาติอันยอดเยี่ยม ณ อุตตรารามอีก นี้เป็นการประชุมครั้งที่ ๒. ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดงในท่ามกลางภิกษุเก้าหมื่นโกฏิ ในสมาคมคณะภิกษุพระเจ้าสุนันทจักรพรรดิ นี้เป็นการประชุมครั้งที่ ๓. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า พระมงคลพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมีการ ประชุม ๓ ครั้ง คือ ครั้งที่ ๑ ประชุมภิกษุแสนโกฏิ. ครั้งที่ ๒ ประชุมภิกษุแสนโกฏิ ครั้งที่ ๓ ประชุม ภิกษุเก้าสิบโกฏิ ครั้งนั้น เป็นการประชุมภิกษุขีณาสพ ผู้ ไร้มลทิน. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ของเราเป็นพราหมณ์ชื่อว่าสุรุจิ ในหมู่บ้านสุรุจิพราหมณ์ เป็นผู้จบไตรเพทพร้อมทั้งนิฆัณฑุศาสตร์ เกฏุภศาสตร์ ทั้งประเภทอักขรศาสตร์ ชำนาญร้อยกรอง ชำนาญร้อยแก้ว ทั้งเชี่ยวชาญในโลกายตศาสตร์และมหาปุริสลักษณศาสตร์. ท่านสุรุจิพราหมณ์นั้นเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ฟังธรรมกถาอันไพเราะของพระทศพลแล้วเลื่อมใสถึงสรณะ นิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมทั้งพระสงฆ์สาวกว่า พรุ่งนี้ ขอพระองค์โปรดทรงรับอาหารของข้าพระองค์ด้วยเถิด. ท่านพราหมณ์นั้นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ท่านพราหมณ์ ท่านต้องการภิกษุจำนวนเท่าไร จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุบริวารของพระองค์มีเท่าไรเล่า พระเจ้าข้า. ครั้งนั้น เป็นการประชุมครั้งที่ ๑ เพราะฉะนั้น เมื่อตรัสว่ามีแสนโกฏิ สุรุจิพราหมณ์จึงนิมนต์ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเป็นเช่นนั้น ขอพระองค์โปรดทรงรับอาหารของข้าพระองค์ พร้อมกับภิกษุทุกรูปพระเจ้าข้า. พระศาสดาจึงทรงรับนิมนต์ พราหมณ์ ครั้นนิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อเสวยในวันรุ่งขึ้นแล้วก็กลับไปบ้านตนคิดว่า ภิกษุจำนวนถึงเท่านี้ เราก็สามารถถวายข้าวต้มข้าวสวยและผ้าได้ แต่สถานที่ท่านจะนั่งกันจักทำอย่างไร. ความคิดของท่านพราหมณ์นั้นก็ร้อนไปถึงพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของท้าวสหัสนัยน์สักกเทวราช ซึ่งสถิตอยู่เหนือยอดขุนเขาพระเมรุ ระยะทางแปดหมื่นสี่พันโยชน์. ครั้งนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงเห็นอาสน์ร้อนขึ้นมา ก็เกิดปริวิตกว่า ใครหนอประสงค์จะให้เราเคลื่อนย้ายจากที่นี้ ทรงเล็งทิพยเนตรตรวจดูมนุษยโลกก็เห็นพระมหาบุรุษ คิดว่า พระมหาสัตว์ผู้นี้นิมนต์พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน คิดถึงเรื่องสถานที่ภิกษุสงฆ์นั้นจะนั่ง แม้เราก็ควรจะไปที่นั้นแล้วรับส่วนบุญ จึงปลอมตัวเป็นนายช่างไม้ถือมีดและขวานแล้วปรากฏตัวต่อหน้าพระมหาบุรุษ กล่าวว่า ใครหนอมีกิจที่จะจ้างเราทำงานบ้าง. พระมหาสัตว์เห็นแล้วก็ถามว่า ท่านสามารถทำงานของเราได้หรือ. เขาบอกกล่าวว่า ขึ้นชื่อว่าศิลปะที่เราไม่รู้ ไม่มี ผู้ใดประสงค์จะให้ทำสิ่งไรๆ ไม่ว่าจะเป็นมณฑป ปราสาทหรือนิเวศน์เป็นต้นไรๆ อื่น เราก็สามารถทำได้ทั้งนั้น. พระมหาสัตว์บอกว่า ถ้าอย่างนั้นเรามีงาน. เขาถามว่า งานอะไรเล่า นายท่าน. พระมหาสัตว์บอกว่า เรานิมนต์ภิกษุจำนวนแสนโกฏิ เพื่อฉันอาหารวันพรุ่งนี้ ท่านจักต้องสร้างมณฑปสำหรับภิกษุเหล่านั้นนั่งนะ. เขากล่าวว่า ได้สิ พ่อคุณ. เขากล่าวว่า ดีละ ถ้าอย่างนั้นเราจักทำ แล้วก็ตรวจดูภูมิประเทศแห่งหนึ่ง ภูมิประเทศเหล่านั้นประมาณสิบสองโยชน์ พื้นเรียบเหมือนวงกสิณน่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง. เขาคิดอีกว่า มณฑปที่เห็นเป็นแก่นไม้สำเร็จด้วยรัตนะ ๗ ประการจงผุดขึ้น ณ ที่ประมาณเท่านี้ แล้วตรวจดู ในทันใด มณฑปที่ชำแรกพื้นดินผุดโผล่ขึ้นก็เสมือนมณฑปจริง มณฑปนั้นมีหม้อเงินอยู่ที่เสาทอง มีหม้อทองอยู่ที่เสาเงิน มีหม้อแก้วประพาฬอยู่ที่เสาแก้วมณี มีหม้อแก้วมณีอยู่ที่เสาแก้วประพาฬ มีหม้อรัตนะ ๗ อยู่ที่เสารัตนะ ๗. ต่อนั้น เขาตรวจดูว่าข่ายกระดิ่งจงห้อยระหว่างระยะของมณฑป พร้อมกับการตรวจดู ข่ายกระดิ่งก็ห้อย ซึ่งเมื่อต้องลมพานอ่อนๆ ก็เปล่งเสียงไพเราะ น่ารื่นรมย์อย่างยิ่ง เหมือนอย่างดนตรีเครื่อง ๕ ได้เป็นเหมือนเวลาบรรเลงทิพยสังคีต. เขาคิดว่า พวงของหอม พวงดอกไม้ พวงใบไม้และพวงรัตนะ ๗ ของทิพย์ จงห้อยลงเป็นระยะๆ. พร้อมกับคิด พวงทั้งหลายก็ห้อย. อาสนะ เครื่องลาดมีค่าเป็นของกับปิยะและเครื่องรองทั้งหลาย สำหรับภิกษุจำนวนแสนโกฏิ จงชำแรกแผ่นดินผุดโผล่ขึ้น ในทันใด ของดังกล่าวก็ผุดขึ้น. เขาคิดว่าหม้อน้ำ จงตั้งอยู่ทุกๆ มุมๆ ละหม้อ ทันใดนั่นเองหม้อน้ำทั้งหลายเต็มด้วยน้ำสะอาดหอมและเป็นกัปปิยะมีรสอร่อย เย็นอย่างยิ่ง มีปากปิดด้วยใบตองก็ตั้งขึ้น. ท้าวสหัสสนัยน์นั้น ทรงเนรมิตสิ่งของมีประมาณเท่านี้แล้ว เข้าไปหาพราหมณ์กล่าวว่า นายท่าน มานี่แน่ะ ท่านเห็นมณฑปของท่านแล้ว โปรดให้ค่าจ้างแก่เราสิ. พระมหาสัตว์ไปตรวจดูมณฑปนั้น เมื่อเห็นมณฑปนั่นแลสรีระก็ถูกปีติ ๕ อย่างถูกต้อง แผ่ซ่านมิได้ว่างเว้นเลย. ครั้งนั้น พระมหาสัตว์เมื่อแลเห็นก็คิดอย่างนี้ว่า มณฑปนี้มิใช่ฝีมือมนุษย์สร้าง อาศัยอัธยาศัยของเรา คุณของเรา จึงร้อนถึงภพของท้าวสักกเทวราช ต่อนั้น ท้าวสักกจอมทวยเทพจึงทรงเนรมิตมณฑปนี้แน่แล้ว. พระมหาสัตว์คิดว่า การจะถวายทานวันเดียวในมณฑปเห็นปานนี้ไม่สมควรแก่เรา จำเราจะถวายตลอด ๗ วัน. ธรรมดาทานภายนอกแม้มีประมาณเท่านั้น ก็ยังไม่อาจทำหัวใจของพระโพธิสัตว์ให้พอใจได้ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายอาศัยจาคะ ย่อมจะชื่อว่าพอใจ ก็แต่ในเวลาที่ตัดศีรษะที่ประดับแล้วหรือควักลูกตาที่หยอดแล้ว หรือถอดเนื้อหัวใจให้เป็นทาน. จริงอยู่ ในสิวิชาดก เมื่อพระโพธิสัตว์ของเราสละทรัพย์ห้าแสนกหาปณะทุกๆ วัน ให้ทาน ๕ แห่ง คือท่ามกลางนครและที่ประตูทั้ง ๔. ทานนั้นไม่อาจให้เกิดความพอใจในจาคะได้เลย. แต่สมัยใด ท้าวสักก ด้วยประการดังกล่าวมานี้ พระสัพพัญญูโพธิสัตว์ทั้งหลายอาศัยแต่ทานภายนอกจึงมิได้อิ่มเลย เพราะฉะนั้น พระมหาบุรุษแม้พระองค์นั้นคิดว่า เราควรถวายทานแก่ภิกษุจำนวนแสนโกฏิ จึงให้ภิกษุเหล่านั้นนั่ง ณ มณฑปนั้นแล้วถวายทาน ชื่อว่าควปานะ [ขนมแป้งผสมนมโค] ๗ วัน. โภชนะที่เขาบรรจุหม้อขนาดใหญ่ๆ ให้เต็มด้วยน้ำนมโคแล้วยกตั้งบนเตา ใส่ข้าวสารทีละน้อยๆ ลงที่น้ำนมซึ่งสุกโดยเคี่ยวจนข้นแล้วปรุงด้วยน้ำผึ้งคลุกน้ำตาลกรวดละเอียดและเนยใสเข้าด้วยกัน เรียกกันว่าควปานะ ในบาลีนั้น ควปานะนี้นี่แหละ เขาเรียกว่าโภชนะอร่อยมีรส ๔ ดังนี้ก็มี. แต่มนุษย์ทั้งหลายไม่อาจอังคาสได้ แม้แต่เทวดาทั้งหลายที่อยู่ช่องว่างช่องหนึ่งจึงอังคาสได้ สถานที่นั้นแม้มีขนาดสิบสองโยชน์ ก็ยังไม่พอรับภิกษุเหล่านั้นได้เลย แต่ภิกษุเหล่านั้นนั่งโดยอานุภาพของตนๆ. วันสุดท้าย พระมหาบุรุษให้เขาล้างบาตรภิกษุทุกรูป บรรจุด้วยเนยใส เนยข้น น้ำผึ้ง น้ำอ้อยเป็นต้น ได้ถวายพร้อมด้วยไตรจีวร ผ้าจีวรที่ภิกษุสังฆนวกะในที่นั้นได้แล้วก็เป็นของมีค่านับแสน. ครั้งนั้น พระศาสดาเมื่อทรงทำอนุโมทนา ทรงใคร่ครวญดูว่า มหาบุรุษผู้นี้ได้ถวายมหาทานเห็นปานนี้จักเป็นใครกันหนอ ก็ทรงเห็นว่า ในอนาคตกาล เขาจักเป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคตมะ ในที่สุดสองอสงไขยกำไรแสนกัป แต่นั้นจึงทรงเรียกพระมหาสัตว์มาแล้วทรงพยากรณ์ว่า ล่วงกาลประมาณเท่านี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคตมะ. ลำดับนั้น พระมหาบุรุษสดับคำพยากรณ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ก็มีหัวใจปลาบปลื้ม คิดว่า พระองค์ตรัสว่าเราจักเป็นพระพุทธเจ้า เราก็ไม่ต้องการอยู่ครองเรือนจึงละสมบัติเห็นปานนั้นเสียเหมือนก้อนเขฬะ บวชในสำนักของพระศาสดา เรียนพระพุทธวจนะ ยังอภิญญาและสมาบัติ ๘ ให้บังเกิด มีฌานไม่เสื่อม ดำรงอยู่จนตลอดอายุ ที่สุดอายุบังเกิดแล้วในพรหมโลก. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า สมัยนั้น เราเป็นพราหมณ์ ชื่อว่าสุรุจิ เป็นผู้คง แก่เรียน ทรงมนต์ จบไตรเพท. เราเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถึงพระองค์เป็นสรณะ แล้วบูชาพระสงฆ์มีพระสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน ด้วย ของหอมและดอกไม้ ครั้นบูชาด้วยของหอมและดอกไม้ แล้วก็เลี้ยงให้อิ่มหนำสำราญด้วยขนมควปานะ. พระมงคลพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นยอดของสัตว์สองเท้า แม้พระองค์นั้น ก็ทรงพยากรณ์เราว่า ท่านผู้นี้จักเป็น พระพุทธเจ้า ในกัปที่ประมาณมิได้ นับแต่กัปนี้ไป. ตถาคตออกอภิเนษกรมณ์ จากกรุงกบิลพัศดุ์แล้ว ตั้งความเพียรกระทำทุกกรกิริยาแล้ว ฯลฯ๑- พวกเราจัก อยู่ต่อหน้าของท่านผู้นี้. เราฟังพระดำรัสของพระมงคลพุทธเจ้านั้นแล้ว ก็ยังจิตให้เลื่อมใสยิ่งขึ้นไป แล้วอธิษฐานข้อวัตรยิ่งขึ้น เพื่อบำเพ็ญบารมีให้สมบูรณ์. ครั้งนั้น เราเพิ่มพูนปีติเพื่อบรรลุพระสัมโพธิญาณ อันประเสริฐ ก็ถวายเคหะของเราแด่พระพุทธเจ้า แล้วบวช ในสำนักของพระองค์. เราเล่าเรียนพระสูตร พระวินัยและนวังคสัตถุศาสน์ ทั้งหมด ยังศาสนาพระชินเจ้าให้งดงาม เราอยู่ในพระศาสนานั้น อย่างไม่ประมาท เจริญ พรหมวิหารภาวนา ก็ถึงฝั่งอภิญญา เข้าถึงพรหมโลก. ____________________________ ๑- ดูความพิศดารในวงศ์พระสุมนพุทธเจ้าที่ ๔ หน้า ๓๕๘. แก้อรรถ คำว่า ควปานะ นี้ได้กล่าวมาแล้ว. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ฆตปาเนน ดังนี้ก็มี. บทว่า ตปฺปยึ แปลว่า ให้อิ่มหนำสำราญแล้ว. บทว่า อุตฺตรึปิ วตมธิฏฺฐสึ ได้แก่ อธิษฐานข้อวัตรยวดยิ่งขึ้น. บทว่า ทสปารมิปูริยา ได้แก่ เพื่อทำบารมี ๑๐ ให้เต็ม. บทว่า ปีตึ ได้แก่ ความยินดีแห่งใจ. บทว่า อนุพฺรูหนฺโต ได้แก่ ให้เจริญ. บทว่า สมฺโพธิวรปตฺติยา ได้แก่ เพื่อบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า. บทว่า พุทฺเธ ทตฺวาน ได้แก่ บริจาคแด่พระพุทธเจ้า. บทว่า มํ เคหํ ความว่า บริจาคเคหะคือสมบัติทุกอย่างของเรา แด่พระผู้ บทว่า ตตฺถ ได้แก่ ในพระพุทธศาสนานั้น. บทว่า พฺรหฺมํ ได้แก่ เจริญพรหมวิหารภาวนา. ก็พระผู้มีพระภาคมงคลพุทธเจ้ามีพระนครชื่อว่าอุตตรนคร แม้พระ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นดำรงพระชนม์อยู่เก้าหมื่น ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า พระมงคลพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมีนคร ชื่ออุตตรนคร มีพระชนกพระนามว่าพระเจ้าอุตตระ พระ ชนนีพระนามว่าพระนางอุตตรา. มีคู่พระอัครสาวก ชื่อว่า พระสุเทวะ พระธรรมเสนะ มีพระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่าพระปาลิตะ. มีคู่พระอัครสาวิกาชื่อพระสีวลาและพระอโสกา ต้น ไม้ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เรียกว่าต้นนาคะ. พระมหามุนี สูง ๘๘ ศอก พระรัศมีแล่นออกจาก พระสรีระนั้นหลายแสน. ในยุคนั้น ทรงมีพระชนมายุเก้าหมื่นปี พระองค์ ดำรงพระชนม์อยู่เท่านั้น ก็ทรงยังหมู่ชนเป็นอันมากให้ ข้ามโอฆสงสาร. คลื่นในมหาสมุทร ใครๆ ไม่อาจนับคลื่นเหล่านั้น ได้ฉันใด สาวกของพระมงคลพุทธเจ้าพระองค์นั้น ใครๆ ก็ไม่อาจนับสาวกเหล่านั้นได้ ฉันนั้นเหมือนกัน. พระมงคลสัมพุทธเจ้าผู้นำโลก ยังดำรงอยู่เพียงใด ความตายของผู้ยังมีกิเลสในศาสนาของพระองค์ ก็ไม่มี เพียงนั้น. พระผู้มีพระยศใหญ่พระองค์นั้น ทรงชูประทีป ธรรม ยังมหาชนให้ข้ามโอฆสงสาร แล้วก็เสด็จดับขันธ ปรินิพพาน เหมือนดวงไฟลุกโพลงแล้วก็ดับไปฉะนั้น. พระองค์ ครั้นทรงแสดงความที่สังขารทั้งหลาย เป็นสภาวธรรมแล้ว ก็เสด็จดับขันธปรินิพพานเหมือน กองไฟลุกโพลงแล้วก็ดับ เหมือนดวงอาทิตย์ส่องแสง สว่างแล้ว ก็อัสดงคตฉะนั้น. แก้อรรถ บทว่า นิทฺธาวตี ก็คือ นิทฺธาวนฺติ พึงเห็นว่าเป็นวจนะวิปลาส. บทว่า รํสี ก็คือ รัศมีทั้งหลาย. บทว่า อเนกสตสหสฺสี ก็คือ หลายแสน. บทว่า อูมี ได้แก่ ระลอกคลื่น. บทว่า คเณตุเย แปลว่า เพื่อคำนวณ คือนับ. อธิบายว่า คลื่นในมหาสมุทร ใครๆ ไม่อาจนับว่าคลื่นในมหาสมุทรมีเท่านี้ฉันใด แม้สาวกทั้งหลายของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ใครๆ ก็ไม่อาจนับได้ ที่แท้เกินที่จะนับได้ ก็ฉันนั้น. บทว่า ยาว ได้แก่ ตลอดกาลเพียงใด. บทว่า สกิเลสมรณํ ตทา ความว่า บุคคลเป็นไปกับด้วยกิเลสทั้งหลาย ชื่อว่าผู้เป็นไปกับด้วยกิเลส. ความตายของผู้เป็นไปกับด้วยกิเลส ชื่อว่าสกิเลสมรณะ ความตายของผู้มีกิเลส. ความตายของผู้มีกิเลสนั้นไม่มี. เขาว่า สมัยนั้น สาวกทั้งหลายในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น บรรลุพระอรหัตแล้ว ก็พากันปรินิพพานหมด ผู้เป็นปุถุชนหรือเป็นพระโสดาบันเป็นต้นก็ยังไม่ทำกาลกิริยา [ตาย]. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า สมฺโมหมารณํ ตทา ดังนี้ก็มี. บทว่า ธมฺโมกฺกํ แปลว่า ประทีปธรรม. ไฟ ท่านเรียกว่า ธูมเกตุ แต่ในที่นี้พึงเห็นว่าประทีป เพราะฉะนั้น จึงมีความว่า เหมือนประทีปส่องแสงแล้วก็ดับไป. บทว่า มหายโส ได้แก่ พระผู้มีบริวารมาก. อาจารย์บางพวก กล่าวว่า นิพฺพุโต โส สสาวโก. บทว่า สงฺขารานํ ได้แก่ สังขตธรรมธรรมที่มีปัจจัย. บทว่า สภาวตฺตํ ได้แก่ สามัญลักษณะมีอนิจจ บทว่า สุริโย อตฺถงฺคโต ยถา ความว่า ดวงอาทิตย์ซึ่งมีรัศมีนับพัน กำจัดกลุ่มความมืดทั้งหมด และส่องสว่างหมดทั้งโลก ยังถึงอัสดงคตฉันใด แม้พระมงคลพุทธเจ้าผู้เป็นดั่งดวงอาทิตย์ ผู้ทำความแย้มบานแก่เวไนยสัตว์ผู้เป็นดั่งดงบัว ทรงกำจัดความมืดในโลกทั้งภายในทั้งภายนอกทุกอย่าง ทรงรุ่งเรืองด้วยพระรัศมีแห่งพระสรีระของพระองค์ ก็ถึงความดำรงอยู่ไม่ได้ก็ฉันนั้น. คาถาที่เหลือในที่ทั้งปวงง่ายทั้งนั้นแล. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๓. มังคลพุทธวงศ์ จบ. |