ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 

อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒]อ่านอรรถกถา 33.1 / 1อ่านอรรถกถา 33.1 / 139อรรถกถา เล่มที่ 33.1 ข้อ 140อ่านอรรถกถา 33.1 / 141อ่านอรรถกถา 33.1 / 180
อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๕. ภัททิยวรรค
๑๐. จูฬสุคันธเถราปทาน

หน้าต่างที่ ๙ / ๑๒.

               ยสวรรคที่ ๕๖#-               
               ภัททชิเถราปทานที่ ๘ (๕๕๘)               
               ว่าด้วยบุพจริยาของพระภัททชิเถระ               
____________________________
#- วรรคนี้ในบาลีไทย ขาดหายไป แต่ของฉบับภาษาอื่นและอรรถกถา (มีอยู่) จึงนำมาเพิ่มให้ครบ พร้อมทั้งเพิ่มเลขข้อต่อจากข้อ ๑๔๐ ไปตามลำดับ.

                                   [๑๔๘] ในครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้ลงสู่สระบัว
                         ได้ถอนเหง้าบัว อันเป็นอาหารที่ช้างชอบเสพใน
                         สระนั้นขึ้นมา เพราะเหตุที่มีความหิว.
                                   ในสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า
                         พระนามว่า ปทุมุตตระ ผู้ทรงไว้ซึ่งความสูงสุด
                         ผู้กำลังเสด็จมาทางอากาศ.
                                   ผ้าบังสุกุลจีวร ปลิวสะบัดอยู่ ในครั้งนั้น
                         ข้าพเจ้าได้ยินเสียง ข้าพเจ้าจึงแหงนหน้าขึ้นมอง
                         ดูเบื้องบน ได้เห็นพระพุทธเจ้า ผู้นายกของโลก.
                                   ข้าพเจ้ายืนสงบอยู่ในที่นั้นนั่นแหละ ได้
                         ทูลอาราธนาพระโลกนายกให้ทรงรับน้ำผึ้ง พร้อม
                         กับเหง้าบัว น้ำนม เนยใส และเหง้าบัว.
                                   พระพุทธเจ้าผู้มีพระจักษุ ทรงรับภิกษาแล้ว
                         เพื่อทรงอนุเคราะห์ข้าพเจ้า แต่นั้นพระศาสดาผู้มี
                         พระกรุณา ผู้มีพระยศใหญ่ เสด็จลงมาจากอากาศ
                         แล้ว.
                                   พระพุทธเจ้าผู้มีพระจักษุ จึงทรงรับภิกษา
                         ของข้าพเจ้า เพื่อทรงอนุเคราะห์ข้าพเจ้า ครั้นทรง
                         รับแล้ว ได้ทรงกระทำอนุโมทนาแก่ข้าพเจ้าว่า
                                   ท่านผู้มีบุญใหญ่ ท่านจงมีความสุข คติจง
                         สำเร็จแก่ท่าน ด้วยอานิสงส์แห่งการถวายเหง้าบัวนี้
                         ท่านจงได้สุขอันไพบูลย์เถิด.
                                   พระสัมพุทธเจ้า พระนามว่าปทุมุตตระ
                         ครั้นตรัสพระดำรัสนี้แล้ว พระสัมพุทธเจ้าได้นำ
                         ภิกษาไปทางอากาศ พระพุทธชินเจ้าได้เสด็จไป
                         ทางอากาศแล้ว.
                                   แต่นั้น ข้าพเจ้าถือเอาเหง้าบัวกลับไปยัง
                         อาศรมของข้าพเจ้า ได้แขวนพวงเหง้าบัวไว้ที่
                         ต้นไม้แล้ว ระลึกถึงทานของข้าพเจ้า.
                                   ครั้งนั้น ลมพายุใหญ่ก็เกิดขึ้น ไฟป่าก็
                         ไหม้ป่า อากาศก็กำเริบคะนองยิ่ง และในขณะ
                         นั้น ฟ้าก็ผ่าลงมา.
                                   ครั้งนั้น อสุนีบาตตกบนศีรษะข้าพเจ้า
                         จนล้มลง ในขณะนั้น ข้าพเจ้านั่งสงบอยู่ ข้าพเจ้า
                         ได้ทำกาละแล้วในที่นั้น.
                                   ข้าพเจ้าระลึกถึงบุญกรรมแล้ว ไปอุปบัติ
                         ยังดุสิต ข้าพเจ้าละทิ้งซากร่างกายไว้ แต่ข้าพเจ้า
                         ไปร่าเริงยินดีอยู่ในเทวโลก.
                                   สตรี ๘๖,๐๐๐ นาง ประดับตกแต่งร่างกาย
                         งาม คอยบำรุงรับใช้ทั้งเวลาเช้าและเวลาเย็น อันนี้
                         เป็นผลแห่งการถวายเหง้าบัว.
                                   ครั้นกลับมาสู่กำเนิดมนุษย์ แต่ละครั้ง
                         ข้าพเจ้ามีแต่ความสุข โภคะทั้งหลายของข้าพเจ้า
                         ไม่บกพร่องเลย นี้เป็นผลของการถวายเหง้าบัว.
                                   ข้าพเจ้าผู้อันกรรมนั้นและเทพแห่งเทพ
                         ผู้คงที่อนุเคราะห์แล้ว เพราะเป็นผู้สิ้นอาสวะทั้ง
                         ปวงแล้ว บัดนี้ภพใหม่มิได้มีแล้ว.
                                   ในกัปที่หนึ่งแสนแต่กัปนี้ ในครั้งนั้น
                         ข้าพเจ้าได้ถวายเหง้าบัวใด ด้วยกรรมนั้น ข้าพเจ้า
                         ไม่รู้จักทุคติเลย อันนี้เป็นผลแห่งการถวายเหง้าบัว.
                                   ข้าพเจ้าได้เผากิเลสทั้งหลายสิ้นแล้ว ฯลฯ
                         ข้าพเจ้าเป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่.
                                   ข้าพเจ้าได้มาดีแล้วแล ฯลฯ คำสอนของ
                         พระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้กระทำเสร็จแล้ว.
                                   ปฏิสัมภิทา ๔ ฯลฯ คำสอนของพระพุทธ
                         เจ้า ข้าพเจ้าได้กระทำเสร็จแล้ว.
               ทราบว่า ท่านพระภัททชิเถระได้กล่าวคาถาเหล่านั้น ด้วยประการฉะนี้แล.
               จบภัททชิเถราปทาน               
               -----------------------------------------------------               
               ยศวรรคที่ ๕๖               
               ๕๕๘. อรรถกถาภัททชิเถราปทาน               
               พึงทราบเรื่องราวในอปทานที่ ๘ ดังต่อไปนี้ :-
               อปทานของท่านพระภัททชิเถระ อันมีคำเริ่มต้นว่า โอคยฺหาหํ โปกฺขรณึ ดังนี้.
               แม้พระเถระรูปนี้ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพนั้นๆ.
               ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ท่านได้บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ บรรลุนิติภาวะแล้ว จบการศึกษาในศิลปะวิชาการของหมู่พราหมณ์ ละกามบวชเป็นพระดาบส สร้างอาศรมอยู่ในป่า.
               วันหนึ่งเห็นพระศาสดาเสด็จมาทางอากาศ มีใจเลื่อมใส ได้ยืนประคองอัญชลี.
               พระศาสดาทรงเห็นอัธยาศัยของเขา จึงเสด็จลงจากอากาศ.
               ก็เขาได้น้อมน้ำผึ้ง เหง้าบัว เนยใสและนมสดเข้าไปถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เสด็จลงแล้ว.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุเคราะห์เขาจึงทรงรับสิ่งของนั้นแล้ว ทรงกระทำอนุโมทนา เสด็จหลักไป.
               ด้วยบุญกรรมนั้น เขาจึงได้บังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต ดำรงอยู่ในสวรรค์ชั้นนั้นจนตลอดอายุแล้ว จุติจากอัตภาพนั้นท่องเที่ยวไปมาในเฉพาะแต่สุคติภพอย่างเดียวเท่านั้น.
               ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี เขาเป็นเศรษฐีผู้มีทรัพย์มากมาย ได้นิมนต์ให้ภิกษุ ๑ ล้าน ๘ แสนรูปใช้สอยนุ่งห่มผ้าไตรจีวรแล้ว.
               เขาได้ทำกุศลไว้เป็นอันมากอย่างนั้นแล้วก็ได้บังเกิดในเทวโลก. เขาดำรงอยู่ในเทวโลกนั้นจนตลอดอายุแล้ว ก็เคลื่อนจากเทวโลกนั้นได้บังเกิดในมนุษยโลก ในโลกที่ว่างเปล่าจากพระพุทธเจ้า ได้บำรุงพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ด้วยปัจจัย ๔ แล้ว จุติจากอัตภาพนั้น ได้บังเกิดในราชตระกูล เมื่อจะพร่ำสอนความเป็นพระราชา ได้บำรุงบุตรของตนผู้บรรลุพระปัจเจกโพธิญาณอยู่แล้ว ถือเอาพระธาตุของท่านผู้ปรินิพพานแล้ว สร้างเป็นเจดีย์บูชาแล้ว.
               เขาได้บำเพ็ญบุญเหล่านั้นไว้ในภพนั้นอย่างนั้นแล้ว ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้บังเกิดเป็นลูกชายคนเดียวของภัททิยเศรษฐี ผู้มีทรัพย์สมบัติมาถึง ๘๐ โกฏิ ในภัททิยนคร. เขาได้มีชื่อว่าภัททชิ.
               ทราบว่า อิสริยสมบัติ โภคสมบัติและบริวารสมบัติของเขา ได้มีในภพสุดท้าย คล้ายกับของพระโพธิสัตว์ฉะนั้น.
               ในคราวนั้น พระศาสดาประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี เพื่อจะทรงทำการสงเคราะห์ภัททชิกุมาร จึงพร้อมกับภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จไปยังภัททิยนคร ประทับอยู่ในชาติวัน ทรงคอยเวลาให้ญาณของเขาแก่กล้าเสียก่อน.
               แม้ภัททชิกุมารนั้นก็นั่งอยู่บนปราสาทเปิดสีหบัญชรมองดู เห็นมหาชนกำลังเดินไปฟังธรรมในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ถามว่า มหาชนนี้กำลังไปไหนกันดังนี้.
               ครั้นทราบเหตุอันนั้นแล้ว แม้ตนเองพร้อมด้วยบริวารหมู่ใหญ่ก็ไปสำนักของพระศาสดา ฟังธรรม ทั้งที่ประดับประดาไปด้วยอาภรณ์พร้อมสรรพ ทำกิเลสทั้งปวงให้สิ้นไปแล้ว ได้บรรลุพระอรหัต.
               ก็เมื่อท่านได้บรรลุพระอรหัตแล้ว พระศาสดาตักเตือนท่านภัททิยเศรษฐีว่า ลูกชายของท่านประดับประดาด้วยเครื่องอลังการ ฟังธรรม ได้ดำรงอยู่ในพระอรหัตแล้ว. บุตรของท่านสมควรเพื่อจะได้บวชเสียเดี๋ยวนี้แหละ ถ้าจักไม่บวช ก็จักปรินิพพานแน่.
               เศรษฐีกราบทูลว่า บุตรของข้าพระองค์ยังเป็นคนหนุ่มแน่นอยู่ กิจด้วยการปรินิพพานจะมีไม่ได้ ขอพระองค์จงให้เขาบวชเถิด.
               พระศาสดาทรงให้เขาได้บรรพชาอุปสมบทแล้ว ประทับอยู่ในที่นั้นได้ ๗ วันแล้ว ก็เสด็จไปถึงโกฏิตาม.
               ก็หมู่บ้านนั้นได้ตั้งอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำคงคา. ก็ชาวบ้านโกฏิคามได้ยังมหาทานให้เป็นไปแก่หมู่ภิกษุมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข. พระภัททชิเถระไปยังนอกหมู่บ้าน เพื่อปรารภจะให้พระศาสดาทรงอนุโมทนาเสียก่อน ด้วยคิดว่า ในเวลาที่พระศาสดาเสด็จมาใกล้หนทางฝั่งแม่น้ำคงคาจึงจักออกไปดงนี้ ทำการกำหนดเวลาแล้ว ก็นั่งเข้าสมาบัติ ณ โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง.
               แม้เมื่อพระมหาเถระทั้งหลายจะมาก็ไม่ยอมลุกขึ้น ต่อเมื่อถึงเวลาที่พระศาสดาเสด็จมาแล้วเท่านั้น จึงลุกขึ้น.
               พวกภิกษุผู้เป็นปุถุชนก็พากันเพ่งโทษว่า ภิกษุรูปนี้บวชมายังไม่ทันไรเลย ก็กลายเป็นผู้แข็งกระด้าง ไม่ยอมลุกขึ้นในเวลาที่พระมหาเถระทั้งหลายมาถึง.
               ชาวบ้านโกฏิคามได้พากันผูกเรือแพเป็นอันมากเพื่อพระศาสดาและภิกษุสงฆ์.
               พระศาสดาทรงพระดำริว่า เราจะประกาศถึงอานุภาพของพระภัททชิ แล้วจึงประทับยืนบนเรือ ตรัสถามว่า ภัททชิไปไหน?
               พระภัททชิเถระกราบทูลว่า พระเจ้าข้า แล้วจึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้วได้ยืนประคองอัญชลี.
               พระศาสดาตรัสว่า ภัททชิ มานี่ซิ, เธอจงขึ้นเรือลำเดียวกันกับเราเถอะ.
               พระภัททชินั้นจึงเหาะขึ้นแล้ว ได้ยืนในเรือลำที่พระศาสดาประทับอยู่แล้ว.
               ในเวลาที่เรือแล่นไปในท่ามกลางแม่น้ำคงคา พระศาสดาตรัสว่า ภัททชิ ในเวลาที่เธอเป็นพระเจ้ามหาปนาทะ รัตนปราสาทจมลงในที่ไหนเล่า? พระเถระกราบทูลว่า จมลงในที่ตรงนี้ พระเจ้าข้า.
               พระศาสดาตรัสว่า ภัททชิ ถ้าเช่นนั้น เธอจงตัดความสงสัยของเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลายเสียเถอะ.
               ในขณะนั้น พระเถระจึงถวายบังคมพระศาสดาแล้วไปด้วยกำลังแห่งฤทธิ์แล้ว เอาระหว่างนิ้วเท้าคีบยอดปราสาท ถือปราสาทอัน ใหญ่ประมาณ ๓๕ โยชน์ไว้ เหาะไปในอากาศ. ก็เมื่อเหาะไป ได้ยกขึ้นสูงถึง ๕๐ โยชน์.
               ลำดับนั้น พวกญาติของท่านในภพก่อน ซึ่งได้เกิดเป็นปลาเต่าและกบ ด้วยความโลภในปราสาท เมื่อปราสาทนั้นถูกยกลอยไป ก็พากันล้มกลิ้งไปมา.
               พระศาสดาทรงเห็นสัตว์เหล่านั้นล้มกลิ้งเช่นนั้นแล้ว จึงตรัสว่า ภัททชิ พวกญาติของเธอกำลังลำบากนะ. พระเถระเชื่อพระดำรัส ของพระศาสดา จึงปล่อยปราสาทแล้ว. ปราสาทก็คงตั้งสถิตอยู่ตามเดิมนั่นแล.
               พระศาสดาเสด็จถึงฝั่งแล้ว ถูกพวกภิกษุทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ปราสาทหลังนี้อันพระภัททชิเถระ ให้จมลงเมื่อไร แล้วจึงตรัสมหาปนาทชาดก ทำชนหมู่มากให้ได้ดื่มน้ำอมตะคือธรรมะ.
               ส่วนพระเถระบรรลุพระอรหัตแล้ว ระลึกถึงบุญสมภารในกาลก่อนแล้ว เกิดความโสมนัสใจ เมื่อจะประกาศถึงเรื่องราวที่ตนเคยประพฤติมาแล้วในกาลก่อน จึงกล่าวคำเริ่มต้นว่า โอคยฺหาหํ โปกฺขรณี ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โอคยฺหาหํ โปกฺขรณี ความว่า ข้าพเจ้าหยั่งลงดำลง เข้าไปหยั่งลงไปสู่ชลาลัยอันได้นามว่าโบกขรณี เพราะเขาขุดห้วงน้ำใหญ่และกว้างมากมาย คือเมื่อข้าพเจ้าเข้าไปยังสระโบกขรณีนั้นเพื่อของกินและของเคี้ยวแล้วเก็บเอาเหง้าบัวและรากบุณฑริกขึ้นมา.
               คำที่เหลือมีเนื้อความพอที่จะกำหนดได้โดยง่าย ตามลำดับแห่งเนื้อความ เพราะข้าพเจ้าได้กล่าวเนื้อความไว้แล้วในหนหลัง และเพราะมีเนื้อความง่ายทั้งหมดแล.
               จบอรรถกถาภัททชิเถราปทาน               
               -----------------------------------------------------               

               เนื้อความในพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/m_siri.php?B=33&siri=148

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ ๕๕. ภัททิยวรรค ๑๐. จูฬสุคันธเถราปทาน
อ่านอรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒]
อ่านอรรถกถา 33.1 / 1อ่านอรรถกถา 33.1 / 139อรรถกถา เล่มที่ 33.1 ข้อ 140อ่านอรรถกถา 33.1 / 141อ่านอรรถกถา 33.1 / 180
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=33&A=3969&Z=4056
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=50&A=7129
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=50&A=7129
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๕  กรกฎาคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :