บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
แม้พระเถระรูปนี้ก็ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ท่านได้บังเกิดในเรือน เขาได้กระทำกุศลกรรมไว้ในมนุษยโลกนั้น จนตลอดชีวิตแล้วท่องเที่ยวไปใน ในคราวนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าประมาณ ๑,๐๐๐ องค์อยู่ที่ภูเขาหิมวันต์ ๘ เดือน เวลาจะเข้าพรรษาก็มาอยู่ในชนบท ๔ เดือน. พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น ครั้งแรกก็ลงมาในที่อันไม่ไกลจากกรุง ก็ในคราวนั้นได้มีพระราชพิธี พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายพากันหลีกไป ในสมัยนั้น ภริยาของหัวหน้าช่างหูกเดินทางไปยังกรุงพาราณสีด้วยหน้าที่การงานบางอย่าง ได้พบพระ พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นได้เล่าเรื่องแต่ต้นให้ฟังแล้ว. หญิงผู้สมบูรณ์ด้วยศรัทธาถึงพร้อมด้วยปัญญา พอได้ฟังเรื่องนั้นแล้ว จึงกราบเรียนนิมนต์ว่า ท่านเจ้าขา พรุ่งนี้นิมนต์รับภิกษาของพวกดิฉันนะเจ้าคะ. พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า โยมน้องหญิง พวกอาตมภาพมีด้วยกันมากองค์. หญิงนั้นถามว่า มีกี่องค์พระคุณเจ้า. พระปัจเจกพุทธเจ้าตอบว่า มีประมาณ ๑,๐๐๐ องค์น้องหญิง. หญิงคนนั้นกราบเรียนว่า ท่านเจ้าขา ในหมู่บ้านของพวกดิฉันนี้ ก็มีคนอยู่ประมาณ ๑,๐๐๐ คนเช่นกัน คนคนหนึ่งจะถวายภิกษุแก่ภิกษุ พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายรับนิมนต์แล้ว. หญิงคนนั้นเข้าไปยังหมู่บ้านโฆษณาป่าวร้องว่า แม่พ่อทั้งหลายเอย ฉันได้เห็นพระปัจเจก พอถึงวันรุ่งขึ้น จึงนิมนต์ให้พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายนั่งแล้ว อังคาส ในเวลาเสร็จภัตรกิจ ได้พาผู้หญิงทั้งหมดในหมู่บ้านนั้นมา ได้ไหว้ พวกชาวบ้านได้ฟังคำของนางนั้นแล้ว แต่ละคนก็สร้างบรรณ พอถึงเวลาออกพรรษาแล้ว ภริยาหัวหน้าช่างหูกคนนั้น จึงกล่าวว่า พวกท่านจงตระเตรียมผ้าจีวรสาฎกถวายแด่ ออกพรรษาแล้วพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ทำอนุโมทนาแล้วก็หลีกไป. แม้พวกชาวบ้านที่ทำบุญกรรมนี้แล้ว จุติจากอัตภาพนั้นได้ไปบังเกิดในดาวดึงสเทวโลก ได้เป็นผู้ชื่อว่า คณเทวดา. เทวดาเหล่านั้นได้เสวยทิพยสมบัติในดาวดึงสเทวโลกนั้นแล้ว. ในกาลแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ได้พากันมาบังเกิดในบ้านเรือนของพวกกุฎุมพี หัวหน้าช่างหูกในกาลก่อน ได้มาเกิดเป็นลูกชายของหัวหน้ากุฎุมพี แม้ภริยาของหัวหน้าช่างหูกในกาลก่อน ก็ได้มาเกิดเป็นลูกสาวของหัวหน้ากุฎุมพีคนหนึ่ง. พวกภริยาของช่างหูกที่เหลือในกาลก่อน ได้มาเกิดเป็นพวกลูกสาวของกุฎุมพีที่เหลือทั้งหลาย หญิงเหล่านั้นแม้ทั้งหมดเจริญวัยแล้ว เมื่อจะไปสู่ตระกูลอื่น (มีเหย้าเรือน) ต่างก็แยกกันไปยังเรือนของกุฎุมพีเหล่านั้น (ชาติก่อนเคยเป็นสามีภรรยากันอย่างใด แม้ชาตินี้ก็ได้มาเป็นสามีภรรยากันอย่างนั้นอีก). ภายหลังวันหนึ่ง เมื่อมีการป่าวประกาศให้ไปฟังธรรมที่พระวิหาร พวกกุฎุมพี ในขณะที่คนเหล่านั้นเข้าไปยังท่ามกลางพระวิหาร ฝนก็ตกลงมา พวกคนที่รู้จักมักคุ้นกับพระหรือมีญาติที่เป็นสามเณรเป็นต้น ต่างก็จะเข้าไปยังบริเวณเป็นต้นของพระและสามเณรที่คุ้นเคยเป็นญาติกันเหล่านั้น (เพื่อหลบฝน) แต่กุฎุมพีเหล่านั้นไม่อาจจะเข้าไปในที่แห่งใดแห่งหนึ่งได้เพราะไม่มีพระภิกษุสามเณรที่รู้จักหรือเป็นญาติเช่นนั้นเลย จึงได้ยืน ต่อมา หัวหน้ากุฎุมพีเหล่านั้นกล่าวว่า ชาวเราเอ๋ย จงดูประการอัน พวกกุฎุมพีจึงถามว่า พวกเราจะทำอย่างไรดีนาย พวกเราถึงซึ่งประการอันแปลกนี้ เพราะไม่มีที่อยู่สำหรับผู้คุ้นเคยกัน พวกเราทั้งหมดจักรวบรวมทรัพย์สร้างบริเวณ. หัวหน้าจึงพูดว่า ดีละนาย แล้วได้ให้ทรัพย์พันหนึ่ง. คนที่เหลือได้ให้ทรัพย์คนละห้าร้อย พวกผู้หญิงได้ให้ทรัพย์คนละสองร้อยห้าสิบ กุฎุมพี เมื่อบริเวณสำเร็จเสร็จสิ้นแล้วก็ทำการฉลองพระวิหาร ได้ถวายมหาทานแต่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ตลอด ๗ วันแล้ว จัดแจงผ้าจีวรสำหรับภิกษุ ๒,๐๐๐ องค์. ส่วนภริยาของหัวหน้ากุฎุมพี ดำรงอยู่ด้วยปัญญาของตนเองคิดว่า เราจักไม่ทำให้เสมอกับพวกเขา แต่จะทำให้ยิ่งไปกว่าพวกเขาคือจักบูชาพระศาสดา ดังนี้แล้วจึงถือเอาผอบบรรจุ พระศาสดาได้ทรงกระทำอนุโมทนาด้วยพระดำรัสว่า จงสำเร็จดังปรารถนาเถิด. คนเหล่านั้นแม้ทั้งหมดดำรงอยู่จนตลอดอายุแล้ว จุติจากอัตภาพนั้นได้ไปบังเกิด ในพุทธบาทกาลนี้ เทวดาเหล่านั้นจุติจากเทว ภริยาของหัวหน้ากุฎุมพีได้บังเกิดในราชตระกูล ในมัททรัฐสาคลนคร พระนางได้มีพระสรีระงามมีสีดุจดอกอโนชาทีเดียว ด้วยเหตุนั้น พระชนกพระชนนีจึงได้ทรงขนานพระนามของพระนางว่าอโนชา นั่นแล. พระนางทรงเจริญวัยแล้ว ก็เสด็จไปยังพระราชวังของพระเจ้ามหากัปปินะ ได้มีพระนามปรากฏว่าอโนชาเทวี. แม้พวกผู้หญิงที่เหลือก็ได้ไปบังเกิดในตระกูลพวกอำมาตย์เจริญวัยแล้ว ได้ไปสู่คฤหาสน์ ก็ในกาลใด พระเจ้าแผ่นดินทรงประดับด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ เสด็จขึ้นหลังพญาช้างเที่ยวไป แม้ในกาลนั้น คนเหล่านั้นก็เที่ยวไปอย่างนั้นเหมือนกัน. เมื่อพระราชาพระองค์นั้นเสด็จเที่ยวไปด้วยม้าหรือด้วยรถ ถึงพวกอำมาตย์เหล่านั้นก็เที่ยวไปอย่างนั้นเหมือนกัน. เพราะกำลังแห่งบุญเป็นอันมากที่ได้ทำไว้ร่วมกันอย่างนั้น พวกอำมาตย์เหล่านั้นจึงได้เสวยสมบัติอย่างเดียวกันกับพระราชาแล. ก็พระราชามีม้า ๕ ตัวคือม้าชื่อว่าวาละ วาลวาหนะ ปุปผะ ปุปผวาหนะและม้าชื่อว่าสุ ในบรรดาม้า ๕ ตัวเหล่านั้น พระราชาย่อมทรงม้าชื่อว่าสุปัตตะด้วยพระองค์เอง ส่วนม้าอีก ๔ ตัวนอกนี้ได้พระราชทานแก่พวกคนขี่ม้าทั้งหลายเพื่อใช้นำ พระราชาให้พวกคนเหล่านั้นบริโภคแต่เช้าตรู่แล้ว ทรงส่งพวกเขาไปด้วยพระราชดำรัสว่า พนาย พวกเธอจงเที่ยวไปให้ถึงระยะทาง ๒ โยชน์หรือ ๓ โยชน์ แล้วสืบเสาะฟังว่า พระพุทธเจ้า พระธรรมหรือว่าพระสงฆ์ อุบัติขึ้นแล้ว จงนำสาร วันต่อมา พระราชาเสด็จขึ้นม้าสุปัตตะ ทรงมีอำมาตย์พันคนเป็นบริวาร กำลังเสด็จไปยังพระราชอุทยาน ได้ทอดพระเนตรเห็นพวกพ่อค้าประมาณ ๕๐๐ คนผู้ซึ่งมีร่างกายอิดโรยเหนื่อยอ่อนกำลังเข้าไปยังพระนคร จึงทรงดำริว่า พวกพ่อค้าเหล่านี้อิด พวกพ่อค้ากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ นครหนึ่งนามว่าสาวัตถีมีอยู่ไกลจากที่นี้ไปอีก ๒๐๐ โยชน์ พวกข้าพระองค์มาจากพระนครนั้นพระเจ้าข้า. พระราชาตรัสถามว่า มีข่าวสารอะไรเกิดขึ้นในประเทศถิ่นที่อยู่ของพวกเธอบ้างเล่า. พวกพ่อค้ากราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข่าวสารอะไรอย่างอื่นไม่มี นอก ในขณะนั้นนั่นเอง พระราชาทรงมีพระสรีระอันปีติมีกำลังกระทบถูกแล้ว ไม่ทรงอาจจะกำหนดอะไรๆ ได้ทรงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตรัสถามอีกว่า พูดอะไรนะพ่อคุณ. พวกพ่อค้าก็กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติแล้ว พระเจ้าข้า. พระราชาทรงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แม้ครั้งที่ ๒ แม้ครั้งที่ ๓ ก็เหมือนครั้งแรกนั่นแล แล้วตรัสถามเป็นครั้งที่ ๔ ว่า พูดอะไรนะพ่อคุณ. เมื่อพวกพ่อค้ากราบทูลว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้ว พระเจ้าข้า จึง พวกพ่อค้ากราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ มีพระธรรมอุบัติขึ้นแล้ว พระเจ้าข้า. พระราชาทรงสดับถ้อยคำแม้นั้นแล้ว ทรงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งตลอด ๓ วาระ พวกพ่อค้ากราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ มีพระสงฆ์อุบัติขึ้นแล้ว. พระราชาทรงสดับถ้อยคำแม้นั้นแล้ว ทรงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งตลอด ๓ วาระ พวกอำมาตย์กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์จักทำอย่างไร. พระราชาตรัสว่า พ่อคุณ เราได้สดับว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้ว พระธรรมทรงอุบัติขึ้นแล้ว พระสงฆ์ทรงอุบัติขึ้นแล้ว เราจักไม่หวนกลับไปอีก เราจักไปบวชอุทิศพระผู้มีพระภาคเจ้าไปในสำนักของพระองค์. พวกอำมาตย์กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ แม้พวกข้าพระองค์ก็จักบวชกับพระองค์. พระราชาทรงให้พวกอาลักษณ์จารึกพระอักษรลงในพระ |