ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 

อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒]อ่านอรรถกถา 33.1 / 1อ่านอรรถกถา 33.1 / 180อรรถกถา เล่มที่ 33.2 ข้อ 1อ่านอรรถกถา 33.2 / 2อ่านอรรถกถา 33.2 / 28
อรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์
รัตนะจงกรมกัณฑ์

หน้าต่างที่ ๑๑ / ๑๒.

               แต่นั้น สุเมธบัณฑิตนอนบนหลังตมแล้วก็คิดอย่างนี้ว่า ถ้าเราพึงปรารถนาไซร้ เราก็พึงเป็นสังฆนวกะ เผากิเลสทั้งหมดแล้วเข้าไปยังรัมมนคร แต่เราไม่มีกิจที่จะเผากิเลสแล้วบรรลุพระนิพพาน ด้วยเพศที่ไม่มีใครรู้จัก ถ้ากระไร เราพึงเป็นเหมือนพระทีปังกรทศพล บรรลุปรมาภิสัมโพธิญาณ ขึ้นสู่ธรรมนาวา ยังมหาชนให้ข้ามสังสารสาครแล้วจึงปรินิพพานในภายหลัง นี้เป็นการสมควรแก่เรา.
               แต่นั้นจึงประชุมธรรม ๘ ประการ ลงนอนทำอภินีหารเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า.
               ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
                         เรานอนเหนือแผ่นดินแล้ว ใจก็ปริวิตกอย่างนี้ว่า
               วันนี้เราปรารถนา ก็จะพึงเผากิเลสทั้งหลายของเราได้.
                         แต่ประโยชน์อะไรของเราด้วยเพศที่ไม่มีใครรู้จัก
               ด้วยการทำให้แจ้งธรรมในพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ เราจัก
               บรรลุพระสัพพัญญุตญาณเป็นพระพุทธเจ้า ในโลกพร้อม
               ทั้งเทวโลก.
                         ประโยชน์อะไรของเรา ด้วยบุรุษผู้เห็นกำลังจะ
               ข้ามสังสารสาครแต่เพียงคนเดียว เราจักบรรลุสัพพัญญุต
               ญาณแล้ว ยังโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลกให้ข้ามสังสารสาคร.
                         ด้วยอธิการบารมีนี้ ที่เราบำเพ็ญในพระพุทธเจ้า
               ผู้เป็นบุรุษสูงสุด เราบรรลุสัพพัญญุตญาณแล้วจะยังหมู่
               ชนเป็นอันมากให้ข้ามสังสารสาคร.
                         เราตัดกระแสแห่งสังสาร กำจัดภพ ๓ ได้แล้วขึ้น
               สู่ธรรมนาวา จักยังโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก ให้ข้ามสังสาร
               สาคร.


               แก้อรรถ               
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปฐวิยํ นิปนฺนสฺส แปลว่า นอนเหนือแผ่นดิน หรือว่าปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน.
               บทว่า เจตโส ความว่า ใจก็ได้มีปริวิตก. ปาฐะว่า เอวํ เม อาสิ เจตนา ดังนี้ก็มี.
               บทว่า อิจฺฉมาโน ได้แก่ หวังอยู่.
               บทว่า กิเลเส ความว่า ธรรมชาติเหล่าใด ย่อมเศร้าหมอง ย่อมทำให้เดือดร้อน เหตุนั้น ธรรมชาติเหล่านั้นชื่อว่ากิเลส คือกิเลส ๑๐ กองมีราคะเป็นต้น.
               บทว่า ฌาปเย ได้แก่ พึงให้ไหม้. อธิบายว่า เราพึงยังกิเลสทั้งหลายของเราให้ไหม้.
               คำว่า กึ เป็นคำปฏิเสธ.
               บทว่า อญฺญาตกเวเสน ได้แก่ ด้วยเพศที่ไม่ปรากฏ ที่ไม่มีใครรู้จัก ที่ปกปิด.
               อธิบายว่า ก็เราพึงทำอาสวะให้สิ้นเหมือนภิกษุทั้งหลายในพระศาสนานี้ หรือพึงบำเพ็ญพุทธการกธรรม ทำมหาปฐพีให้ไหวในสมัยถือปฏิสนธิ ประสูติ ตรัสรู้ และประกาศพระธรรมจักรเป็นผู้ตรัสรู้เองเป็นพระพุทธเจ้า ยังสัตว์ให้ตรัสรู้พึงเป็นผู้ข้ามเอง ยังสัตว์ให้ข้ามสังสารสาคร พึงเป็นผู้หลุดพ้นเอง ยังสัตว์ให้หลุดพ้น.
               บทว่า สเทวเก ได้แก่ ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก.
               บทว่า ถามทสฺสินา ได้แก่ เห็นเรี่ยวแรงกำลังของตน.
               บทว่า สนฺตาเรสสํ ได้แก่ จักให้ข้าม.
               บทว่า สเทวกํ ได้แก่ ยังหมู่สัตว์พร้อมทั้งเทวดา หรือยังโลกพร้อมทั้งเทวโลก.
               บทว่า อธิกาเรน ได้แก่ ด้วยการกระทำที่วิเศษยิ่ง. อธิบายว่า ด้วยการเสียสละชีวิตตนเพื่อพระพุทธเจ้า แล้วนอนเหนือหลังตม ชื่อว่าอธิการ.
               บทว่า สํสารโสตํ ความว่า การท่องเที่ยวไปทางโน้นทางนี้ในกำเนิด คติ วิญญาณฐิติและสัตตาวาส ๙ ด้วยอำนาจกรรมและกิเลส ชื่อว่าสังสาร.
               เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า
                         ขนฺธานํ ปฏิปาฏิ     ธาตุอายตนาน จ
                         อพฺโพจฉินฺนํ วตฺตมานา   สํสาโรติ ปวุจฺจติ.
                         เรียงลำดับแห่งขันธ์ ธาตุและอายตนะ
                         เป็นไปไม่ขาดสาย ท่านเรียกว่าสังสาร.
               สังสารนั้นด้วย กระแสด้วย เหตุนั้นจึงชื่อว่าสังสารโสตะ ซึ่งสังสารและกระแสนั้น.
               อีกนัยหนึ่ง กระแสแห่งสังสาระ ชื่อว่าสังสารโสตะ ความว่า ตัดกระแสคือตัณหาอันเป็นเหตุแห่งสังสาร.
               บทว่า ตโย ภเว ได้แก่ กามภพ รูปภพและอรูปภพ.
               กรรมและกิเลสอันให้เกิดภพ ๓ ท่านประสงค์ว่า ภพ ๓.
               บทว่า ธมฺมนาวํ ได้แก่ อริยมรรคมีองค์ ๘.
               จริงอยู่ อริยมรรคมีองค์ ๘ นั้น ท่านเรียกว่าธรรมนาวา เพราะอรรถว่าเป็นเครื่องข้ามโอฆะ ๔.
               บทว่า สมารุยฺห แปลว่า ขึ้น. บทว่า สนฺตาเรสสํ แปลว่า จักให้ข้าม.
               แต่อภินีหารย่อมสำเร็จแก่ท่านผู้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เพราะความประชุมพร้อมแห่งธรรม ๘ ประการ คือ ๑. ความเป็นมนุษย์ ๒. ความสมบูรณ์ด้วยเพศ ๓. เหตุ ๔. การพบพระศาสดา ๕. การบรรพชา ๖. ความสมบูรณ์ด้วยคุณ ๗. ความมีอธิการ ๘. ความมีฉันทะ.

               แก้อรรถ               
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มนุสฺสตฺตํ ความว่า ความปรารถนาย่อมสำเร็จแก่ผู้ตั้งอยู่ในอัตภาพเป็นมนุษย์เท่านั้น แล้วปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ย่อมไม่สำเร็จแก่สัตว์ทั้งหลายที่ตั้งอยู่ในชาตินาคเป็นต้น.
               ถ้าถามว่า เพราะเหตุไร ก็ตอบได้ว่า เพราะชาตินาคเป็นต้นเป็นอเหตุกสัตว์.
               บทว่า ลิงฺคสมฺปตฺติ ความว่า ความปรารถนาย่อมสำเร็จแก่ผู้แม้อยู่ในอัตภาพเป็นมนุษย์ ก็ต้องตั้งอยู่ในเพศชายเท่านั้น ย่อมไม่สำเร็จแก่หญิงหรือบัณเฑาะก์คนไม่มีเพศและคนสองเพศ.
               ถ้าถามว่า เพราะเหตุไร ก็ตอบได้ว่า เพราะลักษณะไม่บริบูรณ์.
               จริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสตรี ไม่เป็นฐานะ ไม่เป็นโอกาส.
               พึงทราบความพิศดารเอาเองเถิด.
               เพราะฉะนั้น ความปรารถนาย่อมไม่สำเร็จ แม้แก่ผู้มีชาติเป็นมนุษย์แต่ตั้งอยู่ในเพศสตรี.
               บทว่า เหตุ ความว่า ความปรารถนาย่อมสำเร็จแม้แก่บุรุษ ที่ถึงพร้อมด้วยเหตุ เพื่อบรรลุพระอรหัตในอัตภาพนั้นได้เท่านั้น ไม่สำเร็จแก่บุรุษนอกจากนี้.
               บทว่า สตฺถารทสฺสนํ ความว่า ถ้าบุรุษปรารถนาในสำนักของพระพุทธเจ้าซึ่งยังทรงพระชนมชีพอยู่เท่านั้น ความปรารถนาจึงจะสำเร็จความปรารถนาในพระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งเสด็จปรินิพพานแล้ว หรือที่สำนักพระเจดีย์หรือที่โคนโพธิพฤกษ์ หรือที่พระพุทธปฏิมา หรือในสำนักของพระปัจเจกพุทธเจ้าและพุทธสาวก ย่อมไม่สำเร็จ.
               เพราะเหตุไร เพราะพระปัจเจกพุทธเจ้าและพุทธสาวก ไม่สามารถที่จะรู้ถึงภัพพสัตว์และอภัพพสัตว์แล้วกำหนดด้วยญาณเป็นเครื่องกำหนดกรรมและวิบากแล้วพยากรณ์ได้. เพราะฉะนั้น ความปรารถนาจึงสำเร็จได้ในสำนักของพระพุทธเจ้าเท่านั้น.
               บทว่า ปพฺพชฺชา ความว่า ความปรารถนา ย่อมสำเร็จแม้แก่ผู้ปรารถนาในสำนักของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า หรือต้องบวชในดาบสทั้งหลายจำพวกที่เป็นกัมมกิริยวาที หรือในภิกษุทั้งหลายเท่านั้น.
               เพราะเหตุไร
               เพราะว่า พระโพธิสัตว์ทั้งหลายที่เป็นบรรพชิตเท่านั้นจึงบรรลุพระสัมโพธิญาณได้ ที่เป็นคฤหัสถ์บรรลุไม่ได้. เพราะฉะนั้น จึงต้องเป็นบรรพชิตเท่านั้น แม้ในกาลตั้งปณิธานความปรารถนามาแต่ต้น.
               บทว่า คุณสมฺปตฺติ ความว่า ปรารถนาย่อมสำเร็จ แม้แก่บรรพชิตผู้ได้สมาบัติ ๘ มีอภิญญา ๕ เท่านั้น แต่ไม่สำเร็จแก่ผู้เว้นจากคุณสมบัตินี้. เพราะเหตุไร เพราะคนไร้คุณสมบัติไม่มีโพธิญาณนั้น.
               บทว่า อธิกาโร ความว่า ผู้ใดแม้ถึงพร้อมด้วยคุณ ก็ยังเสียสละชีวิตตนเพื่อพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ ความปรารถนาย่อมสำเร็จแก่ผู้นั้น ซึ่งพรั่งพร้อมแล้วด้วยอธิการนี้เท่านั้น ไม่สำเร็จแก่คนนอกจากนี้.
               บทว่า ฉนฺทตา ความว่า ผู้ใดแม้ถึงพร้อมแล้วด้วยอภินีหาร ก็มีฉันทะ พยายาม อุตสาหะ แสวงหาอย่างใหญ่ เพื่อประโยชน์แก่พุทธการกธรรมทั้งหลาย ความปรารถนาย่อมสำเร็จแก่ผู้นั้นเท่านั้น ไม่สำเร็จแก่คนนอกจากนี้.
               ข้ออุปมาแห่งความเป็นผู้มีฉันทะเป็นใหญ่ ในข้อนั้นมีดังนี้.
               ก็ถ้าบุคคลพึงคิดอย่างนี้ว่า ผู้ใดสามารถข้ามห้องจักรวาลทั้งสิ้น ซึ่งมีน้ำเป็นอันเดียวกันด้วยกำลังแขนของตนไปถึงฝั่งได้ ผู้นั้นย่อมบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้าได้. ส่วนผู้ใดไม่สำคัญกิจนี้เป็นของทำได้ยากสำหรับตน ประกอบด้วยฉันทะอุตสาหะอย่างใหญ่อย่างนี้ว่า เราจักข้ามห้องจักรวาลนี้ไปถึงฝั่ง ความปรารถนาย่อมสำเร็จแก่ผู้นั้น ไม่สำเร็จแก่คนนอกจากนี้.
               ก็สุเมธบัณฑิตรวบรวมธรรม ๘ ประการนี้ไว้แล้ว ทำอภินีหารเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า จึงนอนลง.
               ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าทีปังกร ประทับยืนประชิดใกล้ศีรษะของสุเมธบัณฑิต เห็นสุเมธดาบสนอนอยู่เหนือหลังตม ทรงส่งอนาคตังสญาณว่า ดาบสผู้นี้ทำอภินีหารเพื่อเป็นพระพุทธเจ้านอนลงแล้ว ความปรารถนาของเขาจักสำเร็จหรือไม่หนอ ทรงพิจารณาทบทวนดู ก็ทรงทราบว่า ล่วงไปสี่อสงไขยกำไรแสนกัป นับแต่กัปนี้ไป เขาจักเป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคตมะ ประทับยืนพยากรณ์ท่ามกลางบริษัทว่า
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเห็นดาบสผู้มีตบะสูงซึ่งนอนเหนือหลังตมผู้นี้ไหมหนอ.
               ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เห็น พระเจ้าข้า.
               จึงตรัสว่า ดาบสผู้นี้ทำอภินีหารเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า จึงนอนลงแล้ว ความปรารถนาของดาบสผู้นี้จักสำเร็จ ในที่สุดสี่อสงไขยกำไรแสนกัปนับแต่กัปนี้ไป ดาบสผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคตมะในโลก ในอัตภาพนั้นของดาบสนั้น นครชื่อว่ากบิลพัศดุ์จักเป็นที่ประทับอยู่ จักมีพระชนนีพระนามว่ามหามายาเทวี พระชนกพระนามว่าพระเจ้าสุทโธทนะ พระอัครสาวกทั้งสองชื่อว่าอุปติสสะและโกลิตะ พระพุทธอุปัฏฐากชื่อว่าอานันทะ พระอัครสาวิกาทั้งสองชื่อว่าเขมาและอุบลวรรณา.
               ดาบสผู้มีญาณกล้าจักเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ตั้งความเพียรอย่างใหญ่ รับข้าวมธุปายาสที่นางสุชาดาถวายที่โคนต้นนิโครธ เสวยที่ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา แล้วขึ้นสู่โพธิมัณฑสถาน จักตรัสรู้ที่โคนต้นโพธิใบ.
               ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
                         พระพุทธเจ้าพระนามว่าทีปังกร ผู้รู้โลก ทรงรับ
               ทักษิณา ประทับยืนใกล้ๆ ศีรษะ ได้มีพุทธดำรัสกะเรา
               ดังนี้ว่า
                         ท่านทั้งหลายจงดูชฏิลดาบสผู้นี้ ซึ่งมีตบะสูงจัก
               เป็นพระพุทธเจ้าในโลก ในกัปซึ่งนับไม่ได้ ตั้งแต่กัป
               นี้ไป.
                         พระตถาคตเสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ ที่น่ารื่น
               รมย์ ทรงตั้งความเพียร ทรงทำทุกกรกิริยา.
                         พระตถาคตประทับนั่ง ณ โคนต้นอชปาลนิโครธ
               ทรงรับข้าวมธุปายาส ณ ที่นั้นแล้ว เสด็จสู่ริมฝั่งแม่น้ำ
               เนรัญชรา.
                         พระชินเจ้าพระองค์นั้นเสวยข้าวมธุปายาสที่ริม
               ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา แล้วเสด็จเข้าสู่โคนโพธิพฤกษ์ ตาม
               ทางอันดีที่เขาจัดแต่งไว้แล้ว.
                         ต่อนั้น พระผู้ยอดเยี่ยม มีพระมหายศ ทรงทำ
               ประทักษิณโพธิมัณฑสถาน จักตรัสรู้ ณ โคนโพธิใบ.
                         พระชนนีพุทธมารดาของดาบสผู้นี้ จักมีพระ
               นามว่ามายา พระพุทธบิดาจักมีพระนามว่าสุทโธทนะ
               ดาบสผู้นี้ จักมีพระนามว่าโคตมะ.
                         พระโกลิตะและพระอุปติสสะ ผู้ไม่มีอาสวะ
               ปราศจากราคะ มีจิตสงบตั้งมั่นแล้ว จักเป็นพระอัคร
               สาวก พุทธอุปฐากชื่อว่าอานนท์ จักบำรุงพระชินเจ้า
               ผู้นี้.
                         พระเขมาและพระอุบลวรรณา ผู้ไม่มีอาสวะ
               มีจิตสงบ ตั้งมั่นแล้ว จักเป็นอัครสาวิกา ต้นไม้เป็น
               ที่ตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่า
               อัสสัตถะ ต้นโพธิใบ.
                         จิตตะและหัตถาฬวกะ จักเป็นยอดอุปัฏฐาก
               อุตตราและนันทมารดา จักเป็นยอดอุปัฏฐายิกา.

               แก้อรรถ               
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โลกวิทู ได้แก่ ชื่อว่าโลกวิทู เพราะทรงรู้จักโลกโดยประการทั้งปวง.
               ความจริง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้ ทรงรู้ทั่ว ทรงแทงตลอดโลกแม้โดยประการทั้งปวง คือโดยสภาวะความจริง โดยสมุทัยความเกิด โดยนิโรธความดับ โดยนิโรธุบายอุบายให้ถึงนิโรธ เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่าโลกวิทู.
               เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า
                         เพราะฉะนั้นแล ท่านสุเมธผู้รู้จักโลก ถึงที่สุดโลก
                         อยู่จบพรหมจรรย์ รู้ที่สุดโลก สงบแล้ว ย่อมไม่หวัง
                         โลกนี้และโลกอื่น.

               อนึ่ง โลกมี ๓ คือ สังขารโลก สัตวโลกและโอกาสโลก.
               บรรดาโลกทั้ง ๓ นั้น ธรรมทั้งหลายมีปฐวีเป็นต้นที่อาศัยกันเกิดขึ้น ชื่อว่าสังขารโลก. สัตว์ทั้งหลาย มีสัญญา ไม่มีสัญญา แลมีสัญญาก็ไม่ใช่ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ ชื่อว่าสัตวโลก. สถานที่อยู่ของสัตว์ทั้งหลาย ชื่อว่าโอกาสโลก.
               ก็โลกทั้ง ๓ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้แล้วตามสภาพความเป็นจริง เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านจึงเรียกว่า โลกวิทู.
               บทว่า อาหุตีนํ ปฏิคฺคโห ได้แก่ ชื่อว่าผู้รับทักษิณาทาน เพราะเป็นผู้ควรรับทานทั้งหลาย เพราะเป็นทักขิไณยบุคคล.
               บทว่า อุสฺสีสเก มํ ฐตฺวาน ได้แก่ ประทับยืนใกล้ศีรษะเรา. ความว่า ได้ตรัสคำนี้คือคำที่ควรกล่าว ณ บัดนี้.
               บทว่า ชฏิลํ ความว่า ชฎาของนักบวชนั้นมีอยู่ เหตุนั้น นักบวชนั้นชื่อว่าชฎิล ผู้มีชฎา, ชฎิลนั้น.
               บทว่า อุคฺคตาปนํ ได้แก่ ผู้มีตบะสูง.
               บทว่า อหุ ได้แก่ ในวัน. อธิบายว่า ครั้งนั้น. หรือว่าปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน.
               บทว่า กปิลวฺหยา ได้แก่ เรียกว่า ชื่อว่ากบิลพัศดุ์.
               บทว่า รมฺมา ได้แก่ น่ารื่นรมย์.
               บทว่า ปธานํ ได้แก่ ความเพียร.
               บทว่า เอหิติ แปลว่า จักถึง จักไป.
               คำที่เหลือในคาถาทั้งหลายง่ายทั้งนั้นแล.
               ลำดับนั้น สุเมธบัณฑิตเกิดความโสมนัสว่า ได้ยินว่า ความปรารถนาของเราจักสำเร็จผล. มหาชนฟังพระดำรัสของพระทีปังกรทศพลแล้ว ก็พากันร่าเริงยินดีว่า ท่านสุเมธดาบสได้เป็นหน่อพืชพระพุทธเจ้า.
               สุเมธบัณฑิตนั้นก็คิดอย่างนี้ ชนทั้งหลายก็ได้ทำความปรารถนาว่าบุรุษกำลังจะข้ามแม่น้ำ เมื่อไม่อาจข้ามโดยท่าตรงหน้าได้ก็ย่อมข้ามโดยท่าหลัง ฉันใด พวกเราเมื่อไม่ได้มรรคผลในศาสนาของพระทีปังกรทศพล ในอนาคตกาล ก็พึงสามารถทำให้แจ้งมรรคผล ต่อหน้าท่าน ในสมัยที่ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้า ก็ฉันนั้นเหมือนกัน.
               แม้พระทีปังกรทศพลก็ทรงสรรเสริญพระมหาสัตว์ผู้เป็นพระโพธิสัตว์ ทรงบูชาด้วยดอกไม้ ๘ กำ ทรงทำประทักษิณและเสด็จหลีกไป แม้พระขีณาสพสี่แสนรูปนั้นก็พากันบูชาพระโพธิสัตว์ด้วยดอกไม้และของหอม ทำประทักษิณแล้วหลีกไป.
               ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทีปังกรผู้ทรงทำประทีปคือความรู้โลกทั้งปวง อันพระขีณาสพสี่แสนรูปแวดล้อมแล้ว อันชาวรัมมนครบูชาอยู่ อันเทวดาทั้งหลายถวายบังคมอยู่ เสด็จพุทธดำเนิน ประหนึ่งยอดภูเขาทองอันประเสริฐที่อาบแสงสนธยา เมื่อปาฏิหาริย์ทั้งหลายเป็นอันมากดำเนินไปอยู่ ก็เสด็จไปตามหนทางที่ชาวรัมมนครประดับประดาตกแต่งนั้น เสด็จเข้าไปยังรัมมนครอันน่าอภิรมย์ อบอวลด้วยกลิ่นดอกไม้หอมนานาชนิด กลิ่นจุณที่น่าชื่นชม ธงประฏากที่ยกขึ้นไสว มีหมู่ภมรที่ติดใจในกลิ่น บินว่อนเป็นกลุ่มๆ มืดครึ้มด้วยควันธูป สง่างามดังเทพนคร พระทินกรทศพลก็ประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ที่สมควรอย่างใหญ่ที่เขาบรรจงจัดไว้ เหมือนดวงจันทร์งดงามยามฤดูสารทเหนือยอดยุคนธร เหมือนดังดวงทินกรกำจัดกลุ่มความมืด ทำความแย้มแก่ดงปทุม. แม้ภิกษุสงฆ์ก็นั่งบนอาสนะที่ถึงแก่ตนๆ ตามลำดับ.
               ส่วนอุบาสกชาวรัมมนครผู้พรั่งพร้อมแล้วด้วยคุณมีศรัทธาเป็นต้น ก็ช่วยกันถวายทานที่ประดับพร้อมด้วยของเคี้ยวเป็นต้นชนิดต่างๆ สมบูรณ์ด้วยสีกลิ่นและรส ไม่มีทานอื่นเสมอเหมือน เป็นต้นเหตุแห่งสุข แก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน.
               ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์สดับคำพยากรณ์ของพระทศพลก็สำคัญความเป็นพระพุทธเจ้าประหนึ่งอยู่ในกำมือ ก็บันเทิงใจ เมื่อชาวรัมมนครกลับกันหมดแล้ว ก็ลุกขึ้นจากที่นอนคิดว่าจักเลือกเฟ้นบารมีทั้งหลาย จึงนั่งขัดสมาธิเหนือยอดกองดอกไม้.
               เมื่อพระมหาสัตว์นั่งอยู่อย่างนั้น เทวดาสิ้นทั้งหมื่นจักรวาลก็ให้สาธุการ กล่าวว่า ท่านสุเมธดาบสเจ้าข้า ในเวลาที่ท่านนั่งขัดสมาธิ หมายจักเลือกเฟ้นบารมีของพระโพธิสัตว์องค์ก่อนๆ ธรรมดาบุพนิมิตเหล่าใดปรากฏ บุพนิมิตเหล่านั้นก็ปรากฏแล้วในวันนี้ทั้งหมด ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเรารู้ข้อนี้ว่า บุพนิมิตเหล่านี้ปรากฏแก่ผู้ใด ผู้นั้นจักเป็นพระพุทธเจ้าโดยส่วนเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้น ท่านจงประคองความเพียรของตนไว้ให้มั่น แล้วได้ชมพระโพธิสัตว์ด้วยสดุดีนานาประการ.
               ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
                         มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย สดับคำของพระทีปังกร
               ทศพล ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ไม่มีผู้เสมอเหมือนนี้แล้ว ก็พา
               กันดีใจว่า ท่านผู้นี้เป็นหน่อพืชพระพุทธเจ้า
                         เสียงโห่ร้องอึงมี่ เสียงปรบมือ เสียงหัวเราะ หมื่นโลก
               ธาตุเทวดาก็ทำอัญชลีนมัสการกล่าวว่า ผิว่าพวกเราจะพลาด
               คำสอนของพระโลกนาถพระองค์นี้ ในอนาคตกาล พวกเรา
               ก็จักอยู่ต่อพระพักตร์ของพระโลกนาถพระองค์นี้.
                         มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อข้ามแม่น้ำพลาดท่าน้ำเฉพาะ
               หน้าแล้ว ก็ถือเอาท่าน้ำท่าหลังข้ามแม่น้ำฉันใด.
                         พวกเราทั้งหมด ผิว่าพ้นพระชินเจ้าพระองค์นี้เสีย
               ในอนาคตกาล ก็จักอยู่ต่อพระพักตร์ของพระชินเจ้าพระ
               องค์นี้ฉันนั้นเหมือนกัน.
                         พระทีปังกรทศพล ผู้รู้จักโลก ทรงเป็นปฏิคาหก
               ผู้รับของบูชา ทรงประกาศกรรมของเราแล้ว ก็ทรงยกพระ
               บาทเบื้องขวา.
                         พุทธชิโนรสทั้งหมด ที่อยู่ ณ ที่นั้น ก็พากันทำ
               ประทักษิณเรา เทวดา มนุษย์และอสูรทั้งหลายก็กราบ
               ไหว้แล้วหลีกไป.
                         เมื่อพระโลกนาถพร้อมทั้งพระสงฆ์ เสด็จลับตา
               เราไปแล้ว ครั้งนั้น เราก็ลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ.
                         เราประสบสุขโดยสุข เบิกบานโดยปราโมช อัน
               ปีติสัมผัสซาบซ่านแล้ว นั่งขัดสมาธิในเวลานั้น.
                         ครั้นนั่งขัดสมาธิแล้ว เวลานั้น เราคิดอย่างนี้ว่า
               เราเป็นผู้ชำนาญในฌาน ถึงฝั่งในอภิญญา ๕.
                         ในหมื่นโลกธาตุ ไม่มีฤาษีที่จะเสมอเรา ไม่มีผู้
               เสมอในอิทธิธรรมทั้งหลาย เราได้ความสุขเช่นนี้.
                         ขณะที่เรานั่งขัดสมาธิ ทวยเทพในหมื่นโลกธาตุ
               ก็เปล่งเสียงโห่ร้องว่า ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน.
                         ขณะพระโพธิสัตว์ทั้งหลายนั่งขัดสมาธิ บุพนิมิต
               เหล่าใดปรากฏก่อน บุพนิมิตเหล่านั้นก็เห็นกันในวันนี้.
                         ความหนาวก็หายไป และความร้อนก็สงบไป
               บุพนิมิตเหล่านั้นก็เห็นกันในวันนี้ ท่านจักเป็นพระ
               พุทธเจ้าแน่นอน.
                         หมื่นโลกธาตุก็ปราศเสียง ปราศจากความวุ่น
               วาย บุพนิมิตเหล่านั้นก็เห็นกันในวันนี้ ท่านจักเป็น
               พระพุทธเจ้าแน่นอน.
                         ลมขนาดใหญ่ก็ไม่พัด แม่น้ำทั้งหลายก็ไม่ไหล
               บุพนิมิตเหล่านั้น ก็เห็นกันในวันนี้ ท่านจักเป็นพระ
               พุทธเจ้าแน่นอน
                         ดอกไม้บนบก ดอกไม้ในน้ำ ก็บานหมดใน
               ขณะนั้น ดอกไม้แม้เหล่านั้นทั้งหมด ก็บานแล้วใน
               วันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน.
                         ผิว่า ไม้เถาก็ดี ไม้ต้นก็ดี ก็มีผลในขณะนั้น
               ต้นไม้แม้เหล่านั้นทั้งหมด ก็ออกผลในวันนี้ ท่านจัก
               เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน.
                         รัตนะทั้งหลาย ที่อยู่ในอากาศและที่อยู่ภาคพื้น
               ดิน ก็ส่องแสงโชติช่วงในขณะนั้น รัตนะแม้เหล่านั้น
               ก็โชติช่วงในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน.
                         ดนตรีทั้งหลาย ทั้งที่เป็นของมนุษย์ ทั้งที่เป็น
               ของทิพย์ ก็บรรเลงในขณะนั้น ดนตรีทั้งสองแม้นั้น
               ก็ส่งเสียงลั่นในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน.
                         ฝนดอกไม้อันไพจิตร ก็หล่นลงมาจากท้องฟ้า
               ในขณะนั้น ฝนดอกไม้แม้เหล่านั้น ก็หลั่งลงมาในวัน
               นี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน.
                         มหาสมุทรก็คะนอง หมื่นโลกธาตุก็ไหว แม้ทั้ง
               สองนั้น ก็ส่งเสียงลั่นในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้า
               แน่นอน.
                         ไฟหลายหมื่นในนรก ก็ดับในขณะนั้น ไฟแม้
               เหล่านั้นก็ดับแล้วในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้า
               แน่นอน.
                         ดวงอาทิตย์ทั้งใสไร้มลทิน ดวงดาวทั้งหลายก็
               เห็นได้หมด ดวงดาวแม้เหล่านั้น ก็เห็นกันแล้วในวัน
               นี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน.
                         เมื่อฝนไม่ตก น้ำก็พุขึ้นมาจากแผ่นดิน ในขณะ
               นั้น น้ำแม้นั้น ก็พุขึ้นแล้วจากแผ่นดินในวันนี้ ท่าน
               จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน.
                         หมู่ดาวและดาวนักษัตรทั้งหลาย ก็แจ่มกระจ่าง
               ตลอดมณฑลท้องฟ้า ดวงจันทร์ก็ประกอบด้วยดาวฤกษ์
               วิสาขะ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน.
                         สัตว์ทั้งหลายที่อยู่ในโพรง ที่อยู่ในร่องน้ำก็ออก
               จากที่อยู่ของตน สัตว์แม้เหล่านั้นก็ออกจากที่อยู่แล้ว
               ในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน.
                         ความไม่ยินดีทั้งหลายไม่มีแก่สัตว์ทั้งหลาย สัตว์
               ทั้งหลายย่อมเป็นผู้สันโดษ ในขณะนั้นสัตว์แม้เหล่านั้น
               ก็เป็นผู้สันโดษแล้วในวันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้า
               แน่นอน.
                         ในขณะนั้น โรคทั้งหลายก็สงบไป ความหิวก็
               หายไป บุพนิมิตแม้เหล่านั้น ก็เห็นกันแล้วในวันนี้
               ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน.
                         ในขณะนั้น ราคะก็เบาบาง โทสะ โมหะก็เสื่อม
               หาย กิเลสแม้เหล่านั้นก็เลือนหายไปหมดในวันนี้ ท่าน
               จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน.
                         ในขณะนั้นภัยก็ไม่มี ความไม่มีภัยนั้นก็เห็นแม้
               ในวันนี้ พวกเรารู้กัน ด้วยเหตุนั้น ท่านจักเป็น
               พระพุทธเจ้าแน่นอน.
                         กิเลสดุจธุลีไม่ฟุ้งขึ้นเบื้องบน ความไม่ฟุ้งแห่ง
               กิเลสดุจธุลีนั้นก็เห็นกันแม้ในวันนี้ พวกเรารู้กัน ด้วย
               เหตุนั้น ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน.
                         กลิ่นที่ไม่น่าปรารถนาก็จางหายไป กลิ่นทิพย์ก็
               โชยมา กลิ่นหอมแม้นั้น ก็โชยมาในวันนี้ ท่านจักเป็น
               พระพุทธเจ้าแน่นอน.
                         เทวดาทั้งหมดเว้นอรูปพรหมก็ปรากฏ เทวดา
               แม้เหล่านั้นก็เห็นกันหมดในวันนี้ ท่านจักเป็นพระ
               พุทธเจ้าแน่นอน.
                         ขึ้นชื่อว่านรกมีประมาณเท่าใด ก็เห็นกันได้
               หมดในขณะนั้น นรกแม้เหล่านั้นก็เห็นกันแล้วใน
               วันนี้ ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน.
                         กำแพงบานประตู และภูเขาหิน ไม่เป็นที่กีด
               ขวางในขณะนั้น กำแพงบานประตูและภูเขาหินแม้
               เหล่านั้น ก็กลายเป็นอากาศไปในวันนี้ ท่านจักเป็น
               พระพุทธเจ้าแน่นอน.
                         การจุติและปฏิสนธิ ย่อมไม่มีในขณะนั้น
               บุพนิมิตแม้เหล่านั้น ก็เห็นกันได้ในวันนี้ ท่านจัก
               เป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน.
                         ขอท่านโปรดจงประคับประคอง ความเพียรไว้
               ให้มั่น อย่าถอยกลับ โปรดก้าวไปข้างหน้าต่อไปเถิด
               แม้พวกเราก็รู้เหตุข้อนั้น ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่
               นอน.

               แก้อรรถ               
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิทํ สุตฺวาน วจนํ ความว่า ฟังคำพยากรณ์พระโพธิสัตว์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าทีปังกรนี้.
               บทว่า อสมสฺส ได้แก่ ชื่อว่าไม่มีผู้เสมอ เพราะไม่มีผู้เสมอเหมือน.
               เหมือนอย่างที่ตรัสว่า
                         น เม อาจริโย อตฺถิ   สทิโส เม น วิชฺชติ
                         สเทวกสฺมึ โลกสฺมึ    นตฺถิ เม ปฏิปุคฺคโล.
                               เราไม่มีอาจารย์ ผู้เสมือนเราไม่มี
                         ผู้เทียบเราไม่มีในโลก พร้อมทั้งเทวโลก.
               บทว่า มเหสิโน ความว่า ชื่อว่ามเหสี เพราะเสาะแสวงหาคุณคือศีล สมาธิปัญญาใหญ่, ผู้แสวงหาคุณใหญ่พระองค์นั้น.
               บทว่า นรมรู ได้แก่ มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ก็ศัพท์นี้ชี้แจงความอย่างสูง สัตว์แม้ทั้งหมด แม้แต่นาคสุบรรณและยักษ์เป็นต้นในหมื่นโลกธาตุก็พากันดีใจ.
               บทว่า พุทฺธพีชํ กิร อยํ ความว่า พากันดีใจว่า ได้ยินว่า หน่อเนื้อพุทธางกูรนี้เกิดขึ้นแล้ว.
               บทว่า อุกฺกฏฺฐิสทฺทา ความว่า เสียงโห่ร้องเป็นไปอยู่.
               บทว่า อปฺโผเฏนฺติ ได้แก่ ยกแขนขึ้นปรบมือ.
               บทว่า ทสสหสฺสี แปลว่า หมื่นโลกธาตุ.
               บทว่า สเทวกา ความว่า หมื่นโลกธาตุกับเทวดาทั้งหลายที่ชื่อว่าสเทวกะ ย่อมนมัสการ.
               บทว่า ยทิมสฺส ตัดบทว่า ยทิ อิมสฺส หรือปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน.
               บทว่า วิรชฺฌิสฺสาม ได้แก่ ผิว่า เราไม่บรรลุ.
               บทว่า อนาคตมฺหิ อทฺธาเน แปลว่า ในอนาคตกาล.
               บทว่า เหสฺสาม แปลว่า จักเป็น. บทว่า สมฺมุขา แปลว่า ต่อหน้า.
               บทว่า อิมํ คือ อิมสฺส ทุติยาวิภัตติลงในอรรถฉัฏฐีวิภัตติ แปลว่าของท่านผู้นี้.
               บทว่า นทึ ตรนฺตา ได้แก่ ผู้ข้ามแม่น้ำ. ปาฐะว่า นทิตรนฺตา ดังนี้ก็มี.
               บทว่า ปฏิติตฺถํ ได้แก่ ท่าเรือเฉพาะหน้า.
               บทว่า วิรชฺฌิย แปลว่า พลาดแล้ว.
               บทว่า ยทิ มุญฺจาม ความว่า ผิว่า พวกเราจักพ้นพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้โดยไม่ได้ทำกิจไป.
               บทว่า มม กมฺมํ ปกิตฺเตตฺวา ได้แก่ ทรงพยากรณ์ประโยชน์ที่เราเจริญแล้ว.
               บทว่า ทกฺขิณํ ปาทมุทฺธริ แปลว่า ยกพระบาทเบื้องขวา. ปาฐะว่า กตปทกฺขิโณ ดังนี้ก็มี.
               บทว่า ชินปุตฺตา ได้แก่ สาวกของพระศาสดาทีปังกร.
               บทว่า เทวา มนุสฺสา อสุรา จ อภิวาเทตฺวาน ปกฺกมุํ ความว่า ท่านเหล่านี้แม้ทั้งหมดมีเทวดาเป็นต้น ทำประทักษิณเรา ๓ ครั้ง บูชาด้วยดอกไม้เป็นต้น ตั้งอัญชลีไว้เป็นอย่างดี ไหว้แล้วก็กลับ แลดูบ่อยๆ แล้วชมด้วยสดุดีนานาประการที่มีอรรถพยัญชนะอันไพเราะแล้วหลีกไป.
               ปาฐะว่า นรา นาคา จ คนฺธพฺพา อภิวาเทตฺวาน ปกฺกมุํ ดังนี้ก็มี.
               บทว่า ทสฺสนํ เม อติกฺกนฺเต ความว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าล่วงทัศนวิสัยของเราไปแล้ว. ปาฐะว่า ชหิเต ทสฺสนูปจาเร ดังนี้ก็มี.
               บทว่า สสงฺเฆ ได้แก่ พร้อมกับพระสงฆ์ ชื่อว่าสสังฆะ พร้อมกับพระสงฆ์นั้น.
               บทว่า สยนา วุฏฺฐหิตฺวา ได้แก่ ลุกขึ้นจากตมอันเป็นที่ๆ ตนนอนลงแล้ว.
               บทว่า ปลฺลงฺกํ อาภุชึ ความว่า ทำบัลลังก์คือขัดสมาธินั่งเหนือกองดอกไม้.
               ปาฐะว่า หฏฺโฐ หฏฺเฐน จิตฺเตน อาสนา วุฏฺฐหึ ตทา ดังนี้ก็มี. ปาฐะนั้นมีอรรถง่าย.
               บทว่า ปีติยา จ อภิสฺสนฺโน ได้แก่ อันปีติสัมผัสซาบซ่านแล้ว.
               บทว่า วสีภูโต ได้แก่ ถึงความเป็นผู้ชำนาญ. บทว่า ฌาเน ได้แก่ รูปาวจรฌานและอรูปาวจรฌาน.
               บทว่า สหสฺสิยมฺหิ แปลว่า หมื่น. บทว่า โลกมฺหิ ได้แก่ ในโลกธาตุ.
               บทว่า เม สมา ได้แก่ เสมือนเรา.
               พระองค์ตรัสโดยไม่แปลกว่า ผู้ที่เสมอไม่มี บัดนี้เมื่อจะทรงกำหนดความนั้นนั่นแลจึงตรัสว่า ไม่มีผู้เสมอในอิทธิธรรมทั้งหลาย.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิทธิธมฺเมสุ ความว่า ในอิทธิธรรม ๕.
               บทว่า ลภึ แปลว่า ได้แล้ว. บทว่า อีทิสํ สุขํ ได้แก่ โสมนัสเช่นนี้.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงแสดงว่า ครั้งนั้น สุเมธดาบสฟังพยากรณ์ของพระทศพลแล้ว สำคัญความเป็นพระพุทธเจ้าประหนึ่งอยู่ในกำมือแล้วก็มีหัวใจเบิกบาน มหาพรหมในชั้นสุทธาวาสทั้งหลายในหมื่นโลกธาตุ เคยเห็นอดีตพระพุทธเจ้ามา เพื่อประกาศความเที่ยงแท้ไม่แปรผันแห่งพระดำรัสของพระตถาคต เพราะเห็นปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นในการพยากรณ์นิยตพระโพธิสัตว์.
               เมื่อทรงแสดงคำที่เทวดาทั้งหลายแสดงความยินดีกะเรา ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ จึงตรัสว่า ปลฺลงฺกาภุชเน มยฺหํ เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปลฺลงฺกาภุชเน มยฺหํ ได้แก่ ในการนั่งขัดสมาธิของเรา. หรือปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน.
               บทว่า ทสสหสฺสาธิวาสิโน ได้แก่ มหาพรหมทั้งหลายที่อยู่ในหมื่นโลกธาตุ.
               บทว่า ยา ปุพฺเพ ได้แก่ ยานิ ปุพฺเพ คำนี้พึงทราบว่าท่านกล่าวลบวิภัตติ.
               บทว่า ปลฺลงฺกวรมาภุเช ได้แก่ ในการนั่งขัดสมาธิอย่างดี.
               บทว่า นิมิตฺตานิ ปทิสฺสนฺติ ความว่า นิมิตทั้งหลายปรากฏแล้ว เมื่อควรจะกล่าวคำเป็นอดีตกาล ก็กล่าวคำเป็นปัจจุบันกาล ถึงคำที่กล่าวเป็นปัจจุบันกาลแต่ก็ควรถือความเป็นอดีตกาล.
               บทว่า ตานิ อชฺช ปทิสฺสเร ความว่า นิมิตเหล่าใด เกิดขึ้นแล้วในการที่นิยตพระโพธิสัตว์ทั้งหลายนั่งขัดสมาธิแม้ในกาลก่อน นิมิตเหล่านั้นก็เห็นกันอยู่ในวันนี้ เพราะฉะนั้น ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอนทีเดียว. แต่มิใช่นิมิตเหล่านั้นเกิดขึ้นแล้ว.
               คำว่า นิมิตเหล่านั้นก็เห็นกันอยู่ในวันนี้ พึงทราบว่า ท่านกล่าวก็เพราะเสมือนนิมิตที่เกิดขึ้นแล้วนั้น.
               บทว่า สีตํ แปลว่า ความเย็น. บทว่า พฺยปคตํ แปลว่า ไปแล้ว ไปปราศแล้ว.
               บทว่า ตานิ ความว่า ความเย็นก็คลายไป ความร้อนก็ผ่อนไป.
               บทว่า นิสฺสทฺทา ได้แก่ ไม่มีเสียง ไม่อึกทึก.
               บทว่า นิรากุลา แปลว่า ไม่วุ่นวาย. หรือปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน.
               บทว่า น สนฺทนฺติ ได้แก่ ไม่นำไป ไม่ไหลไป.
               บทว่า สวนฺติโย แปลว่า แม่น้ำทั้งหลาย. บทว่า ตานิ ได้แก่ ไม่พัด ไม่ไหล.
               บทว่า ถลชา ได้แก่ ดอกไม้ที่เกิดที่ต้นไม้ตามพื้นดินและบนภูเขา.
               บทว่า ทกชา ได้แก่ ดอกไม้ที่เกิดในน้ำ.
               บทว่า ปุปฺผนฺติ ได้แก่ บานแล้วแก่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายในกาลก่อน.
               คำเป็นปัจจุบันลงในอรรถอดีตกาล พึงทราบ โดยนัยที่กล่าวมาแล้วในหนหลังนั่นแล.
               บทว่า เตปชฺช ปุปฺผิตานิ ความว่า ดอกไม้แม้เหล่านั้นบานแล้วในวันนี้.
               บทว่า ผลภารา ได้แก่ ทรงผล.
               บทว่า เตปชฺช ตัดบทว่า เตปิ อชฺช ท่านกล่าวว่า เตปิ โดยลิงควิปลาส เพราะท่านกล่าวว่า ลตา วา รุกฺขา วา.
               บทว่า ผลิตา แปลว่า เกิดผลแล้ว.
               บทว่า อากาสฏฺฐา จ ภุมฺมฏฺฐา ได้แก่ ไปในอากาศและที่ไปบนแผ่นดิน.
               บทว่า รตนานิ ได้แก่ รัตนะทั้งหลายมีแก้วมุกดาเป็นต้น.
               บทว่า โชตนฺติ แปลว่า ส่องแสงสว่าง.
               บทว่า มานุสฺสกา ได้แก่ เป็นของมนุษย์ทั้งหลาย ชื่อว่ามานุสสกะของมนุษย์.
               บทว่า ทิพฺพา ได้แก่ เป็นของเทวดาทั้งหลาย ชื่อว่าทิพพะของเทวดา.
               บทว่า ตุริยา ได้แก่ ดนตรี ๕ คือ อาตตะ วิตตะ อาตตะวิตตะ สุสิระและฆนะ.
               บรรดาดนตรีเหล่านั้น ในดนตรีมีกลองเป็นต้นที่หุ้มหนัง ดนตรีที่หุ้มหนังหน้าเดียวชื่อว่าอาตตะ. ดนตรีที่หุ้มหนังสองหน้าชื่อว่าวิตตะ. ดนตรีมีพิณใหญ่เป็นต้นที่หุ้มหนังหมด ชื่อว่าอาตตะวิตตะ. ดนตรีมีปี่เป็นต้น ชื่อว่าสุสิระ. ดนตรีมีสัมมตาลเป็นต้น ชื่อว่าฆนะ.
               บทว่า วชฺชนฺติ ได้แก่ บรรเลงแล้วโดยนัยที่กล่าวมาแล้วในหนหลัง คำที่เป็นปัจจุบันกาล พึงทราบว่าใช้ในอรรถอดีตกาล แม้ในคำเช่นนี้ต่อๆ ไปก็นัยนี้.
               บทว่า อภิรวนฺติ ความว่า ร้องดังบันลือลั่นเหมือนดนตรีที่ผู้ฉลาดบรรเลงแล้ว ประโคมแล้ว ขับร้องแล้ว.
               บทว่า วิจิตฺตปุปฺผา ได้แก่ ดอกไม้ทั้งหลายมีกลิ่นและสีต่างๆ อันงดงาม.
               บทว่า อภิวสฺสนฺติ แปลว่า ตกลงแล้ว. อธิบายว่า หล่นแล้ว.
               บทว่า เตปิ ความว่า ดอกไม้อันงดงามแม้เหล่านั้นตกลงอยู่ก็เห็นกันในวันนี้.
               อธิบายว่า อันหมู่เทวดาและพรหมโปรยลงมาอยู่.
               บทว่า อภิรวนฺติ ได้แก่ บันลือลั่น.
               บทว่า นิรเย ได้แก่ ในนรกทั้งหลาย.
               บทว่า ทสสหสฺเส ได้แก่ หลายหมื่น.
               บทว่า นิพฺพนฺติ ได้แก่ สงบ อธิบายว่าถึงความสงบ.
               บทว่า ตารกา ได้แก่ ดาวฤกษ์ทั้งหลาย.
               บทว่า เตปิ อชฺช ปทิสฺสนฺติ ความว่า ดวงดาวแม้เหล่านั้นก็เห็นกันกลางวันวันนี้ เพราะดวงอาทิตย์สุกใสไร้มลทิน.
               บทว่า อโนวฏฺเฐน ได้แก่ คำว่า อโนวฏฺเฐ นี้เป็นตติยาวิภัตติลงในอรรถสัตตมีวิภัตติ.
               อีกนัยหนึ่ง บทว่า อโนวฏฺเฐ ได้แก่ ไม่มีอะไรแม้ปิดกั้น.
               คำว่า เป็นเพียงนิบาตเหมือนในประโยคเป็นต้นว่า สุตฺวา น ทูตวจนํ ฟังคำของทูตดังนี้.
               บทว่า ตมฺปชฺชุพฺภิชฺชเต ความว่า น้ำแม้นั้นก็พุขึ้นในวันนี้. อธิบายว่า แทรกพุ่งขึ้น.
               บทว่า มหิยา ได้แก่ แผ่นดิน เป็นปัญจมีวิภัตติ.
               บทว่า ตาราคณา ได้แก่ หมู่ดาวทั้งหมดมีดาวเคราะห์และดาวนักษัตรเป็นต้น.
               บทว่า นกฺขตฺตา ได้แก่ ดาวฤกษ์ทั้งหลาย.
               บทว่า คคนมณฺฑเล ความว่า ส่องสว่างทั่วมณฑลท้องฟ้า.
               บทว่า พิลาสยา ได้แก่ สัตว์ที่อยู่ในปล่องมีงู พังพอน จระเข้และเหี้ยเป็นต้น.
               บทว่า ทรีสยา ได้แก่ สัตว์ที่อยู่ในแอ่งน้ำ หรือปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน.
               บทว่า นิกฺขมนฺติ ได้แก่ ออกไปแล้ว.
               บทว่า สกาสยา แปลว่า จากที่อยู่ของตนๆ. ปาฐะว่า ตทาสยา ดังนี้ก็มี.
               ปาฐะนั้นมีความว่า ในครั้งนั้นคือในกาลนั้น จากที่อยู่คือปล่อง.
               บทว่า ฉุทฺธา ได้แก่ อันเขาซัดไปแล้ว ขึ้นไปแล้วคือออกไป.
               บทว่า อรตี ได้แก่ ความกระสัน.
               บทว่า สนฺตุฏฺฐา ได้แก่ สันโดษด้วยสันโดษอย่างยิ่ง.
               บทว่า วินสฺสติ ได้แก่ ไปปราศ.
               บทว่า ราโค ได้แก่ กามราคะ.
               บทว่า ตทา ตนุ โหติ ได้แก่ มีประมาณน้อย ทรงแสดงปริยุฏฐานกิเลสด้วยบทนี้.
               บทว่า วิคตา ได้แก่ สูญหาย.
               บทว่า ตทา ได้แก่ ครั้งก่อน. อธิบายว่า ครั้งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายนั่งขัดสมาธิ.
               บทว่า น ภวติ แปลว่า ไม่มี.
               บทว่า อชฺชเปตํ ความว่า แม้ครั้งท่านนั่งขัดสมาธิในวันนี้ ภัยนั้นก็ไม่มี.
               บทว่า เตน ลิงฺเคน ชานาม ความว่า พวกเราทุกคนย่อมรู้ด้วยเหตุที่ท่านจักเป็นพระพุทธเจ้า
               บทว่า อนุทฺธํสติ ได้แก่ ไม่ฟุ้งขึ้น.
               บทว่า อนิฏฺฐคนฺโธ ได้แก่ กลิ่นเหม็น.
               บทว่า ปกฺกมติ แปลว่า หลีกไปแล้ว ปราศไปแล้ว.
               บทว่า ปวายติ แปลว่า พัดไปแล้ว.
               บทว่า โสปชฺช ได้แก่ กลิ่นทิพย์แม้นั้น ในวันนี้.
               บทว่า ปทิสฺสนฺติ ได้แก่ เห็นกันแล้ว.
               บทว่า เตปชฺช ได้แก่ เทวดาทั้งหมดแม้นั้นในวันนี้.
               ศัพท์ว่า ยาวตา เป็นนิบาตลงในอรรถว่ากำหนด ความว่า มีประมาณเท่าใด.
               บทว่า กุฑฺฑา แปลว่า กำแพง.
               บทว่า น โหนฺตาวรณา ได้แก่ ทำการขวางกั้นไม่ได้.
               บทว่า ตทา ได้แก่ ครั้งก่อน.
               บทว่า อากาสภูตา ได้แก่ กำแพงบานประตูและภูเขาเหล่านั้น ไม่อาจทำการขวางกั้นทำไว้ข้างนอกได้. อธิบายว่า อากาศกลางหาว.
               บทว่า จุติ ได้แก่ มรณะ. บทว่า อุปฺปตฺติ ได้แก่ ถือปฏิสนธิ.
               บทว่า ขเณ ได้แก่ ในขณะพระโพธิสัตว์ทั้งหลายนั่งขัดสมาธิในกาลก่อน.
               บทว่า น วิชฺชติ แปลว่า ไม่มีแล้ว.
               บทว่า ตานิปชฺช ความว่า การจุติปฏิสนธิ ในวันนี้แม้เหล่านั้น.
               บทว่า มา นิวตฺติ ได้แก่ จงอย่าถอยหลัง. บทว่า อภิกฺกม ได้แก่ จงก้าวไปข้างหน้า.
               คำที่เหลือในเรื่องนี้ง่ายทั้งนั้นแล.
               ต่อจากนั้น สุเมธบัณฑิตสดับคำของพระทีปังกรทศพล และของเทวดาทั้งหลายในหมื่นจักรวาล ก็เกิดอุตสาหะ อย่างยิ่งยวด คิดว่า ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายมีพระวาจาไม่โมฆะเปล่าประโยชน์ พระวาจาของพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่เปลี่ยนเป็นอื่น.
               เหมือนอย่างว่า ก้อนดินที่เหวี่ยงไปในอากาศก็ตกแน่นอน สัตว์ที่เกิดมาแล้วก็ตาย เมื่ออรุณขึ้นดวงอาทิตย์ก็ขึ้นสู่ท้องฟ้า ราชสีห์ออกจากที่อยู่ก็บันลือสีหนาท สตรีมีครรภ์หนักก็ปลงภาระแน่นอน เป็นอย่างนี้โดยแท้ฉันใด
               ธรรมดาพระดำรัสของพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็แน่นอน ไม่โมฆะเปล่าประโยชน์ฉันนั้นเหมือนกัน เราจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน.
               ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
                         เราสดับพระดำรัสของพระพุทธเจ้า และคำของ
               เทวดาในหมื่นโลกธาตุ ทั้งสองแล้ว ก็ยินดีร่าเริงเบิก
               บานใจ ในครั้งนั้น จึงคิดอย่างนี้ว่า
                         พระชินพุทธเจ้าทั้งหลายมีพระดำรัสไม่เป็นสอง
               มีพระดำรัสไม่เป็นโมฆะ คำเท็จของพระพุทธเจ้าทั้ง
               หลายไม่มี เราจะเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน.
                         ก้อนดินถูกเหวี่ยงไปในอากาศ ย่อมตกที่พื้นดิน
               แน่นอน ฉันใด พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ
               ก็เที่ยงแท้แน่นอน ฉันนั้น คำเท็จของพระพุทธเจ้า
               ทั้งหลายไม่มี เราจะเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน.
                         ความตายของสัตว์ทั้งหมด เที่ยงแท้ แน่นอน
               ฉันใด พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ก็เที่ยง
               แท้แน่นอน ฉันนั้น คำเท็จของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
               ไม่มี เราจะเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน.
                         เมื่อสิ้นราตรี ดวงอาทิตย์ก็ขึ้นแน่นอน ฉันใด
               พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ก็เที่ยงแท้แน่
               นอน ฉันนั้น คำเท็จของพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มี
               เราจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน.
                         ราชสีห์ออกจากที่นอน ก็บันลือสีหนาทแน่นอน
               ฉันใด พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐก็ฉันนั้น
               คำเท็จของพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มี เราจะเป็นพระ
               พุทธเจ้าแน่นอน.
                         สัตว์มีครรภ์หนัก ก็ปลงภาระแน่นอน ฉันใด
               พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ก็เที่ยงแท้แน่
               นอน ฉันนั้น คำเท็จของพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มี
               เราจะเป็นพระพุทธเจ้าแน่นอน.

               แก้อรรถ               
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พุทฺธสฺส วจนํ สุตฺวา ทสสหสฺสีน จูภยํ ความว่า สดับพระดำรัสของพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า และของเทวดาในหมื่นจักรวาล.
               บทว่า อุภยํ ได้แก่ อุภเยสํ คำนี้เป็นปฐมาวิภัตติลงในอรรถฉัฏฐีวิภัตติ หรือคำทั้งสอง.
               บทว่า เอวํ จินฺเตสหํ ได้แก่ เราคิดอย่างนี้.
               บทว่า อเทฺวชฺฌวจนา ได้แก่ มีพระดำรัสไม่เป็นสองอย่าง. อธิบายว่า มีพระดำรัสเป็นอย่างเดียว.
               ปาฐะว่า อจฺฉิทฺทวจนา ดังนี้ก็มี ปาฐะนั้นมีความว่าไม่มีโทษ.
               บทว่า อโมฆวจนา ได้แก่ มีพระดำรัสไม่เท็จ.
               บทว่า วิตถํ ความว่า คำเท็จไม่มี.
               บทว่า ธุวํ พุทฺโธ ภวามหํ พึงทราบว่าท่านทำเป็นคำปัจจุบันกาล โดยเป็นเรื่องแน่นอนและเป็นเรื่องมีโดยแท้ว่า เราจักเป็นพระพุทธเจ้าโดยส่วนเดียว.
               บทว่า สูริยุคฺคมนํ ได้แก่ การอุทัยของดวงอาทิตย์หรือปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน.
               บทว่า ธุวสสฺสตํ ได้แก่ มีความเป็นโดยส่วนเดียว และเที่ยงแท้.
               บทว่า นิกฺขนฺตสยนสฺส ได้แก่ ผู้ออกไปจากที่นอน.
               บทว่า อาปนฺนสตฺตานํ ได้แก่ สัตว์ผู้มีครรภ์หนัก. อธิบายว่า ผู้มีครรภ์.
               บทว่า ภารโมโรปนํ ได้แก่ ภารโอโรปนํ. อธิบายว่า การปลงลงซึ่งครรภ์.
               อักษรทำการสนธิบท.
               คำที่เหลือแม้ในข้อนี้ ก็ง่ายทั้งนั้นแล.
               สุเมธบัณฑิตทำการตกลงใจอย่างนี้ว่า เรานั้นจักเป็นพระพุทธเจ้าแน่แท้ เพื่อใคร่ครวญถึงพุทธการกธรรมทั้งหลาย จึงเลือกเฟ้นธรรมธาตุทั้งสิ้นโดยลำดับว่า พุทธการกธรรมทั้งหลายอยู่ที่ไหนหนอ เบื้องบน เบื้องล่าง ในทิศใหญ่ทิศน้อยทั้งหลาย ก็เห็นทานบารมีอันดับแรก ที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายเก่าๆ ในกาลก่อนซ่องเสพเป็นประจำกันมา จึงสอนพระองค์เองอย่างนี้ว่า
               ดูก่อนสุเมธบัณฑิต นับตั้งแต่นี้ไปท่านพึงบำเพ็ญทานบารมีก่อน เหมือนอย่างว่า หม้อน้ำที่เขาคว่ำปากลง ย่อมหลั่งน้ำออกไม่เหลือเลย ไม่นำน้ำกลับเข้าไปฉันใด ท่านก็ไม่พึงเสียดายทรัพย์หรือยศ บุตรภรรยาหรืออวัยวะใหญ่น้อย เมื่อให้ทุกอย่างที่ยาจกต้องการๆ กันไม่เหลือไว้เลยในที่ทั้งปวง ก็จักนั่งเป็นพระพุทธเจ้าที่โคนโพธิพฤกษ์ ดังนี้.
               แล้วอธิษฐานทานบารมีไว้มั่นเป็นอันดับแรก
               ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
                         เอาเถิด เราจักเลือกเฟ้นพุทธการกธรรม ทางโน้น ทางนี้
               ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง ทั้งสิบทิศ ตราบเท่าที่ธรรมธาตุยังเป็นไป.
                         ครั้งนั้น เราเมื่อเลือกเฟ้นก็เห็นทานบารมีเป็นอันดับแรก
               เป็นทางใหญ่ ที่พระผู้แสวงคุณใหญ่หลายพระองค์ก่อนๆ ประพฤติ
               ตามกันมาแล้ว.
                         ท่านจงสมาทาน ทานบารมีนี้ไว้มั่นเป็นอันดับแรกก่อน
               จงบำเพ็ญทานบารมี ผิว่าท่านต้องการจะบรรลุพระโพธิญาณ.
                         หม้อที่เต็มด้วยน้ำอย่างใดอย่างหนึ่งวางคว่ำปากลงก็สำรอก
               น้ำออกไม่เหลือเลย ไม่รักษาน้ำไว้ในหม้อนั้นแม้ฉันใด.
                         ท่านเห็นยาจก ทั้งชั้นต่ำชั้นกลางและชั้นสูง แล้วจงให้
               ทานไม่เหลือเลย เหมือนหม้อน้ำที่คว่ำปากฉันนั้นเหมือนกัน.

               แก้อรรถ               
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หนฺท เป็นนิบาตลงในอรรถว่าเชื้อเชิญ.
               บทว่า พุทฺธกเร ธมฺเม ได้แก่ ธรรมที่ทำความเป็นพระพุทธเจ้า ธรรม ๑๐ ประการมีทานปารมิตาเป็นต้น ชื่อว่าธรรมทำความเป็นพระพุทธเจ้า.
               บทว่า วิจินามิ ได้แก่ จักเลือกเฟ้น. อธิบายว่า จักทดสอบ จักสอบสวน.
               บทว่า อิโต จิโต ได้แก่ ข้างโน้น ข้างนี้. หรือปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน.
               ความว่า จะเลือกเฟ้นในที่นั้นๆ.
               บทว่า อุทฺธํ ได้แก่ ในเทวโลก. บทว่า อโธ ได้แก่ ในมนุษยโลก.
               บทว่า ทสทิสา ได้แก่ ในสิบทิศ.
               อธิบายว่า พุทธการกธรรมเหล่านั้นอยู่ที่ไหนหนอ เบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง ในทิศใหญ่ทิศน้อย.
               คำว่า ยาวตา ในคำว่า ยาวตา ธมฺมธาตุยา นี้เป็นคำกล่าวกำหนด.
               บทว่า ธมฺมธาตุยา ได้แก่ แห่งสภาวธรรม.
               พึงเห็นว่าเติมคำที่เหลือว่า ปวตฺตนี แปลว่า ความเป็นไปแห่งสภาวธรรม.
               ท่านอธิบายไว้อย่างไร
               ท่านอธิบายไว้ว่า จักเลือกเฟ้นเพียงเท่าที่สภาวธรรม คือ ธรรมส่วนกามาวจร รูปาวจรเป็นไป.
               บทว่า วิจินนฺโต ได้แก่ ทดสอบ สอบสวน.
               บทว่า ปุพฺพเกหิ ได้แก่ อันพระโพธิสัตว์ทั้งหลายพระองค์ก่อนๆ.
               บทว่า อนุจิณฺณํ ได้แก่ สะสม ซ่องเสพ.
               บทว่า สมาทิย ได้แก่ จงทำการสมาทาน. อธิบายว่า จงสมาทานอย่างนี้ว่า ตั้งแต่วันนี้ เราควรบำเพ็ญทานบารมีนี้ก่อน.
               บทว่า ทานปารมิตํ คจฺฉ ได้แก่ ถึงทานบารมี. อธิบายว่า ทำให้เต็ม.
               บทว่า ยทิ โพธึ ปตฺตุมิจฺฉสิ ความว่า ถ้าท่านปรารถนาจะเข้าไปโคนโพธิ์แล้วบรรลุ พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิ.
               บทว่า ยสฺส กสฺสจิ ความว่า เต็มด้วยน้ำหรือน้ำนมอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อประกอบ สัมปุณฺณ ศัพท์ ปราชญ์ทางศัพทศาสตร์ ประสงค์ฉัฏฐีวิภัตติ หรือฉัฏฐีวิภัตติลงในอรรถตติยาวิภัตติ.
               ความว่า ด้วยน้ำอย่างใดอย่างหนึ่ง.
               บทว่า อโธกโต ได้แก่ อันเขาคว่ำปากลง.
               บทว่า น ตตฺถ ปริรกฺขติ ได้แก่ รักษาไว้ไม่ได้ในการไหลของน้ำนั้น. อธิบายว่า หลั่งน้ำออกไม่เหลือเลย.
               บทว่า หีนมุกฺกฏฺฐมชฺฌิเม ได้แก่ ชั้นต่ำชั้นกลางและชั้นประณีต.
                อักษรทำบทสนธิ.
               บทว่า กุมฺโภ วิย อโธกโต ได้แก่ เหมือนหม้อที่วางคว่ำปาก.
               สุเมธบัณฑิตสอนตนด้วยตนเองอย่างนี้ว่า ดูก่อนสุเมธ ท่านพบคนยาจกที่เข้าไปหา จงบำเพ็ญทานบารมีด้วยการบริจาคทรัพย์ทั้งหมดของตนไม่ให้เหลือ อุปบารมีด้วยการบริจาคอวัยวะ และปรมัตถปารมีด้วยการบริจาคชีวิต.

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ รัตนะจงกรมกัณฑ์
อ่านอรรถกถาหน้าต่างที่ [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒]
อ่านอรรถกถา 33.1 / 1อ่านอรรถกถา 33.1 / 180อรรถกถา เล่มที่ 33.2 ข้อ 1อ่านอรรถกถา 33.2 / 2อ่านอรรถกถา 33.2 / 28
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=33&A=6654&Z=6873
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=51&A=1
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=51&A=1
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๕  กรกฎาคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :