ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 33.3 / 1อ่านอรรถกถา 33.3 / 29อรรถกถา เล่มที่ 33.3 ข้อ 30อ่านอรรถกถา 33.3 / 31อ่านอรรถกถา 33.3 / 36
อรรถกถา ขุททกนิกาย จริยาปิฎก การบำเพ็ญเนกขัมมบารมีเป็นต้น
๑๐. มัจฉราชจริยา

               อรรถกถามัจฉราชจริยาที่ ๑๐               
               พึงทราบวินิจฉัยในมัจฉราชจริยาที่ ๑๐ ดังต่อไปนี้.
               บทว่า ยทา โหมิ, มจฺฉราชา มหาสเร ในกาลเมื่อเราเป็นพระยาปลาอยู่ในสระใหญ่.
               ความว่า ในอดีตกาล เราเกิดในกำเนิดปลายินดีอยู่ด้วยสังคหวัตถุ ๔ ประการของปลาทั้งหลาย ในสระใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งปกคลุมด้วยเถาวัลย์อันเป็นสระโบกขรณี ใกล้พระเชตวันกรุงสาวัตถี แคว้นโกศล.
               ครั้งนั้น เราเป็นพระยาปลาแวดล้อมด้วยหมู่ปลาอาศัยอยู่ ณ ที่นั้น.
               บทว่า อุณฺเห คือ ฤดูร้อน. บทว่า สูริยสนฺตาเป คือ เพราะแสงอาทิตย์.
               บทว่า สเร อุทกํ ขียถ คือ น้ำในสระนั้นแห้งขอด.
               ในแคว้นนั้น ขณะนั้นฝนไม่ตกเลย. ข้าวกล้าเหี่ยวแห้ง. น้ำในบึงเป็นต้นแห้งขอด. ปลาและเต่าพากันเข้าไปอาศัยเปือกตม. แม้ในสระนั้นปลาทั้งหลายก็เข้าไปยังเปือกตม ซ่อนอยู่ในที่นั้นๆ.
               บทว่า ตโต คือ ภายหลังจากน้ำแห้งนั้น.
               บทว่า กุลลเสนกา คือ นกตะกรุมและเหยี่ยว.
               บทว่า ภกฺขยนฺติ ทิวารตฺตึ, มจฺเฉ อุปนิสีทิย ความว่า กาและนกนอกนั้นเข้าไปแอบอยู่บนหลังเปือกตมนั้นๆ เอาจะงอยเช่นกับปลายหอกสั้นจิกกินปลา ซึ่งเข้าไปนอนซ่อนอยู่ที่เปือกตมทั้งๆ ที่ยังดิ้นอยู่.
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์เห็นความพินาศของปลาทั้งหลาย เกิดสงสารคิดอยู่ว่า นอกจากเราไม่มีผู้อื่นที่สามารถจะปลดเปลื้องญาติทั้งหลายของเราให้พ้นจากทุกข์นี้ได้. เราจะปลดเปลื้องปลาเหล่านั้นจากทุกข์นี้ได้ด้วยอุบายอย่างไรหนอ จึงตัดสินใจว่า ถ้ากระไรเราพึงทำสัจกิริยาอาศัยสัจธรรมที่ท่านผู้แสวงหาคุณใหญ่แต่ก่อน ประพฤติสะสมมาและที่มีอยู่ในตัวเรา ยังฝนให้ตกและสละชีวิตเป็นทานเพื่อหมู่ญาติของเรา.
               ด้วยเหตุนั้น เป็นอันเราได้ยังมหาอุปการะให้เกิดแก่สัตว์โลกผู้อาศัยอาหารเลี้ยงชีพแม้ทั้งสิ้น.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
                                   ในกาลนั้น เราคิดอย่างนี้ว่า เรากับหมู่ญาติ
                         ถูกบีบคั้น จะพึงเปลื้องหมู่ญาติให้พ้นจากทุกข์ได้
                         ด้วยอุบายอะไรหนอ เราคิดแล้วได้เห็นความสัตย์
                         อันเป็นอรรถเป็นธรรมว่าเป็นที่พึ่งของหมู่ญาติได้
                         เราตั้งอยู่ในความสัตย์แล้ว จะปลดเปลื้องความ
                         พินาศใหญ่ของหมู่ญาตินั้นได้ เรานึกถึงธรรมของ
                         สัตบุรุษ คิดถึงการไม่เบียดเบียนสัตว์อันยั่งยืนเที่ยง
                         แท้ในโลก ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งได้ แล้วได้ทำ
                         สัจกิริยา.

               บทว่า สห ญาตีหิ ปีฬิโต คือเรากับพวกญาติของเราถูกบีบคั้นด้วยน้ำแห้งนั้น.
               อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สห เป็นเพียงนิบาต.
               คือญาติทั้งหลายผู้มีทุกข์เป็นเหตุถูกบีบคั้นด้วยความพินาศนั้น เพราะมีมหากรุณา จึงคิดจะปลดเปลื้อง. อธิบายว่า หมู่ญาติได้รับทุกข์.
               บทว่า ธมฺมตฺถํ คือ ประโยชน์ที่เป็นธรรม หรือมีอยู่ไม่ปราศจากธรรม ได้แก่อะไร? ได้แก่สัจจะ.
               บทว่า อทฺทสปสฺสยํ คือ ได้เห็นที่พึ่งของเราและของญาติทั้งหลาย.
               บทว่า อติกฺขยํ คือ ความมหาพินาศ.
               บทว่า สทฺธมฺมํ คือ ระลึกถึงธรรม คือความไม่เบียดเบียนสัตว์แม้ตัวหนึ่งของสัตบุรุษ คือคนดีมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น.
               บทว่า ปรมตฺถํ วิจินฺตยํ คือ เราคิดถึงสัจจะอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งนั้นอันมีสภาพไม่วิปริต.
               บทว่า ยํ โลเก ธุวสสฺสตํ อันยั่งยืนเที่ยงแท้ในโลก คือการไม่เบียดเบียนสัตว์แม้ตัวหนึ่งของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและสาวกของพระพุทธเจ้าตลอดกาลใด พึงทราบการเชื่อมความว่า เราได้คิดถึงการไม่เบียดเบียนสัตว์อันยั่งยืนเที่ยงแท้โดยความเป็นจริง ตลอดกาลทั้งปวงนั้น ได้กระทำสัจกิริยา.
               บัดนี้ พระมหาสัตว์ซึ่งมีร่างเช่นกับสีปุ่มแก่นไม้อัญชัน ประสงค์จะรับเอาธรรมนั้นซึ่งมีอยู่ในตน แล้วประกอบคำพูดที่เป็นสัตย์ จึงคุ้ยเปือกตมสีดำออกเป็นสองข้าง ลืมตาทั้งสองแหงนมองอากาศ กล่าวคาถาว่า :-
                         ตั้งแต่เราระลึกตนได้ ตั้งแต่เรารู้ความมา
                         จนถึงบัดนี้ เราไม่รู้สึกว่าแกล้งเบียดเบียน
                         สัตว์แม้ตัวหนึ่งให้ได้รับลำบากเลย. ด้วย
                         สัจวาจานี้ ขอเมฆจงยังฝนให้ตกห่าใหญ่.

               ในบทเหล่านั้น บทว่า ยโต สรามิ อตฺตานํ ความว่า ตั้งแต่เราระลึก คือความระลึกตนอันได้แก่อัตภาพ.
               บทว่า ยโต ปตฺโตสฺมิ วิญฺญุตํ คือ ตั้งแต่เรารู้ความที่วิญญูชนรู้แล้วในสิ่งอันควรทำนั้นๆ ชื่อว่ารู้ความที่วิญญูชนรู้แล้ว เพราะสามารถระลึกถึง กายกรรม วจีกรรม ของเราจากนี้ไปได้ด้วยการแหงนขึ้นไปในเบื้องบน ในระหว่างนี้แม้เกิดในที่จะต้องกินสัตว์ที่มีชาติเสมอกัน เราก็ไม่เคยกินปลาแม้ประมาณเท่ารำข้าวสาร เราไม่รู้สึกว่าแกล้งเบียดเบียนสัตว์ไรๆ แม้อื่น ไม่ต้องพูดถึงฆ่า.
               บทว่า เอเตน สจฺจวชฺเชน ความว่า เรากล่าวถึงการไม่เบียดเบียนสัตว์ไรๆ อันใด หากการไม่เบียดเบียนนั้นเป็นความจริง ไม่วิปริต ด้วยสัจวาจานี้ ขอเมฆจงยังฝนให้ตกเถิด.
               พระยาปลากล่าวว่า ขอเมฆจงปลดเปลื้องหมู่ญาติของเราจากทุกข์เถิด แล้วเรียกปัชชุนนเทวราชดุจบังคับคนรับใช้ของตนอีกว่า:-
                                   แน่ะปัชชุนนะ ท่านจงเปล่งสายฟ้าคำรามให้
                         ฝนตก จงทำขุมทรัพย์ของกาให้พินาศไป ท่านจง
                         ยังกาให้เดือดร้อน ด้วยความโศก จงปลดเปลื้องฝูง
                         ปลาจากความโศก.

               ในบทเหล่านั้น บทว่า อภิตฺถนย ปชฺชุนฺน ความว่า เมฆ ท่านเรียกว่าปัชชุนนะ ก็พระยาปลานี้เรียกวัสสวลาหกเทวราช ที่ได้ชื่อด้วยอำนาจแห่งเมฆ.
               บทนั้นมีอธิบายดังต่อไปนี้
               ธรรมดาฝนไม่คำรามไม่เปล่งสายฟ้า แม้ให้ฝนตกก็ไม่งาม. เพราะฉะนั้น ท่านคำรามเปล่งสายฟ้าให้ฝนตกเถิด.
               บทว่า นิธึ กากสฺส นาสย จงทำขุมทรัพย์ของกาให้พินาศไป คือกาทั้งหลาย เอาจะงอยจิกปลาที่เข้าไปยังเปือกตมนำออกมากิน. เพราะฉะนั้น ปลาทั้งหลายภายในเปือกตม ท่านเรียกว่านิธิคือขุมทรัพย์ของกาเหล่านั้น. ท่านยังฝนให้ตกน้ำท่วมขุมทรัพย์ของฝูงกานั้น.
               บทว่า กากํ โสกาย รนฺเธหิ ท่านจงยังกาให้เดือดร้อนด้วยความโศก.
               ความว่า ฝูงกาเมื่อไม่ได้ปลาในสระใหญ่นี้ซึ่งมีน้ำเต็มจักเศร้าโศก. ท่านยังเปือกตมนี้ให้เต็มยังฝูงกานั้นให้เดือดร้อนด้วยความโศก. ท่านจงยังฝนให้ตกเพื่อให้กาเศร้าโศก.
               อธิบายว่า ท่านจงทำโดยอาการที่ฝูงกาถึงความเศร้าโศกอันมีลักษณะจ้องดูภายใน.
               บทว่า มจฺเฉ โสกา ปโมจย จงปลดเปลื้องฝูงปลาจากความเศร้าโศก คือท่านจงปลดเปลื้องฝูงปลาทั้งหมดซึ่งเป็นญาติของเราให้พ้นจากความเศร้าโศก คือความตายนี้เถิด.
               อาจารย์บางคนกล่าวไว้ในชาดกว่า ท่านจงปลดเปลื้องข้าพเจ้าจากความเศร้าโศก.
                อักษรในบทนั้นเป็นสัมบิณฑนัตถะ ความว่า ท่านจงปลดเปลื้องสัตว์ทั้งปวง คือเราและญาติของเราให้พ้นจากความโศกคือความตายเถิด.
               จริงอยู่ ปลาทั้งหลายมีความเศร้าโศกคือความตายอย่างใหญ่หลวงว่า พวกเราจะถึงความเป็นอาหารของศัตรูเพราะไม่มีน้ำ.
               พึงทราบว่าความเศร้าโศกเกิดขึ้นด้วยความกรุณาของพระมหาสัตว์ผู้เปี่ยมด้วยความกรุณา เพราะอาศัยความพินาศย่อยยับของปลาเหล่านั้น.
               พระโพธิสัตว์เรียกปัชชุนนะเทพบุตร ดุจบังคับคนรับใช้ของตนให้ฝนห่าใหญ่ตกทั่วแคว้นโกศล.
               ด้วยเดชแห่งศีลของพระมหาสัตว์ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของท้าวสักกะแสดงอาการร้อนตลอดกาล ด้วยสัจกิริยานั่นแล.
               ท้าวสักกะทรงรำพึงว่า อะไรหนอ? ครั้นทรงทราบเหตุนั้นแล้วจึงรับสั่งให้เรียกวัสสวลาหกเทวราชมามีเทวบัญชาว่า นี่แน่ะเจ้าพระยาปลาผู้เป็นมหาบุรุษปรารถนาให้ฝนตกเพราะความเศร้าโศก คือความตายของญาติทั้งหลาย. เจ้าจงทำเมฆให้เป็นกลุ่มเดียวกัน แล้วให้ฝนตกทั่วแคว้นโกศลเถิด.
               วัสสวลาหกเทวราชรับเทวบัญชาแล้ว นุ่งวลาหกก้อนหนึ่ง ห่มก้อนหนึ่ง ขับเพลงขับสายฝน บ่ายหน้าไป มุ่งไปยังโลกทางด้านทิศตะวันออก. ทางด้านทิศตะวันออก ก้อนเมฆก้อนหนึ่งประมาณเท่าบริเวณลานได้ตั้งขึ้นร้อยชั้น พันชั้น คำรามเปล่งสายฟ้าไหลลงมาเหมือนหม้อน้ำที่คว่ำ หลั่งน้ำใหญ่ท่วมแคว้นโกศลทั้งสิ้น.
               ฝนตกอยู่ไม่ขาดสาย ครู่เดียวเท่านั้นสระใหญ่นั้นก็เต็ม. ปลาทั้งหลายก็พ้นจากมรณภัย. กาเป็นต้นได้หมดที่พึ่ง.
               ไม่เฉพาะปลาอย่างเดียวเท่านั้น แม้มนุษย์ทั้งหลายก็ยังข้าวกล้าหลายอย่างให้งอกงาม แม้สัตว์ ๒ เท้าเป็นต้นทั้งหมดที่อาศัยฝนเลี้ยงชีวิตก็พ้นจากทุกข์กายและทุกข์ใจ.
               ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :-
                                   พร้อมกับเมื่อเราทำสัจกิริยา เมฆส่งเสียง
                         สนั่นครั่นครื้นยังฝนให้ตกครู่เดียวก็เต็มเปี่ยม
                         ทั้งที่ดอนและที่ลุ่ม. ครั้นเราทำความเพียรอย่าง
                         สูงสุด อันเป็นความสัตย์อย่างประเสริฐเห็นปาน
                         นี้แล้ว. อาศัยกำลังอานุภาพความสัตย์จึงยังฝน
                         ให้ตกห่าใหญ่. ผู้เสมอด้วยความสัตย์ของเราไม่มี.
                         นี้เป็นสัจบารมีของเรา ดังนี้.

               ในบทเหล่านั้น บทว่า ขเณน อภิวสฺสถ คือ ไม่ชักช้าฝนก็ตกโดยขณะที่ทำสัจกิริยานั้นเอง.
               บทว่า กตฺวา วีริยมุตฺตมํ ทำความเพียรอย่างสูงสุด คือเมื่อฝนไม่ตกเราก็ไม่เกียจคร้านมัวคิดว่าควรทำอะไร แล้วทำความเพียรอย่างสูงสุด ยังประโยชน์สุขให้สำเร็จแก่หมู่สัตว์ใหญ่โดยวิธีบำเพ็ญญาตัตจริยา.
               บทว่า สจฺจเตชพลสฺสิโต คือ อาศัยกำลังอานุภาพความสัตย์ของเรายังฝนห่าใหญ่ให้ตกในกาลนั้น.
               เพราะเหตุการณ์เป็นอย่างนั้น ฉะนั้น พระธรรมราชาจึงทรงแสดงถึงความที่สัจบารมีของพระองค์ ไม่ทั่วไปแก่คนอื่นเมื่อครั้งเป็นพระยาปลาใหญ่ว่า สจฺเจน เม สโม นตฺถิ, เอสา เม สจฺจปารมี ผู้เสมอด้วยสัจจะของเราไม่มี. นี้เป็นสัจจบารมีของเรา.
               พระมหาสัตว์มีใจเร่งเร้าด้วยมหากรุณาอย่างนี้ จึงได้ปลดเปลื้องมหาชนจากมรณทุกข์ด้วยยังฝนห่าใหญ่ให้ตกทั่วแว่นแคว้น เมื่อสิ้นอายุก็ไปตามยถากรรม.
               ปัชชุนนเทวราชในครั้งนั้น ได้เป็นพระอานนทเถระในครั้งนี้.
               ฝูงปลาคือพุทธบริษัท.
               พระยาปลาคือพระโลกนาถ.
               พึงเจาะจงกล่าวแม้บารมีที่เหลือของพระมหาสัตว์นั้นโดยนัยดังได้กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล.
               อนึ่ง พึงประกาศคุณานุภาพมีอาทิอย่างนี้ คือ
               การเกิดในกำเนิดปลา ในที่ที่จะกินสัตว์ที่มีชาติเสมอกับตนได้แล้วไม่กินสัตว์ไรๆ เช่นปลาแม้เพียงรำข้าวสาร.
               การไม่กินก็ชั่งเถิดยังไม่เบียดเบียนสัตว์แม้ตัวหนึ่ง.
               การยังฝนให้ตกด้วยทำสัจจะอย่างนั้น.
               เมื่อน้ำแห้งด้วยความกล้าไม่คำนึงถึงทุกข์ที่ตนได้รับด้วยการดำลงไปในเปือกตม เมื่อหมู่ญาติทนไม่ไหว จึงทำทุกข์นั้นไว้ในใจด้วยตน ช่วยเหลือโดยทุกวิธี และการปฏิบัติด้วยประการนั้น.
               จบอรรถกถามัจฉราชจริยาที่ ๑๐               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย จริยาปิฎก การบำเพ็ญเนกขัมมบารมีเป็นต้น ๑๐. มัจฉราชจริยา จบ.
อ่านอรรถกถา 33.3 / 1อ่านอรรถกถา 33.3 / 29อรรถกถา เล่มที่ 33.3 ข้อ 30อ่านอรรถกถา 33.3 / 31อ่านอรรถกถา 33.3 / 36
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=33&A=9346&Z=9367
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=52&A=6099
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=52&A=6099
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๕  กรกฎาคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :