ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 34 / 1อ่านอรรถกถา 34 / 125อรรถกถา เล่มที่ 34 ข้อ 139อ่านอรรถกถา 34 / 149อ่านอรรถกถา 34 / 970
อรรถกถา ธรรมสังคณีปกรณ์
จิตตุปปาทกัณฑ์ กุศลธรรม รูปาวจรกุศล กสิณ ฌาน จตุกกนัย

               อรรถกถาจิตตุปปาทกัณฑ์               
               อธิบายรูปาวจรกุศล               
               บัดนี้ เพื่อจะแสดงรูปาวจรกุศล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงเริ่มคำเป็นต้นว่า กตเม ธมฺมา กุสลา (ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน?) ดังนี้.
               บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า รูปูปปตฺติยา มคฺคํ ภาเวติ (พระโยคาวจรเจริญมรรคเพื่อเข้าถึงรูปภพ) ดังนี้ ความว่า รูปภพท่านเรียกว่า รูป.
               คำว่า อุปปตฺติ (ความเข้าถึง) ได้แก่ ความบังเกิด คือความเกิด ความเกิดพร้อม.
               คำว่า มคฺโค ได้แก่ อุบาย. ก็ความหมายถ้อยคำในคำว่า มรรค นี้ ดังนี้.
               สภาวธรรมที่ชื่อว่ามรรค เพราะอรรถว่าย่อมค้นหา คือย่อมแสวงหา ย่อมให้เกิด ย่อมให้สำเร็จซึ่งความเข้าถึงนั้น. มีอธิบายว่า ความเข้าถึง ความบังเกิด ความเกิด ความเกิดพร้อมย่อมมีในรูปภพด้วยมรรคใด พระโยคาวจรย่อมเจริญมรรคนั้น ดังนี้.
               ถามว่า ก็ความเข้าถึงรูปภพด้วยมรรคนี้ได้โดยนิยมหรือ.
               ตอบว่า ไม่ใช่โดยนิยม.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเจริญสมาธิ บุคคลผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ชัด ย่อมรู้พร้อม ย่อมเห็นตามความเป็นจริง ดังนี้ เพราะว่า แม้การก้าวล่วงรูปภพโดยส่วนแห่งการแทงตลอดย่อมมีไม่ได้ ก็แต่ว่า ชื่อว่ามรรคอื่นนอกจากมรรคนี้ เพื่อความเข้าถึงรูปภพย่อมไม่มี เพราะเหตุนั้น จึงตรัสว่า พระโยคาวจรเจริญมรรคเพื่อเข้าถึงรูปภพ ดังนี้.
               อนึ่ง เมื่อว่าโดยอรรถ ธรรมดามรรคนี้เป็นเจตนาก็มี เป็นธรรมสัมปยุตด้วยเจตนาก็มี เป็นทั้ง ๒ คือเป็นทั้งเจตนา ทั้งธรรมที่สัมปยุตด้วยเจตนาก็มี.
               จริงอยู่ เจตนา ชื่อว่ามรรค ดังในประโยคนี้ว่า๑- ดูก่อนสารีบุตร เรา (ตถาคต) ย่อมรู้ทั่วถึงนรก และมรรค (เจตนา) ที่ให้สัตว์ไปสู่นรก ดังนี้.
____________________________
๑- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๑๗๐/หน้า ๑๔๘

               ธรรมที่สัมปยุตด้วยเจตนา ชื่อว่า มรรค (ทาง) ดังในประโยคนี้ว่า
                                   ธรรมเหล่านี้ คือ ศรัทธา หิริ กุศล ทาน
                         เป็นทางดำเนินของสัตบุรุษ ก็สัตบุรุษย่อมกล่าว
                         ทางนี้ว่าเป็นทางทิพย์ เพราะว่า บุคคลย่อมไปสู่
                         เทวโลกด้วยทางนี้ ดังนี้.
               เจตนาก็ดี ธรรมที่สัมปยุตด้วยเจตนาก็ดี ชื่อว่ามรรค ในพระสูตรมีสังขารูปปัตติสูตรเป็นต้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมรรค นี้เป็นปฏิปทา ดังนี้. แต่ในที่นี้ทรงประสงค์เอาธรรมที่สัมปยุตด้วยเจตนา เพราะพระบาลีว่า ฌานํ ดังนี้. แต่เพราะเจตนาสัมปยุตด้วยฌาน ย่อมเป็นเหตุให้ปฏิสนธิ ฉะนั้น เจตนาก็ดี ธรรมที่สัมปยุตด้วยเจตนาก็ดี ย่อมสมควรเหมือนกัน.
               คำว่า ภาเวติ (ย่อมเจริญ) ได้แก่ ย่อมให้เกิด คือย่อมให้บังเกิด ย่อมให้เจริญ. เนื้อความแห่งความเจริญ (ภาวนา) ในที่นี้มีเพียงนี้ก่อน. แต่ในที่อื่น ว่าด้วยความหมายแห่งอุปสรรค มีเนื้อความโดยเป็นอีกอย่างหนึ่งอย่างนี้ว่า สัมภาวนา (การยกย่อง) ปริภาวนา (การอบรม) วิภาวนา (การชี้แจง).
               บรรดาบททั้ง ๓ เหล่านั้น เนื้อความนี้ว่า ดูก่อนอุทายี สาวกทั้งหลายของเราในศาสนานี้ ย่อมยกย่องเราในอธิศีลว่า พระสมณโคตมะมีศีล ประกอบด้วยศีลขันธ์อย่างยิ่ง ดังนี้ ชื่อว่าสัมภาวนา ได้แก่เชื่อมั่น. เนื้อความนี้ว่า สมาธิอันศีลอบรมแล้วย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ปัญญาอันสมาธิอบรมแล้วย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก จิตอันปัญญาอบรมแล้วย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายโดยชอบทีเดียว ดังนี้ ชื่อว่าปริภาวนา ได้แก่การอบรม. เนื้อความนี้ว่า เชิญท่านชี้แจงรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเถิด ดังนี้ ชื่อว่าวิภาวนา ได้แก่ การชี้แจงทำเป็นข้อ.
               ส่วนปฏิทานี้ว่า ดูก่อนอุทายี ยังมีข้ออื่นอีก เราได้บอกปฏิปทาแก่สาวกทั้งหลาย โดยประการที่สาวกทั้งหลายของเราปฏิบัติตามแล้ว ชื่อว่าย่อมเจริญสติปัฏฐาน ๔ ดังนี้ ชื่อว่าสำเร็จแล้วด้วยภาวนา เพราะอรรถว่าให้เกิดคือให้เจริญ. ในที่แม้นี้ ปฏิปทานี้เท่านั้นทรงประสงค์เอาแล้ว เพราะเหตุนั้น จึงตรัสว่า ภาเวติ ได้แก่ ย่อมให้เกิด คือให้บังเกิดขึ้น ให้เจริญขึ้น ดังนี้.
               ถามว่า ก็เพราะเหตุไร ในกามาวจรกุศลนิทเทส ทรงกระทำเทศนามีธรรมเป็นประธาน แต่ในรูปาวจรนิทเทสไม่ทำเหมือนอย่างนั้น คือได้ทรงทำเทศนามีบุคคลเป็นประธาน.
               ตอบว่า เพราะจะชำระปฏิปทาให้หมดจด.
               จริงอยู่ รูปาวจรนิทเทสนี้ พระโยคาวจรพึงชำระให้หมดจดได้ด้วยปฏิปทา ๔ อย่างใดอย่างหนึ่ง เว้นจากปฏิปทาเสียจะเกิดเหมือนกามาวจรหาได้ไม่. อนึ่ง ธรรมดาปฏิปทานี้ เมื่อบุคคลผู้ปฏิบัติยังมีอยู่ จึงมีอยู่ เพราะฉะนั้น เพื่อจะแสดงเนื้อความนั้น จึงทรงทำเทศนามีบุคคลเป็นประธาน จึงตรัสว่า พระโยคาวจรเจริญมรรคเพื่อเข้าถึงรูปภพ ดังนี้.
               คำว่า วิวิจฺเจว กาเมหิ ความว่า สงัดแล้ว คือเว้นแล้ว ก้าวล่วงแล้วจากกามทั้งหลาย ก็ เอวอักษรในคำว่า วิวิจฺเจว กาเมหิ นี้ พึงทราบว่า ใช้ในอรรถว่า นิยม (แน่นอน) ก็เพราะ เอวอักษรมีอรรถว่า แน่นอน ฉะนั้น จึงทรงแสดงซึ่งความที่กามทั้งหลายแม้ไม่มีอยู่ในสมัยเป็นที่เข้าปฐมฌานอยู่นั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อปฐมฌานนั้น และแสดงถึงการบรรลุปฐมฌานนั้น โดยการสละกามได้ขาดแล้ว.
               ถามว่า อย่างไร?
               ตอบว่า ก็เมื่อบุคคลกำหนดไปอย่างนี้ว่า สงัดจากกามทั้งหลาย ดังนี้ ฌานนี้จึงปรากฏ ก็กามทั้งหลายเป็นปฏิปักษ์ต่อฌานนี้แน่ เพราะกามทั้งหลายยังมีอยู่ ฌานนี้ก็เป็นไปไม่ได้ เปรียบเหมือนเมื่อความมืดยังมีอยู่ แสงสว่างแห่งประทีปก็ยังไม่มี ฉะนั้น การบรรลุฌานนั้นได้ เพราะการสละกามเหล่านั้นนั่นแหละ เปรียบเหมือนละฝั่งนี้จึงไปถึงฝั่งโน้นได้ เพราะฉะนั้น เอวอักษรนั้น จึงทำความว่าแน่นอน ดังนี้.
               ในปฐมฌานนั้น พึงมีคำท้วงว่า ก็เพราะเหตุไร เอวอักษรนี้ท่านกล่าวไว้ในบทต้นเท่านั้น ไม่กล่าวไว้ในบทหลัง พระโยคาวจรแม้สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้วพึงเข้าฌานอยู่ได้หรือ?
               ตอบว่า ข้อนี้ไม่พึงเห็นอย่างนั้น เพราะว่า เอวอักษรนี้ท่านกล่าวไว้ในบทต้น เพราะการสลัดออกซึ่งกามนั้น ด้วยว่า ฌานนี้เป็นเครื่องสลัดออกซึ่งกามทั้งหลายนั่นแหละ เพราะเป็นเหตุก้าวล่วงกามธาตุ และเพราะเป็นปฏิปักษ์ต่อกามราคะ เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า เนกขัมมะ คือการสลัดออกจากกามทั้งหลายนี้.
               อนึ่ง เอวอักษรนี้ แม้ในบทหลังก็ควรนำมากล่าวไว้ในที่นี้เหมือนดังที่ตรัสไว้ว่า อิเธว ภิกฺขเว ปฐโม สมโณ อิธ ทุติโย สมโณ (ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณะที่หนึ่งมีในธรรมวินัยนี้เท่านั้น สมณะที่สองก็มีในธรรมวินัยนี้เหมือนกัน) ฉะนั้น. เพราะใครๆ ที่ยังไม่สละอกุศลธรรมกล่าวคือนิวรณ์แม้เหล่าอื่นจากกามนี้แล้ว ก็ไม่อาจเข้าฌานอยู่ได้ ฉะนั้น พึงใช้เอวอักษรนี้แม้ในบททั้งสองอย่างนี้ว่า วิวิจฺเจว กาเมหิ วิวิจฺเจว อกุสเลหิ ธมฺเมหิ ดังนี้. ก็ด้วยพระดำรัสที่ไม่ทั่วไปว่า วิวิจฺจ นี้ วิเวกแม้ทั้งหมดมีตทังควิเวกเป็นต้นและกายวิเวกเป็นต้น ย่อมรวมลงแม้ในบททั้งสองก็จริง ถึงอย่างนั้น ในที่นี้ พึงเห็นวิเวก ๓ เท่านั้น คือ กายวิเวก จิตตวิเวก วิขัมภนวิเวก.
               ก็ด้วยบทว่า กาเมหิ นี้ วัตถุกามทั้งหลายที่ตรัสไว้ในนิทเทสโดยนัยเป็นต้นว่า วัถถุกามเป็นไฉน? คือรูปที่น่าชอบใจ ดังนี้. และกิเลสกามทั้งหลาย ตรัสไว้ในนิทเทสนั้นนั่นแหละ ในวิภังค์อย่างนี้ว่า ฉันทะชื่อว่ากาม ราคะชื่อว่ากาม ฉันทราคะชื่อว่ากาม สังกัปปกามะชื่อว่าราคะ กามสังกัปปราคะชื่อว่ากาม ธรรมเหล่านี้เรียกว่ากาม ดังนี้ อกุศลเหล่านั้นแม้ทั้งหมด พึงเห็นว่ารวมกันในที่นี้แล. ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้อความว่า วิวิจฺเจว กาเมหิ (สงัดจากกามทั้งหลาย) จะพึงมีความหมายว่า สงัดแล้วจากวัตถุกามทั้งหลายบ้างก็สมควร. ด้วยคำว่า วิวิจฺเจว กาเมหิ นั้น ตรัสว่าเป็นกายวิเวก.
               คำว่า วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ (สงัดแล้วจากอกุศลธรรมทั้งหลาย) อธิบายว่า สงัดแล้วจากกิเลสกามทั้งหลาย หรืออกุศลธรรมทั้งหมด ดังนี้ก็สมควร. ด้วยคำว่า วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ นั้น ตรัสถึงจิตตวิเวก. ก็ในบรรดาบททั้ง ๒ เหล่านั้น บทแรกย่อมเป็นอันตรัสการสละความสุขในกาม เพราะตรัสถึงความสงัดจากวัตถุกามทั้งหลายนั่นแหละ บทที่สองตรัสอธิบายถึงการกำหนดความสุขในเนกขัมมะ เพราะตรัสถึงความสงัดจากกิเลสกามทั้งหลาย. ก็เพราะตรัสถึงความสงัดจากวัตถุกามและกิเลสกามด้วยประการฉะนี้นั่นแหละ พึงทราบความหมายว่า บรรดาคำเหล่านั้น ด้วยบทแรกตรัสการละสังกิเลสวัตถุ บทที่สองตรัสการละสังกิเลส. บทแรกตรัสสละเหตุแห่งความโลเล บทที่สองตรัสการสละเหตุความเป็นพาล ด้วยบทแรกตรัสปโยคสุทธิ บทที่สองตรัสอบรมอัธยาศัยของจิต ดังนี้ก็มี.
               ในกามตามคำว่า กาเมหิ นี้ ในฝ่ายวัตถุกามมีนัยเพียงเท่านี้ก่อน. ส่วนในฝ่ายกิเลสกาม กามฉันทะนั่นแหละมีประเภทมิใช่น้อยด้วยคำเป็นต้นอย่างนี้ คือฉันทะชื่อว่ากาม ราคะชื่อว่ากาม ท่านประสงค์เอาว่า กาม. ก็กามฉันทะนั้นแม้นับเนื่องด้วยอกุศลธรรม แต่เพราะเป็นปฏิปักษ์ต่อองค์ฌาน จึงตรัสไว้ส่วนหนึ่งในวิภังค์ โดยนัยมีอาทิว่า บรรดากามเหล่านั้น กามฉันทะเป็นไฉน?
               อีกนัยหนึ่ง กามตรัสไว้ในบทแรกเพราะเป็นกิเลสกาม ในบทที่สองตรัสไว้เพราะนับเนื่องในอกุศล. ก็เพราะกามนั้นแยกออกมิใช่น้อย จึงไม่ตรัสว่า กามโต แต่ตรัสว่า กาเมหิ ดังนี้. อนึ่ง แม้มีธรรมเหล่าอื่นที่เป็นอกุศลธรรม แต่ตรัสเฉพาะนีวรณธรรมเท่านั้น โดยทรงถือนิวรณ์เป็นข้าศึกและขัดขวางองค์ฌานเบื้องสูงไว้ในวิภังค์ โดยนัยมีอาทิว่า ในมาติกาเหล่านั้น ธรรมเป็นอกุศลเป็นไฉน? คือ กามฉันทะ ดังนี้.
               จริงอยู่ นิวรณธรรมทั้งหลายเป็นข้าศึกต่อองค์ฌาน. อธิบายว่า นิวรณ์ทั้งหลายเป็นปฏิปักษ์ เป็นตัวกำจัด เป็นตัวพิฆาตองค์ฌานเหล่านั้น. จริงอย่างนั้น ในคัมภีร์เปฏกะกล่าวไว้ว่า สมาธิเป็นปฏิปักษ์ต่อกามฉันทะ ปีติเป็นปฏิปักษ์ต่อพยาบาท วิตกเป็นปฏิปักษ์ต่อถีนมิทธะ สุขเป็นปฏิปักษ์ต่ออุทธัจจกุกกุจจะ วิจารเป็นปฏิปักษ์ต่อวิจิกิจฉา ด้วยอาการอย่างนี้ ในบททั้ง ๒ เหล่านั้น ย่อมเป็นอันตรัสวิเวกเป็นเครื่องข่มกามฉันทะด้วยบทว่า วิวิจฺเจว กาเมหิ นี้ ตรัสวิเวกเป็นเครื่องข่มนิวรณ์แม้ทั้ง ๕ ด้วยบทว่า วิวิจฺจ อกุสเลหิ นี้.
               อนึ่ง ว่าโดยนัยที่ยังมิได้อธิบาย ย่อมเป็นอันตรัสวิเวกเป็นเครื่องข่มกามฉันทะด้วยบทที่หนึ่ง (วิวิจฺจเจว กาเมหิ) ย่อมเป็นอันตรัสวิเวกเป็นเครื่องละนิวรณ์ที่เหลือด้วยบทที่สอง (วิวิจฺจ อกุสเลหิ).
               อนึ่ง ในบรรดาอกุศลมูล ๓ อย่าง ย่อมเป็นอันตรัสวิเวกเป็นเครื่องข่มโลภะอันเป็นอารมณ์แห่งกามคุณ ๕ ประเภท ด้วยบทที่หนึ่ง (วิวิจฺเจว กาเมหิ) ด้วยบทที่สอง (วิวิจฺจ อกุสเลหิ) ย่อมเป็นอันตรัสวิเวกเป็นเครื่องข่มโทสะและโมหะซึ่งเป็นอารมณ์อันต่างด้วยอาฆาตวัตถุเป็นต้น. อีกอย่างหนึ่ง บรรดาธรรมทั้งหลายมีโอฆะเป็นต้น ด้วยบทแรก (วิวิจฺเจว กาเมหิ) ย่อมเป็นอันตรัสวิเวกอันเป็นเครื่องข่มกามโอฆะ กามโยคะ กามาสวะ กามุปาทาน อภิชฌากายคัณฐะและกามราคสัญโญชน์ ด้วยบทที่สอง (วิวิจฺจ อกุสเลหิ) ย่อมเป็นอันตรัสวิเวกเป็นเครื่องข่มโอฆะ โยคะ อาสวะ อุปาทาน คัณฐะและสัญโญชน์ที่เหลือ
               อนึ่ง ด้วยบทต้น (วิวิจฺเจว กาเมหิ) ย่อมเป็นอันตรัสวิเวกเป็นเครื่องข่มตัณหาและธรรมที่สัมปยุตด้วยตัณหานั้น ด้วยบทที่สอง (วิวิจฺจ อกุสเลหิ) ย่อมเป็นอันตรัสวิเวกเป็นเครื่องข่มอวิชชา และธรรมที่สัมปยุตด้วยอวิชชานั้น.
               อีกนัยหนึ่ง ด้วยบทแรก (วิวิจฺเจว กาเมหิ) พึงทราบว่า ตรัสวิเวกเป็นเครื่องข่มจิต ๘ ดวงที่สัมปยุตด้วยโลภะ ด้วยบทที่สอง (วิวิจฺจ อกุสเลหิ) ย่อมเป็นอันตรัสวิเวกเป็นเครื่องข่มอกุศลจิต ๔ ดวงที่เหลือ. การประกาศเนื้อความในคำนี้ว่า วิวิจฺเจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ ดังนี้ เท่านี้ก่อน.

               ว่าด้วยองค์ฌาน               
               ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงองค์ที่ปฐมฌานละได้แล้ว ด้วยคำมีประมาณเท่านี้ บัดนี้ เพื่อแสดงสัมปโยคธรรม จึงตรัสคำเป็นต้นว่า สวิตกฺกํ สวิจารํ ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น ฌานตรัสเรียกว่า สวิตก สวิจาร เพราะความเป็นไปร่วมกับวิตกและวิจาร ชื่อว่าถึงความเป็นรูปาวาจร เพราะสัมปโยคะด้วยอัปปนา โดยการจำแนกลักษณะเป็นต้น ตามที่กล่าวในหนหลัง ดุจต้นไม้ที่มีดอกและผล ฉะนั้น. แต่ในวิภังค์ท่านทำเทศนาเป็นปุคคลาธิฏฐาน โดยนัยมีอาทิว่า พระโยคาวจรเป็นผู้เข้าถึงแล้ว เข้าถึงพร้อมแล้วด้วยวิตกนี้ ด้วยวิจารนี้. ส่วนเนื้อความในวิภังค์แม้นั้น พึงเห็นตามที่กล่าวแล้วนั่นแหละ.
               พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า วิเวกชํ นี้ ความสงัดท่านเรียกว่า วิเวก. อธิบายว่า ปราศจากนิวรณ์. อีกนัยหนึ่ง ชื่อว่า วิเวก เพราะสงัดแล้ว. อธิบายว่า กองธรรมที่สัมปยุตด้วยฌานสงัดจากนีวรณ์. ปีติและสุข ชื่อว่าวิเวกชะ (เกิดแต่วิเวก) เพราะอรรถว่าเกิดแต่วิเวกนั้น หรือเกิดในวิเวกนั้น.
               พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า ปีติ สุขํ นี้ ความว่า ปีติและความสุขเป็นคำที่ข้าพเจ้าอธิบายไว้ในหนหลังแล้วนั่นแหละ. บรรดาปีติและสุขเหล่านั้น ปีติ ๕ อย่าง มีประการตามที่กล่าวแล้ว ผรณาปีติเป็นมูลรากแห่งอัปปนาสมาธิ เจริญขึ้นถึงความเป็นองค์ประกอบของสมาธิ ท่านประสงค์เอาว่า ปีติในอรรถนี้ ปีตินี้และสุขนี้มีอยู่แก่ฌานนี้ หรือในฌานนี้ เพราะฉะนั้น ฌานนี้ ท่านจึงเรียกว่า มีปีติและสุข ดังนี้.
               อีกอย่างหนึ่ง ปีติและสุข ชื่อว่าปีติและสุข เหมือนศัพท์ว่าธรรมและวินัย ชื่อว่าธรรมวินัยเป็นต้น. ปีติและสุขเกิดแต่วิเวกมีอยู่แก่ฌานนี้หรือในฌานนี้ เพราะเหตุนั้น ฌานนี้จึงชื่อว่ามีปีติและสุข อันเกิดแต่วิเวก แม้ดังพรรณนามาฉะนี้. เหมือนอย่างว่า ฌานมีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกฉันใด ปีติและสุขในฌานนี้ ก็เกิดแต่วิเวกฉันนั้นเหมือนกัน.
               อนึ่ง ปีติและสุขนั้นมีอยู่แก่ฌานนี้ เพราะฉะนั้น ท่านกล่าวว่าปีติและสุขเกิดแต่วิเวกด้วยบทเดียวเท่านั้น ก็สมควร. แต่ในวิภังค์ ท่านกล่าวไว้โดยนัยเป็นต้นว่า สุขนี้สหรคตด้วยปีตินี้ ดังนี้ ส่วนความหมายพึงเห็นตามนัยวิภังค์นั้นนั่นแล.
               พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า ปฐมชฺฌานํ นี้ ต่อไป
               ฌานที่ชื่อว่าที่หนึ่ง เพราะนับตามลำดับ. ชื่อว่าที่หนึ่ง เพราะเกิดขึ้นก่อนดังนี้ก็มี. ชื่อว่าที่หนึ่ง เพราะพระโยคาวจร พึงเข้าก่อนดังนี้ก็มี. การกำหนดแม้นี้มิใช่แน่นอน เพราะพระโยคาวจรผู้ได้สมาบัติ ๘ มีวสีประพฤติมาแล้ว ย่อมสามารถเพื่อจะเข้าฌานตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุดก็ได้ สามารถเข้าฌาน กระทำตั้งแต่ที่สุดลงมาถึงเบื้องต้นก็ได้ สามารถเข้าฌานหนึ่งภายในระหว่างก็ได้ ก็ฌานนั้นชื่อว่าที่หนึ่ง เพราะอรรถว่าเกิดขึ้นก่อน ด้วยประการฉะนี้.
               บทว่า ฌานํ ได้แก่ ฌาน ๒ อย่าง คือ อารัมมณูปนิชฌานและลักขณูปนิชฌาน. บรรดาฌานทั้ง ๒ นั้น สมาบัติ ๘ ย่อมเข้าไปเพ่งอารมณ์มีปฐวีกสิณเป็นต้น เพราะเหตุนั้น ฌานนั้นจึงถึงการนับว่าเป็นอารัมมณูปนิชฌาน. ส่วนวิปัสสนา มรรคและผล ชื่อว่าลักขณูปนิชฌาน. บรรดาวิปัสสนามรรคผลเหล่านั้น วิปัสสนาชื่อว่าลักขณูปนิชฌาน เพราะการเข้าไปเพ่งลักษณะมีอนิจจลักษณะเป็นต้น. มรรคชื่อว่าลักขณูปนิชฌาน เพราะกิจที่วิปัสสนาทำแล้วสำเร็จด้วยมรรค. ส่วนผลชื่อว่าลักขณูปนิชฌาน เพราะเข้าไปเพ่งลักษณะอันเป็นความจริง คือนิโรธสัจจะ บรรดาอารัมมณูปนิชฌานและลักขณูปนิชฌานทั้ง ๒ นั้น ในที่นี้ท่านประสงค์เอาอารัมมณูปนิชฌาน เพราะฉะนั้น ฌานนั้น พึงทราบว่า ชื่อว่าฌาน เพราะเข้าไปเพ่งอารมณ์ หรือเพราะเป็นเครื่องเผาธรรมที่เป็นข้าศึก ดังนี้.
               บทว่า อุปสมฺปชฺช ได้แก่ เข้าถึงแล้ว คือบรรลุแล้ว. อีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า ให้เข้าถึงแล้ว หรือให้สำเร็จแล้ว. แต่ในวิภังค์กล่าวว่า บทว่า อุปสมฺปชฺช ได้แก่ การได้ การได้เฉพาะ การบรรลุ การบรรลุพร้อม การถูกต้อง การทำให้แจ้ง การเข้าถึงปฐมฌาน ดังนี้. ความหมายแม้แห่งฌานนั้นพึงเห็นเหมือนในวิภังค์นั้นนั่นแหละ.
               บทว่า วิหรติ ได้แก่ ความพรั่งพร้อมแห่งฌานมีประการตามที่กล่าวแล้วว่า โดยการอยู่แห่งอิริยาบถอันสมควรแก่ฌานนั้น ย่อมให้สำเร็จ การเคลื่อนไหว การเป็นไป การรักษา การดำเนินไป การให้ดำเนินไป การเที่ยวไป การอยู่แห่งอัตภาพ. สมจริงดังที่ตรัสไว้ในวิภังค์ว่า บทว่า วิหรติ ได้แก่ ย่อมเคลื่อนไหว ย่อมเป็นไป ย่อมคุ้มครอง ย่อมดำเนินไป ย่อมให้ดำเนินไป ย่อมเที่ยวไป ย่อมอยู่ เพราะเหตุนั้น จึงตรัสว่า วิหรติ ดังนี้.

               ว่าด้วยปฐวีกสิณ               
               พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า ปฐวีกสิณํ นี้ ต่อไป.
               แม้ปฐวีมณฑล (วงกลมแห่งพื้นดิน) ท่านก็เรียกว่า ปฐวีกสิณ เพราะอรรถว่าเป็นวัตถุสำหรับเพ่ง. แม้นิมิตที่ได้แล้วเพราะอาศัยปฐวีกสิณนั้นก็ชื่อว่าปฐวีกสิณ. แม้ฌานที่ได้เฉพาะแล้วในนิมิต ก็ชื่อว่าปฐวีกสิณ. บรรดาความหมายเหล่านั้น ฌาน พึงทราบว่าเป็นปฐวีกสิณ ในความหมายนี้. ก็ในความหมายว่า พระโยคาวจรเข้าฌานกล่าวคือปฐวีกสิณอยู่ ดังนี้ มีเนื้อความย่อดังนี้
               ก็กุลบุตรผู้ใคร่บรรลุพระอรหัตกระทำบริกรรมในปฐวีกสิณนี้ ยังฌานหมวด ๔ ฌานหมวด ๕ ให้เกิดขึ้นแล้ว เจริญวิปัสสนามีฌานเป็นปทัฏฐาน พึงทำอย่างไร?
               เบื้องต้น ควรชำระศีล ๔ คือ ปาฏิโมกขสังวรศีล อินทริยสังวรศีล อาชีวปาริสุทธิศีล ปัจจยสันนิสสิตศีลให้หมดจดก่อน เมื่อดำรงอยู่ในศีลดีแล้วก็ตัดปลิโพธที่มีอยู่ในปลิโพธ ๑๐ ประการที่มีอยู่ มีอาวาสปลิโพธเป็นต้นนั้น แล้วเข้าไปหากัลยาณมิตรผู้ให้กรรมฐาน ใคร่ครวญกรรมฐานที่สมควรแก่จริตของตนในบรรดากรรมฐาน ๓๘ ประการ ที่มีมาในพระบาลี ถ้าปฐวีกสิณนี้สมควรแก่จริตของตนก็พึงถือเอากรรมฐานนี้เท่านั้น ละวิหารที่ไม่สมควรแก่การเจริญฌาน อยู่ในวิหารที่เหมาะสม ตัดความกังวลเล็กๆ น้อยๆ รักษาบริกรรมและนิมิตกสิณ เว้นอสัปปาย ๗ แห่ง เสพเสนาสนสัปปายะ ๗ แห่ง พึงทำภาวนาวิธีทั้งหมดอันมีอัปปนาโกศล ๑๐ อย่าง ไม่ให้ตกหล่น พึงปฏิบัติเพื่อบรรลุฌาน เนื้อความสังเขปมีเพียงนี้. ส่วนความพิสดาร พึงทราบโดยนัยที่กล่าวไว้ในวิสุทธิมรรค.
               อนึ่ง ในกสิณแม้อื่นจากนี้ ก็พึงทราบเหมือนในปฐวีกสิณนี้.
               จริงอยู่ วิธีทั้งหมดแห่งกรรมฐานทั้งปวงแห่งวิธีการเจริญภาวนา ข้าพเจ้าถือเอาโดยนัยแห่งอรรถกถาแล้วขยายให้พิสดารในวิสุทธิมรรคแล้ว จะมีประโยชน์อะไรด้วยวิธีการเจริญกรรมฐานนั้นในวิธีการที่จะกล่าวซ้ำอีกในที่นั้นๆ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจักไม่ขยายความอีก. แต่ว่า ข้าพเจ้าจักไม่ทำเนื้อความที่มาในพระบาลีในหนหลัง ให้ตกหล่นจะพรรณนาตามลำดับบทติดต่อกันไป.
               บทว่า ตสฺมึ สมเย ความว่า ในสมัยที่เข้าปฐมฌานอยู่นั้น ธรรม ๕๖ ตามลำดับมีประการตามที่กล่าวในกามาวจรกุศลจิตดวงที่หนึ่งเหล่านี้ คือผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ ย่อมมี ก็ความแปลกกันในปฐมฌานนี้มีอย่างเดียว คือ ธรรม ๕๖ เหล่านั้นเป็นกามาพจร ธรรม ๕๖ ที่กล่าวนี้เป็นมหัคคตะ เป็นรูปาวจร ธรรมที่เหลือนอกจากนี้เป็นเช่นเดียวกันทั้งนั้น ส่วนเยวาปนกธรรมและธรรม ๔ อย่างมีฉันทะเป็นต้น ย่อมหาได้ในฌานนี้. โกฏฐาสวาระและสุญญตวาระ ย่อมเป็นไปตามปกตินั่นแหละ ดังนี้แล.
               ปฐมฌานจบ.               

               อธิบายทุติยฌาน               
               พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสแห่งทุติยฌาน ต่อไป
               บทว่า วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา (เพราะวิตกวิจารสงบ) ความว่า ความสงบ คือเพราะความก้าวล่วงธรรมทั้ง ๒ เหล่านี้ คือวิตกและวิจาร. มีอธิบายว่า เพราะความที่วิตกและวิจารไม่ปรากฏในฌานที่ ๒ ในบรรดาฌานทั้ง ๒ นั้น ธรรมที่เป็นปฐมฌานแม้ทั้งหมด ย่อมไม่มีในทุติยฌานแม้โดยแท้ เพราะว่า ธรรมทั้งหลายมีผัสสะเป็นต้นในปฐมฌานก็อย่างหนึ่ง ในทุติยฌานนี้ก็อย่างหนึ่งก็จริง ถึงอย่างนั้น ก็พึงทราบว่า คำที่ตรัสอย่างนี้ว่า เพราะวิตกและวิจารสงบ เพื่อแสดงว่า การบรรลุทุติยฌานเป็นต้นเป็นอย่างอื่นจากปฐมฌานย่อมมีเพราะก้าวล่วงองค์หยาบๆ.
               ในบทว่า อชฺฌตฺตํ (ภายใน) นี้ ท่านประสงค์เอาภายในเป็นของตนเอง แต่ในวิภังค์ตรัสคำมีประมาณเท่านี้ว่าเฉพาะตัว ชื่อว่าอัชฌัตตะ ก็เพราะบทว่า อชฺฌตฺตํ นี้ ท่านประสงค์เอาบทว่า นิยกชฺฌตฺตํ ฉะนั้นในบทว่า อชฺฌตฺตํ นี้ จึงมีอธิบายว่า เกิดในภายในของตน หรือเกิดในสันดานของตน.
               ศรัทธา เรียกว่าความผ่องใสในบทว่า สมฺปสาทนํ นี้. แม้ฌานก็เรียกว่าความผ่องใส เพราะประกอบด้วยความผ่องใส เหมือนผ้า ชื่อว่าผ้าเขียว เพราะประกอบด้วยสีเขียว. อีกอย่างหนึ่ง เพราะฌานนั้นยังจิตให้แจ่มใส เพราะประกอบด้วยความผ่องใส และเพราะความสงบความกำเริบวิตก และวิจารฉะนั้น จึงตรัสว่า สมฺปสาทนํ (ความผ่องใส). ก็ในการกำหนดเนื้อความนี้พึงทราบความสัมพันธ์แห่งบทอย่างนี้ว่า สมฺปสาทนํ เจตโส. แต่ในการกำหนดเนื้อความบทแรก บทว่า เจตโส นี้ พึงประกอบกับบท เอโกทิภาวํ. ในบทนั้นมีการประกอบเนื้อความดังต่อไปนี้.
               สมาธิใด ย่อมผุดขึ้นเป็นเอก เพราะเหตุนั้น สมาธินั้น จึงชื่อว่า เอโกทิ.
               อธิบายว่า สมาธินั้นเป็นภาวะที่เลิศประเสริฐผุดขึ้น เพราะวิตกและวิจารไม่เจริญ (เกิด) ขึ้นในภายใน.
               จริงอยู่ แม้บุคคลผู้ประเสริฐที่สุด เขาก็เรียกว่าเป็นเอกในโลก ดังนี้. อีกอย่างหนึ่ง แม้จะกล่าวว่าสมาธิที่เว้นวิตกและวิจารเป็นเอกไม่มีสหายผุดขึ้น ดังนี้ก็ควร. อีกนัยหนึ่ง สมาธิใดย่อมยังสัมปยุตตธรรมให้ผุดขึ้น เพราะเหตุนั้น สมาธินั้นจึงชื่อว่า อุทิ คือย่อมให้สัมปยุตตธรรมตั้งขึ้น สมาธินั้นเป็นเอกเพราะอรรถว่าประเสริฐด้วย และยังสัมปยุตตธรรมให้ผุดขึ้นด้วย เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า เอโกทิ.
               คำว่า เอโกทิ นี้ เป็นชื่อของสมาธิ. ทุติยฌานใดย่อมยังสมาธิชื่อว่า เอโกทินี้ให้เกิดให้เจริญ เพราะเหตุนั้น ทุติยฌานนี้จึงชื่อว่า เอโกทิภาวะ ก็เพราะสมาธินี้นั้นเป็นเอกเป็นสภาวะที่ยังสัมปยุตตธรรมให้ผุดขึ้นย่อมมีแก่จิต มิใช่มีแก่สัตว์ มิใช่มีแก่ชีวะ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำนี้ว่า เจตโส เอโกทิภาวํ ดังนี้.
               ถามว่า ศรัทธานี้ และสมาธิมีชื่อว่า เอโกทิ นี้ มีอยู่แม้ในปฐมฌาน มิใช่หรือ เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร ทุติยฌานนี้นั่นแหละ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เป็นเครื่องผ่องใส และเป็นเอโกทิภาวะอีกเล่า.
               ตอบว่า เพราะว่า ปฐมฌานนั้นยังไม่ผ่องใสแท้เพราะกำเริบด้วยวิตกและวิจาร เหมือนน้ำที่ขุ่นเพราะระลอกคลื่น ฉะนั้น แม้เมื่อศรัทธามีอยู่ ก็ไม่ตรัสว่า สมฺปสาทนํ (ความผ่องใส) อนึ่ง แม้สมาธิในปฐมฌานนี้ก็ยังไม่ปรากฏ เพราะยังไม่ผ่องใสแท้นั่นแหละ ฉะนั้น ปฐมฌานนั้นจึงไม่ตรัสว่า เอโกทิภาวะ แต่ในทุติยฌานนี้ ศรัทธามีกำลังได้โอกาส เพราะไม่มีวิตกและวิจารเป็นปลิโพธ (กังวลใจ) แม้สมาธิก็ปรากฏเพราะการได้ศรัทธาเป็นกำลังและเป็นสหาย ฉะนั้น ทุติยฌานนี้เท่านั้นพึงทราบว่า ตรัสไว้อย่างนั้น.
               ส่วนในวิภังค์ ตรัสไว้เพียงเท่านี้ว่า บทว่า สมฺปสาทนํ (ผ่องใส) ได้แก่ ศรัทธา (ความเชื่อ) กิริยาที่เชื่อ ความปลงใจเชื่อ ความเลื่อมใสยิ่ง. คำว่า เจตโส เอโกทิภาวํ (ธรรมเอกผุดขึ้นแก่ใจ) ได้แก่ ความตั้งอยู่ การตั้งมั่นแห่งจิต ฯลฯ สัมมาสมาธิดังนี้. พึงทราบการพรรณนาเนื้อความนี้กับพระดำรัสที่ตรัสไว้อย่างนั้น ย่อมไม่ผิด เทียบเคียงกันอยู่ ย่อมลงกันได้ ฉะนั้น.
               บทว่า อวิตกฺกํ อวิจารํ (ไม่มีวิตกไม่มีวิจาร) มีวิเคราะห์ว่า ชื่อว่าอวิตก (ไม่มีวิตก) เพราะอรรถว่า วิตกในทุติยฌานนี้หรือของทุติยฌานนี้ ไม่มี เพราะความที่วิตกนั้นละได้แล้วด้วยภาวนา. ชื่อว่า อวิจาร (ไม่มีวิจาร) โดยนัยนี้เหมือนกัน. แม้ในวิภังค์ก็ตรัสไว้ว่า วิตกนี้และวิจารนี้ ย่อมสงบระงับ เข้าไประงับ ดับไป ดับไปอย่างราบคาบ ถูกทำให้พินาศไป ให้ละลายไป ถูกทำให้แห้งไป ถูกทำให้ผากไป ถูกทำให้สิ้นสุด ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่าไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร ด้วยประการฉะนี้.
               ในข้อนี้หากมีผู้ท้วงแม้ด้วยคำนี้ว่า เพราะการเข้าไปสงบวิตกและวิจารดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสก็สมบูรณ์แล้วมิใช่หรือ เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร จึงตรัสว่า ไม่มีวิตกไม่มีวิจารอีกเล่า.
               ตอบว่า ได้ความหมายนี้สำเร็จแล้วอย่างนั้นนั่นแหละ แต่คำว่าไม่มีวิตกไม่มีวิจารนี้เป็นคำที่แสดงความข้อนั้นก็หาไม่ ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วมิใช่หรือว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้อย่างนี้ว่า วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา ดังนี้ เพื่อแสดงว่า การบรรลุทุติยฌานเป็นต้นเป็นอย่างหนึ่งจากปฐมฌาน ย่อมมีได้เพราะก้าวล่วงองค์หยาบๆ ดังนี้.
               อีกอย่างหนึ่ง คำนี้เป็นเหตุแสดงเหตุแห่งภาวะสัมปสาทนะและเอโกทิอย่างนี้ว่า ทุติยฌานนี้ ชื่อว่าสัมปสาทนะ เพราะสงบวิตกและวิจาร มิใช่เข้าไปสงบกิเลสที่กำเริบตามกาล ฌานนั้น ชื่อว่าเอโกทิภาวะสงบวิตกและวิจาร มิใช่ละนิวรณ์ได้เหมือนอุปจารฌาน มิใช่องค์ฌานปรากฏเหมือนปฐมฌาน.
               อนึ่ง ทุติยฌานนี้ ชื่อว่าอวิตักกะอวิจาร เพราะเข้าไปสงบวิตกและวิจาร มิใช่เพราะไม่มีเองเหมือนตติยฌานและจตุตถฌาน และเหมือนจักขุวิญญาณเป็นต้น เพราะฉะนั้น คำว่า ไม่มีวิตกไม่มีวิจารนี้ เป็นคำแสดงเหตุแห่งความที่ทุติยฌานนั้นเป็นธรรมชาติไม่มีวิตกไม่มีวิจาร มิใช่เป็นคำแสดงเพียงความไม่มีวิตกไม่มีวิจาร. ส่วนคำว่า อวิตกฺกํ อวิจารํ นี้ เป็นคำแสดงเพียงสักว่าความไม่มีวิตกและวิจารเท่านั้น เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสอวิตักกะอวิจารแล้ว ก็พึงตรัสอีกโดยแท้.
               บทว่า สมาธิชํ (เกิดแต่สมาธิ) ความว่า เกิดแต่สมาธิในปฐมฌานหรือแต่สมาธิที่สัมปยุตกัน. บรรดาสมาธิทั้ง ๒ นั้นแม้ฌานที่หนึ่งเกิดแต่สมาธิที่สัมปยุตกันก็จริง แต่ที่แท้ สมาธินี้เท่านั้น ย่อมควรกล่าวคำว่า สมาธิ เพราะเป็นสมาธิที่ไม่หวั่นไหวเกินไป โดยเป็นการเว้นจากการกำเริบของวิตกและวิจาร และเพราะเป็นเหตุให้สมาธิผ่องใสดี ฉะนั้น เพื่อกล่าวยกย่องทุติยฌานนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสคำว่า สมาธิชํ นี้ทีเดียว. คำว่า ปีติ สุขํ นี้ มีนัยตามที่กล่าวมาแล้ว. คำว่า ทุติยํ นี้ ชื่อว่าที่สองโดยลำดับแห่งการนับ. ที่ชื่อว่าที่สอง เพราะอรรถว่าย่อมบรรลุฌานที่สองนี้ ดังนี้ก็ได้.
               ในคำว่า ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ เป็นต้น พึงทราบการลดบทวิตกและวิจารในฌานหมวด ๕ พึงทราบการลดบทสัมมาสังกัปปะในหมวด ๕ แห่งมรรค. พึงทราบวินิจฉัยบทที่มีการจำแนกและไม่มีการจำแนกด้วยสามารถแห่งหมวด ๕ แห่งฌานและหมวด ๕ แห่งมรรคเหล่านั้น. แม้ในโกฏฐาสวาระ ก็มีพระบาลีมาว่า ฌานประกอบด้วยองค์ ๓ มรรคประกอบด้วยองค์ ๔ ดังนี้. คำที่เหลือนอกจากนี้เป็นเช่นกับปฐมฌานนั่นแล.
               ทุติยฌานจบ.               

               อธิบายตติยฌาน               
               พึงทราบวินิจฉัยในตติยฌานนิทเทส ต่อไป.
               บทว่า ปีติยา จ วิราคา (เพราะคลายปีติ) ความว่า ความรังเกียจหรือความก้าวล่วงปีติมีประการตามที่กล่าวแล้ว ชื่อว่าวิราคะ (ความคลายราคะ) ก็ ศัพท์ในระหว่างศัพท์ทั้งสองมีอรรถว่า ประมวลมา คือย่อมประมวลมาซึ่งความสงบ หรือย่อมประมวลมาซึ่งความสงบวิตกและวิจาร. ในการประมวลมาทั้ง ๒ นั้น ในกาลใด ศัพท์ย่อมประมวลซึ่งความสงบเท่านั้น ในกาลนั้น พึงทราบการประกอบความอย่างนี้ว่า เพราะคลายปีติ และเพราะความสงบยิ่งขึ้นไปเล็กน้อย.
               เนื้อความที่ประกอบนี้ พึงเห็นว่า วิราคะ (ความคลายราคะ) มีอรรถว่ารังเกียจ. แต่ว่า ในกาลใด จ ศัพท์ย่อมประมวลมาซึ่งความสงบวิตกและวิจาร ในกาลนั้น พึงทราบการประกอบเนื้อความอย่างนี้ว่า เพราะคลายปีติและเพราะความสงบวิตกและวิจารยิ่งขึ้นเล็กน้อย. ก็ว่าด้วยการประกอบเนื้อความนี้ วิราคะ (ความคลายราคะ) มีอรรถว่าก้าวล่วง เพราะฉะนั้น พึงเห็นเนื้อความนี้ว่า เพราะการก้าวล่วงปีติ และเพราะสงบวิตกและวิจารดังนี้. ก็วิตกและวิจารเหล่านี้สงบแล้วในทุติยฌานก็จริง ถึงอย่างนั้น ท่านก็กล่าวคำว่า เพราะความสงบวิตกและวิจารนี้ไว้เพื่ออธิบายแนวทางของฌานนี้ และเพื่อจะกล่าวชมฌานนี้.
               จริงอยู่ เมื่อกล่าวคำว่า วิตกฺกวิจารานํ วูปสมา ดังนี้ ตติยฌานนี้ย่อมปรากฏชัดว่า ความเข้าไปสงบวิตกและวิจาร เป็นอุบายเครื่องบรรลุฌานนี้แน่แท้. เหมือนอย่างว่าการละท่านกล่าวไว้ในอริยมรรคที่ ๓ อย่างนี้ว่า เพราะละสัญโญชน์เบื้องต่ำ ๕ มีสักกายทิฏฐิเป็นต้น แม้ที่ยังมิได้ละดังนี้ ย่อมเป็นการกล่าวถึงคุณความดี เพื่อให้เกิดการอุตสาหะแก่บุคคลผู้ขวนขวายเพื่อบรรลุมรรคนั้น ฉันใด การสงบวิตกและวิจาร แม้ที่ยังไม่สงบตามที่ตรัสไว้ในตติยฌานนี้ ย่อมเป็นการกล่าวชมเชยคุณฉันนั้น เพราะเหตุนั้น จึงตรัสเนื้อความนี้ว่า เพราะก้าวล่วงปีติ และเพราะความสงบวิตกและวิจารทั้งหลาย ดังนี้.
               ในคำว่า อุเปกฺขโก จ วิหรติ นี้ มีวิเคราะห์ว่า ธรรมที่ชื่อว่าอุเบกขา เพราะอรรถว่าย่อมเห็นโดยความเกิดขึ้น. อธิบายว่า ย่อมเห็นเสมอ คือเห็นอยู่โดยไม่ตกไปเป็นฝ่ายไหน. พระโยคาวจรผู้พรั่งพร้อมด้วยตติยฌาน ตรัสเรียกว่า อุเปกฺขโก (ผู้เข้าไปเพ่ง) เพราะประกอบด้วยอุเบกขาอันบริสุทธิ์ไพบูลย์มีกำลังนั้น.

               ว่าด้วยอุเบกขา ๑๐ อย่าง               
               ก็อุเบกขามี ๑๐ อย่าง คือ
                         ฉฬังคูเบกขา (อุเบกขาของพระขีณาสพคือตัตรมัชฌัตตตา)
                         พรหมวิหารูเบกขา (อุเบกขาในพรหมวิหารคือตัตรมัชฌัตตตา)
                         โพชฌังคูเบกขา (อุเบกขาในสัมโพชฌงค์คือตัตรมัชฌัตตตา)
                         วิริยูเบกขา (อุเบกขาคือความเพียร)
                         สังขารูเบกขา (อุเบกขาในฌานและวิปัสสนาคือปัญญา)
                         เวทนูเบกขา (อุเบกขาเวทนา)
                         วิปัสสนูเบกขา (อุเบกขาในวิปัสสนาคือปัญญา)
                         ตัตรมัชฌัตตูเบกขา (ตัตรมัชฌัตตเจตสิก)
                         ฌานูเบกขา (อุเบกขาในฌานคือตัตรมัชฌัตตตา)
                         ปาริสุทธิอุเบกขา (อุเบกขาทำสติให้บริสุทธิ์คือตัตรมัชฌัตตตา).
               บรรดาอุเบกขา ๑๐ เหล่านั้น อุเบกขาใดเป็นธรรมบริสุทธิ์เป็นปกติ ในคลองแห่งอารมณ์ ๖ ที่น่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนาในทวาร ๖ ของพระขีณาสพเป็นอาการมีอยู่ที่มาในพระบาลีอย่างนี้ว่า ภิกษุผู้เป็นขีณาสพในธรรมวินัยนี้เห็นรูป ด้วยจักษุแล้วไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มีสติ มีความรู้สึกตัว วางเฉยอยู่เทียว ย่อมอยู่ ดังนี้ อุเบกขานี้ชื่อว่าฉฬังคูเบกขา.
               ก็อุเบกขาใดมีอาการเป็นกลางในสัตว์ทั้งหลาย มีมาในพระบาลีอย่างนี้ว่า ภิกษุมีใจประกอบด้วยอุเบกขา แผ่ไปสู่ทิศหนึ่งอยู่ ดังนี้ อุเบกขานี้ชื่อว่าอุเบกขาในพรหมวิหาร.
               อุเบกขาใดมีความเป็นกลางในสหชาตธรรมทั้งหลาย ที่มาในพระบาลีว่า ภิกษุเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์อาศัยวิเวก ดังนี้ อุเบกขานี้ชื่อว่าอุเบกขาสัมโพชฌงค์.
               อุเบกขาใด กล่าวคือความเพียรที่ไม่หย่อนไม่ยิ่งของความเพียรเกินไป มาในพระบาลีอย่างนี้ว่า ภิกษุมนสิการนิมิตอุเบกขาตลอดกาล ดังนี้ อุเบกขานี้ชื่อว่าวิริยูเบกขา.
               อุเบกขาใด มีอาการเป็นกลาง มีการกำหนดพิจารณานีวรณ์เป็นต้น มีมาในพระบาลีอย่างนี้ว่า สังขารูเบกขาเท่าไร ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจสมาธิ สังขารูเบกขาเท่าไร ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจวิปัสสนา สังขารูเบกขา ๘ อย่าง ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจสมาธิ สังขารูเบกขา ๑๐ อย่าง ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจวิปัสสนา ดังนี้ อุเบกขานี้ ชื่อว่าสังขารูเบกขา.
               อุเบกขาใดที่หมายรู้ในความไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่สุข ที่มาในพระบาลีอย่างนี้ว่า กามาวจรกุศลจิตย่อมเกิดขึ้นในสมัยนั้น ดังนี้ อุเบกขานี้ชื่อว่าเวทนูเบกขา.
               อุเบกขาใดมีความเป็นกลางในการค้นหาพิจารณา ที่มาในพระบาลีอย่างนี้ว่า สิ่งใดมีอยู่เป็นแล้ว ย่อมละสิ่งนั้นเสีย ภิกษุย่อมได้เฉพาะซึ่งอุเบกขา ดังนี้ อุเบกขานี้ชื่อว่าวิปัสสนูเบกขา.
               อุเบกขาใดยังสหชาตธรรมให้เป็นไปสม่ำเสมอ ที่มาในเยวาปนกธรรมทั้งหลายมีฉันทะเป็นต้น อุเบกขานี้ชื่อว่าตัตรมัชฌัตตูเบกขา.
               อุเบกขาใดเป็นชาติตกไปในความสุขแห่งฌานนั้น แม้เป็นสุขอันเลิศ ที่มาในพระบาลีอย่างนี้ว่า เป็นผู้เพ่งอยู่ดังนี้ ชื่อว่าฌานูเบกขา.
               อุเบกขาใดบริสุทธิ์จากปัจจนิกธรรมทั้งปวง ไม่ต้องขวนขวายแม้ในการสงบปัจจนิกธรรม ที่มีมาในพระบาลีอย่างนี้ว่า ฌานที่ ๔ มีสติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขา ดังนี้ อุเบกขานี้ชื่อว่าปาริสุทธิอุเบกขา.
               บรรดาอุเบกขาทั้ง ๑๐ เหล่านั้น ฉฬังคูเบกขา พรหมวิหารูเบกขา โพชฌังคูเบกขา ตัตรมัชฌัตตูเบกขา ฌานูเบกขา ปาริสุทธิอุเบกขา โดยอรรถเป็นอย่างเดียวกัน คือเป็นตัตรมัชฌัตตูเบกขา. แต่ว่าความแตกต่างกันแห่งอุเบกขาตามที่กล่าวมานั้น เพราะแยกประเภทนั้นๆ ไว้ ดุจความแตกต่างกันแห่งคนแม้คนเดียว คือโดยเป็นเด็ก เป็นหนุ่ม เป็นผู้ใหญ่ เป็นเสนาบดีและเป็นพระราชาเป็นต้น เพราะฉะนั้น บรรดาฉฬังคูเบกขาเป็นต้นเหล่านั้น ในที่ใดไม่มีฉฬังคูเบกขา พึงทราบว่าในที่นั้นมีโพชฌังคูเบกขาเป็นต้น หรือว่าในที่ใดไม่มีโพชฌังคูเบกขา พึงทราบว่า ในที่นั้นมีฉฬังคูเบกขาเป็นต้น.
               อนึ่ง อุเบกขา ๖ เหล่านั้น ว่าโดยอรรถมีภาวะเป็นอันเดียวกัน ฉันใด แม้สังขารูเบกขาและวิปัสสนูเบกขาก็เป็นภาวะอันเดียวกัน ฉันนั้น. ก็สังขารูเบกขาและวิปัสสนูเบกขานั้นคือปัญญานั่นเอง แต่แยกเป็น ๒ ด้วยสามารถแห่งกิจ. เหมือนอย่างว่า เมื่อบุรุษถือไม้มีสัณฐานเหมือนเท้าแพะแสวงหางูซึ่งเข้าไปสู่บ้านในเวลาเย็น เห็นงูนั้นนอนในที่หลบซ่อนในกองสิ่งของก็มองดูอยู่ด้วยสงสัยว่า ใช่งูหรือไม่หนอ เห็นเครื่องหมายดอกจันทน์ก็หมดความสงสัย จึงเป็นผู้วางเฉยในการที่จะวินิจฉัยว่าเป็นงูหรือมิใช่ ฉันใด
               เมื่อพระโยคาวจรผู้ปรารภวิปัสสนาเห็นไตรลักษณ์ด้วยวิปัสสนาญาณแล้ว ความเป็นผู้วางเฉย ในการที่จะพิจารณาสังขารทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้นย่อมเกิดขึ้น ฉันนั้น ความเป็นผู้วางเฉย (มัชฌัตตตา) นี้ ชื่อว่าวิปัสสนาอุเบกขา.
               เหมือนอย่างว่า เมื่อบุรุษนั้นเอาไม้มีสัณฐานเหมือนเท้าแพะกดคองูแล้วแสวงหาอาการที่จะปลอดภัยว่า โดยวิธีใด เราจะจับงูนี้ไม่ลำบาก และโดยอุบายอย่างไร เราจึงจะไม่ให้งูกัดเราได้ ดังนี้ การวางเฉย (มัชฌัตตตา) ในการจับจึงมี ฉันใด เมื่อพระโยคาวจรเห็นภพทั้ง ๓ ดุจไฟติดทั่วแล้ว เพราะเห็นไตรลักษณ์ ก็มีความวางเฉย (มัชฌัตตตา) ในการยึดถือสังขารฉันนั้นเหมือนกัน มัชฌัตตตานี้ ชื่อว่า สังขารูเบกขา. ด้วยประการตามที่กล่าวมานี้ แม้สังขารูเบกขาจะสำเร็จได้ก็เพราะวิปัสสนูเบกขาสำเร็จแล้วโดยแท้.
               ก็อุเบกขา (คือปัญญา) นี้แยกออกเป็น ๒ อย่างโดยกิจนี้ กล่าวคือการวางเฉยในการพิจารณาและในการยึดถือ ดังนี้. ส่วนวิริยูเบกขาและเวทนูเบกขา โดยอรรถต่างกัน และต่างจากอุเบกขาที่เหลือด้วย.
               บรรดาอุเบกขาเหล่านี้ ตามที่กล่าวมาในที่นี้ ท่านประสงค์เอาฌานูเบกขา. ฌานูเบกขานั้นมีความวางตนเป็นกลางเป็นลักษณะ มีความไม่คำนึงถึงเป็นรส มีการไม่ขวนขวายเป็นปัจจุปัฏฐาน มีความคลายปีติเป็นปทัฏฐาน.
               ในอธิการแห่งฌานที่ ๓ นี้ หากมีผู้ค้านว่า ฌานูเบกขานี้โดยอรรถ ก็เป็นตัตรมัชฌัตตตูเบกขามิใช่หรือ และตัตรมัชฌัตตตูเบกขานั้น ก็มีอยู่ในปฐมฌานและทุติยฌาน เพราะเหตุนั้น แม้ในปฐมฌานและทุติยฌานนั้น ฌานูเบกขานี้ก็ควรกล่าวว่า อุเปกฺขโก จ วิหรติ (ผู้เพ่งอยู่) ดังนี้ เพราะเหตุไร จึงไม่ตรัสฌานูเบกขาไว้.
               ตอบว่า เพราะปฐมฌานและทุติยฌานนี้ มีกิจยังไม่แจ่มแจ้ง.
               จริงอยู่ กิจคือความแจ่มแจ้งในปฐมฌานและทุติยฌานนั้นไม่มี เพราะถูกธรรมอันเป็นข้าศึกทั้งหลายมีวิตกเป็นต้นครอบงำแล้ว แต่ในตติยฌานนี้ ไม่มีข้าศึกคือวิตกวิจารและปีติครอบงำแล้ว เป็นดุจยกศีรษะขึ้นได้แล้ว มีกิจอันแจ่มแจ้งแล้ว เพราะฉะนั้น จึงกล่าวฌานูเบกขาไว้ในตติยฌานนี้แล.
               จบการพรรณนาความทั้งปวงแห่งคำว่า อุเปกฺขโก จ วิหรติ เพียงนี้.
               บัดนี้ พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า สโต จ สมฺปชาโน (มีสติและสัมปชัญญะ) นี้ต่อไป.
               บุคคลใดย่อมระลึกได้ เพราะเหตุนั้น บุคคลนั้นจึงชื่อว่ามีสติ. บุคคลใดย่อมรู้ทั่วโดยชอบ เพราะเหตุนั้น บุคคลนั้นจึงชื่อว่ามีสัมปชานะ (ผู้รู้ทั่วโดยชอบ). พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสติและสัมปชัญญะไว้โดยปุคคลาธิษฐาน. บรรดาสติและสัมปชัญญะนั้น สติมีการระลึกเป็นลักษณะ มีการไม่หลงลืมเป็นรส มีการอารักขาเป็นปัจจุปัฏฐาน ... สัมปชัญญะมีความไม่หลงลืมอารมณ์ (การรู้ทั่วโดยชอบ) เป็นลักษณะ มีการพิจารณา (หรือมีการถึงฝั่ง) เป็นรส มีการใคร่ครวญเป็นปัจจุปัฏฐาน ...
               บรรดาฌานเหล่านั้น สติและสัมปชัญญะนี้ แม้มีอยู่ในฌานเบื้องต้นก็จริง เพราะว่า เมื่อพระโยคาวจรมีสติหลงลืม ไม่มีสัมปชัญญะ แม้แต่เพียงอุปจารฌานก็ย่อมไม่สำเร็จ จะป่วยกล่าวไปไยถึงอัปปนาเล่า ถึงอย่างนั้น เพราะความที่ฌานทั้งหลาย (ปฐมฌานทุติยฌาน) เหล่านั้นเป็นองค์อันหยาบ ทางไป (คติ) ของจิตจะต้องเป็นทางสบาย เหมือนทางไปของบุคคลบนแผ่นดิน ฉะนั้น กิจแห่งสติและสัมปชัญญะในฌานต้นๆ นั้นยังไม่มีกำลังกล้า แต่เพราะฌานที่ ๓ นี้เป็นฌานมีอารมณ์สุขุม เพราะละองค์ฌานหยาบๆ ได้ การดำเนินไปแห่งจิตอันกิจ (หน้าที่) ของสติและสัมปชัญญะประคองไว้แล้วนั่นแหละ อันพระโยคีพึงปรารถนา เหมือนบุรุษเดินไปในที่แหลมคม ฉะนั้น เพราะเหตุนั้น สติและสัมปชัญญะ จึงตรัสไว้ในตติยฌานนี้เท่านั้น.
               พึงทราบเนื้อความนี้ให้ยิ่งขึ้นอีกหน่อยหนึ่งว่า เปรียบเหมือนลูกโคซึ่งยังดื่มนมแม่โค เจ้าของพรากออกไปแล้วไม่รักษาไว้ ย่อมกลับมาหาแม่โคอีกนั่นแหละ ฉันใด สุขในตติยฌานนี้ก็ฉันนั้น อันพระโยคาวจรพรากจากปีติได้แล้ว สุขนั้นไม่รักษาไว้ด้วยสติและสัมปชัญญะ ก็พึงกลับมาหาปีติอีกนั่นแหละ สุขนั้นก็พึงสัมปยุตด้วยปีติโดยแท้.
               อนึ่ง สัตว์ทั้งหลายย่อมยินดีในสุข และสุขนี้ (ตติยฌาน) ก็มีสุขที่ชอบใจยิ่ง เพราะไม่มีสุขอื่นยิ่งกว่านี้ แต่ด้วยอานุภาพแห่งสติและสัมปชัญญะในตติยฌานนี้ ไม่มีความยินดีในสุข หาใช่ด้วยอานุภาพอื่นไม่ เพราะฉะนั้น เพื่อแสดงความต่างกันแห่งเนื้อความแม้นี้ จึงตรัสคำว่า สติและสัมปชัญญะไว้ในตติยฌานนี้ทีเดียว.
               บัดนี้ พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า สุขญฺจ กาเยน ปฏิสํเวเทติ (และเสวยสุขด้วยนามกาย) นี้ต่อไป.
               ความผูกใจในการเสวยเฉพาะความสุข ของบุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยตติยฌานย่อมไม่มีแม้ก็จริง แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะความสุขของพระโยคาวจรนั้นสัมปยุตด้วยนามกาย หรือว่า พระโยคาวจรนั้นพึงเสวยสุขใดนั้นอันสัมปยุตด้วยนามกาย หรือเพราะรูปอันประณีตยิ่ง อันตั้งขึ้นด้วยนามกายนั้นถูกต้องรูปกายของพระโยคาวจรนั้น แม้เธอออกจากฌานแล้ว ก็ยังเสวยความสุข เพราะความที่กายนั้นอันรูปประณีตยิ่งถูกต้องแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อจะแสดงเนื้อความนั้นจึงตรัสคำว่า สุขญฺจ กาเยน ปฏิสํเวเทติ ดังนี้.
               บัดนี้ พึงทราบอธิบายในคำว่า ยนฺตํ อริยา อาจิกฺขนฺติ อุเปกฺขโก สติมา สุขวิหารี
               (พระอริยะทั้งหลายย่อมกล่าวว่า บุคคลผู้เพ่งเฉย มีสติอยู่เป็นสุข) ดังนี้ต่อไปว่า
               พระอริยทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมแต่งตั้ง ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนก ย่อมกระทำให้ง่าย ย่อมประกาศ ย่อมสรรเสริญซึ่งบุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยตติยฌานนั้น เพราะฌานใดเป็นเหตุ เพราะฌานใดเป็นการณะ.
               ถามว่า ย่อมสรรเสริญอย่างไร?
               ตอบว่า ย่อมสรรเสริญว่า เป็นผู้เพ่งเฉยมีสติอยู่เป็นสุข.
               บัณฑิตพึงทราบการประกอบเนื้อความในข้อนั้น อย่างนี้ว่า พระโยคาวจรเข้าถึงฌานที่ ๓ นั้นอยู่. เพราะเหตุไร พระอริยะทั้งหลายจึงสรรเสริญพระโยคีนั้นอย่างนี้ เพราะท่านเป็นผู้ควรแก่การสรรเสริญ.
               จริงอยู่ พระโยคาวจรนี้เป็นผู้เพ่งเฉยในตติยฌานอันมีความสุขที่ชอบใจยิ่ง แม้ถึงที่สุดแห่งความสุขก็ไม่ถูกความติดใจในสุขดึงมาในตติยฌานนั้น และชื่อว่าเป็นผู้มีสติ เพราะมีสติตั้งมั่นโดยประการที่ปีติจะไม่เกิดขึ้น และย่อมเสวยที่ไม่เศร้าหมอง ที่พระอริยะใคร่ ที่อริยชนเสพแล้วนั่นแหละด้วยนามกาย เพราะเหตุนั้น พระโยคีนั้นจึงควรเพื่อสรรเสริญ. ด้วยประการดังกล่าวมานี้ บัณฑิตพึงทราบว่า พระอริยเจ้าเหล่านั้น เมื่อจะประกาศคุณอันเป็นเหตุควรแก่การสรรเสริญอย่างนี้ พระโยคาวจรนั้นเป็นผู้เพ่งเฉย มีสติอยู่เป็นสุข เพราะท่านควรแก่การสรรเสริญ ดังนี้.
               คำว่า ตติยํ (ที่ ๓) คือ ชื่อว่า เป็นที่ ๓ เพราะนับตามลำดับ. ฌานนี้ชื่อว่าที่ ๓ เพราะอรรถว่า ย่อมเข้าถึงครั้งที่ ๓. พึงทราบวินิจฉัยในบทที่จำแนกและไม่จำแนกในคำเป็นต้นว่า ตสฺมึ สมเย ผสฺโส โหติ ดังนี้ ในหมวด ๕ แห่งฌาน แม้บทแห่งปีติก็ต้องลดไปด้วยสามารถแห่งฌานแม้นั้น. แม้ในโกฏฐาสวาระก็ตรัสว่า ฌานมีองค์ ๒ คำที่เหลือเป็นเช่นกับทุติยฌานนั่นแหละ ดังนี้แล.
               ตติยฌานจบ.               

               อธิบายจตุตถฌาน               
               พึงทราบนิทเทสแห่งจตุตถฌานต่อไป.
               บทว่า สุขสฺส จ ปหานา ทุกฺขสฺส จ ปหานา (เพราะละสุขและทุกข์ได้) ได้แก่ การละสุขทางกาย และทุกข์ทางกาย.
               คำว่า ปุพฺเพว คือ การละนั้นมีในกาลก่อนทีเดียว มิใช่มีในขณะแห่งจตุตถฌานไม่.
               คำว่า โสมนสฺสโทมนสฺสานํ อตฺถงฺคมา (เพราะโสมนัสและโทมนัสดับสนิท) ความว่า เพราะถึงการตั้งอยู่ไม่ได้แห่งธรรมทั้ง ๒ เหล่านี้ คือ สุขทางใจและทุกข์ทางใจ คำนี้ท่านอธิบายว่า เพราะละเสียแล้ว.
               ถามว่า ก็การละสุขและทุกข์ทางใจเหล่านั้นมีในกาลไร.
               ตอบว่า ในขณะแห่งอุปจารฌานทั้ง ๔.
               จริงอยู่ พระโยคาวจรละโสมนัสได้ในขณะแห่งอุปจาระของฌานที่ ๔ เท่านั้น ส่วนทุกข์ โทมนัสและสุขย่อมละได้ในขณะแห่งอุปจาระของฌานที่หนึ่ง ที่สองและที่สาม. โดยประการฉะนี้ บัณฑิตพึงทราบการละสุขทุกข์ โสมนัสและโทมนัส แม้ไม่ตรัสไว้โดยลำดับแห่งการละองค์ฌานเหล่านั้น แต่ก็ตรัสแม้ในฌานที่ ๔ นี้ โดยลำดับแห่งอุทเทสแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย ในอินทริยวิภังค์นั่นแล.
               ถามว่า ก็องค์ฌานเหล่านั้น พระโยคาวจรย่อมละได้ในขณะอุปจาระของฌานนั้นๆ ไซร้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เพราะเหตุไร จึงตรัสความดับในฌานทั้งหลาย อย่างนี้ว่า ก็ทุกขินทรีย์ เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไปไม่มีส่วนเหลือในที่ไหน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้าปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ทุกขินทรีย์ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไปไม่มีส่วนเหลือในที่นี้ ... ก็โทมนัสสินทรีย์ ฯลฯ สุขินทรีย์ ฯลฯ โสมนัสสินทรีย์เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไปไม่มีส่วนเหลือในที่ไหน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้เข้าจตุตถฌานไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละทุกข์และสุข และดับโสมนัสและโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ โสมนัสสินทรีย์ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไปไม่มีส่วนเหลือในที่นี้ ดังนี้.
               ตอบว่า เพราะความดับดียิ่ง.
               อันที่จริง ความดับองค์ฌานเหล่านั้นในปฐมฌานเป็นต้น ก็เป็นการดับดียิ่งเหมือนกัน แต่การดับในขณะแห่งอุปจารฌานไม่ชื่อว่า ความดับที่ดียิ่ง.
               จริงอย่างนั้น เมื่อทุกขินทรีย์แม้ดับแล้วในอุปจาระแห่งปฐมฌานในอาวัชชนะต่างๆ ความเกิดขึ้นแห่งทุกขินทรีย์ จะพึงมีได้เพราะสัมผัสอันเกิดแต่เหลือบยุงเป็นต้น หรือว่า เพราะความลำบากอันเกิดแต่การนั่งในที่อันไม่เสมอ ส่วนภายในอัปปนา ทุกขินทรีย์นั้นหาเกิดขึ้นไม่.
               อีกอย่างหนึ่ง ทุกขินทรีย์ในอุปจารฌานแม้นี้ ยังไม่ดับอย่างสนิท เพราะยังมิได้ถูกปฏิปักขธรรม (คือฌาน) ปราบปราม แต่ว่า ภายในอัปปนา กายทั้งปวงได้หยั่งลงสู่ความสุขแล้วด้วยการแผ่ไปแห่งปีติ ทุกขินทรีย์ของพระโยคาวจรผู้มีกายอันหยั่งลงแล้วในความสุข ย่อมเป็นธรรมดับสนิท เพราะอันปฏิปักขธรรมกำจัดแล้ว
               อนึ่ง โทมนัสสินทรีย์แม้พระโยคาวจรละได้แล้วในอุปจารแห่งทุติยฌานในอาวัชชนจิตต่างๆ นั่นแหละ โทมนัสสินทรีย์นี้ก็จะพึงเกิดขึ้น เพราะความลำบากกาย และความคับแค้นใจ อันมีวิตกและวิจารเป็นปัจจัยยังมีอยู่ แต่เมื่อไม่มีวิตกและวิจาร โทมนัสสินทรีย์จะไม่เกิดเลย แต่เมื่อวิตกและวิจารมีอยู่ในที่ใด โทมนัสสินทรีย์ก็ย่อมเกิดขึ้นในที่นั้น คือว่า วิตกและวิจารในอุปจารแห่งทุติยฌานอันพระโยคาวจรยังละไม่ได้ เพราะฉะนั้น โทมนัสสินทรีย์ก็พึงเกิดขึ้นในที่นั้น เพราะความที่วิตกและวิจารเป็นปัจจัยที่ยังละไม่ได้ ส่วนในทุติยฌาน โทมนัสสินทรีย์เกิดไม่ได้เลย เพราะความที่วิตกและวิจารเป็นปัจจัยนั้นท่านละได้แล้ว.
               อนึ่ง ในอุปจารแห่งตติยฌาน สุขินทรีย์แม้พระโยคาวจรละได้แล้ว จะพึงเกิดขึ้นแก่กายที่รูปอันประณีตมีปีติเป็นสมุฏฐานถูกต้องแล้ว ส่วนในตติยฌาน สุขินทรีย์จะเกิดไม่ได้เลย เพราะว่า ปีติซึ่งเป็นปัจจัยแก่สุขในตติยฌานย่อมดับไปโดยประการทั้งปวง.
               อนึ่ง ในอุปจารแห่งจตุตถฌาน โสมนัสสินทรีย์แม้พระโยคีละแล้ว ก็พึงเกิดขึ้นได้ เพราะความเป็นสภาวะใกล้ต่อสุข และเพราะยังไม่ก้าวล่วงโดยชอบ โดยที่ไม่มีอุเบกขาที่ถึงอัปปนา ส่วนในจตุตถฌาน โสมนัสสินทรีย์จะเกิดไม่ได้เลย เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสกระทำให้ถือเอาโดยไม่มีส่วนเหลือในที่นั้นๆ อย่างนี้ว่า ก็ทุกขินทรีย์เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป ไม่มีส่วนเหลือในที่นี้ ดังนี้.
               ในอธิการแห่งจตุตถฌานนี้ มีผู้ท้วงว่า ถ้าเวทนาเหล่านี้แม้พระโยคีละแล้วในอุปจารแห่งฌานนั้นๆ ด้วยอาการอย่างนี้แล้ว เพราะเหตุไร ในที่นี้จึงนำมาตรัสอีกเล่า.
               ตอบว่า เพื่อให้เข้าใจง่าย.
               จริงอยู่ เวทนาที่ไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่สุขนี้ใด ซึ่งตรัสไว้ในองค์แห่งฌานนี้ว่า ไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่สุข ดังนี้ เวทนานั้นสุขุมรู้ได้โดยยาก ใครๆ ไม่อาจเข้าใจได้โดยง่าย เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงนำเวทนาเหล่านี้ทั้งหมดมาอีกเพื่อให้กำหนดได้โดยง่าย เปรียบเหมือนนายโคบาลต้องการจับโคดุตัวหนึ่งที่ใครๆ ไม่อาจเพื่อจะเข้าไปจับโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง จึงต้อนโคทั้งหมดเข้าไปในคอกเดียวกัน ทีนั้น เขาจึงต้อนออกไปทีละตัว มันก็ออกมาโดยลำดับ จึงชี้ให้จับว่า โคตัวนี้ คือโคดุนั้น พวกท่านจงจับมันฉันใด ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงเวทนาเหล่านี้ที่ทรงประมวลมาด้วยอาการอย่างนี้แล้ว ใครๆ ก็อาจเพื่อให้บุคคลกำหนดเวทนานั้นได้ว่า สภาวะใดไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่โสมนัส ไม่ใช่โทมนัส สภาวะนี้เป็นอทุกขมสุขเวทนา ดังนี้.
               อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเวทนาเหล่านั้น เพื่อทรงชี้ถึงปัจจัยเพื่อเจโตวิมุตติ (คือความหลุดพ้นแห่งใจ) ที่ไม่มีทุกข์และสุข เพราะว่า การละสุขและทุกข์เป็นต้นเป็นปัจจัยเพื่อเจโตวิมุตตินั้น เหมือนอย่างพระสารีบุตรเถระกล่าวไว้ว่า๑-
               จตฺตาโร โข อาวุโส ปจฺจยา อทุกฺขมสุขาย เจโตวิมุตฺติยา สมาปตฺติยา ฯเปฯ สมาปตฺติยา
               ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ปัจจัยแห่งสมาบัติที่เป็นเจโตวิมุตติ อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข มี ๔ อย่างแล
               ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เข้าถึงจตุตถฌานอันไม่มีทุกข์และสุข เพราะละสุขและทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสในก่อนเสียได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่
               ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ปัจจัยแห่งสมาบัติที่เป็นเจโตวิมุตติอันไม่มีทุกข์ไม่มีสุข ๔ อย่างนี้แล.
____________________________
๑- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๕๐๓/หน้า ๕๔๓

               อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบว่า สังโยชน์มีสักกายทิฏฐิเป็นต้น ที่พระอริยเจ้าละได้แล้วในมรรคอื่น (ปฐมมรรคเป็นต้น) พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะทรงยกย่องมรรคที่ ๓ จึงตรัสว่า ละแล้วในมรรคที่ ๓ นั้น ดังนี้ ฉันใด เพื่อทรงยกย่องฌานนั้น จึงตรัสถึงอทุกขมสุขเวทนานั้น ในฌานที่ ๔ นี้ฉันนั้น.
               หรืออีกอย่างหนึ่ง พึงทราบตรัสอทุกขมสุขนั้น เพื่อแสดงถึงความที่ราคะและโทสะเป็นสภาพไกลยิ่งในฌานที่ ๔ นี้ โดยขจัดปัจจัยได้แล้ว.
               จริงอยู่ บรรดาฌานเหล่านี้ สุขเป็นปัจจัยแก่โสมนัส โสมนัสเป็นปัจจัยแก่ราคะ ทุกข์เป็นปัจจัยแก่โทมนัส โทมนัสเป็นปัจจัยแก่โทสะ ราคะและโทสะพร้อมทั้งปัจจัยอันจตุตถฌานขจัดแล้ว เพราะขจัดความสุขเป็นต้นได้แล้ว เพราะฉะนั้น ราคะและโทสะ จึงชื่อว่ามีอยู่ในที่ไกลยิ่ง ดังนี้.
               คำว่า อทุกฺขมสุขํ ความว่า ชื่อว่าอทุกข์ เพราะความไม่มีทุกข์. ชื่อว่าอสุข เพราะความไม่มีสุข. ด้วยคำว่า อทุกฺขมสุขํ นี้ ย่อมทรงแสดงเวทนาที่ ๓ อันเป็นปฏิปักษ์ต่อทุกข์และสุข ในจตุตถฌานนี้ มิใช่ทรงแสดงเพียงความไม่ทุกข์ไม่สุข แต่ตรัสว่า ความไม่ทุกข์ ไม่สุข ชื่อว่าเวทนาที่ ๓ เป็นอุเบกขาดังนี้ก็มี.
               อุเบกขาเวทนานั้น พึงทราบว่า มีการเสวยอารมณ์ตรงกันข้ามกับอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์เป็นลักษณะ มีความเป็นกลางเป็นรส มีการไม่ปรากฏชัดเป็นปัจจุปัฏฐาน มีการดับความสุขเป็นปทัฏฐาน.
               คำว่า อุเปกฺขาสติปาริสุทฺธึ (มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา) ได้แก่มีสติบริสุทธิ์ อันอุเบกขาให้เกิดขึ้นแล้ว เพราะในฌานนี้ สติบริสุทธิ์ดีแล้ว ก็ความบริสุทธิ์ของสตินี้อันอุเบกขาทำแล้ว มิใช่ธรรมอื่นทำให้ เพราะเหตุนั้น จตุตถฌานนี้จึงชื่อว่ามีสติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขา ดังนี้. แม้ในวิภังค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสว่า สตินี้อันอุเบกขานี้เปิดแล้ว เป็นธรรมชาติบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว เพราะเหตุนั้น จึงตรัสว่า มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา ดังนี้.
               อนึ่ง ความบริสุทธิ์แห่งสติในฌานนี้ย่อมมีได้ด้วยอุเบกขาใด อุเบกขานั้นว่าโดยเนื้อความ พึงทราบว่า เป็นตัตรมัชฌัตตตา ดังนี้ ก็ในจตุตถฌานนี้ สติเท่านั้นบริสุทธิ์แล้วด้วยอุเบกขานั้นเพียงอย่างเดียวก็หาไม่ ที่แท้สัมปยุตตธรรมแม้ทั้งหมดก็บริสุทธิ์เพราะอุเบกขาเหมือนกัน แต่ตรัสเทศนาไว้โดยยกสติเป็นประธาน บรรดาฌานเหล่านั้น อุเบกขานี้ แม้จะมีอยู่ในฌานเบื้องต่ำ ๓ ก็จริง ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ทำให้สติและสัมปยุตตธรรมบริสุทธิ์ผุดผ่อง เปรียบเหมือนดวงจันทร์แม้มีอยู่ในกลางวันก็ไม่บริสุทธิ์ผ่องใส เพราะกลางวันถูกรัศมีพระอาทิตย์ข่ม และเพราะไม่ได้ราตรีอันเป็นสภาคะ โดยเป็นราตรีแจ่มใส หรือราตรีที่อุปการะแก่ตนฉันใด แม้ดวงจันทร์ คือ ตัตรมัชฌัตตตุเบกขานี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะถูกเดชแห่งธรรมอันเป็นข้าศึกมีวิตกเป็นต้นครอบงำ และไม่ได้ราตรีอันเป็นสภาคะคืออุเบกขาเวทนา แม้จะมีอยู่ในฌานมีปฐมฌานเป็นต้น ก็ไม่บริสุทธิ์ เปรียบเหมือนดวงจันทร์ไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องในเวลากลางวัน รัศมีแห่งดวงจันทร์ ก็ไม่บริสุทธิ์ แม้สหชาตธรรมมีสติเป็นต้น ก็ไม่บริสุทธิ์เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ในบรรดาฌานเหล่านั้น แม้ฌานหนึ่ง ก็ไม่ตรัสว่า มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขา แต่ในจตุตถฌานนี้ ดวงจันทร์ คือตัตรมัชฌัตตตุเบกขานี้ บริสุทธิ์ยิ่งนัก เพราะได้ราตรี คืออุเบกขาเวทนาเป็นสภาคะ เพราะไม่ถูกเดชแห่งข้าศึกมีวิตกเป็นต้นครอบงำ เพราะเหตุที่อุเบกขานั้นเป็นธรรมบริสุทธิ์ แม้สหชาตธรรมมีสติเป็นต้นก็บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ดุจรัศมีแห่งดวงจันทร์ที่บริสุทธิ์แล้ว เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า จตุตถฌานนี้เท่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มีสติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขา ดังนี้.
               คำว่า จตุตฺถํ แปลว่า ที่ ๔ โดยลำดับแห่งการนับ. ฌานนี้ ชื่อว่าฌานที่ ๔ เพราะอรรถว่า ย่อมบรรลุครั้งที่ ๔. ในคำว่า ผสฺโส โหติ เป็นต้น พึงทราบในผัสสปัญจกะ (หมวด ๕ แห่งผัสสะ) ว่า เวทนานั้นเป็นอุเบกขาเวทนาเท่านั้น. อนึ่ง ในหมวด ๕ แห่งฌานและหมวด ๘ แห่งอินทรีย์ ก็ตรัสว่า เป็นอุเบกขา เป็นอุเบกขินทรีย์นั่นแล. บทที่เหลือนอกนี้ไม่มีในฌานที่ ๓ แม้ในฌานที่ ๔ นี้ ก็ไม่มีเหมือนกัน. แม้ในโกฏฐาสวาร ก็ตรัสว่า ฌานมีองค์ ๒ คำนี้พึงทราบด้วยสามารถแห่งอุเบกขาและจิตเตกัคคตานั่นแหละ. คำที่เหลือทั้งปวงเป็นเช่นกับตติยฌานนั่นแล.

               ฌานจตุกนัยจบ.               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ธรรมสังคณีปกรณ์ จิตตุปปาทกัณฑ์ กุศลธรรม รูปาวจรกุศล กสิณ ฌาน จตุกกนัย จบ.
อ่านอรรถกถา 34 / 1อ่านอรรถกถา 34 / 125อรรถกถา เล่มที่ 34 ข้อ 139อ่านอรรถกถา 34 / 149อ่านอรรถกถา 34 / 970
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=34&A=1279&Z=1342
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=53&A=5363
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=53&A=5363
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๓  กุมภาพันธ์  พ.ศ.  ๒๕๕๗
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :