ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 34 / 1อ่านอรรถกถา 34 / 191อรรถกถา เล่มที่ 34 ข้อ 192อ่านอรรถกถา 34 / 193อ่านอรรถกถา 34 / 970
อรรถกถา ธรรมสังคณีปกรณ์
จิตตุปปาทกัณฑ์ กุศลธรรม อรูปาวจรกุศล อรูปฌาน ๔

               อรรถกถาจิตตุปปาทกัณฑ์               
               ว่าด้วยอรูปาวจรกุศล ๔               
               บัดนี้ เพื่อทรงแสดงอรูปาวจรกุศล จึงทรงเริ่มคำเป็นต้นว่า กตเม ธมฺมา กุสลา ดังนี้อีก.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อรูปูปปตฺติยา ความว่า อรูปภพ เรียกว่าอรูป ความเกิดขึ้นในอรูปเห็นปานนี้ เรียกว่า อรูปูปปัตติ. พระโยคาวจรเจริญมรรคปฏิปทา เพื่อเข้าถึงอรูปภพนั้น.
               บทว่า มคฺคํ ภาเวติ ความว่า ย่อมยังอุบาย คือเหตุ คือการณะให้เกิดขึ้น คือให้เจริญขึ้น.
               บทว่า สพฺพโส ได้แก่ โดยอาการทั้งปวงอีกอย่างหนึ่ง. อธิบายว่า ทั้งหมดไม่มีเหลือ.
               บทว่า รูปสญฺญานํ ได้แก่ รูปาวจรฌานที่ตรัสไว้โดยมีสัญญาเป็นประธานและเป็นอารมณ์ของฌานนั้น.
               จริงอยู่ แม้รูปาวจรฌานก็ตรัสเรียกว่า รูป เหมือนในประโยคมีคำเป็นต้นว่า ผู้มีรูปย่อมเห็นรูปทั้งหลาย ดังนี้ แม้อารมณ์แห่งรูปาวจรฌานนั้น ก็ตรัสว่า รูป เหมือนในประโยคมีอาทิว่า ย่อมเห็นรูปภายนอกซึ่งมีผิวพรรณดีและไม่ดี เพราะฉะนั้น ในที่นี้ คำว่า รูปสญฺญานํ นี้ จึงเป็นชื่อของรูปาวจรฌานตามที่กล่าวไว้โดยมีสัญญาเป็นประธานอย่างนี้ว่า สัญญาในรูป ชื่อว่ารูปสัญญา ดังนี้ รูปาวจรฌานที่ชื่อว่ารูปสัญญา เพราะอรรถว่ามีรูปเป็นเครื่องหมาย. อธิบายว่า รูปเป็นชื่อของฌานนั้น. อนึ่ง คำว่า รูป นี้ก็พึงทราบว่าเป็นชื่อของอารมณ์ของฌานนั้น อันต่างด้วยรูปมีปฐวีกสิณเป็นต้น.
               บทว่า สมติกฺกมา (เพราะก้าวล่วง) ได้แก่ เพราะสำรอกและดับสนิท. คำนี้มีอธิบายไว้อย่างไร?
               ท่านอธิบายว่า พระโยคาวจรเข้าอากาสานัญจายตนะอยู่ เพราะสำรอกและดับสนิท คือเหตุที่สำรอกและเหตุที่ดับสนิทซึ่งรูปสัญญาทั้งหลายคือฌาน ๑๕ โดยกุศล วิบากและกิริยาเหล่านั้น และรูปสัญญาทั้งหลาย คืออารมณ์ ๘ อย่าง ด้วยสามารถปฐวีกสิณเป็นต้นเหล่านั้นโดยอาการทั้งปวง หรือว่าโดยไม่มีส่วนเหลือ.
               จริงอยู่ พระโยคาวจรไม่สามารถเข้าอากาสานัญจายตนะนั้น โดยยังมิได้ก้าวล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวงในรูปสัญญาเหล่านั้น เพราะผู้ยังไม่คลายความยินดีในอารมณ์ก็ก้าวล่วงสัญญาไปไม่ได้ และเมื่อก้าวสัญญาทั้งหลายได้แล้ว อารมณ์ก็ย่อมเป็นอันก้าวล่วงไปได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น จึงไม่ตรัสถึงการก้าวล่วงอารมณ์ ตรัสแต่การก้าวล่วงสัญญาทั้งหลายเท่านั้นไว้ในวิภังค์ อย่างนี้ว่า
               คำว่า เพราะก้าวล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง มีอธิบายว่า รูปสัญญาเป็นไฉน? การจำ กิริยาที่จำ ความจำของพระโยคาวจรผู้เข้ารูปสมาบัติ หรือของผู้อุบัติในรูปภูมิ หรือของพระอรหันต์ ผู้อยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรมเหล่านี้ เรียกว่ารูปสัญญา ภิกษุก้าวล่วงแล้ว ข้ามแล้ว ข้ามพ้นแล้วซึ่งรูปสัญญาเหล่านี้ ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า เพราะก้าวล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง ดังนี้. ก็เพราะสมาบัติเหล่านี้ พึงกล่าวด้วยการก้าวล่วงอารมณ์ มิใช่กล่าวในอารมณ์หนึ่งเท่านั้น เหมือนปฐมฌานเป็นต้น ฉะนั้นพึงทราบว่า การพรรณนาเนื้อความนี้ ทรงทำไว้ด้วยอำนาจการก้าวล่วงอารมณ์.
               คำว่า ปฏิฆสญฺญานํ อตฺถงฺคมา (เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญา) ความว่า สัญญาที่เกิดขึ้นเพราะการกระทบวัตถุมีจักษุเป็นต้น และอารมณ์มีรูปารมณ์เป็นต้น ชื่อว่าปฏิฆสัญญา คำว่า ปฏิฆสัญญา นี้เป็นชื่อของรูปสัญญาเป็นต้น.
               เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ในวิภังค์ว่า คำว่า เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญา ดังนี้ มีอธิบายว่า ปฏิฆสัญญาเป็นไฉน? รูปสัญญา สัททสัญญา คันธสัญญา รสสัญญา โผฏฐัพพสัญญา เหล่านี้เรียกว่าปฏิฆสัญญา ดังนี้.
               มีอธิบายว่า เพราะดับ คือเพราะละ คือเพราะความไม่เกิดขึ้น ได้แก่กระทำไม่ให้เป็นไป โดยประการทั้งปวงแห่งปฏิฆสัญญาแม้ทั้ง ๑๐ คือกุศลวิบาก ๕ อกุศลวิบาก ๕ แห่งปฏิฆสัญญาเหล่านั้น. ก็ปฏิฆสัญญาเหล่านั้น ย่อมไม่มีแม้แก่ผู้เข้าฌานมีปฐมฌานเป็นต้นโดยแท้ เพราะในสมัยนั้น จิตย่อมไม่เป็นไปทางปัญจทวาร. แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น พึงทราบคำที่ตรัสถึงปฏิฆสัญญาเหล่านั้น ในอภิธรรมนี้ ด้วยสามารถแห่งยกย่องฌานนี้ เพื่อการยังฌานนี้ให้เกิดขึ้น เหมือนการกล่าวถึงสุขและทุกข์อันละได้แล้ว ในฌานอื่นไว้ในฌานที่ ๔ และเหมือนการกล่าวถึงสักกายทิฏฐิเป็นต้น อันละได้แล้วในมรรคอื่นไว้ในมรรคที่ ๓ ฉะนั้น.
               อีกอย่างหนึ่ง ปฏิฆสัญญาเหล่านี้ไม่มีอยู่แก่ผู้เข้ารูปาวจรฌานก็จริง แต่ย่อมไม่มีเพราะละได้แล้วก็หาไม่ เพราะว่า การเจริญรูปาวจรมิใช่เป็นไปพร้อมเพื่อความคลายความยินดีในรูป. อนึ่ง ปฏิฆสัญญาเหล่านี้ย่อมเป็นไปพร้อม เพราะอาศัยรูป แต่ภาวนานี้ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อคลายความยินดีในรูป เพราะฉะนั้น สมควรจะกล่าวได้ว่าปฏิฆสัญญาเหล่านั้น พระโยคาวจรละได้แล้วในฌานนี้.
               อนึ่ง ไม่ใช่เพียงการกล่าวเท่านั้น แม้การทรงจำไว้อย่างนี้โดยส่วนเดียวนั่นแหละก็สมควร.
               จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เสียงเป็นหนาม (ข้าศึก) ของผู้เข้าปฐมฌาน ดังนี้ เพราะยังละไม่ได้ในกาลก่อน แต่กาลนี้ แต่ในที่นี้พระองค์ตรัสความที่อรูปสมาบัติทั้งหลายเป็นอเนญชา และความที่อรูปสมาบัติทั้งหลายเป็นสันติวิโมกข์ เพราะละ (ปฏิฆสัญญา) ได้แล้วโดยแท้ ก็อาฬารดาบสกาลามโคตรเข้าอรูปฌาน ไม่ได้เห็นและไม่ได้ยินเสียงเกวียนประมาณห้าร้อยเล่มซึ่งผ่านไปใกล้ที่อาศัย.
               บทว่า นานตฺตสญฺญานํ อมนสิการา (เพราะไม่มนสิการซึ่งนานัตตสัญญา) ความว่า สัญญาทั้งหลายที่เป็นไปในอารมณ์ต่างกัน หรือสัญญาทั้งหลายต่างกัน
               ก็ในที่นี้ประสงค์เอาสัญญาเหล่านี้ ที่ตรัสจำแนกไว้ในวิภังค์อย่างนี้ว่า
               ในสัญญาเหล่านั้น นานัตตสัญญาเป็นไฉน? สัญญา กิริยาที่จำได้ ความเป็นผู้จำได้ของผู้ไม่เข้าสมาบัติ หรือว่า ผู้พรั่งพร้อมด้วยมโนธาตุ หรือว่า ผู้พรั่งพร้อมด้วยมโนวิญญาณธาตุ เหล่านี้เรียกว่านานัตตสัญญาทั้งหลาย และสัญญาที่พรั่งพร้อมด้วยมโนธาตุ และมโนวิญญาณธาตุของผู้ไม่เข้าสมาบัติ ย่อมเป็นไปในอารมณ์อันมีความต่างกัน และสภาวะที่ต่างกันซึ่งต่างกันด้วยรูปและเสียงเป็นต้น.
               อนึ่ง สัญญาเหล่านี้แม้ทั้ง ๔๔ อย่างนี้ คือ
                         กามาวจรกุศลสัญญา ๘
                         อกุศลสัญญา ๑๒
                         กามาวจรกุศลวิปากสัญญา ๑๑
                         อกุศลวิปากสัญญา ๒
                         กามาวจรกิริยสัญญา ๑๑
               มีความต่างกัน มีสภาวะต่างกัน ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า นานัตตสัญญา เพราะไม่มนสิการ เพราะไม่ใคร่ครวญ เพราะไม่คำนึง เพราะไม่นำมา เพราะไม่พิจารณานานัตตสัญญาเหล่านั้น โดยประการทั้งปวง ท่านอธิบายไว้ว่า เพราะไม่ใคร่ครวญ ไม่มนสิการ ไม่พิจารณาสัญญาเหล่านั้น ก็เพราะในอากาสานัญจยตนะนั้น รูปสัญญา ปฏิฆสัญญาข้างต้น ย่อมไม่มีแม้ในภพที่เกิดขึ้นด้วยฌานนี้ จะป่วยกล่าวไปไยถึงในกาลที่เข้าฌานนี้ในภพนั้นอยู่ เพราะฉะนั้น จึงตรัสความไม่มีสัญญาแม้ทั้ง ๒ นั้น ด้วยคำว่า เพราะความก้าวล่วง เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญาเหล่านั้นดังนี้.
               แต่ในนานัตตสัญญาทั้งหลาย สัญญา ๒๗ อย่างเหล่านี้ คือ กามาวจรกุศลสัญญา ๘ กิริยาสัญญา (มหากิริยา ๗ มโนทวาราวัชชน ๑) ๙ อกุศลสัญญา (เว้นโทสะ ๒) ๑๐ ไม่มีในภพที่เกิดแล้วด้วยฌานนี้ เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า คำนี้ตรัสไว้ว่า เพราะไม่มนสิการสัญญาเหล่านั้น เพราะว่า แม้ในการเกิดขึ้น เมื่อพระโยคาวจรเข้าฌานนี้อยู่ ก็เข้าฌานเพราะไม่มนสิการสัญญาเหล่านั้นเลย แต่เมื่อมนสิการสัญญาเหล่านั้นก็ย่อมไม่เป็นอันเข้า ดังนี้ ก็เมื่อว่าโดยย่อในสัญญาเหล่านี้ ตรัสการละรูปาวจรธรรมทั้งปวง ด้วยคำนี้ว่า รูปสญฺญานํ สมติกฺกมา (เพราะการก้าวล่วงรูปสัญญาทั้งหลาย) ดังนี้ และพึงทราบว่า ตรัสการละและการไม่มนสิการจิตและเจตสิกที่เป็นกามาพจรทั้งปวง ด้วยคำนี้ว่า ปฏิฆสญฺญานํ อตฺถงฺคมา นานตฺสญฺญานํ อมนสิการา เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญา เพราะไม่มนสิการซึ่งนานัตตสัญญา เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสชี้แจงอากาสานัญจายตนสมาบัติไว้ด้วยบททั้ง ๓ คือด้วยการก้าวล่วงรูปสัญญา ๑๕ อย่าง ด้วยการดับไปแห่งปฏิฆสัญญา ๑๐ อย่าง ด้วยการไม่มนสิการนานัตตสัญญา ๔๔ อย่าง.
               หากมีคำถามว่า เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงชี้แจงอย่างนั้น.
               ตอบว่า เพื่อจะให้เกิดความอุตสาหะและเพื่อประโลมใจ (ทำให้เบิกบานใจ) แก่ผู้ฟังทั้งหลาย ก็ถ้าหากอาจารย์บางพวกซึ่งมิใช่บัณฑิตจะพึงกล่าวว่า พระศาสดาย่อมตรัสว่า พวกท่านจงทำอากาสานัญจายตนสมาบัติให้เกิด ดังนี้ ก็อะไรหนอเป็นประโยชน์ อะไรหนอเป็นอานิสงส์ของอากาสานัญจายตนสมาบัติ ที่เกิดขึ้นนั้น เพราะฉะนั้น พระองค์จึงทรงชี้แจงสมาบัติด้วยเหตุเหล่านี้ โดยพระดำริว่า ขอชนเหล่านั้นอย่าได้เพื่อกล่าวอย่างนี้เลย ดังนี้.
               จริงอยู่ ชนเหล่านั้นได้ฟังพระดำรัสนั้นแล้ว ก็จักคิดว่า ได้ยินว่า สมาบัตินี้จักเป็นเช่นนี้ จักสงบอย่างนี้ จักประณีตอย่างนี้ พวกเราจักยังสมาบัตินั้นให้เกิด ทีนั้นพวกเขาจักพากันทำอุตสาหะเพื่อให้สมาบัตินั้นเกิดขึ้น ดังนี้.
               ก็อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสยกย่องอากาสานัญจายตนสมาบัตินี้แก่พระโยคาวจรเหล่านั้นเพื่อประโลมใจ เหมือนพ่อค้างบน้ำอ้อยชื่อวิสกัณฐกะ ท่านเรียกวิสกัณฐกพาณิชว่า ผู้ค้างบน้ำอ้อย.
               ได้ยินว่า พ่อค้างบน้ำอ้อยนั้น ใช้เกวียนบรรทุกน้ำอ้อยงบและน้ำตาลกรวดเป็นต้นไปปัจจันคามแล้วโฆษณาว่า พวกท่านจงมารับน้ำอ้อยงบวิสกัณฐกะ พวกท่านจงมารับน้ำอ้อยงบวิสกัณฐกะ ดังนี้.
               พวกชาวบ้านฟังคำโฆษณานั้นแล้วก็คิดว่า สิ่งนี้ร้ายนัก ชื่อว่ามีพิษ บุคคลใดเคี้ยวกินมัน บุคคลนั้นต้องตาย แม้หนามแทงแล้วก็ให้ตายได้ สิ่งทั้ง ๒ นี้ร้ายนัก มันจะมีประโยชน์อะไร ดังนี้จึงพากันปิดประตูบ้าน และให้พวกเด็กหนีไป. พ่อค้าเห็นการกระทำนั้นแล้วจึงคิดว่า ชาวบ้านเหล่านี้ไม่ฉลาดในโวหาร เอาเถอะเราจักให้เขาซื้อไปด้วยอุบาย จึงโฆษณาว่า พวกท่านจงมารับน้ำผึ้งหวาน พวกท่านจงมารับน้ำตาลอร่อย พวกท่านจะได้น้ำอ้อยงบและน้ำตาลกรวดราคาพอสมควร จะเอามาสกปลอม และกหาปณะปลอมเป็นต้นมาซื้อก็ได้ ดังนี้. พวกชาวบ้านฟังคำนั้นแล้ว ต่างก็พากันร่าเริงดีใจไปให้ราคาแม้มากถือเอาแล้ว.
               ในคำเหล่านั้น พึงเทียบเคียงอุปมาพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พวกเธอจงยังอากาสานัญจายตนสมาบัติให้เกิด ดังนี้ เปรียบเหมือนการโฆษณาของพ่อค้าว่า พวกท่านจงรับงบน้ำอ้อยวิสกัณกะ ดังนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พวกเธอพึงทำอากาสานัญจายตนะให้เกิดดังนี้ เปรียบเหมือนพวกชาวบ้านพากันคิดว่า สิ่งทั้ง ๒ นี้ร้ายกาจนัก อะไรเล่า เป็นประโยชน์ในที่นี้. คนที่ฟังก็จะคิดว่า อะไรหนอเป็นอานิสงส์ในที่นี้ พวกเราย่อมไม่ทราบคุณของสิ่งนี้ ทีนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประกาศอานิสงส์ มีการก้าวล่วงรูปสัญญาเป็นต้น เหมือนเมื่อพ่อค้านั้นโฆษณาคำเป็นต้นว่า พวกท่านจงมารับเอาน้ำผึ้งหวานไปเถิด ดังนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสรรเสริญคุณอากาสานัญจายตนสมาบัติ ก็เพื่อให้เกิดความอุตสาหะ และเพื่อประโลมใจ ด้วยทรงพระดำริว่า ชนเหล่านี้อันพระองค์ให้รื่นเริงพอใจแล้ว ด้วยอานิสงส์นี้จักทำอุตสาหะใหญ่แล้วจักยังสมาบัติให้เกิด ดังนี้ เหมือนชาวบ้านทั้งหลายเหล่านั้นฟังคำโฆษณาพ่อค้า แล้วให้ราคาแม้มาก ถือเอางบน้ำอ้อย ฉะนั้น.

               วินิจฉัยคำว่าอากาสานัญจายตนะ               
               พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อากาสานญฺจายตนสญฺญาสหคตํ ดังต่อไปนี้.
               อากาศที่ชื่อว่า อนันตะ เพราะอรรถว่า ไม่มีที่สุด. อากาศนั่นแหละไม่มีที่สุด ชื่อว่าอากาสานันตะ อากาสานันตะนั่นแหละ ชื่อว่าอากาสานัญจะ อากาศอันไม่มีที่สุดนั้น ชื่อว่าอายตนะ เพราะอรรถว่าเป็นที่ตั้งมั่นของฌานพร้อมทั้งสัมปยุตธรรมนี้ ดุจที่ตั้งอยู่ของเทพทั้งหลายชื่อว่าเทวายตนะ เพราะฉะนั้น ฌานนี้จึงชื่อว่าอากาสานัญจายตนะ ด้วยประการฉะนี้.
               อากาสานัญจะนั้นด้วย เป็นอายตนะด้วย เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่าอากาสานัญจายตนะ คำว่า อากาสานัญจายตนะ นี้เป็นชื่อของกสิณุคฆาฏิมากาส (อากาศที่เพิกกสิณ). ฌานที่สหรคตกับสัญญาที่ถึงอัปปนาในอากาสานัญจายตนะนั้น ชื่อว่าอากาสานัญจายตนสัญญาสหคตะ ก็ในที่อื่นตรัสว่า อากาศเป็นอนันตะ (ไม่มีที่สุด) ฉันใด ในที่นี้มิได้ทรงถือเอาอากาศอันไม่มีที่สุด หรือว่า เล็กน้อยฉันนั้น เพราะเมื่อทรงถือเอาอากาศอันไม่มีที่สุด ก็ไม่ถือเอาอากาศเล็กน้อย เมื่อถือเอาอากาศเล็กน้อยก็ไม่ถือเอาอากาศอันไม่มีที่สุด ครั้นเมื่อเป็นเช่นนั้น อารมณ์ ๔ หมวดก็ไม่สมบูรณ์ เทศนาก็ไม่ได้ ๑๖ ครั้ง แต่พระอัธยาศัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อทำเทศนาในที่นี้ ๑๖ ครั้ง เพราะฉะนั้น จึงไม่ตรัสคำว่า ไม่มีที่สุด หรือว่าเล็กน้อย แต่ตรัสว่า อากาสานัญจายตนสัญญาสหคตะ (สหรคตด้วยอากาสานัญจายตนสัญญา) ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น คำแม้ทั้ง ๒ ก็ย่อมเป็นคำที่ทรงถือเอาเหมือนกัน อารมณ์ ๔ หมวดก็สมบูรณ์ เทศนาก็ถึง ๑๖ ครั้ง เนื้อความพระบาลีที่เหลือพึงทราบโดยนัยที่กล่าวไว้ในหนหลังแล.
               อนึ่ง ในอากาสานัญจายตนะนี้ ชื่อว่าทุกขาปฏิปทา เพราะความลำบากในการสิ้นไปแห่งนิกันติในรูปาวจรจตุตถฌาน ชื่อว่าเป็นทันธาภิญญา เพราะความชักช้าในการอบรมอัปปนาของผู้มีความยินดีในนิกันติอันสิ้นไปแล้ว. และพึงทราบสุขาปฏิปทาและขิปปาภิญญา โดยปริยายตรงกันข้าม.
               ก็ฌานที่เป็นไปในอากาศที่เพิกกสิณเล็กน้อย พึงทราบว่าเป็นปริตตารมณ์ ฌานที่เป็นไปในอากาศที่เพิกกสิณกว้างขวางพึงทราบว่าเป็นอัปปมาณารมณ์. แม้ในฌานนี้ มีธรรมหมวดละ ๒๕ ด้วยอำนาจจตุตถฌาน เหมือนในอุเบกขาพรหมวิหาร ก็ในอากาสานัญจายตนะนี้ ฉันใด แม้ในวิญญาณัญจายตนะเป็นต้น นอกจากนี้ ก็มีธรรมหมวดละ ๒๕ ฉันนั้น แต่ข้าพเจ้าจักพรรณนาเหตุสักว่าการต่างกันในวิญญาณัญจายตนะเป็นต้นเหล่านั้นเท่านั้น.
               พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อากาสานญฺจายตนํ สมติกฺกมา (เพราะก้าวล่วงอากาสานัญจายตนะ) นี้ต่อไป.
               ก็อากาสานัญจะชื่อว่าอายตนะ เพราะอรรถว่าเป็นที่ตั้งมั่นของฌานนั้นโดยนัยที่กล่าวไว้ก่อนนั่นแหละ เพราะเหตุนั้น แม้ฌานนี้ก็ชื่อว่าอากาสานัญจายตนะ. แม้อารมณ์ของอากาสานัญจายตนะนั้น ก็พึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้ว พระโยคาวจรพึงก้าวล่วงธรรมแม้ทั้ง ๒ คือ ฌานนี้และอารมณ์นี้ ด้วยการไม่ทำให้เป็นไปและไม่มนสิการ แล้วพึงเข้าถึงวิญญาณัญจายตนะนี้อยู่ เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า ทรงรวมสิ่งทั้ง ๒ นี้ แล้วตรัสคำนี้ว่า เพราะการก้าวล่วงอากาสานัญจายตนะ ดังนี้.
               พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า วิญฺญาณญฺจายตนสญฺญาสหคตํ นี้ต่อไป.
               ที่สุดแห่งวิญญาณนั้นไม่มี ด้วยสามารถที่พึงทำไว้ในใจว่า อนันตัง เพราะเหตุนั้น วิญญาณนั้นจึงชื่อว่าอนันตะ อนันตะนั่นแหละ ชื่อว่าอานัญจัง พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ตรัสว่าวิญญาณอันไม่มีที่สุด ชื่อว่าวิญญาณานัญจะ แต่ตรัสว่า วิญญาณัญจะ ดังนี้ เพราะว่า ในคำว่า วิญญาณัญจะนี้ เป็นรุฬหีศัพท์ (ศัพท์ที่นิยมใช้กัน). วิญญาณัญจะนั้นแหละ ชื่อว่าอายตนะ เพราะอรรถว่าตั้งมั่นด้วยสัญญานี้ เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าวิญญาณัญจายตนะ ฌานที่สหรคตด้วยสัญญาที่เป็นไปในวิญญาณัญจายตนะนั้น เพราะเหตุนั้น ฌานนั้นจึงชื่อว่าวิญญาณัญจายตนสัญญาสหคตะ คำว่า วิญญาณัญจายตนสัญญาสหคตะ นี้เป็นชื่อของฌานซึ่งมีวิญญาณที่เป็นไปในอากาศเป็นอารมณ์. ในวิญญาณัญจายตนะนี้เป็นทุกขาปฏิปทา เพราะลำบากในความสิ้นไปแห่งนิกันติในอากาสานัญจายตนสมาบัติ เป็นทันธาภิญญา เพราะความชักช้าในการอบรมอัปปนาของผู้มีนิกันติให้สิ้นไป เป็นสุขาปฏิปทาและเป็นขิปปาภิญญาโดยปริยายตรงกันข้าม พึงทราบฌานนี้ว่าเป็นปริตตารมณ์ เพราะปรารภสมาบัติที่มีการเพิกกสิณเล็กน้อยเป็นอารมณ์เป็นไป พึงทราบว่าเป็นอัปปมาณารมณ์ โดยปริยายตรงกันข้าม คำที่เหลือเช่นเดียวกับคำก่อนนั่นแหละ.
               พึงทราบวินิจฉัยในคำแม้นี้ว่า วิญฺญาณญฺจายตนํ สมติกฺกมา (เพราะก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนะ) ต่อไป.
               วิญญาณัญจะ ชื่อว่าอายตนะ เพราะอรรถว่าเป็นที่ตั้งมั่นของฌานนั้นโดยนัยที่กล่าวไว้ในก่อนนั่นแหละ เพราะฉะนั้น แม้ฌานก็ชื่อว่าวิญญาณัญจายตนะ แม้อารมณ์ของฌานนั้นโดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแหละ ก็เรียกว่าวิญญาณัญจายตนะ พระโยคาวจรก้าวล่วงสิ่งทั้ง ๒ คือฌานนี้และอารมณ์นี้ด้วยประการฉะนี้ ด้วยการไม่ให้เป็นไป และด้วยไม่มนสิการ แล้วจึงเข้าถึงอากิญจัญญายตนะนี้อยู่ เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า ทรงรวมสิ่งทั้ง ๒ นี้ เข้าด้วยกันแล้วตรัสคำนี้ว่า เพราะก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนะ ดังนี้.
               พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อากิญฺจฺายตนสญฺญาสหคตํ นี้ต่อไป.
               ก็ฌานนี้ ชื่อว่าอากิญจนะ เพราะอรรถว่าไม่มีอะไรแม้หน่อยหนึ่ง. มีอธิบายว่า โดยที่สุดแม้เพียงภังคขณะก็ไม่พึงเหลือ คือ มิได้มีอยู่ ดังนี้. ความเป็นแห่งความไม่มีอะไรหน่อยหนึ่ง ชื่อว่าอากิญจัญญะ. คำว่า อากิญจัญญะ นี้เป็นชื่อของฌานที่ปราศจากอากาสานัญจายตนะและวิญญาณเป็นอารมณ์. อากิญจัญญะนั้นเป็นอายตนะด้วยอรรถว่าเป็นที่ตั้งมั่นด้วยสัญญานี้ เพราะฉะนั้น ฌานนี้จึงชื่อว่าอากิญจัญญายตนะ ฌานที่สหรคตด้วยสัญญาที่เป็นไปในอากิญจัญญายตนะนั้น ชื่อว่าอากิญจัญญายตนสหคตะ. คำว่า อากิญจัญญายตนสหคตะ นี้เป็นชื่อของฌานที่มีอารมณ์ปราศจากวิญญาณที่เป็นไปในอากาศ. ในอากิญจัญญายตนะนี้เป็นทุกขาปฏิปทา เพราะลำบากในการสิ้นแห่งนิกันติแห่งวิญญาณัญจายตนสมาบัติ เป็นทันธาภิญญา เพราะความช้าในการอบรมอัปปนาของผู้ใคร่ในการสิ้นไป เป็นสุขาปฏิปทาและขิปปาภิญญาโดยปริยายตรงกันข้าม พึงทราบชื่อว่า ความเป็นปริตตารมณ์ เพราะความมีอารมณ์ปราศจากวิญญาณที่เป็นไปในอากาศที่เพิกกสิณเล็กน้อย ชื่อว่าความเป็นอัปปมาณารมณ์ โดยปริยายตรงกันข้ามกับปริตตารมณ์. คำที่เหลือเช่นกับนัยก่อนทั้งนั้นแล.
               พึงทราบวินิจฉัยแม้ในคำว่า อากิญฺจญฺญายตนํ สมติกฺกมา นี้ต่อไป.
               อากิญจัญญะ โดยนัยก่อนนั่นแหละชื่อว่าเป็นอายตนะ เพราะอรรถว่าเป็นที่ตั้งมั่นของฌานนั้น เพราะฉะนั้น แม้ฌานก็ชื่อว่าอากิญจัญญายตนะ แม้อารมณ์ก็ชื่อว่าอากิญจัญญายตนะ โดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแหละ คำที่เหลือเช่นกับนัยก่อนทั้งนั้น พึงทราบการก้าวล่วงสิ่งแม้ทั้ง ๒ คือฌานนั้นด้วย อารมณ์นั้นด้วย โดยการกระทำไม่ให้เป็นไป และโดยไม่มนสิการ และพึงเข้าถึงเนวสัญญานาสัญญานี้อยู่ เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรวมสิ่งทั้ง ๒ นี้ แล้วตรัสว่า เพราะการก้าวล่วงอากิญจัญญายตนะ ดังนี้.
               พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า เนวสฺานาสญฺญายตนสหคตํ นี้ต่อไป.
               ก็ฌานนั้น ตรัสเรียกว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะสภาวะแห่งสัญญาใด สัญญานั้นย่อมมีแก่ผู้ปฏิบัติอย่างไร เพื่อแสดงสัญญานั้นก่อน จึงทรงยกบทว่า เนวสัญญีนาสัญญี ขึ้นในวิภังค์ แล้วตรัสว่า พระโยคาวจรย่อมมนสิการอากิญจัญญายตนะนั้นนั่นแหละโดยสงบ ย่อมเจริญสมาบัติอันมีสังขารเหลืออยู่ เพราะเหตุนั้น จึงตรัสเรียกว่า เนวสัญญีนาสัญญี ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สนฺตโต มนสิกโรติ (ย่อมมนสิการโดยความสงบ) ได้แก่ ย่อมมนสิการว่า สมาบัตินี้สงบหนอ เพราะทำแม้ความไม่มีให้เป็นอารมณ์ตั้งอยู่ได้ แล้วมนสิการสมาบัตินั้น ว่าเป็นความสงบ เพราะอารมณ์สงบ.
               ถามว่า ถ้ามนสิการโดยความสงบแล้ว การก้าวล่วงจะมีอย่างไร?
               ตอบว่า เพราะความเป็นผู้ต้องการจะไม่นึกถึง.
               จริงอยู่ พระโยคาวจรนั้นย่อมมนสิการฌานนั้นโดยความสงบแม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น การคำนึง การประมวลมามนสิการนั้นย่อมไม่มีแก่พระโยคีนั้นว่า เราจักนึกถึง เราจักเข้า เราจักอธิษฐาน เราจักออก เราจักพิจารณาฌานนั้น ดังนี้.
               ถามว่า เพราะเหตุไร?
               ตอบว่า เพราะเนวสัญญานาสัญญายตนะเป็นธรรมสงบกว่า ประณีตกว่าอากิญจัญญายตนะ.
               เหมือนอย่างว่า พระราชาเสด็จขึ้นทรงบนคอช้างตัวประเสริฐ เสด็จเที่ยวไปในทางพระนคร โดยอานุภาพแห่งพระราชาผู้เป็นใหญ่ ทรงทอดพระเนตรคนมีศิลปะมีช่างแกะสลักงาเป็นต้นนุ่งผ้าผืนหนึ่ง โผกผ้าผืนหนึ่งที่ศีรษะทะมัดทะแมงมีตัวเกลื่อนกล่น ด้วยผงงาเป็นต้นกำลังทำศิลปะแกะสลักงาเป็นต้นมิใช่น้อย ก็ทรงพอพระทัยในความฉลาดของช่างเหล่านั้น อย่างนี้ว่า น่าอัศจรรย์หนอ อาจารย์ผู้ฉลาดสามารถกระทำศิลปะทั้งหลายชื่อแม้เช่นนี้ได้ดังนี้ แต่มิได้มีพระดำริอย่างนี้ว่า โอหนอ ตัวเราก็พึงสละราชสมบัติแล้วเป็นนักศิลปะเช่นนี้ ดังนี้ ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร เพราะความที่ราชสมบัติมีค่ามาก พระองค์ก็ทรงเสด็จผ่านนักศิลปะทั้งหลายไป ฉันใด พระโยคาวจรก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมมนสิการสมาบัตินั้นโดยสงบแม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น ท่านก็ไม่คำนึง ไม่ประมวลมา ไม่มนสิการว่า เราจักนึกถึง จักเข้าสมาบัติ จักอธิษฐาน จักออก จักพิจารณาสมาบัตินี้ ดังนี้ เมื่อมนสิการสมาบัตินั้นโดยสงบอยู่ ย่อมบรรลุสัญญาถึงอัปปนาอันละเอียดอย่างยิ่งนั้นโดยนัยที่กล่าวไว้ในกาลก่อนนั่นแหละ ชื่อว่าเนวสัญญีนาสัญญี ย่อมมีด้วยสมาบัติใด ตรัสเรียกสมาบัตินั้นว่า พระโยคีย่อมเจริญสมาบัติมีสังขารที่เหลือเป็นอารมณ์ ดังนี้.
               คำว่า สมาบัติมีสังขารที่เหลือเป็นอารมณ์ คืออรูปสมาบัติที่ ๔ มีสังขารถึงความละเอียดที่สุด.
               บัดนี้ เพื่อทรงแสดงพระดำรัสที่ตรัสว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะ ด้วยสามารถแห่งสัญญาที่พระโยคาวจรบรรลุอย่างนี้โดยเนื้อความ จึงตรัสว่า บทว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะ ได้แก่ ธรรมทั้งหลายคือจิตและเจตสิกของบุคคลผู้เข้าสมาบัติเนวสัญญานาสัญญายตนะ หรือผู้บังเกิดขึ้นในเนวสัญญานาสัญญายตนภพ หรือพระขีณาสพผู้อยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม. บรรดาท่านทั้ง ๓ เหล่านั้น ในที่นี้ทรงประสงค์เอาธรรม คือจิตและเจตสิกของผู้เข้าสมาบัติ.
               ส่วนวจนัตถะในฌานนั้นพึงทราบดังนี้. ฌานที่ชื่อว่าเนวสัญญานาสัญญา (มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่) เพราะอรรถว่าสัญญาของฌานพร้อมทั้งสัมปยุตตธรรมมีอยู่ก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ คือไม่มีสัญญาหยาบ มีแต่สัญญาละเอียด ฌานนั้นเป็นสภาวะที่มีสัญญา ก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ด้วย เป็นอายตนะเพราะนับเนื่องด้วยมนายตนะและธรรมายตนะด้วย เพราะเหตุนั้น ฌานนั้นจึงชื่อว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ.
               อีกอย่างหนึ่ง สัญญาในฌานนี้ ชื่อว่าเนวสัญญา (ไม่ใช่สัญญา) เพราะไม่สามารถทำกิจของสัญญาได้โดยเฉพาะ และชื่อว่านาสัญญา (ไม่มีสัญญา) เพราะเป็นธรรมมีอยู่โดยละเอียดแห่งสังขารที่เหลือ เพราะฉะนั้น ฌานนั้นจึงชื่อว่าเนวสัญญานาสัญญา. ฌานที่ชื่อว่าเนวสัญญานาสัญญานั้นด้วย ชื่อว่าเป็นอายตนะ เพราะอรรถว่าเป็นที่ตั้งมั่นแห่งธรรมที่เหลือด้วย เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ.
               อนึ่ง ในเนวสัญญานาสัญญายตนฌานนี้ สัญญาเป็นเช่นนี้อย่างเดียวก็หาไม่ โดยที่แท้ แม้เวทนาก็ชื่อว่าเนวเวทนานาเวทนา (มีเวทนาก็มิใช่ไม่มีเวทนาก็มิใช่) แม้จิตก็ชื่อว่าเนวจิตตนาจิตตะ (มีจิตก็มิใช่ ไม่มีจิตก็มิใช่) แม้ผัสสะก็ชื่อว่าเนวผัสสนาผัสสะ (มีผัสสะก็มิใช่ ไม่มีผัสสะก็มิใช่). ในสัมปยุตตธรรมที่เหลือก็นัยนี้. แต่เทศนานี้พึงทราบว่า ทรงกระทำสัญญาให้เป็นประธาน. บัณฑิตพึงทราบเนื้อความนี้ด้วยอุปมาทั้งหลายตั้งแต่เรื่องน้ำมันทาบาตรเป็นต้น.
               ได้ยินว่า สามเณรเอาน้ำมันทาบาตรวางไว้ ในเวลาดื่มข้าวยาคู พระเถระกล่าวกะสามเณรว่า สามเณรจงนำบาตรมา สามเณรเรียนท่านว่า ในบาตรมีน้ำมันขอรับ ทีนั้นพระเถระจึงกล่าวว่า สามเณรจงนำมา เราจักใส่ให้เต็มทะนานตวงน้ำมัน สามเณรจึงเรียนว่า ท่านขอรับน้ำมันไม่มี.
               ในการอุปมานั้น น้ำมันชื่อว่ามีอยู่ เพราะอรรถว่าเป็นของไม่ควรกับข้าวยาคู เพราะความมีอยู่ในภายใน น้ำมันนั้นชื่อว่าไม่มี เพราะความไม่มีใส่วัตถุทั้งหลายมีทะนานเป็นต้นฉันใด สัญญาแม้นั้นก็ฉันนั้น ชื่อว่าสัญญาก็มิใช่ เพราะไม่สามารถเพื่อทำกิจของสัญญาโดยเฉพาะ และชื่อว่าไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ เพราะความมีอยู่โดยความเป็นของละเอียดแห่งสังขารที่เหลือ.
               ถามว่า ก็ในฌานนี้ กิจของสัญญาเป็นอย่างไร?
               ตอบว่า กิจของสัญญาคือการจำได้หมายรู้อารมณ์ และการเข้าถึงความเป็นอารมณ์แห่งวิปัสสนาแล้วเกิดความเบื่อหน่าย.
               จริงอยู่ สัญญานั้นไม่อาจทำกิจคือการจำได้หมายรู้โดยฉับพลัน ดุจเตโชธาตุในน้ำ (เดือดจน) แห้ง ไม่สามารถทำกิจคือการเผาไหม้. สัญญานี้ไม่อาจเพื่อทำแม้เข้าถึงความเป็นอารมณ์แห่งวิปัสสนาแล้วให้เกิดความเบื่อหน่ายเหมือนสัญญาในสมาบัติอื่นที่เหลือ (เว้นสัญญาในฌานนี้) เพราะว่า ภิกษุไม่ได้อาศัยขันธ์เหล่าอื่นทำไว้ จึงชื่อว่าไม่สามารถเพื่อพิจารณาขันธ์ คือเนวสัญญานาสัญญายตนะแล้วบรรลุนิพพิทา. ถึงท่านพระสารีบุตรเถระผู้เห็นแจ้งโดยปกติ และท่านที่มีปัญญามากพึงสามารถเช่นกับพระสารีบุตร แม้ท่านนั้นก็พึงเห็นได้ด้วยสามารถการพิจารณาเป็นกลาปะ (กองๆ) เท่านั้นอย่างนี้ว่า นัยว่าธรรมเหล่านี้ไม่มีแล้วก็มี ครั้นมีแล้วก็ปรวนแปรไป มิใช่เห็นด้วยสามารถแห่งวิปัสสนาธรรมตามบท สมาบัตินี้ถึงความละเอียดอย่างนี้ บัณฑิตพึงทราบเนื้อความนี้ด้วยการอุปมาเหมือนน้ำในหนทาง เหมือนอุปมาด้วยน้ำมันทาบาตรต่อไป.
               ได้ยินว่า สามเณรเดินไปข้างหน้าพระเถระผู้เดินทางเห็นน้ำหน่อยหนึ่ง แล้วเรียนพระเถระว่า ท่านขอรับ มีน้ำ โปรดถอดรองเท้าเถอะครับ ลำดับนั้น พระเถระกล่าวว่า ถ้ามีน้ำ เธอจงนำผ้าอาบน้ำมา ฉันจักสรงน้ำ สามเณรเรียนว่า น้ำไม่มีขอรับ ดังนี้.
               ในคำอุปมานั้นพึงทราบว่า ชื่อว่าน้ำมีอยู่ ด้วยอรรถว่าเพียงเปียกรองเท้า ที่ชื่อว่าไม่มี ด้วยอรรถว่าไม่พอที่จะอาบฉันใด สมาบัตินั้นก็ฉันนั้น ชื่อว่าเนวสัญญา (ไม่มีสัญญา) เพราะไม่สามารถทำกิจของสัญญาโดยฉับพลันได้ ชื่อว่าไม่มีสัญญาก็มิใช่ เพราะสัญญามีอยู่ โดยความเป็นของละเอียดแห่งสังขารที่เหลือ และมิใช่จะเปรียบด้วยข้ออุปมาเหล่านี้เท่านั้น พึงยังเนื้อความนี้ให้แจ่มแจ้งด้วยอุปมาที่สมควรแม้อื่นอีก.
               โดยนัยที่กล่าวมา ฌานชื่อว่าเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญาสหคตะ เพราะอรรถว่าสหรคตด้วยสัญญาที่เป็นไปในเนวสัญญานาสัญญายตนะนี้ หรือสหรคตด้วยสัญญาที่เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะ คำนี้เป็นชื่อของฌานที่มีอารมณ์ (ก้าวล่วง) อากิญจัญญายตนสมาบัติ. ในฌานนี้ชื่อว่าเป็นทุกขาปฏิปทา เพราะเป็นทุกข์ในการสิ้นไปแห่งนิกันติในอากิญจัญญายตนสมาบัติ ที่ชื่อว่าทันธาภิญญา เพราะความชักช้าในการอบรมอัปปนาของผู้มีนิกันติที่สิ้นไป ชื่อว่าเป็นสุขาปฏิปทาและขิปปาภิญญา โดยปริยายตรงกันข้าม. พึงทราบความเป็นปริตตารมณ์ เพราะปรารภสมาบัติมีอารมณ์ปราศจากวิญญาณที่เป็นไปในอากาศซึ่งเพิกกสิณขึ้นเล็กน้อยเป็นไป พึงทราบความเป็นอัปปมาณารมณ์โดยปริยายตรงกันข้าม คำที่เหลือเช่นกับนัยก่อนนั่นแหละ.
                                   พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นนาถะ มีพระรูป
                         ไม่มีใครเสมอเหมือน ตรัสอรูปฌาน ๔ อย่าง
                         อันใดไว้ พระโยคีครั้นทราบอรูปฌาน ๔ นั้น
                         แล้ว พึงรู้แม้กถาปกิณณกะในอรูปฌานนั้น
                         ต่อไป.
               เพราะอรูปสมาบัติ
                                   แม้ทั้ง ๔ เหล่านี้ ย่อมมีเพราะการ
                         ก้าวล่วงอารมณ์ นักปราชญ์ผู้มีปัญญาไม่
                         ปรารถนา จะละเลยอธิบายองค์แห่งสมาบัติ
                         เหล่านั้น.
               จริงอยู่ บรรดาสมาบัติเหล่านั้น พึงทราบอรูปสมาบัติทั้ง ๔ ซึ่งเกิดขึ้นโดยการก้าวล่วงอารมณ์โดยประการทั้งปวง คืออรูปสมาบัติที่หนึ่งก้าวล่วงฌานที่มีรูปนิมิต อรูปสมาบัติที่ ๒ ก้าวล่วงอากาศ อรูปสมาบัติที่ ๓ ก้าวล่วงวิญญาณที่เป็นไปในอากาศ อรูปสมาบัติที่ ๔ ก้าวล่วงโดยการปราศจากวิญญาณที่เป็นไปในอากาศ.
               แต่บัณฑิตทั้งหลายไม่ปรารถนาการก้าวล่วงองค์ในสมาบัติเหล่านั้น ซึ่งไม่มีเหมือนรูปาวจรสมาบัติ ด้วยว่าในรูปาวจรสมาบัติทั้งหมดเหล่านั้น ย่อมมีองค์ของฌาน ๒ เท่านั้น คือ อุเบกขา และเอกัคคตาจิต.
               แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น
                                   สมาบัติที่เกิดหลังๆ ในที่นี้ ก็เป็น
                         สภาพประณีตดีกว่าสมาบัติก่อนๆ พึงทราบ
                         อุปมาในสมาบัติเหล่านั้น ดุจพื้นปราสาท
                         และผ้าสาฎก ต่อไป.
               เหมือนอย่างว่า ปราสาท ๔ ชั้น ปราสาทชั้นล่างสุดมีกามคุณ ๕ อันประณีตด้วยอำนาจแห่งการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี กลิ่นหอมดอกไม้อันน่าพอใจ เครื่องดื่มโภชนะมีรสอันดี มีที่นั่งที่นอน และเสื้อผ้าอันเป็นทิพย์เป็นต้นปรากฏแล้ว ปราสาทชั้นที่ ๒ มีกามคุณเหล่านั้นประณีตกว่าชั้นที่หนึ่ง ปราสาทชั้นที่ ๓ มีกามคุณเหล่านั้นประณีตกว่าชั้นที่สอง ปราสาทชั้นที่ ๔ มีกามคุณเหล่านั้นประณีตกว่าทุกชั้น.
               ในปราสาทเหล่านั้น พื้นของปราสาทแม้ทั้ง ๔ เหล่านั้น ไม่มีความต่างกันแม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น ปราสาทชั้นบนๆ ก็ประณีตกว่าปราสาทชั้นล่างๆ เพราะวิเศษกว่าด้วยสัมฤทธิ์แห่งกามคุณ ๕ และเปรียบเหมือนผ้าสาฎก ๔ ชั้น ๓ ชั้น ๒ ชั้น และ ๑ ชั้นของด้วยอย่างหยาบ อย่างละเอียด อย่างละเอียดกว่า อย่างละเอียดที่สุดซึ่งหญิงคนหนึ่งกรอไว้โดยกว้างและยาวเท่ากัน บรรดาผ้าสาฎกเหล่านั้น แม้ทั้ง ๔ มีกว้างยาวเท่ากัน ไม่แปลกกัน แต่ว่า ผ้าที่ทอครั้งหลังๆ ประณีตกว่าที่ทอครั้งก่อนๆ โดยมีสัมผัสสบาย มีเนื้อละเอียดและมีค่ามาก ฉันใด ในอรูปฌานสมาบัติแม้ทั้ง ๔ เหล่านี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน องค์ฌานเหล่านี้มีเพียง ๒ อย่าง คืออุเบกขาและเอกัคคตาจิตเท่านั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น ในที่นี้พึงทราบว่า องค์ฌานหลังๆ ประณีตดีกว่า โดยความประณีตและประณีตกว่าองค์ฌานเหล่านั้น เพราะการเจริญวิเศษโดยแท้ ก็ฌานเหล่านี้ประณีตและประณีตโดยลำดับ ด้วยประการฉะนี้.
               (พึงทราบอุปมาต่อไป)
                                   บุรุษคนหนึ่งยืนเกาะมณฑปในที่ไม่สะอาด
                         อีกคนหนึ่งยืนอาศัยบุรุษผู้นั้น อีกคนหนึ่งไม่อาศัย
                         ยืนอยู่ภายนอก อีกคนหนึ่งอาศัยคนที่อยู่ภายนอก
                         ยืนอยู่ บัณฑิตผู้มีปรีชา พึงทราบอรูปแม้ทั้ง ๔ โดย
                         ความเป็นสภาวะเสมอกัน ดุจบุรุษ ๔ คนเหล่านี้
                         โดยลำดับ.
               ในคาถานั้น พึงทราบการประกอบเนื้อความ ดังต่อไปนี้.
               ได้ยินว่า มณฑปหลังหนึ่งตั้งอยู่ในที่ไม่สะอาด ภายหลังบุรุษคนหนึ่งเดินมาจากบุรุษ ๔ คนเหล่านั้นโดยลำดับ รังเกียจอยู่ซึ่งที่อันไม่สะอาดนั้น จึงเอามือยึดมณฑปนั้นยืนอยู่ ดุจยึดติดที่มณฑปนั้น ภายหลังอีกคนหนึ่งมายืนพิงบุรุษซึ่งติดที่มณฑปนั้น ต่อมาคนอื่นอีกมาแล้วคิดว่า บุคคลคนที่ยืนเกาะมณฑป และบุรุษที่ยืนพิงทั้ง ๒ คนนี้ยืนไม่ดี และเขาทั้ง ๒ นั้นจะตกไปในบ่อที่ไม่สะอาดของมณฑป เอาเถอะเราจักยืนในภายนอกมณฑป ด้วยเหตุนั้น เขาจึงไม่ยืนอาศัยคนที่ยืนพิงนั้น แล้วไปยืนอยู่ภายนอกมณฑปทีเดียว ต่อมามีบุรุษอีกคนหนึ่งมาแล้วคิดเห็นว่า บุรุษคนที่ยืนเกาะมณฑป และบุรุษคนที่ยืนพิงบุรุษนั้นไม่มีความเกษม รู้ว่าคนที่ยืนอยู่ภายนอกมณฑปยืนดีแล้ว จึงได้ยืนพิงบุรุษคนนั้น.
               ในคำเหล่านั้น บัณฑิตพึงเห็นอากาศที่เพิกกสิณขึ้น พึงเห็นเหมือนมณฑปในประเทศที่ไม่สะอาด. อากาสานัญจายตนฌานซึ่งมีอากาศเป็นอารมณ์ เพราะรังเกียจรูปนิมิต พึงเห็นเหมือนบุรุษยืนเกาะมณฑป เพราะรังเกียจของไม่สะอาด. วิญญาณัญจายตนฌานที่ปรารภอากาสานัญจายตนฌานซึ่งมีอากาศ เป็นอารมณ์เป็นไปแล้ว พึงเห็นเหมือนบุรุษคนยืนพิงคนที่ยืนเกาะมณฑป. อากิญจัญญายตนฌาน ไม่ทำอากาสานัญจายตนฌานให้เป็นอารมณ์ ทำความไม่มีแห่งอากาสานัญจายตนะนั้นให้เป็นอารมณ์ เปรียบเหมือนบุรุษคิดถึงความไม่เกษมของบุรุษแม้ทั้งสองนั้น จึงไม่อาศัยบุรุษนั้นแล้วไปยืนภายนอก. เนวสัญญานาสัญญายตนฌานที่ปรารภอากิญจัญญายตนะซึ่งตั้งอยู่ในประเทศภายนอก กล่าวคือความไม่มีวิญญาณเป็นไปแล้ว พึงเห็นเหมือนบุรุษคิดว่า บุรุษผู้ยืนเกาะมณฑป และบุรุษผู้ยืนพิง ทั้งสองนั้นไม่มีความเกษม รู้ว่าบุรุษผู้ยืนอยู่ภายนอกเป็นผู้ยืนดีแล้ว จึงยืนพิงบุรุษนั้นอยู่ฉะนั้น.
               ก็เนวสัญญานาสัญญายตนะ เมื่อจะเป็นไปได้อย่างนี้
                                   ย่อมกระทำอรูปฌาน ๓ นี้ ให้เป็น
                         อารมณ์ เพราะความไม่มีอารมณ์อื่นเหมือน
                         ประชาชนยกพระราชาขึ้นครองราชย์ แม้ที่
                         ตนเห็นว่าไม่ดี เพราะเหตุแห่งการเป็นอยู่.
               จริงอยู่ เนวสัญญานาสัญญายตนะนี้ ย่อมทำอากิญจัญญายตนะนั้น แม้อันเห็นแล้วไม่ดีอย่างนี้ว่า อากิญจัญญายตนสมาบัตินี้ มีวิญญาณัญจายตนะเป็นข้าศึกใกล้ให้เป็นอารมณ์ เพราะความไม่มีอารมณ์อื่น.
               ถามว่า เหมือนอะไร.
               ตอบว่า เหมือนประชาชนยกพระราชาที่ตนเห็นว่าไม่ดีขึ้น ครองราชย์เพราะเหตุแห่งการเป็นอยู่เป็นเหตุ. เหมือนอย่างว่า พระราชาผู้เป็นใหญ่ในทวีปทั้งหมด องค์หนึ่ง ไม่สำรวมมีความประพฤติทางกาย วาจาและทางใจหยาบคาย ประชาชนเห็นโทษอย่างนี้ว่า พระราชาองค์นี้มีวาจาหยาบคาย แต่เมื่อไม่ได้ความเป็นอยู่ในที่อื่น จึงต้องอาศัยพระราชาพระองค์นั้น เพราะเหตุแห่งการเป็นอยู่ ฉันใด เนวสัญญานาสัญญายตนะนี้ เมื่อไม่ได้อารมณ์อื่น ก็กระทำอากิญจัญญายตนะ แม้ที่ตนเห็นแล้วว่าไม่ดีนั้นให้เป็นอารมณ์ ฉันนั้นนั่นแหละ.
               อนึ่ง ฌานคือเนวสัญญานาสัญญายตนะนี้ เมื่อทำอยู่ด้วยอาการอย่างนี้
                                   ย่อมอาศัยอรูปฌานที่ ๓ นี้จึงเป็นไปได้แล
                         เหมือนบุคคลขึ้นบันไดยาว พึงเกาะแม่บันไดไว้
                         และเหมือนบุคคลขึ้นสู่ยอดภูเขาพึงเกาะยอดภูเขา
                         หรือเหมือนบุคคลขึ้นสู่ภูเขาศิลา ก็ต้องอาศัยเข่า
                         ของตนเท่านั้นฉะนั้น.
               อรูปาวจรกุศล จบ.               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ธรรมสังคณีปกรณ์ จิตตุปปาทกัณฑ์ กุศลธรรม อรูปาวจรกุศล อรูปฌาน ๔ จบ.
อ่านอรรถกถา 34 / 1อ่านอรรถกถา 34 / 191อรรถกถา เล่มที่ 34 ข้อ 192อ่านอรรถกถา 34 / 193อ่านอรรถกถา 34 / 970
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=34&A=1997&Z=2023
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=53&A=6403
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=53&A=6403
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๕  กุมภาพันธ์  พ.ศ.  ๒๕๕๗
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :