ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 34 / 1อ่านอรรถกถา 34 / 878อรรถกถา เล่มที่ 34 ข้อ 900อ่านอรรถกถา 34 / 906อ่านอรรถกถา 34 / 970
อรรถกถา ธรรมสังคณีปกรณ์
อัตถุทธารกัณท์ เหตุโคจฉกะเป็นต้น

               อัฏฐกถากัณฑวรรณนา               
               พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสเหตุโคจฉกทุกะ ต่อไป
               พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงเหตุโดยนัยมีอาทิว่า ตโย กุสลเหตู ดังนี้แล้ว ทรงประสงค์จะแสดงเหตุเหล่านั้นนั่นแหละโดยฐานะแห่งการเกิดขึ้นอีก จึงตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า จตูสุ ภูมีสุ กุสเลสุ อุปฺปชฺชนฺติ (บังเกิดในกุศลทั้ง ๔ ภูมิ) ดังนี้. นัยแห่งเทศนาแม้ในโคจฉกะที่เหลือบัณฑิตพึงทราบโดยอุบายนี้.
               ในนิทเทสแห่งอาสวทุกะ (บาลีข้อ ๙๑๗) ว่า ยตฺถ เทฺว ตโย อาสวา เอกโต อุปฺปชฺชนฺติ
               (อาสวะ ๒-๓ อย่าง บังเกิดร่วมกันในจิตตุปบาทใด) นี้ บัณฑิตพึงทราบ ความเกิดขึ้นแห่งอาสวะรวมกัน ๓ อย่าง.
               บรรดาอาสวะเหล่านั้น กามาสวะย่อมเกิดรวมกันโดย ๒ อย่าง คือเกิดขึ้นในทิฏฐิวิปปยุต ๔ ดวงรวมกับอวิชชาสวะ เกิดขึ้นในทิฏฐิสัมปยุต ๔ ดวง พร้อมกับทิฏฐาสวะและอวิชชาสวะ ส่วนภวาสวะย่อมเกิดรวมกันอย่างเดียว คือเกิดในทิฏฐิวิปปยุต ๔ พร้อมกับอวิชชาสวะ.
               อนึ่ง ในคำว่า อาสวะ ๒-๓ อย่างบังเกิดร่วมกัน นี้ฉันใด แม้ในคำว่า สัญโญชน์ ๒-๓ บังเกิดรวมกันในจิตตุปบาทใด นี้ก็ฉันนั้น คือการเกิดของสัญโญชน์ทั้งหลายรวมกันพึงมี ๑๐ อย่าง.
               บรรดาสัญโญชน์เหล่านั้น กามราคสัญโญชน์ย่อมเกิดร่วมกัน ๔ อย่าง ปฏิฆะย่อมเกิดร่วมกัน ๓ อย่าง มานะย่อมเกิดร่วมกัน ๑ อย่าง วิจิกิจฉาและภวราคะก็เกิดร่วมกันอย่างละ ๑ อย่างเหมือนกัน ข้อนี้เป็นอย่างไร
               คือกามราคสัญโญชน์ก่อน เกิดร่วมกัน ๔ อย่างคือ เกิดร่วมกันกับมานสัญโญชน์และอวิชชาสัญโญชน์ ๑ เกิดร่วมกันกับทิฏฐิสัญโญชน์และอวิชชาสัญโญชน์ ๑ เกิดร่วมกันกับสีลัพพตปรามาสและอวิชชาสัญโญชน์ ๑ เกิดร่วมกันกับอวิชชาสัญโญชน์เพียงเท่านั้น ๑.
               ก็ปฏิฆสัญโญชน์เกิดร่วมกัน ๓ อย่างนี้ คือ เกิดร่วมกันกับอิสสาสัญโญชน์และอวิชชาสัญโญชน์ ๑ เกิดร่วมกันกับมัจฉริยสัญโญชน์และอวิชชาสัญโญชน์ ๑ เกิดร่วมกันกับอวิชชาสัญโญชน์เพียงเท่านั้น ๑.
               มานสัญโญชน์ย่อมเกิดร่วมกันพร้อมกับภวราคสัญโญชน์และอวิชชาสัญโญชน์. วิจิกิจฉาสัญโญชน์ก็ฉันนั้นเหมือนกัน.
               จริงอยู่ วิจิกิจฉาสัญโญชน์นั้นย่อมเกิดร่วมกันอย่างเดียว คือร่วมกันกับอวิชชาสัญโญชน์. แม้ในภวราคสัญโญชน์ก็นัยนี้แหละ สัญโญชน์ ๒-๓ เกิดร่วมกันในจิตตุปบาทนี้ ด้วยประการฉะนี้.

               ว่าด้วยนีวรณโคจฉกทุกะ               
               พระดำรัสใดที่ตรัสไว้ในนีวรณโคจฉกะ (บาลีข้อ ๙๓๕) ว่า ยตฺถ เทฺว ตีณิ นีวรณานิ เอกโต อุปฺปชฺชนฺติ (นิวรณ์ ๒-๓ อย่างบังเกิดร่วมกันในจิตตุปบาทใด) ดังนี้ แม้ในพระดำรัสนั้น บัณฑิตก็พึงทราบความบังเกิดร่วมกันแห่งนิวรณ์ทั้งหลายมี ๘ อย่าง.
               จริงอยู่ ในบรรดานิวรณ์เหล่านั้น กามฉันทเกิดร่วมกัน ๒ อย่าง พยาบาทเกิดร่วมกัน ๔ อย่าง อุทธัจจะเกิดร่วมกันอย่างเดียว วิจิกิจฉาก็เกิดร่วมกันอย่างเดียวเหมือนกัน ข้อนี้เป็นอย่างไร?
               คือ กามฉันทะก่อนย่อมเกิดร่วมกัน ๒ อย่าง คือเกิดร่วมกับอุทธัจจนิวรณ์และอวิชชานิวรณ์ในอสังขาริกจิต ๑ เกิดร่วมกันกับถีนนิวรณ์ มิทธนิวรณ์ อุทธัจจนิวรณ์และอวิชชานิวรณ์ในสสังขาริกจิต ๑. ก็คำใดที่ตรัสว่า นิวรณ์เกิดร่วมกัน ๒-๓ นั้น คำนั้น ข้าพเจ้ากล่าวโดยการกำหนดไว้ในเบื้องต้นแล้ว เพราะฉะนั้น การบังเกิดร่วมกันแห่งนิวรณ์แม้ทั้ง ๔ ก็ย่อมถูกต้องทีเดียว.
               ส่วนพยาบาทบังเกิดร่วมกัน ๔ อย่าง คือเกิดร่วมกับอุทธัจจนิวรณ์และอวิชชานิวรณ์ในอสังขาริกจิต ๑ เกิดร่วมกับถีนนิวรณ์ มิทธนิวรณ์ อุทธัจจนิวรณ์และอวิชชานิวรณ์ในสสังขาริกจิต ๑ เกิดร่วมกับอุทธัจจนิวรณ์ กุกกุจจนิวรณ์และอวิชชานิวรณ์ในอสังขาริกจิต ๑ เกิดร่วมกับถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจนิวรณ์ กุกกุจจนิวรณ์และอวิชชานิวรณ์ในสสังขาริกจิต ๑. ส่วนอุทธัจจนิวรณ์เกิดร่วมกันมีอย่างเดียว คือเกิดร่วมกับอวิชชานิวรณ์เพียงอย่างเดียว วิจิกิจฉาก็เกิดร่วมกันอย่างเดียว คือเกิดกับอุทธัจจนิวรณ์และอวิชชานิวรณ์.

               ว่าด้วยกิเลสโคจฉกทุกะ               
               แม้พระดำรัสนี้ใดที่ตรัสไว้ในกิเลสโคจฉกะ (ข้อ ๙๖๘) ว่า ยตฺถ เทฺว ตโย กิเลสา เอกโต อุปฺปชฺชนฺติ (กิเลส ๒-๓ อย่างเกิดร่วมกันในจิตตุปบาทใด) ดังนี้. ในพระบาลีนั้นบัณฑิตพึงทราบเนื้อความอย่างนี้ว่า กิเลส ๒-๓ อย่าง เกิดร่วมกับกิเลสเหล่าอื่น หรือกิเลส ๓ อย่าง เกิดร่วมกับกิเลสเหล่าอื่น ดังนี้ เพราะเหตุไร เพราะไม่มีกิเลส ๒ หรือ ๓ อย่างเกิดร่วมกัน ในพระบาลีนั้น การเกิดขึ้นร่วมกันแห่งกิเลสมี ๑๐ อย่าง.
               จริงอยู่ ในบรรดากิเลส ๑๐ เหล่านี้ โลภกิเลสย่อมเกิดร่วมกัน ๖ อย่าง ปฏิฆกิเลสเกิดร่วมกัน ๒ อย่าง โมหกิเลสก็พึงทราบ ๒ อย่างเหมือนกัน.
               พึงทราบอย่างไร? คือ
               โลภะก่อนเกิดร่วมกัน ๖ อย่าง คือ เกิดร่วมกับโมหะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะในอสังขาริกทิฏฐิวิปปยุตตจิต ๑
               เกิดร่วมกับโมหะ ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะในสสังขาริกทิฏฐิวิปปยุตตจิต ๑
               เกิดร่วมกับโมหะ มานะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะในอสังขาริกจิตนั่นแหละ ๑
               เกิดร่วมกับโมหะ มานะ ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะในสสังขาริกจิตนั่นแหละ ๑
               อนึ่ง เกิดร่วมกับโมหะ อุทธัจจะ ทิฏฐิ อหิริกะ อโนตตัปปะในอสังขาริกอันสัมปยุตด้วยทิฏฐิ ๑
               เกิดร่วมกับโมหะ ทิฏฐิ ถีนะ มิทธะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตัปปะในสสังขาริกประกอบด้วยทิฏฐิ ๑.
               ส่วนปฏิฆะเกิดร่วมกัน ๒ อย่าง อย่างนี้ คือ เกิดร่วมกับโมหะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะในอสังขาริกจิต ๑ เกิดร่วมกับโมหะ ถีนะ อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะในสสังขาริกจิต ๑.
               ส่วนโมหะเกิดร่วมกัน ๒ อย่าง คือ เกิดพร้อมกับวิจิกิจฉา อุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะในจิตที่สัมปยุตด้วยวิจิกิจฉา ๑ เกิดพร้อมกับอุทธัจจะ อหิริกะ อโนตตัปปะในจิตที่สัมปยุตด้วยอุทธัจจะ ๑.
               คำที่เหลือในที่ทั้งปวงมีเนื้อความตื้นทั้งนั้นแล.
               อัฏฐกถากัณฑวรรณนา               
               แห่งอัฏฐสาลินี อรรถกถาธรรมสังคณี จบ.               

               นิคมกถา               
               ก็ด้วยคำมีประมาณเท่านี้
               พระโลกนารถเจ้า เมื่อจะทรงจำแนกจิตตุปปาทกัณฑ์ รูปกัณฑ์ นิกเขปกัณฑ์ และอัตถุทธารกัณฑ์ อันน่ารื่นรมย์ใจ ทรงแสดงพระธรรมสังคณีใด การพรรณนาเนื้อความแห่งพระธรรมสังคณีที่ได้ทรงรวบรวมธรรมโดยสิ้นเชิงแห่งพระอภิธรรมปิฎก ซึ่งทรงตั้งไว้แล้วนั้น ข้าพเจ้าได้เริ่มแล้ว การพรรณนาเนื้อความนี้นั้นเข้าถึงความสำเร็จแล้วโดยชื่อว่าอัฏฐสาลินี เพราะมีเนื้อความไม่อากูลโดยพระบาลี ๓๙ ภาณวาร เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม.
               กุศลใดที่ข้าพเจ้ายังอรรถวรรณนาให้จบลงนั้นสำเร็จแล้วด้วยอานุภาพแห่งกุศลนั้น ขอสัตว์แม้ทั้งหมดจงรู้พระธรรมของพระธรรมราชา อันนำมาซึ่งความสุขแล้ว จงบรรลุสันติสุขคือพระนิพพานอันยอดเยี่ยม หาความโศกมิได้ ไม่มีความคับแค้นใจ ด้วยข้อปฏิบัติอันบริสุทธิ์โดยง่าย.
               ขอพระสัทธรรมจงดำรงอยู่สิ้นกาลนาน ขอเหล่าสัตว์แม้ทั้งหมดจงเคารพธรรม ขอฝนจงตกต้องตามฤดูกาล พระราชาแต่เก่าก่อนทรงคุณธรรมอันดีทรงปกครองปวงประชาโดยธรรมฉันใด ขอพระราชาปัจจุบันจงทรงปกครองปวงประชาโดยธรรม ดุจพระโอรสของพระองค์ฉันนั้นเถิด.


               อรรถกถาธรรมสังคณี ชื่อว่าอัฏฐสาลินี นี้อันพระเถระผู้มีนามที่ครูทั้งหลายขนาน๑- แล้วว่า พุทธโฆสะ ผู้ประดับด้วย ศรัทธา ปัญญาและวิริยะอันหมดจดอย่างยิ่ง ผู้ยังหมู่แห่งคุณมีศีลอาจาระความซื่อตรง ความอ่อนโยนเป็นต้นให้ตั้งขึ้นแล้ว ผู้สามารถหยั่งลงสู่ชัฏ (การวินิจฉัยข้อความที่ยุ่งยาก) ในความแตกต่างกันแห่งลัทธิของตนและคนอื่น ผู้ประกอบด้วยความเฉลียวฉลาดด้วยปัญญา ผู้มีปรีชาญาณอันไม่ติดขัดในสัตถุศาสน์ อันต่างด้วยปริยัติคือพระไตรปิฎกพร้อมทั้งอรรถกถา ผู้เป็นมหาไวยากรณ์ ผู้อธิบายเนื้อความได้กว้างขวาง ผู้ประกอบด้วยถ้อยคำไพเราะอันเลิศซึ่งเปล่งออกไปได้คล่องแคล่วอันเกิดแต่กรณสมบัติ เป็นนักพูดชั้นเยี่ยมโดยทั้งผูกทั้งแก้ เป็นมหากวี เป็นอลังการแห่งวงศ์ของเหล่าพระเถระฝ่ายมหาวิหารซึ่งเป็นประทีปแห่งเถรวงศ์๒- ผู้มีความรู้อันตั้งมั่นดีแล้วในอุตริมนุสธรรมประดับด้วยคุณมีการแตกฉานในอภิญญา ๖ เป็นต้น มีปฏิสัมภิทาอันแตกฉานแล้วเป็นบริวาร เป็นผู้มีความรู้ไพบูลย์และหมดจดวิเศษแล้ว รจนาไว้.
                                   ขออรรถกถาธรรมสังคณีชื่อ อัฏฐสาลีนีนี้
                         อันแสดงนัยแห่งปัญญาวิสุทธิ์ แก่กุลบุตรทั้งหลาย
                         ผู้แสวงหาธรรมเครื่องสลัดออกจากโลก จงดำรง
                         อยู่ในโลกตราบเท่าพระนามว่า “พุทโธ” ของพระ
                         โลกเชษฐ์เจ้า ผู้เป็นพระมหาฤาษี ผู้มีพระทัยบริสุทธิ์
                         ผู้คงที่ ยังเป็นไปในโลก เทอญ.
____________________________
๑- ในที่นี้กล่าว นามเธยฺย (การตั้งชื่อ) เป็นของพระพุทธโฆสาจารย์ที่ครูทั้งหลายขนานให้มีถึง ๑๓ บท.
๒- เถรวงศ์ หมายถึงพระมหากัสสปเถระเป็นต้น และคำว่า " ผู้มีความรู้อันตั้งมั่นดีแล้วในอุตริมนุสธรรมประดับด้วยคุณมีการแตกฉานในอภิญญา ๖ เป็นต้น มีปฏิสัมภิทาอันแตกฉานดีแล้วเป็นบริวาร" เหล่านี้ เป็นคุณของพระมหากัสสปเถระเป็นต้น.
               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ธรรมสังคณีปกรณ์ อัตถุทธารกัณท์ เหตุโคจฉกะเป็นต้น จบ.
อ่านอรรถกถา 34 / 1อ่านอรรถกถา 34 / 878อรรถกถา เล่มที่ 34 ข้อ 900อ่านอรรถกถา 34 / 906อ่านอรรถกถา 34 / 970
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=34&A=7834&Z=8537
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=53&A=11965
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=53&A=11965
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๓  กุมภาพันธ์  พ.ศ.  ๒๕๕๗
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :