ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 36.2 / 1อ่านอรรถกถา 36.2 / 147อรรถกถา เล่มที่ 36.2 ข้อ 148อ่านอรรถกถา 36.2 / 150อ่านอรรถกถา 36.2 / 152
อรรถกถา ปุคคลบัญญัติปกรณ์
บุคคลบัญญัติ สัตตกนิทเทส

               อรรถกถาสัตตกนิทเทส               
               อธิบายบุคคล ๗ จำพวก               
               ข้อว่า "สกึ นิมุคฺโค" ความว่า บุคคลบางคน จมลงแล้วสิ้นวาระหนึ่ง.
               บทว่า "เอกนฺตกาฬเกหิ" ได้แก่ ด้วยธรรม คือนิยตมิจฉาทิฏฐิทั้งหลาย คือนัตถิกวาทะและอกิริยวาทะ อันดำอย่างเดียวเท่านั้น.
               ข้อว่า "เอวํ ปุคฺคโล" ความว่า บุคคลจมลงสิ้นวาระหนึ่งด้วยเหตุนี้ คือด้วยนิยตมิจฉาทิฏฐินี้ แล้วก็จมอยู่อย่างนั้นนั่นแหละ. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า "ก็ชื่อว่าการออกจากภพของนิยตมิจฉาทิฏฐินั้น ย่อมไม่มี" เชื้อไฟ คือสัตว์นรกทั้งหลาย มีอยู่ในภายใต้นั่นแหละ เหมือนศาสดาทั้งหลายมีมักขลิโคศาลเป็นต้น.
               ข้อว่า "สาหุ สทฺธา กุสเลสุ ธมฺเมสุ" ความว่า ย่อมโผล่ขึ้นในกุศลธรรมทั้งหลาย ด้วยการคิดว่า "ชื่อว่าศรัทธา เป็นลัทธิที่ดี" บุคคลนั้น ชื่อว่าย่อมโผล่ขึ้นด้วยกุศลธรรมมีประมาณเท่านั้น นั่นแหละ.
               แม้ในคำว่า "สาธุ หิริ" แปลว่า ความละอายเป็นลัทธิที่ดีเป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
               บทว่า "หายติเมว" ความว่า ผู้นั้นย่อมเสื่ยมอย่างเดียวเท่านั้น เหมือนน้ำที่เทลงในเปือกตม.
               ข้อว่า "เอวํ ปุคฺคโล" ความว่า ก็นิยตมิจฉาทิฏฐิบุคคลนั้นโผล่ขึ้นสิ้นวาระหนึ่งด้วยสามารถแห่งศรัทธาเป็นต้นเหล่านี้ว่า "เอวํ สาหุ สทฺธา" แปลว่า ศรัทธาเป็นความดีอย่างนี้ดังนี้ และก็จมลงเพราะความเสื่อมจากธรรมมีศรัทธาเป็นต้นนั้นนั่นแหละ เหมือนพระเทวทัตเป็นต้น.
               ความย่อว่า พระเทวทัตแม้ทำสมาบัติ ๘ และอภิญญา ๕ ให้เกิดแล้วก็เสื่อมจากคุณวิเศษเหล่านั้น เพราะความเป็นปฏิปักษ์ต่อพระพุทธเจ้าอีก จึงกระทำโลหิตุปบาทกรรมและสังฆเภทกรรม ครั้นกายแตกทำลาย จึงเกิดในนรกด้วยวาระจิตที่ ๒. พระโกกาลิกะใส่โทษพระอัครสาวกทั้งสองจึงบังเกิดในปทุมนรก.
               ข้อว่า "เนว หายติ โน วฑฺฒติ" ความว่า ในเวลาที่ไม่เสื่อมก็ดี ในเวลาที่เสื่อมก็ดี ศรัทธาก็ไม่ลดและไม่เจริญ. ก็เหตุทั้งสองนั้น บัณฑิตพึงแสดงด้วยอคาริกบุคคลคือคฤหัสถ์ และอนาคาริกบุคคลคือบรรพชิต แม้ทั้งสองเป็นอุทาหรณ์. ก็คฤหัสถ์บางคน ในเวลาที่ตนไม่เสื่อมจากศรัทธา จึงให้จัดแจงปักขิกภัต หรือสลากภัตหรือผ้าอาบน้ำฝน. คฤหัสถ์นั้น ในกาลที่เสื่อมจากศรัทธาในภายหลัง ย่อมยังสักว่าปักขิกภัตเป็นต้นให้เป็นไป ศรัทธาก็ไม่เจริญ. ฝ่ายบรรพชิต ในเวลาที่ไม่เสื่อม ในเบื้องต้น ย่อมเรียนเอาอุทเทสหรือธุดงค์ แม้เวลาที่เสื่อมจากการถึงพร้อมด้วยปัญญา พละและวิริยะ ก็กระทำให้ยิ่งกว่านั้นไม่ได้.
               ข้อว่า "เอวํ ปุคฺคโล" ความว่า บุคคลอย่างนี้ ชื่อว่าโผล่ขึ้นแล้วหยุดอยู่ เพราะความตั้งอยู่แห่งธรรมทั้งหลาย มีศรัทธาเป็นต้นนี้.
               ข้อว่า "อุมฺมุชฺชิตวา วิปสฺสติ วิโลเกติ" ความว่า พระโสดาบัน ชื่อว่าย่อมแลดูมรรคอันเป็นที่ไปในเบื้องบน หรือทิศที่ควรจะไปเพราะการโผล่ขึ้นจากห้วงน้ำคือวัฏฏะ.
               ข้อว่า "อุมฺมุชฺชิตฺวา ปตรติ" ความว่า พระสกทาคามีบุคคลโผล่ขึ้นจากห้วงน้ำคือวัฏฏะแล้ว เป็นผู้มุ่งต่อทิศที่จะพึงไป เพราะความที่ตนมีกิเลสเบาบาง จึงชื่อว่าย่อมข้ามไปได้.
               ข้อว่า "ปติคาธปฺปตฺโต โหติ" ความว่า พระอนาคามีบุคคลโผล่ขึ้นจากห้วงน้ำคือวัฏฏะแล้ว เหลียวดูทิศที่จะไป แล้วก็ข้ามไปถึงที่แห่งหนึ่งอันเป็นที่พึ่ง จึงพักอยู่ย่อมไม่กลับมาอีก.
               ข้อว่า "ติณฺโณ ปารงฺคโต ถเล ติฏฺฐติ" ความว่า พระขีณาสพ ท่านข้ามห้วงน้ำคือกิเลสทั้งหมดแล้ว ถึงฝั่งโน้นแล้ว ย่อมเป็นผู้ชื่อว่ายืนอยู่บนบก คือพระนิพพาน.
               ก็บุคคล ๗ จำพวกนี้ ท่านแสดงการอุปมาไว้ด้วยห้วงน้ำเป็นอุทาหรณ์ดังนี้
               ได้ยินว่า นายชังฆพาณิช คือพ่อค้าเร่ ๗ คนเดินทางไกลถึงแม่น้ำเต็มฝั่งในระหว่างหนทาง บรรดาพ่อค้าเหล่านั้น พ่อค้าคนที่ ๑ เป็นผู้กลัวน้ำหยั่งลงก่อนแล้วก็ดำลงจากท่าเป็นที่ข้ามนั่นแหละไม่สามารถที่จะโผล่ขึ้นอีก เขาจึงตกเป็นภักษาหารของปลาและเต่าในแม่น้ำนั้นนั่นแหละ. พ่อค้าคนที่ ๒ ดำลงแล้ว ณ ที่เป็นที่ข้าม โผล่ขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้วก็จมลงอีกไม่อาจเพื่อจะโผล่ขึ้นได้ เขาจึงเป็นภักษาหารของปลาและเต่าในแม่น้ำนั้นเหมือนกัน. พ่อค้าคนที่ ๓ ดำลงแล้ว โผล่ขึ้นแล้ว หยุดอยู่ในท่ามกลางแม่น้ำ ไม่อาจเพื่อจะไปฝั่งโน้น ไม่อาจจะมาฝั่งนี้. พ่อค้าคนที่ ๔ ดำลงแล้ว โผล่ขึ้นแล้ว หยุดอยู่แลดูท่าเป็นที่ข้ามไป. พ่อค้าคนที่ ๕ ดำลงแล้ว โผล่ขึ้นแล้ว หยุดแลดูท่าเป็นที่ข้ามแล้วจึงข้ามไป. พ่อค้าคนที่ ๖ ดำลงแล้ว โผล่ขึ้นแล้ว ข้ามไปแล้วถึงฝั่งโน้นแล้วจึงหยุดอยู่ในที่น้ำแค่สะเอว. พ่อค้าคนที่ ๗ ดำลงแล้ว ฯลฯ ถึงฝั่งโน้นแล้วอาบน้ำชำระตัวด้วยจุณหอมเป็นต้น นุ่งห่มผ้าอันประเสริฐ ลูบไล้ด้วยของหอม ประดับดอกอุบลเขียวเป็นต้น แล้วประดับด้วยเครื่องอลังการนานาชนิด แล้วจึงเข้าไปสู่มหานคร ก้าวขึ้นสู่ปราสาทบริโภคโภชนะอันอุดม.
               ในข้อนั้น บัณฑิตพึงทราบคำอุปมาดังนี้ คือบุคคล ๗ จำพวกเหล่านี้เปรียบเหมือนพ่อค้าเร่ ๗ คนนั้น วัฏฏะเปรียบเหมือนแม่น้ำ, การจมลงในวัฏฏะของนิยตมิจฉาทิฏฐิ.
               บัณฑิตพึงทราบว่าเหมือนกับการจมลงในท่าเป็นที่ข้ามของพ่อค้าผู้กลัวน้ำคนที่ ๑ บุคคลผู้โผล่ขึ้นด้วยเหตุสักว่าการเกิดขึ้นแห่งศรัทธาเป็นต้นแล้วจมลง เพราะความเสื่อมศรัทธาเป็นต้นนั้น เหมือนกับพ่อค้าคนที่โผล่ขึ้นครั้งเดียวแล้วก็จมลงไปในแม่น้ำ. พระโสดาบันแลดูอยู่ซึ่งทางอันตนพึงไป หรือทิศทางที่ควรจะไป เหมือนกับพ่อค้าคนที่โผล่ขึ้นจากน้ำแลดูซึ่งท่าเป็นที่ข้าม. พระสกทาคามี ชื่อว่ากำลังข้ามไป เพราะความที่ตนเป็นผู้มีกิเลสเบาบาง เปรียบเหมือนกับพ่อค้าที่กำลังข้ามไป. พระอนาคามี ชื่อว่าหยุดอยู่ เพราะความเป็นผู้ไม่กลับมาสู่กามโลกนี้ เหมือนกับพ่อค้าคนที่ข้ามไปแล้วยืนอยู่ที่น้ำแค่สะเอว.
               พระขีณาสพ ผู้เป็นพราหมณ์ ผู้ก้าวล่วงโอฆะทั้ง ๔ แล้ว ยืนอยู่บนบกคือพระนิพพาน บัณฑิตพึงทราบว่า เปรียบเหมือนพ่อค้าคนที่อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดแล้วก็ข้ามขึ้นฝั่งโน้นแล้วยืนอยู่บนบก. บัณฑิตพึงทราบว่า การที่พระขีณาสพท่านเข้าผลสมาบัติ ซึ่งมีนิพพานเป็นอารมณ์แล้วให้กาลผ่านไปอยู่ เป็นเหมือนพ่อค้าคนที่ยืนอยู่บนบก แล้วเข้าไปสู่พระนคร ก้าวขึ้นสู่ปราสาทอันประเสริฐ แล้วก็บริโภคอาหารอันอุดม.
               พระอริยบุคคลทั้งหลายมีอุภโตภาควิมุตตบุคคลเป็นต้น ข้าพเจ้าชี้แจงไว้แล้วในหนหลังนั้นแล้วแล.

               อรรถกถาสัตตกนิทเทส อธิบายบุคคล ๗ จำพวก จบเพียงเท่านี้.               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ปุคคลบัญญัติปกรณ์ บุคคลบัญญัติ สัตตกนิทเทส จบ.
อ่านอรรถกถา 36.2 / 1อ่านอรรถกถา 36.2 / 147อรรถกถา เล่มที่ 36.2 ข้อ 148อ่านอรรถกถา 36.2 / 150อ่านอรรถกถา 36.2 / 152
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=36&A=4796&Z=4859
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=55&A=2618
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=55&A=2618
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๓  เมษายน  พ.ศ.  ๒๕๕๗
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :