บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ว่าด้วยญาณมีจิตเป็นอารมณ์ ในเรื่องนั้น ชนเหล่าใดมีความเห็นผิดดุจลัทธิของนิกายอันธกะทั้งหลายว่า ญาณนั้นมีจิตเป็นอารมณ์อย่างเดียวเท่านั้น เพราะถือเอาเหตุสักแต่คำว่า เจโตปริยญาณ ความรู้ในการกำหนดรู้ใจผู้อื่น ดังนี้. คำถามของสกวาทีหมายถึงชนเหล่านั้น คำตอบรับรองเป็นของปรวาที. ลำดับนั้น สกวาทีเพื่อท้วงด้วยคำว่า บุคคลใดย่อมรู้จิตของผู้อื่นด้วยสามารถแห่งจิตมีราคะเป็นต้น แม้ราคะเป็นต้นก็ย่อมเป็นอารมณ์ของผู้นั้น เพราะฉะนั้น ท่านไม่พึงกล่าวว่า ญาณนั้นมีจิตเป็นอารมณ์เพียงอย่างเดียวไม่มีอย่างอื่นเป็นอารมณ์ ดังนี้ จึงเริ่มคำว่า มีบางคนเมื่อจิตมีราคะ ก็รู้ชัดว่าจิตมีราคะมิใช่หรือ. คำว่า ในอารมณ์คือผัสสะ ได้แก่ ในอารมณ์กล่าวคือผัสสะ. แม้ในคำทั้งหลายมีคำว่า ในอารมณ์คือเวทนา เป็นต้นก็นัยนี้แหละ. ถูกสกวาทีถามอีกว่า ไม่พึงกล่าวว่า ความรู้ในอารมณ์คือผัสสะหรือ อีก ปรวาทีตอบรับรองด้วยคำว่า เมื่อมนสิการซึ่งผุสนลักขณะของผัสสะ ย่อมเป็นอารมณ์ของผัสสะ ดังนี้. ถูกสกวาทีถามว่า เป็นความรู้ในการกำหนดรู้ผัสสะหรือ ปรวาทีตอบปฏิเสธ เพราะความไม่มีบทพระสูตรเช่นนั้น. แม้ในเวทนาเป็นต้นก็นัยนี้. ในบัดนี้ ลัทธิของปรวาทีนั้นอาศัยคำใดที่ตนกล่าว ครั้นแสดงคำนั้นแล้วเพื่อให้ลัทธิตั้งไว้ จึงกล่าวด้วยคำว่า นั่นเป็นความรู้ในการกำหนดรู้ใจผู้อื่นมิใช่หรือ แต่ลัทธินี้แม้เป็นลัทธิอันปรวาทีให้ตั้งไว้ด้วยสามารถการอาศัยสักแต่ถ้อยคำนั้น ย่อมไม่เป็นอันตั้งไว้ได้เลย ดังนี้แล. อรรถกถาจิตตารัมมณกถา จบ. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา กถาวัตถุปกรณ์ วรรคที่ ๕ จิตตารัมมณกถา จบ. |