บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ว่าด้วยความดับ ในเรื่องนั้น ลัทธิแห่งชนเหล่าใดดุจลัทธิของนิกายอันธกะทั้งหลายว่า ขันธ์ ๕ คือนามขันธ์ ๔ อันถึงซึ่งการนับว่าเป็นกิริยา หรือเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล และรูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐานย่อมเกิดขึ้นพร้อมกับภังคขณะ คือขณะแห่งการดับ ของภวังคจิตอันถึงซึ่งการนับว่า ขันธ์ที่แสวงหาการเกิด เพราะว่า เมื่อขันธ์เหล่านั้นยังไม่เกิด ครั้นเมื่อภวังคจิตดับแล้ว ความขาดตอนของสันตติพึงมี ดังนี้. คำถามของสกวาทีว่าเมื่อขันธ์ ๕ ที่แสวงหาอุปบัติ เป็นต้น โดยหมายถึงชนเหล่านั้น คำตอบรับรองเป็นของปรวาที. ในบททั้งหลายแม้ทั้ง ๔ ว่า อุปปตฺเตสิเย แปลว่า เมื่อขันธ์ ๕ ที่แสวงหาอุปบัติ นั้น เป็นสัตตมีเอกพจน์ลงในอรรถแห่งสัตตมีพหูพจน์ ก็ในคำนี้ ท่านอธิบายว่า เมื่อขันธ์ ๕ อันแสวงหาซึ่งการเกิดยังไม่ทันดับ. คำว่า ขันธ์ ๑๐ ท่านสกวาทีกล่าวด้วยสามารถแห่งขันธ์ ๕ ที่แสวงหาการเกิด และขันธ์ ๕ ที่เป็นกิริยา หมายถึงขันธ์ของพระอรหันต์ที่ไม่ต้องแสวงหาการเกิด. ในปัญหาแรกนั้น ปรวาทีตอบปฏิเสธด้วยหมายเอาว่า ขันธ์เหล่านั้น ชื่อว่ามี ๕ เท่านั้น ด้วยสามารถแห่งลักษณะของขันธ์ และด้วยสามารถแห่งกิริยา. ในปัญหาที่ ๒ ปรวาทีตอบรับรอง หมายเอาความต่างกันแห่งขันธ์ ๕ ด้วยสามารถแห่งขันธ์ที่เกิดก่อนและเกิดทีหลัง และด้วยสามารถแห่งขันธ์ที่แสวงหาการเกิดและขันธ์ที่เป็นกิริยา คือขันธ์ที่ไม่แสวงหาการเกิด. ถูกสกวาทีถามว่า เป็นความประชุมแห่งผัสสะ ๒ ฯลฯ แห่งจิต ๒ หรือ ก็ตอบปฏิเสธเพราะความไม่มีข้ออ้างในพระสูตร. คำว่า ขันธ์ ๔ ที่เป็นกิริยา ความว่า สกวาทีถือเอานามขันธ์ ๔ ที่เป็นกุศล หรือเป็นอกุศลโดยเว้นจากรูป. คำว่า ญาณอันเป็นกิริยา ได้แก่ ญาณที่ไม่มีอารมณ์ของพระอรหันต์ในขณะที่ท่านถึงพร้อมด้วยจักขุวิญญาณจิตที่ปรวาทีรับรองแล้ว. คำถามว่า เมื่อขันธ์ ๕ ที่แสวงหาอุปบัติดับไปแล้ว มรรคก็เกิดขึ้นได้หรือ เป็นของปรวาที คำตอบรับรองเป็นของสกวาที เพราะเมื่อขันธ์ ๕ อันแสวงหาการเกิดยังไม่ดับแล้ว มรรคก็ไม่เกิดขึ้น. คำถามโดยเลศนัยของปรวาทีว่า ผู้ตายแล้วยังมรรคให้เกิดได้....หรือ สกวาทีตอบปฏิเสธว่า ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ก็เพราะว่า จำเดิมแต่ปฏิสนธิจนถึงจุติจิตสัตว์ชื่อว่ามีชีวิตอยู่นั่นแหละ ดังนี้. อรรถกถานิโรธกถา จบ. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา กถาวัตถุปกรณ์ วรรคที่ ๑๐ นิโรธกถา จบ. |