บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ว่าด้วยผู้ประกอบด้วยศีล ๒ ในเรื่องนั้น ชนเหล่าใดมีลัทธิดุจลัทธิของนิกายมหาสังฆิกะทั้งหลายนั่นแหละว่า บุคคลผู้มีศีลย่อมให้โลกุตตรมรรคเกิดด้วยโลกียศีลได้ พระพระบาลีว่า นรชนผู้มีศีล ตั้งอยู่เฉพาะแล้วในศีล ดังนี้เป็นต้น เหตุใด เพราะเหตุนั้น บุคคลนั้นจึงชื่อว่าผู้ประกอบด้วยศีล ๒ อย่าง คือด้วยโลกียศีลที่เกิดก่อนและโลกุตตรศีลที่ในขณะแห่งมรรค ดังนี้ คำถามของสกวาทีว่า บุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยมรรค หมายชนเหล่านั้น คำตอบรับรองเป็นของปรวาที. ลำดับนั้น สกวาทีจึงกล่าวว่า เป็นผู้ประกอบด้วยผัสสะ ๒ อย่างเป็นต้น เพื่อท้วงด้วยคำว่า ถ้าบุคคลนั้นประกอบด้วยศีล ๒ คือโลกียศีลและโลกุตตรศีลในขณะเดียวกันได้ไซร้ เขาผู้นั้นก็พึงเป็นผู้ประกอบด้วยธรรมอย่างละ ๒ มีผัสสะ ๒ เป็นต้นได้ ดังนี้. ปรวาทีเมื่อไม่เห็นนัยอันมีอย่างนั้นเป็นรูป จึงตอบปฏิเสธ. ในปัญหาว่า เป็นผู้ประกอบด้วยศีลทั้งที่เป็นโลกียะและโลกุตตระ ปรวาทีจึงตอบรับรองหมายเอาโลกียศีลที่สมาทานแล้วในกาลก่อน และโลกุตตรศีลอันมีสัมมาวาจาเป็นต้น ที่เกิดขึ้นในขณะแห่งมรรค. คำถามว่า เมื่อศีลอันเป็นโลกิยะดับไปแล้ว เป็นของปรวาที คำตอบรับรองของสกวาทีหมายเอาความดับ คือการดับในขณะ คือภังคขณะ ปรวาทีนั้น เมื่อกำหนดคำว่าศีลดับนั้นคล้ายกับมีการล่วงศีลอีก จึงถามว่า บุคคลผู้ทุศีล เป็นต้น. อนึ่ง การตั้งลัทธิของปรวาทีนั้นย่อมแสดงซึ่งความที่บุคคลเป็นผู้มีศีลไม่ขาดมาก่อนเท่านั้น ไม่ได้แสดงซึ่งความที่บุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยศีล ๒ อย่าง เพราะฉะนั้น ลัทธินั้นจึงตั้งอยู่ไม่ได้แล. อรรถกถาทวีหิ สีเลหิ สมันนาคโตติกถา จบ. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา กถาวัตถุปกรณ์ วรรคที่ ๑๐ ทวีหิ สีเลหิ สมันนาคโตติกถา จบ. |