บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ว่าด้วยสมาบัติที่ให้เข้าถึงภพอสัญญสัตว์ ในเรื่องนั้น ภาวนาที่เป็นไปด้วยอำนาจแห่งสัญญาวิราคะ เป็นอสัญญสมาบัติบ้าง เป็นนิโรธสมาบัติบ้าง ชื่อว่าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ. เพราะฉะนั้น สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติจึงมี ๒ คือ เป็นโลกิยะและโลกุตตระ. บรรดาสมาบัติเหล่านั้น สมาบัติที่เป็นเหตุให้เข้าถึงอสัญญสัตว์ของปุถุชนเป็นโลกิยะ ที่เป็นของพระอริยะทั้งหลายเป็นโลกุตตระ แต่สมาบัติที่เป็นของพระอริยะนั้นย่อมไม่เป็นสมาบัติที่เป็นเหตุให้เข้าถึงความเป็นอสัญญสัตว์. ก็ชนเหล่าใดมีความเห็นผิดดุจลัทธิของนิกายเหตุวาททั้งหลายว่า สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติเป็นสมาบัติที่ให้เข้าถึงความเป็นอสัญญสัตว์ โดยไม่แปลกกัน เพราะไม่ทำวิภาคอย่างนี้ คำถามของสกวาทีหมายถึงชนเหล่านั้น คำตอบรับรองเป็นของปรวาที. ลำดับนั้น สกวาทีเพื่อท้วงด้วยอำนาจแห่งกุสลมูล คืออโลภะเป็นต้น ว่ามีอยู่แก่ผู้เข้าอสัญญสมาบัติ แต่ไม่มีแก่ผู้เข้านิโรธสมาบัติ จึงกล่าวคำว่า อตฺถิ กุสลมูล... มีอยู่หรือเป็นต้น. ในปัญหาว่า แม้ในนิโรธสมาบัตินี้ ผู้เข้าก็ไม่มีสัญญา ได้แก่ ความเป็นผู้ไม่มีสัญญาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตแล้ว เพราะการเข้าสมาบัติในธรรมวินัยนี้ด้วยอำนาจแห่งสัญญาวิราคะ. คำว่า แม้ในภพแห่งอสัญญสัตว์นั้น ก็ตรัสด้วยความเป็นอสัญญสัตว์นั่นแหละ เพราะฉะนั้น ปรวาทีผู้ถือเอาปฏิญญานี้แล้วจึงให้ลัทธิตั้งไว้ แต่ก็ตั้งไว้โดยอุบายลวง. อีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ความเป็นผู้ไม่มีสัญญาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตหมายเอานิโรธสมาบัติในพระธรรมวินัยนี้ คำว่า แม้ในภพอสัญญสัตว์นั้น ได้แก่นิโรธสมาบัติของพระอนาคามีผู้เคลื่อนจากโลกนี้ทีเดียว แม้เพราะเหตุนั้น ลัทธิที่ปรวาทีปฏิญญาตั้งไว้นี้ย่อมไม่ตั้งอยู่ได้เลย ดังนี้แล. อรรถกถาอสัญญสัตตูปิกากถา จบ. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา กถาวัตถุปกรณ์ วรรคที่ ๑๕ อสัญญสัตตูปิกากถา จบ. |