บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
จริงอยู่ ในนเหตุปัจจัย ในปัจจนียนัย ได้วาระ ๑๕ ดังพระบาลีว่า "นเหตุยา ปณฺณรส." ในอารัมมณปัจจัย ในอนุโลมนัยได้วาระ ๙ ดังพระบาลีว่า อารมฺมเณ นว. วาระ ๙ เหล่าใดในบรรดาวาระ ๑๕ ที่ท่านกล่าวไว้ในนเหตุปัจจัยเป็นเช่นเดียวกันกับวาระ ๙ ที่ท่านกล่าวไว้ในอารัม คำว่า นเหตุยา อารมฺมเณ นว เพราะเหตุปัจจัยในอารัมมณปัจจัยมี ๙ วาระ ท่านกล่าวหมายถึงวาระ ๙ เหล่านั้น แม้ในคำว่า อธิปติยา ทส เป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน. จริงอยู่ วาระเหล่าใดๆ ที่ท่านกล่าวไว้ในอนุโลมคณนา (การนับวาระในอนุโลม) แห่งอารัมม กุศลธรรมเป็นปัจจัยแก่กุศลธรรม โดยนเหตุปัจจัย โดยอารัมมณปัจจัย ผู้ศึกษาพึงทราบการขยายบาลีแห่งวาระเหล่านั้นโดยอุบายนี้คือ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรม ย่อมพิจาณากุศลนั้น, บุคคลย่อมพิจารณากุศลที่บำเพ็ญไว้ในกาลก่อน. ในคำว่านี้ นเหตุปจฺจยา อธิปติยา ทส เพราะนเหตุปัจจัย ในอธิปติปัจจัยมี ๑๐ วาระ ผู้ศึกษาพึงขยายวาระในอนุโลมวิภังค์ด้วยอำนาจแห่งอธิบดีที่เหลือ เว้นวิมังสาธิบดี. ในอธิการนี้มีการกำหนดวิธีนับ ดังนี้คือ ๙-๑๐-๗-๓-๑๓-๑ ผู้ศึกษาพึงลดการนับ (จำนวน) แม้แห่งปัจจัยที่มีการนับได้มากกว่าปัจจัยที่มีการนับได้น้อยกว่า ด้วยอำนาจแห่งการกำหนดวิธีนับเหล่านั้น แล้วพึงทราบวิธีนับในการเทียบเคียงทั้งหมดในนัยที่มีมูล ๓ เป็นต้น บรรดานัยทั้งหลายมีนเหตุมูลกนัยเป็นต้น นี้เป็นลักษณะที่ทั่วไปก่อน. แต่ลักษณะนี้ยังไม่เป็นไปในการเทียบเคียงทั้งหมด ก็ในการเทียบเคียงปัจจัยเหล่าใด กับปัจจัยเหล่าใด วาระ ก็ในคำนี้ว่า นเหตุปจฺจยา นารมฺมณปจฺจยา อธิปติยา สตฺต เพราะนเหตุปัจจัย นอารัมม ก็ในบรรดาปัจจัยทั้งหลายที่ตั้งอยู่โดยเป็นปัจจนียะ ปัจจัยเหล่าใดไม่ตั้งอยู่โดยอนุโลม ผู้ศึกษาพึงทราบปัจจัยเหล่านั้นด้วยอย่างใด? คือเมื่ออนันตรปัจจัยตั้งอยู่โดยเป็นปัจจนียะ สมนันตรปัจจัย อาเสวนปัจจัย นัตถิปัจจัยและวิคตปัจจัย ย่อมไม่ตั้งอยู่โดยอนุโลม. เมื่อสหชาตปัจจัยตั้งอยู่โดยเป็นปัจจนียะ เหตุปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย วิปากปัจจัย ฌานปัจจัย มัคคปัจจัย และสัมปยุตตปัจจัย ย่อมไม่ตั้งอยู่โดยอนุโลม. เมื่อนิสสยปัจจัย๑- ตั้งอยู่โดยเป็นปัจจนียะ วัตถุปุเรชาตปัจจัยย่อมไม่ตั้งอยู่โดยอนุโลม. เมื่ออาหารปัจจัยหรืออินทริยปัจจัย ตั้งอยู่โดยเป็นปัจจนียะ เหตุปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย ฌานปัจจัย มัคคปัจจัยและสัมปยุตตปัจจัย ย่อมไม่ตั้งอยู่โดยอนุโลม. แต่เมื่ออารัมมณปัจจัยตั้งอยู่โดยเป็นปัจจนียะ อธิปติปัจจัยและอุปนิสสยปัจจัยย่อมไม่ตั้งอยู่โดยอนุโลม. อนึ่ง อารัมมณาธิปติปัจจัยและอารัมมณูปนิสสยปัจจัย ย่อมมีไม่ได้. โดยอุบายนี้ ในที่ทุกสถานพึงทราบวิสัชนาที่มีได้และมีไม่ได้ไว้แล้ว พึงขยายวาระทั้งหลายด้วยอำนาจแห่งวิสัชนาที่มีได้. ____________________________ ๑- ใจความในประโยคนี้ทั้งหมด ขัดต่อสภาวะและพระบาลีข้อ ๑๐๔๘ และข้อ ๑๐๕๑ แต่จำต้องแปลตามบาลีอรรถกถา ซึ่งตรงกันทั้งของไทยและของพม่า. วาระทั้งหลายว่า อนนฺตเร สตฺต ในอนันตรปัจจัยมี ๗ วาระ ในติมูลกนัยเป็นต้น แม้ทั้งหมดได้ในทุมูลกนัยนั่นเอง ส่วนในสัตตมูลกนัยเป็นต้น คำว่า นสหชาตปัจฺจยา นิสฺสเย ตีณิ เพราะนสหชาตปัจจัย ในนิสสยปัจจัยมี ๓ วาระ คือวาระ ๓ ในวัตถุนิสสยปัจจัย ด้วยอำนาจปุเรชาตะ. วิสัชนา ๒ วาระในกัมมปัจจัย ด้วยอำนาจนานากขณิกกัมมปัจจัย. วิสัชนา ๑ วาระในอาหารปัจจัย ด้วยอำนาจกพฬีการาหาร. วิสัชนา ๑ วาระในอินทริยปัจจัยด้วยอำนาจรูปชีวิตินทรีย์. ในวิปปยุตตปัจจัย ธรรมทั้งหลายมีกุศลเป็นต้น อันมีอัพยากตะเป็นที่สุดถึงแล้วโดยลำดับด้วยคำว่า ตีณิ คือ ๓ วาระ ด้วยอำนาจปัจฉาชาตปัจจัย. คำว่า อตฺถิ อวิคตเสุ ปญฺจ ในอัตถิและอวิคตปัจจัย มี ๕ วาระ ความว่า วิสัชนา ๓ วาระเหล่านั้นด้วยและวิสัชนา ๒ เหล่านี้คือ กุสลาพฺยากตา อพฺยากตสฺส, อกุสลาพฺยากตา อพฺยากตสฺส (กุ. อัพ - อัพ และ อกุ. อัพ - อัพ) ย่อมมีด้วยอำนาจปัจฉาชาตินทริยปัจจัย. ก็ตั้งแต่ปัจฉาชาตปัจจัยเป็นปัจจนียะ (ปจฺจนีก) ไป คำว่า อตฺถิอวิคเตสุ เอกํ คือ อัพยากตะเป็นปัจจัยแก่อัพยากตะ ด้วยอำนาจอาหารและอินทริย อนึ่ง เมื่อถือเอานอินทริยปัจจัย ก็ไม่ควรถือเอานอาหารปัจจัย ด้วยเหมือนกัน. เพราะเหตุไร? เพราะเมื่อปัจจัยทั้ง ๒ อันอาจารย์ถือเอาโดยเป็นอันเดียวกันแล้ว วาระที่จะนับก็ไม่มี แม้เมื่อฌานและมัคค ----------------------------------------------------- ในนอารัมมณมูลกนัยเป็นต้น พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้. ในอัญญมัญญมูลกนัย คำว่า นอญฺญมญฺญปจฺจยา เหตุยา ตีณิ เพราะนอัญญมัญญปัจจัย ในเหตุปัจจัยมี ๓ วาระ คือกุศลเป็นต้น เป็นปัจจัยแก่รูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐาน. สองบทว่า อธิปติยา อฏฺฐ ในอธิปติปัจจัยมี ๘ วาระ เพราะนสหชาตปัจจัย ในนิสสยปัจจัยมี ๓ วาระ ความว่า บรรดาวาระ ๑๐ ที่ท่านกล่าวไว้ในอธิปติปัจจัย ได้วาระ ๘ ที่เหลือโดยชักออก ๒ วาระ คือ ๑- กุศลเป็นปัจจัยแก่กุศลและอัพยากตะ อกุศลเป็นปัจจัยแก่อกุศลและอัพยากตะ. ____________________________ ๑- บาลีอรรถกถาของไทยหน้า ๑๕๐ บรรทัดที่ ๑๑ เป็น กุสโล กุสลสฺส อกุสโล อกุสลสฺส (คือ กุ - กุ, อกุ - อกุ) ซึ่งผิดสภาวะ ในที่นี้จึงแปลตามบาลีพม่าที่ว่า กุสโล กุสลาพฺยากตสฺส อกุสโล อกุสลาพฺยากตสฺส สองบทว่า สหชาเต ปญฺจ ในสหชาตปัจจัยมี ๕ วาระ คือวาระ ๒ เหล่านี้ คือกุศลและอัพยากตะเป็นปัจจัยแก่อัพยากตะ อกุศลกับอัพยากตะเป็นปัจจัยแก่อัพยากตะ กับวาระ ๓ ที่ท่านกล่าวไว้ในเหตุปัจจัย. สองบทว่า นิสฺสเย สตฺต ในนิสสยปัจจัยมี ๗ วาระ วาระ ๒ เหล่านี้ คืออัพยากตะเป็นปัจจัยแก่กุศล อัพยากตะเป็นปัจจัยแก่อกุศล กับวาระ ๕ เหล่านั้นย่อมีด้วยอำนาจเป็นวัตถุ. สองบทว่า กมฺเม ตีณิ ในกัมมปัจจัยมี ๓ วาระ คือวาระ ๓ ที่ท่านกล่าวไว้ในนเหตุปัจจัยนั่นเอง แม้ในติกะที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน ฯ สองบทว่า อธิปติยา ตีณิ ในอธิปติปัจจัยมี ๓ วาระ คือวาระที่กล่าวไว้ในหนหลัง. ในนอาหารมูลกนัย คำว่า อญฺญมญฺเญ ตีณิ ในอัญญมัญญปัจจัยมี ๓ วาระ ผู้ศึกษาพึงทราบวาระด้วย อำนาจเจตสิกที่เหลือ เว้นอาหาร ก็แม้ในอธิการนี้ ในนอาหารปัจจัยและนอินทริยปัจจัย ท่านถือเอาคราวละ ๑ ปัจจัย ไม่ถือเอา ๒ ปัจจัยรวมกัน เหมือนในหนหลัง (คือแยกแสดงไม่แสดงรวมกัน). คำว่า นสมฺปยุตฺตปัจฺจยา เหตุยา ตีณิ เพราะนสัมปยุตตปัจจัยในเหตุปัจจัยมี ๓ วาระ มีวาระที่ท่านกล่าวไว้ในนอัญญมัญญปัจจัย ในหนหลัง อธิปติยา อฏฺฐ ในอธิปติปัจจัยมี ๘ วาระ คือวิสัชนาที่ท่าน พึงทราบวินิจฉัยในนวิปปยุตตปัจจัยเป็นมูล. สองบทว่า กมฺเม ปญฺจ ในกัมมปัจจัย มี ๕ วาระ คือมีวาระ ๕ อย่างนี้คือ เจตนามีกุศลเป็นต้นเป็นปัจจัยแก่กุศลเป็นต้นที่เกิดร่วมกัน กุศลและอกุศลเจตนาที่เกิดต่างขณะกันเป็นปัจจัยแก่วิบาก และแก่รูปที่มีกรรมเป็นสมุฏฐาน. ในอาหารปัจจัยและอินทริยปัจจัย มีวาระ ๓ เหมือนกับสหชาตปัจจัย. ในฌานปัจจัยและมัคคปัจจัยเป็นต้น มีวาระ ๓ เหมือนกับเหตุปัจจัย. ในโนอัตถิมูลกนัย มีอธิบายว่า เพราะเหตุ ชื่อว่า โนอตฺถิ ไม่มี มีแต่อัตถิแน่นอน. เพราะฉะนั้น ท่านจึงไม่ถือเอาเหตุปัจจัยนั้น แล้วกล่าวว่า นอารมฺมเณ นว ในนอารัมมณปัจจัยมี ๙ วาระ (เหตุปัจจัยแสดงไม่ได้). ปัจจัยทั้งหลายที่เข้าลักษณะอัตถิปัจจัยแม้อื่น ย่อมไม่ตั้งอยู่โดยอนุโลมในอธิการนี้. ก็คำว่านี้ กมฺเม เทฺว ในกัมมปัจจัยมี ๒ วาระ ท่าน ก็วาระทั้งหลาย ต่อจากนั้นอันท่านไม่ถือเอาปัจจัยใด แม้ที่ได้อยู่โดยอนุโลม ถือเอาโดยเป็นปัจจนียะ ปัจจัยนั้นย่อมได้การประกอบในภายหลัง เพราะเหตุนั้นเอง ในอธิการนี้ท่านจึงกล่าวไว้ว่า โน อตฺถิปจฺจยา นเหตุปจฺจยา ฯเปฯ โนอวิคตปจฺจยา กมฺเม เทวฺ ฯเปฯ ถามว่า ก็เพราะเหตุไร ท่านจึงไม่ถือเอาปัจจัยนั่นในฐานะของตนเองเลย. แก้ว่า เพราะเมื่อปัจจัยทั้งหมดที่เหลือ ตั้งอยู่โดยเป็นปัจจนียะ ปัจจัยหนึ่งเท่านั้นย่อมได้โดย จริงอยู่ นี้เป็นลักษณะในปัจจนียานุโลมนี้ คือเมื่อปัจจัยทั้งหมดตั้งอยู่โดยเป็นปัจจนียะ ปัจจัยใดปัจจัยเดียวเท่านั้นย่อมได้โดยอนุโลมปัจจัยนั้น ท่านจะกล่าวในภายหลัง. แม้ในคำว่า โนอตฺถิปจฺจยา นเหตุปจฺจยา ฯเปฯ โนอวิคตปจฺจยา อุปฺปนิสฺสเย นว ก็ในนัยนี้เหมือนกัน ก็คำนี้ท่านกล่าวไว้ด้วยอำนาจแห่งปกตูปนิสสยปัจจัย ในทุกแห่งวาระที่มีได้และไม่ได้ ที่ท่าน ปัจจนียานุโลมแห่งปัญหาวาระ จบ. วรรณนากุสลติกปัฏฐาน จบ. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา มหาปัฏฐานปกรณ์ ภาค ๑ อนุโลมติกปัฏฐาน กุสลัตติกะ ปัญหาวารปัจจนียานุโลมคณนา นเหตุมูลกนัย จบ. |