บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ได้ยินว่า ภิกษุณีนั้นได้เป็นธิดาของเศรษฐีผู้มีทรัพย์มาก ในนครราชคฤห์ มีกุศลมูลหนาแน่น มีสังขารอันยํ่ายีแล้ว เป็นปัจฉิมภวิกสัตว์ (สัตว์ผู้มีภพสุดท้าย) อุปนิสัยแห่งพระอรหัตโพลงอยู่ในหทัยของนาง เหมือนประทีปโพลงอยู่ภายในหม้อ ฉะนั้น. ครั้งนั้น จำเดิมแต่กาลที่รู้จักตนแล้ว ธิดาของเศรษฐีนั้นไม่ยินดีในเรือน มีความประสงค์จะบวช จึงกล่าวกะบิดามารดาว่า ข้าแต่คุณพ่อและคุณแม่ จิตใจของข้าพเจ้าไม่ยินดีในฆราวาส ข้าพเจ้ามีความประสงค์จะบวชในพระพุทธศาสนา อันเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ ท่านทั้งหลายจงให้ข้าพเจ้าบวชเถิด. บิดามารดากล่าวว่า แม่ เจ้าพูดอะไร ตระกูลนี้มีทรัพย์สมบัติมาก และเจ้าก็เป็นธิดาคนเดียวของเราทั้งหลาย เจ้าไม่ควรจะบวช. นางแม้จะอ้อนวอนอยู่บ่อยๆ ก็ไม่ได้การบรรพชาจากสำนักของบิดามารดา. จึงคิดว่า ช่างเถอะ เราไปตระกูลสามียังสามีให้โปรดปรานแล้วจักบวช. นางเจริญวัยแล้วไปยังตระกูลสามี เป็นผู้มีศีลมีกัลยาณธรรม ครองเหย้าเรือน. ลำดับนั้น เพราะอาศัยการอยู่ร่วม นางก็ตั้งครรภ์. นางไม่รู้ว่าตั้งครรภ์. ครั้งนั้น เขาโฆษณางานนักขัตฤกษ์ในพระนคร ชาวพระนครทั้งสิ้น พากันเล่นงานนักขัตฤกษ์. พระนครได้มีการประดับตกแต่ง เหมือนดังเทพนคร ก็เมื่อการเล่นนักขัตฤกษ์ แม้จะใหญ่ยิ่งเพียงนั้น เป็นไปอยู่. นางก็ไม่ลูบไล้ร่างกายของตน ไม่ประดับประดา เที่ยวไปด้วยเพศตามปรกติ นั่นเอง. ลำดับนั้น สามีกล่าวกะนางว่า นางผู้เจริญ นครทั้งสิ้นอาศัยนักขัตฤกษ์ แต่เธอไม่ปฏิบัติร่างกาย ไม่ทำการตกแต่ง เพราะเหตุไร. นางจึงกล่าวว่า ข้าแต่ลูกเจ้า ร่างกายเต็มด้วยซากศพ ๓๒ ประการทีเดียว ประโยชน์อะไรด้วยร่างกายนี้ที่ประดับแล้ว เพราะกายนี้ เทวดา พรหมไม่ได้นิรมิต ไม่ใช่สำเร็จด้วยทองด้วยแก้วมณี ด้วยจันทน์เหลือง ไม่ใช่เกิดจากห้องแห่งดอกบุณฑริก ดอกโกมุท และดอกอุบลเขียว แต่เต็มไปด้วยคูถ ไม่สะอาด ไม่ใช่เต็มด้วยอมฤตโอสถ โดยที่แท้ เกิดในซากศพ มีมารดาบิดาเป็นแดนเกิด มีการขัดสีและการนวดฟั้นเป็นนิตย์ และมีการแตกทำลายและการกระจัดกระจายไป เป็นธรรมดา รกป่าช้า อันตัณหายึดจับ เป็นเหตุแห่งความโศก เป็นวัตถุที่ตั้งแห่งความรํ่าไร เป็นที่อยู่อาศัยแห่งโรคทั้งปวง เป็นที่รับเครื่อง กายประกอบด้วยกระดูกและเอ็น ฉาบทาด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้น ของไม่สะอาดย่อมไหลออกจากช่องทั้ง ๙ ของกายนั้นทุกเมื่อ คือ ขี้ตาไหลออกจากตา ขี้หูไหลออกจากหู และนํ้ามูกไหลออกจากจมูก บางคราวออกทางปาก ดีและเสมหะย่อมไหลออกจากกายเป็นหยดเหงื่อ เมื่อเป็นอย่างนั้น ศีรษะของกายนั้นเป็นโพรงเต็มด้วยมันสมอง คนพาล กายไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็น เป็นดังซากศพ เปรียบเหมือนส้วม ผู้มีจักษุติเตียน แต่คนเขลาเพลิดเพลิน อันหนังสดปกปิดไว้ มีทวาร ๙ มีแผลใหญ่ ของไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็น ไหลออกรอบด้าน ก็ในกาลใด กายนั้นนอนตายขึ้นพองมีสีเขียวคลํ้า ถูกทอดทิ้งไว้ในสุสาน ในกาลนั้น ญาติทั้งหลายย่อมไม่ห่วงอาลัย สุนัขบ้าน สุนัขจิ้งจอกย่อมเคี้ยวกินกายนั้น และนกตะกรุม หนอน กา แร้ง และสัตว์ทั้งปวงอื่นๆ ย่อมเคี้ยวกิน ก็ภิกษุผู้มีญาณในศาสนานี้นั่นแล ได้ฟังพระพุทธพจน์แล้ว ย่อมรู้แจ้งกายนั้น ย่อมเห็นตามเป็นจริงแลว่า ร่างกายนี้ฉันใด ร่างกายนั่นก็ฉันนั้น ร่างกายนั่นฉันใด ร่างกายนี้ก็ฉันนั้น ข้าพเ ข้าแต่พระลูกเจ้า ข้าพเจ้าจักประดับประดาร่างกายนี้ทำอะไร การกระทำความประดับกายนี้ ย่อมเป็นเหมือนกระทำจิตรกรรมภายนอกหม้อ ซึ่งเต็มด้วยคูถ. เศรษฐีบุตรได้ฟังคำของนางดังนั้น จึงกล่าวว่า นางผู้เจริญ เธอเห็นโทษ นางกล่าวว่า ข้าแต่พระลูกเจ้า ข้าพเจ้าเมื่อได้บวช จะบวชวันนี้แหละ. เศรษฐีบุตรกล่าวว่า ดีแล้ว ฉันจักให้เธอบวช. แล้วบำเพ็ญมหาทาน กระทำมหาสักการะ แล้วนำไปสำนักของภิกษุณีด้วยบริวารใหญ่ เมื่อจะให้นางบวช ได้ให้บวชในสำนักของภิกษุณี ผู้เป็น ครั้งนั้น เมื่อครรภ์ของนางแก่แล้ว ภิกษุณีทั้งหลายเห็นความที่อินทรีย์ ภิกษุณีนั้นกล่าวว่า แม่เจ้าทั้งหลาย ข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่า เหตุชื่อนี้ แต่ศีลของข้าพเจ้ายังบริบูรณ์อยู่. ลำดับนั้น ภิกษุณีเหล่านั้นจึงนำนางภิกษุณีนั้นไปยังสำนักของพระเทวทัต ถาม เพราะความที่ตนไม่รู้ และเพราะขันติ เมตตา และความเอ็นดูไม่มี พระ ลำดับนั้น ภิกษุณีสาวนั้นกล่าวกะภิกษุณีทั้งหลายว่า แม่เจ้าทั้งหลาย พระ พระศาสดาทรงพระดำริว่า ภิกษุณีนี้ตั้งครรภ์ ในเวลาเป็นคฤหัสถ์โดยแท้ แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น พวก พระเถระทูลรับพระดำรัสแล้ว จึงไปยังท่ามกลางบริษัท นั่งบนอาสนะที่เขา มหาอุบาสิการับคำแล้ว จึงให้วงม่าน ตรวจดูที่สุดมือ เท้า สะดือและ ครั้นวันหนึ่ง พระราชาเสด็จไปโดยใกล้ๆ สำนักของภิกษุณี ได้ทรงสดับเสียงทารก จึงตรัสถามอำมาตย์ทั้งหลาย. อำมาตย์ทั้งหลายรู้เหตุนั้น จึงกราบทูลว่า ข้าแต่ ครั้งนั้น คนทั้งหลายรู้กันว่า กุมารกัสสป เพราะเจริญเติบโต ด้วยการบริหารอย่างกุมาร ในเวลามีอายุได้ ๗ ขวบ กุมารกัสสปนั้นบวชในสำนักของพระศาสดา พอมีอายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์ก็ได้อุปสมบท เมื่อกาลเวลาล่วงไป ได้เป็นผู้กล่าวธรรมอันวิจิตร ในบรรดาพระธรรมกถึกทั้งหลาย. ลำดับนั้น พระศาสดาทรงตั้งพระกุมารกัสสปนั้นไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ ด้วยพระดำรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุมารกัสสปนี้เป็นเลิศแห่งสาวกทั้งหลายของเรา ผู้กล่าวธรรมอันวิจิตร ภายหลัง พระกุมารกัสสปนั้นบรรลุพระอรหัต ในเพราะวัมมิกสูตร. แม้ภิกษุณีผู้เป็นมารดาของพระกุมารกัสสปนั้น เห็นแจ้งแล้วบรรลุพระอรหัต. พระกุมารกัสสปเถระปรากฏในพระพุทธศาสนา ประดุจพระจันทร์เพ็ญในท่ามกลางท้องฟ้า ฉะนั้น. อยู่มาวันหนึ่ง พระตถาคตเสด็จกลับจากบิณฑบาต ภายหลังภัต ประทาน พระศาสดาเสด็จมายังโรงธรรมสภา ด้วยพุทธลีลา ประทับนั่งบนอาสนะที่เขาปูลาดไว้ แล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหนอ? ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ด้วยเรื่องพระคุณของพระองค์เท่านั้น แล้วกราบทูลเรื่อง พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตเป็นปัจจัยและเป็นที่พึ่งแก่ ภิกษุทั้งหลายจึงทูลอ้อนวอนพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อต้องการให้เรื่องนั้นแจ่มแจ้ง. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงกระทำเหตุอันระหว่างภพปกปิดไว้ให้ ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี ฝ่ายพระ สมัยนั้น พระเจ้าพาราณสีทรงขวนขวายในการฆ่าเนื้อ เว้นเนื้อไม่เสวย ทรงกระทำพวกมนุษย์ให้ขาดการงาน ยังชาวนิคมและชนบททั้งปวงให้ประชุมกัน แล้ว มนุษย์เหล่านั้นทั้งหมดจึงปลูกผักที่เป็นเหยื่อของเนื้อไว้ในพระราชอุทยาน จัด พระราชาได้ทรงสดับคำของมนุษย์เหล่านั้นแล้ว เสด็จไปพระราชอุทยาน ทอด เนื้อทั้งหลายพอเห็นธนูเท่านั้น ถูกความกลัวแต่ความตายคุกคาม พากันหนีไป ได้รับการประหาร ๒-๓ ครั้ง ลำบากไปบ้าง ป่วยไปบ้าง ถึงความตายบ้าง หมู่เนื้อจึงบอกประพฤติเหตุนั้นแก่พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ให้เรียกเนื้อสาขะมาแล้วกล่าวว่า ดูก่อนสหาย เนื้อเป็นอันมากพากันฉิบหาย เมื่อเนื้อมีอันจะต้องตายโดยส่วนเดียว ตั้งแต่นี้ไป ผู้จะฆ่าจงอย่าเอาลูกศรยิงเนื้อ วาระของเนื้อทั้งหลายจงมีในที่แห่งค้อนของผู้พิพากษา วาระจงถึงแก่บริษัทของเราวันหนึ่ง จงถึงแก่บริษัทของท่านวันหนึ่ง เนื้อตัวที่ถึงวาระจงไปนอนพาดหัวที่ไม้ค้อนของผู้พิพากษา แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น เนื้อทั้งหลายจักไม่กลัว เนื้อสาขะรับคำแล้ว. ตั้งแต่นั้นมา เนื้อที่ถึงวาระ จะไปนอนพาดคอที่ไม้ค้อนพิพากษา พ่อครัวมา อยู่มาวันหนึ่ง วาระถึงแก่แม่เนื้อผู้มีครรภ์ตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นบริษัทของเนื้อสาขะ แม่เนื้อนั้นเข้าไปหาเนื้อสาขะ แล้วกล่าวว่า เจ้านาย ข้าพเจ้ามีครรภ์ คลอดลูกแล้ว พวกเราทั้งสองจะไปตามวาระ ท่านจงให้ข้ามวาระของข้าพเจ้าไปก่อน. เนื้อสาขะกล่าวว่า เราไม่อาจทำวาระของเจ้าให้ถึงแก่เนื้อตัวอื่นๆ เจ้าเท่านั้นจักรู้ว่า เจ้ามีบุตร เจ้าจงไปเถอะ. แม่เนื้อนั้น เมื่อไม่ได้ความช่วยเหลือจากสำนักของเนื้อสาขะ จึงเข้าไปหาพระโพธิสัตว์บอกเนื้อความนั้น พระโพธิสัตว์นั้นได้ฟังคำของแม่เนื้อนั้น จึงคิดว่า ก็พระโพธิสัตว์ทั้งหลายในกาลก่อน เห็นทุกข์ของคนอื่น ย่อมไม่ห่วงใยชีวิตของตน ประโยชน์ของผู้อื่นจากประโยชน์ตนนั่นแล เป็นสิ่งที่หนักกว่าสำหรับพระโพธิสัตว์เหล่านั้น. เหล่านก ปศุสัตว์ มฤคในป่าทั้งหมดย่อมเป็นอยู่ด้วยตนเอง นักปราชญ์ ครั้นคิดดังนี้แล้วจึงกล่าวว่า เจ้าจงไปเถอะ เราจักให้วาระของ พระราชาเสด็จขึ้นทรงรถในทันใดนั้นเอง เสด็จไปด้วยบริวารใหญ่ เห็นพระ พระยาเนื้อกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช แม่เนื้อผู้มีครรภ์มากล่าวว่า ขอท่านจงยังวาระของฉันให้ถึงแก่เนื้อตัวอื่น ก็ข้าพระบาทไม่อาจโยน พระราชาตรัสว่า ดูก่อนสุวรรณมิคราชผู้เป็นนาย แม้ในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย เราก็ไม่เคยเห็นคนผู้เพียบพร้อมด้วยขันติ เมตตาและความเอ็นดูเช่นกับท่าน ด้วยเหตุนั้น เราจึงเลื่อมใสท่าน ลุกขึ้นเถิดเราให้อภัยแก่ท่าน และแก่แม่เนื้อนั้น. พระยาเนื้อกล่าวว่า ข้าแต่พระผู้จอมคน เมื่อข้าพระบาททั้งสองได้อภัยแล้ว เนื้อที่เหลือนอกนั้น จักกระทำอย่างไร. พระราชาตรัสว่า นาย เราให้อภัยแม้แก่เนื้อที่เหลือด้วย พระยาเนื้อกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น เนื้อทั้งหลายในพระราชอุทยานเท่านั้น จักได้อภัย เนื้อที่เหลือจักทรงกระทำอย่างไร พระราชาตรัสว่า นาย เราให้อภัยแก่เนื้อ แม้เหล่านั้น พระยาเนื้อกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช เบื้องต้น เนื้อทั้งหลายได้รับอภัย สัตว์ ๔ เท้าที่เหลือจักกระทำอย่างไร พระราชาตรัสว่า นาย เราให้อภัยแก่สัตว์ ๔ เท้า แม้เหล่านั้น พระยาเนื้อกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช สัตว์ ๔ เท้าได้รับพระราชทานอภัยก่อน หมู่นกจักกระทำอย่างไร พระราชาตรัสว่า นาย แม้หมู่นกเหล่านั้นเราก็ให้อภัย พระยาเนื้อกราบทูลว่า เบื้องต้น หมู่นกจักได้รับพระราชทานอภัย พวกปลาที่อยู่ในนํ้า จักกระทำอย่างไร พระราชาตรัสว่า นาย แม้หมู่ปลาเหล่านั้น เราก็ให้อภัย พระมหาสัตว์ทูลขออภัยแก่สรรพสัตว์กะพระราชาอย่างนี้แล้ว ได้ลุกขึ้นยืน ให้ ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงประพฤติธรรมในพระชนกชนนี ในพระโอรสพระธิดา ในพราหมณ์คฤหบดี ในชาวนิคมและชาวชนบท เมื่อทรงประพฤติธรรม ประพฤติสมํ่าเสมออยู่ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้แล้วอยู่ในอุทยาน ๒-๓ วัน ให้โอวาทแก่พระราชาแล้ว อันหมู่เนื้อแวดล้อมเข้าป่าแล้ว แม่เนื้อนม แม้นั้นตกลูกออกมาเช่นกับช่อดอกไม้ ลูกเนื้อนั้น เมื่อเล่นได้ จะไปยังสำนักของเนื้อสาขะ. ลำดับนั้น มารดาเห็นลูกเนื้อนั้นกำลังจะไปยังสำนักของเนื้อสาขะนั้น จึงกล่าวว่า ลูกเอ๋ย ตั้งแต่นี้ไปเจ้าอย่าไปยังสำนักของเนื้อสาขะนั่น เจ้าพึงไปยังสำนักของเนื้อนิโครธเท่านั้น เมื่อจะโอวาท จึงกล่าวคาถาว่า เจ้าหรือคนอื่นก็ตาม พึงคบหาแต่พระยาเนื้อชื่อว่านิโครธเท่านั้น ไม่ควรเข้าไปอาศัยอยู่กับพระยาเนื้อชื่อว่าสาขะ ความตายในสำนักของพระยาเนื้อชื่อว่านิโครธ ประเสริฐ บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิโคฺรธเมว เสเวยฺย ความว่า ดูก่อนพ่อ เจ้าหรือคนอื่นก็ตาม ผู้ใคร่ต่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ตน ควรเสพหรือควรคบหา แต่พระยาเนื้อ ชื่อว่านิโครธ นั้น. บทว่า น สาขํ อุปสํวเส ความว่า แต่เนื้อชื่อว่าสาขะไม่ควรเข้าไปอยู่ร่วม คือไม่ควรเข้าไปใกล้แล้วอยู่ร่วม ได้แก่ไม่ควรอาศัยเนื้อสาขะนั้นเลี้ยงชีวิต. บทว่า นิโคฺรธสฺมึ มตํ เสยฺโย ความว่า แม้การตายอยู่แทบเท้าของพระยาเนื้อ ชื่อว่านิโครธ ประเสริฐกว่า คือยอดเยี่ยมสูงสุด. บทว่า ยญฺเจ สาขสฺมิ ชีวิตํ ความว่า ก็ความเป็นอยู่ในสำนักของเนื้อ ชื่อว่าสาขะนั้น ไม่ประเสริฐ คือไม่ยอดเยี่ยมไม่สูงสุดเลย. ก็จำเดิมแต่นั้น พวกเนื้อที่ได้อภัย พากันกินข้าวกล้าของพวกมนุษย์ มนุษย์ทั้งหลายไม่อาจ พระยาเนื้อนิโครธได้สดับเหตุการณ์นั้น จึงให้หมู่เนื้อประชุมกัน โอวาท พระศาสดาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เราเป็นที่พึ่งอาศัยของพระเถรีและพระ ก็ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงหมุนกลับเทศนา ว่าด้วยสัจจะทั้ง ๔ ตรัสเรื่อง ๒ เรื่องสืบต่ออนุสนธิกัน แล้วทรงประชุมชาดกว่า เนื้อชื่อสาขะในครั้งนั้น ได้เป็น พระเทวทัต แม้บริษัทของเนื้อสาขะนั้น ก็ได้เป็น บริษัทของพระเทวทัต นั่นแหละ แม่เนื้อนมในครั้งนั้น ได้เป็น พระเถรี ลูกเนื้อในครั้งนั้น ได้เป็น พระกุมารกัสสป พระราชาได้เป็น พระอานนท์ ส่วนพระยาเนื้อชื่อว่านิโครธ ได้เป็น เราเอง แล. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา นิโครธมิคชาดก จบ. |