บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
๑. ในอรรถกถาเป็น วรณ... ได้ยินว่า ในวันหนึ่ง กุลบุตรชาวเมืองสาวัตถีเป็นสหายกันประมาณ ๓๐ คน ถือของหอม พอเวลาเย็น เมื่อพระศาสดาเสด็จออกจากพระคันธกุฎีอันอบแล้วด้วยกลิ่นหอม เสด็จดำเนินไปสู่ธรรมสภา ประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์อันตกแต่งแล้ว จึงพากันไปสู่ธรรมสภาพร้อมด้วยบริวาร บูชาพระศาสดาด้วยของหอมและ พวกเขาพากันปริวิตกว่า เราทั้งหลายต้องบวช ถึงจะรู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วได้กว้างขวาง. ในเวลาที่พระตถาคตเสด็จออกจากธรรมสภา พวกกุลบุตรเหล่านั้นก็พากันเข้าไปเฝ้า ถวายบังคมทูลขอบรรพชา. พระศาสดาทรงประทานบรรพชาแก่พวกเขา. พวกเขากระทำให้อาจารย์และอุปัชฌาย์โปรดปรานแล้วได้อุปสมบทอยู่ในสำนักของอาจารย์ พระศาสดาทรงทราบสัปปายะ จึงตรัสบอกพระกรรมฐานข้อหนึ่งในกรรม ภิกษุเหล่านั้นเรียนพระกรรมฐานในสำนักของพระศาสดา แล้วถวาย ครั้งนั้น ในระหว่างภิกษุเหล่านั้น มีภิกษุรูปหนึ่งโดยชื่อเรียกกันว่า กุฏุมพิกปุต ฝ่ายภิกษุเหล่านั้นพากันจาริกไปในแคว้นโกศล ถึงหมู่บ้านชายแดนตำบลหนึ่ง ก็เข้าอาศัยหมู่บ้านนั้นจำพรรษา อยู่ที่ชายป่าแห่งหนึ่ง เป็นผู้ไม่ประมาท เพียรพยายามอยู่ตลอดระยะกาลภายในไตรมาส ถือเอาห้องวิปัสสนา ยังปฐพีให้บันลือลั่น บรรลุพระอรหัตต์แล้ว พอออกพรรษาปวารณาแล้วปรึกษากันว่า จักกราบทูลคุณที่ตนได้บรรลุแล้วแด่พระศาสดา จึงพากันออกจากปัจจันต พระศาสดาได้ทรงกระทำปฏิสันถารด้วยพระดำรัสอันไพเราะกับภิกษุเหล่านั้น. ภิกษุเหล่านั้นได้รับปฏิสันถารแล้ว จึงกราบทูลคุณที่ตนได้แล้วแด่พระตถาคต. พระศาสดาทรงสรรเสริญภิกษุเหล่านั้น. พระกุฏุมพิกปุตตติสสเถระเห็นพระศาสดาตรัสสรรเสริญคุณของภิกษุเหล่านั้น แม้ตนเองก็ประสงค์จะบำเพ็ญ ฝ่ายภิกษุทั้งหลาย แม้เหล่านั้นกราบทูลลาพระศาสดาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้า พระศาสดาทรงอนุญาตแล้ว. พวกภิกษุเหล่านั้นถวายบังคมพระศาสดา แล้วได้พากันไปสู่บริเวณ. ครั้งนั้น พระกุฏุมพิกปุตตติสสเถระนั้นบำเพ็ญเพียรจัดในระหว่างเวลา เมื่อภิกษุเหล่านั้นต้องช่วยปฏิบัติเธอ การเดินทางก็ชะงัก. ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสถามภิกษุเหล่านั้นผู้พากันมาในเวลาเป็นที่บำรุงว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอบอกลาเมื่อวานว่า จักพากันไปในวันพรุ่งนี้ มิใช่หรือ? ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า เช่นนั้น ก็แต่ว่าท่านติสสเถระบุตรกุฏุมพีสหายของข้าพระองค์ทั้งหลาย กระทำสมณธรรมอย่างรีบเร่งในเวลามิใช่กาล ถูกความง่วงครอบงำ กลิ้งตกลงไป กระดูกขาแตก เพราะเธอเป็นเหตุ พวกข้าพระองค์จึงจำต้องงดการเดินทาง. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่ภิกษุนี้รีบเร่งกระทำความเพียรในเวลามิใช่กาล เพราะความที่ตนเป็นผู้มีความเพียรย่อหย่อน จึงกระทำอันตรายการเดินทางของพวกเธอ แม้ในครั้งก่อนภิกษุนี้ก็ได้ทำอันตรายการเดินทางของพวกเธอมาแล้วเหมือนกัน. ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลอาราธนา จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :- ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ให้มาณพ ๕๐๐ คนเล่าเรียนศิลปะอยู่ในเมืองตักกสิลา แคว้นคันธาระ. ครั้นวันหนึ่ง มาณพเหล่านั้นพากันไปป่าเพื่อหาฟืนรวบรวมฟืนไว้ ในระหว่างมาณพเหล่านั้น มีมาณพผู้เกียจคร้านอยู่คนหนึ่ง เห็นต้นกุ่มใหญ่ สำคัญว่า ต้นไม้นี้เป็นต้นไม้แห้ง คิดว่านอนเสียชั่วครู่หนึ่งก่อนก็ได้ ทีหลังค่อยขึ้นต้นหักฟืนทิ้งลงหอบเอาไป จึงปูลาดผ้าห่มลงนอนกรนหลับสนิท. ส่วนมาณพนอกนี้พากันผูกฟืนเป็นมัดๆ แล้วแบกไป เอาเท้ากระทืบมาณพนั้นที่หลัง ปลุกให้ตื่นแล้วพากันไป มาณพผู้เกียจคร้าน ลุกขึ้นขยี้ตา จนหายง่วงแล้ว ก็ปีนขึ้นต้นกุ่ม จับกิ่งเหนี่ยวมาตรงหน้าตน พอหักแล้ว ปลายไม้ที่ลัดขึ้น ก็ดีดเอานัยน์ตาของตนแตกไป เอามือข้างหนึ่งปิดตาไว้ ข้างหนึ่งหักฟืนสดๆ ลงจากต้น มัดเป็นมัดแบกไปโดยเร็ว เอาไปทิ้งทับบนฟืนที่พวกมาณพเหล่านั้นกองกันไว้อีกด้วย. ก็ในวันนั้น ตระกูลหนึ่งจากบ้านในชนบทนิมนต์อาจารย์ไว้ว่า พรุ่งนี้พวกกระผม พวกมาณพเหล่านั้นปลุกทาสีให้ลุกขึ้นต้มข้าวต้มแต่เช้าตรู่ สั่งว่าเจ้าจงรีบต้มข้าวต้มให้แก่พวกเราโดยเร็ว. ทาสีนั้นไปหอบฟืนก็หอบเอาฟืนไม้กุ่มสดไป แม้จะใช้ปากเป่าลมบ่อยๆ ก็ไม่อาจให้ไฟลุกได้ จนดวงอาทิตย์ขึ้น. พวกมาณพเห็นว่า สายนักแล้ว บัดนี้ พวกเราไม่อาจจะไปได้ จึงพากันไปสำนักท่านอาจารย์. ท่านอาจารย์ถามว่า พ่อเอ๋ย พวกเจ้าไม่ได้ไปกันดอกหรือ? พวกมาณพตอบว่า ครับ ท่านอาจารย์ พวกกระผมไม่ได้ไป อาจารย์ถามว่า เพราะเหตุไร? จึงตอบว่า มาณพเกียจคร้านโน่นไปป่าเพื่อหาฟืนกับพวกผม ไปนอนหลับเสียที่โคนกุ่ม ทีหลังจึงรีบขึ้นไป ไม้ลัดเอาตาแตก หอบเอาไม้สด มาโยนไว้ข้างบนฟืนที่พวกผมหามา คนต้มข้าวขนเอาฟืนสดๆ นั้นไปด้วยสำคัญว่าเป็นฟืนแห้ง จนดวงอาทิตย์ขึ้นสูง ก็ไม่อาจก่อไฟให้ลุกได้ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นอุปสรรคต่อการเดินทาง. ท่านอาจารย์ฟังสิ่งที่มาณพกระทำผิดพลาดแล้ว กล่าวว่า ความเสื่อมเสียเห็นปานนี้ย่อมมีได้ เพราะอาศัยกรรมของพวกอันธพาล แล้วกล่าวคาถานี้ความว่า :- กิจที่จะต้องรีบกระทำก่อน ผู้ใดใคร่จะกระทำภายหลัง ผู้นั้นย่อมเดือดร้อนในภายหลัง เหมือนมาณพหักไม้กุ่ม เดือดร้อนอยู่ฉะนี้ ดังนี้ บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ส ปจฺฉา อนุตปฺปติ ความว่า บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งไม่พิจารณาให้ถ่องแท้ว่า กิจนี้ต้องทำก่อน กิจนี้ต้องทำภายหลัง เอากิจที่ต้องทำก่อน คือกรรมที่ต้องกระทำทีแรกนั่นแหละมากระทำในภายหลัง บุคคลนั้นเป็นพาลบุคคล ย่อมเดือดร้อน คือโศกเศร้าร่ำไห้ในภายหลัง เหมือนมาณพของพวกเราผู้หักไม้กุ่มผู้นี้. พระโพธิสัตว์กล่าวเหตุนี้แก่เหล่าอันเตวาสิกด้วยประการฉะนี้ แล้วกระทำบุญมีทานเป็นต้น ในสุดท้ายแห่งชีวิต ก็ไปตามคัลลองของกรรม. พระบรมศาสดาก็ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่ภิกษุนี้กระทำ มาณพผู้ถึงแก่นัยน์ตาแตกในครั้งนั้นได้มาเป็น ภิกษุผู้กระดูกขาแตกในบัดนี้ มาณพที่เหลือมาเป็นพุทธบริษัท ส่วนพราหมณ์ผู้อาจารย์ได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา วรุณชาดกที่ ๑ จบ. |