บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ความย่อว่า ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในโรงธรรมว่า อาวุโสทั้งหลาย พระ พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่ ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิ ครั้งนั้น ฝูงช้างในป่าหิมพานต์ทั้งสิ้นมาประชุมกันแล้ว พากันบำรุงพระโพธิ ครั้งนั้น พรานป่าชาวเมืองพาราณสีผู้หนึ่งเข้าสู่ป่าหิมพานต์ เสาะแสวงหาสิ่งของอันเป็นเครื่องยังชีพของตน ไม่อาจกำหนดทิศทางได้ หลงทาง เป็นผู้กลัวแต่มรณภัย ยกแขนทั้งคู่ร่ำร้องคร่ำครวญไป. พระโพธิสัตว์ได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญของพรานผู้นั้นแล้ว อันความกรุณาเข้ามาตักเตือนว่า เราจักช่วยบุรุษผู้นี้ให้พ้นจากทุกข์ ก็เดินไปหาเขาใกล้ๆ เขาเห็นพระโพธิ พระโพธิสัตว์เข้าไปใกล้เขา ถามว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ เหตุไรท่านจึงเที่ยวร่ำร้องคร่ำครวญไป. เขาตอบว่า ท่านช้างผู้จ่าโขลง ข้าพเจ้ากำหนดทิศทางไม่ถูก หลงทาง จึงเที่ยวร่ำร้องไปเพราะกลัวตาย. ครั้งนั้น พระโพธิ ครั้งนั้นแล พรานป่าเป็นคนมีสันดานทำลายมิตร จึงคิดมาตลอดทางว่า ถ้ามีใครถาม ครั้งนั้น บุรุษนั้นไปถึงพระนครพาราณสีแล้ว ก็ไปถึงถนนช่างสลักงา เห็นพวกช่างสลักงากำลังทำเครื่องงาหลายชนิด จึงถามว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ถ้าได้งาช้างที่ยังเป็นๆ ท่านทั้งหลายจะซื้อหรือไม่? พวกช่างสลักงาตอบว่า ท่านผู้เจริญ ท่านพูดอะไร ธรรมดางาช้างเป็นมีค่ามากกว่างาช้างที่ตายแล้วหลายเท่า. เขากล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ข้าพ พระโพธิสัตว์เห็นเขามาจึงถามว่า ท่านมาเพื่อประสงค์อะไร? เขาตอบว่า ดูก่อนท่านผู้เป็นจ่าโขลง ข้าพเจ้าเป็นคนยากจนกำพร้า ไม่อาจดำรงชีวิตอยู่ได้ มาขอตัดงาท่าน ถ้าท่านจักให้ก็จะถืองานั้นไปขายเลี้ยงชีวิตด้วยทุนทรัพย์นั้น. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า เอาเถิดพ่อคุณ เราจักให้งาท่าน ถ้ามีเลื่อยสำหรับตัดงา. เขากล่าวว่า ท่านผู้เป็นจ่าโขลง ข้าพเจ้าถือเอาเลื่อยเตรียมมาแล้ว. พระโพธิ พระโพธิสัตว์จับงาเหล่านั้นด้วยงวง พลางตั้งปณิธานเพื่อพระสัพพัญญุต เขาถืองานั้นไปขาย ครั้นสิ้นทุนทรัพย์นั้นก็ไปสู่สำนักพระโพธิสัตว์อีก กล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้เป็นจ่าโขลง ทุนทรัพย์ที่ได้เพราะขายงาของท่าน เพียงพอแค่ชำระหนี้ของข้าพเจ้าเท่านั้น โปรดให้งาส่วนที่เหลือแก่ข้าพเจ้าเถิด. พระโพธิสัตว์ก็รับคำแล้วยอมให้เขาตัด ยกงาส่วนที่เหลือให้โดยนัยเดียวกับครั้งก่อน. ถึงเขาจะขายงาเหล่านั้นแล้วก็ยังย้อนมาอีก กล่าวขอว่า ดูก่อนท่านผู้เป็นจ่าโขลง ข้าพเจ้าไม่สามารถดำเนินชีวิตอยู่ได้ โปรดให้โคนงาแก่ข้าพเจ้าเถิด. พระโพธิสัตว์รับคำแล้วก็หมอบลงโดยนัยก่อน. คนใจบาปนั้นก็เหยียบงวงอันเปรียบเหมือนพวงเงินของมหาสัตว์ ก้าวขึ้นสู่กระพองอัน ก็ในเมื่อคนใจบาปนั้นเดินพ้นไปจากคลองจักษุของพระโพธิสัตว์เท่านั้น แผ่นดินอันทึบหนาได้สองแสนสี่หมื่นโยชน์ถึงจะสามารถทรงไว้ซึ่งของหนักแสนหนัก มีขุนเขา เวลาที่คนใจบาปเข้าไปสู่แผ่นดินอย่างนี้แล้ว รุกข เมื่อจะแสดงธรรมให้กึกก้องไปทั่วป่า จึงกล่าวคาถานี้ความว่า :- "ถึงหากจะให้แผ่นดินทั้งหมดแก่คนอกตัญญู ผู้คอยมองหาช่องอยู่เป็นนิตย์ ก็ไม่ทำให้เขาพอใจได้" บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อกตญฺญุสฺส ความว่า แก่คนผู้ไม่รู้คุณที่คนอื่นทำแก่ตน. บทว่า โปสสฺส แปลว่า แก่บุรุษ. บทว่า วิวรทสฺสิโน ความว่า ผู้มองหาช่อง คือโอกาสอยู่ร่ำไป. บทว่า สพฺพญฺเจ ปฐวึ ทชฺชา ความว่า แม้ถ้าจักให้จักรพรรดิราชสมบัติทั้งหมด หรืออีกนัยหนึ่ง ถึงหากจะพลิกแผ่นดินใหญ่นี้ เอาง้วนดินมาให้แก่บุคคลเช่นนั้น. บทว่า เนว นํ อภิราธเย ความว่า ใครๆ แม้ถึงจะกระทำอย่างนี้ได้ ก็ยังไม่อาจยังคนอกตัญญู ดังตัวอย่างที่ปรากฏ ผู้ทำลายคุณที่ท่านกระทำแล้ว ให้อิ่มใจ หรือให้เลื่อมใสได้เลย. เทวดานั้นแสดงธรรมสนั่นไปทั่วป่าด้วยประการฉะนี้. พระโพธิสัตว์ดำรงอยู่ตราบสิ้นอายุ พระบรมศาสดาก็ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่พระเทว ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า บุรุษผู้ทำลายมิตรในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระเทวทัต รุกขเทวดาได้มาเป็น พระสารีบุตร ส่วนพญาช้างผู้มีศีลได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา สีลวนาคชาดก จบ. |