บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ความพิสดารมีอยู่ว่า ในกาลนั้น พวกภิกษุพหูสูตนั่งอยู่ ณ พื้นหินอ่อนสีแดง สวดบทภาณวารในท่ามกลางสงฆ์ เหมือนราชสีห์หนุ่มบรรลือสีหนาท เหมือนเทวดาบันดาลให้น้ำคงคาในอากาศให้ตกลง. เมื่อภิกษุเหล่านั้นกล่าวบทภาณวาร พระโกกาลิกะไม่รู้ความโง่ของตน อวดภูมิว่า เราจักกล่าวบทภาณวารบ้าง จึงเข้าไปในระหว่างภิกษุทั้งหลาย เที่ยวประกาศในที่นั้นๆ อ้างภิกษุสงฆ์ว่า พวกภิกษุไม่ให้โอกาสเรากล่าวบทภาณวารบ้าง หากให้โอกาสแก่เรา เราก็จักกล่าวบ้าง. คำพูดของพระโกกาลิกะได้ปรากฏในหมู่ภิกษุ พวกภิกษุคิดว่า จักทดลองพระโกกาลิกะดูก่อน จึงกล่าวว่า ดูก่อนอาวุโสโกกาลิกะ วันนี้ท่านจงกล่าวบทภาณวารแก่สงฆ์เถิด. พระโกกาลิกะไม่รู้ความสามารถของตน จึงรับว่าตกลง จึงฉันข้าวยาคูเคี้ยวของเคี้ยวอันเป็นที่สบายของตน บริโภคกับสูปะอันอร่อย. ครั้นพระอาทิตย์ตก เขาประกาศเวลาฟังธรรม หมู่ภิกษุประชุมกัน พระโกกาลิกะนุ่งผ้ากาสาวมีสีเหมือนโคลน ห่มจีวรมีสีเหมือนดอกกรรณิการ์ เข้าไปยังท่ามกลางสงฆ์ ไหว้พระเถระ ขึ้นสู่ธรรมาสน์ที่ประดับไว้อย่างดี ในมณฑลแก้วที่ตกแต่งไว้ นั่งจับพัดวีชนีด้วยคิดว่า เราจักกล่าวบทภาณวาร. ทันใดนั่นเอง เหงื่อก็ไหลจากร่างกายของพระโกกาลิกะ ความขลาดกลัวเข้าครอบงำ ครั้นกล่าวบทต้นของคาถาแรกแล้ว ก็ไม่เห็นบทเบื้องปลาย พระโกกาลิกะงกงันลงจากธรรมาสน์ กระดากอาย ได้ออกไปจากท่ามกลางสงฆ์กลับที่อยู่ของตน ภิกษุพหูสูตรูปอื่นจึงได้กล่าวบทภาณวารต่อไป. ตั้งแต่นั้น ภิกษุทั้งหลายจึงรู้ว่า พระโกกาลิกะโง่. อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายประชุมสนทนากันในโรงธรรมว่า อาวุโสทั้งหลาย ความโง่ของพระโกกาลิกะในชั้นแรกรู้ได้ยาก แต่บัดนี้ได้ปรากฏชัดขึ้นมาแล้ว. พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โกกาลิกะได้เผยความโง่ให้ปรากฏแล้ว มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนก็ได้เผยให้ปรากฏมาแล้ว ทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า. ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิ ในขณะที่ราชสีห์เหล่านั้นบรรลือสีหนาทเล่นหัวกันอยู่อย่างนี้ สุนัขจิ้งจอกตัวนั้นก็หอนขึ้น พวกราชสีห์ได้ยินเสียงสุนัขจิ้งจอกนั้น ก็กระดากใจ พากันนิ่งด้วยคิดว่า เจ้าสุนัขจิ้งจอกตัวนี้หอนแข่งกับพวกเรา. ในขณะที่ราชสีห์เหล่านั้นนิ่ง ราชสีห์น้อยลูกพญาราชสีห์โพธิสัตว์ เมื่อจะถามบิดาว่า พ่อจ๋า พวกราชสีห์เหล่านี้บรรลือสีหนาทเล่นหัวกัน ครั้นได้ยินเสียงของสัตว์นั้นพากันนิ่งด้วยความอาย สัตว์นั้นชื่ออะไร อวดอ้างตนด้วยเสียงของตน ได้กล่าวคาถาแรกว่า :- ข้าแต่พ่อผู้เป็นใหญ่ในมฤค ใครหนอมีเสียงดังลั่น ทำทัททรบรรพตให้บรรลือลั่นยิ่งนัก ราชสีห์ทั้งหลายไม่อาจบรรลือโต้ตอบมัน นั่นเรียกว่าสัตว์อะไรหนอ. ในบทเหล่านั้นบทว่า อภินาเทติ ททฺทรํ ความว่า ใครหนอทำทัททรบรรพตให้มีเสียงกึกก้องเป็นอันเดียว. ลูกราชสีห์เรียกบิดาว่า มิคาภิภู. ในบทว่า มิคาภิภู นี้ มีอธิบายว่า ข้าแต่พญาราชสีห์ผู้เป็นจอมมฤค ข้าพเจ้าขอถามท่าน สัตว์นั้นชื่ออะไร. ครั้นบิดาฟังคำของลูกราชสีห์แล้ว จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :- ลูกเอ๋ย นั่นคือสุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์เลวทรามต่ำช้ากว่ามฤคชาติทั้งหลาย มัน ในบทเหล่านั้นบทว่า สํ ในบทว่า สมจฺฉเร เป็นเพียงอุปสรรค. เอาความว่า อยู่เฉย. ท่านอธิบายไว้ว่า ราชสีห์ทั้งหลายนิ่งเฉย คืออยู่เฉย. ในคัมภีร์ทั้งหลาย เกจิอาจารย์เขียนว่า สมจฺฉเร. พระศาสดา ครั้นตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โกกาลิกะมิได้เปิดเผยตนเอง ในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนก็ได้เปิดเผยแล้วเหมือนกัน แล้วทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา ทรงประชุมชาดก. สุนัขจิ้งจอกในครั้งนั้น ได้เป็น พระโกกาลิกะ ในครั้งนี้. ส่วนลูกราชสีห์ได้เป็น ราหุล. พญาราชสีห์ คือ เราตถาคต นี้แล. .. อรรถกถา ทัททรชาดก จบ. |