บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
เรื่องพิสดารมีอยู่ว่า เมื่อพระศาสดาเสด็จถึงกรุงกบิลพัสดุ์ โดยเสด็จไปเป็นครั้งแรก ทรงให้นันทกุมารพระกนิษฐ ท่านพระนันทะระลึกถึงวาจาที่นางชนปทกัลยาณี พระศาสดาทรงทราบเรื่องของพระนันทะแล้ว จึงทรงดำริว่า ถ้ากระไร เราจักให้นันทะดำรงอยู่ในอรหัตผล แล้วเสด็จไปยังที่อยู่ของพระนันทะ ประทับนั่งเหนืออาสนะที่เขาจัดเตรียมไว้ ตรัสถามว่า ดูก่อนนันทะ เธอไม่ยินดีในศาสนานี้กระมัง. กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์มีจิตปฏิพัทธ์นางชนปทกัลยาณี จึงไม่ยินดี. ตรัสถามว่า ดูก่อนนันทะ เธอเคยจาริกไปป่าหิมพานต์หรือเปล่า. กราบทูลว่า ไม่เคยไปเลย พระ พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนนันทะ เราจะพาเธอไปด้วยกำลังฤทธิ์ของเราเอง แล้วทรงจับมือพระนันทะเหาะขึ้นไปสู่อากาศ ทรงแสดงถึงนาที่ถูกไฟไหม้แห่งหนึ่งในระหว่าง ครั้นแล้วก็ทรงพาพระนันทะไป ทรงชี้ให้ดูพื้นมโนสิลา ประมาณหกสิบโยชน์ สระใหญ่เจ็ดสระ มีสระอโนดาตเป็นต้น แม่น้ำใหญ่ห้าสาย และภูเขาหิมพานต์อันน่ารื่ม พระศาสดาทรงให้พระนันทะดูนางอัปสร ๕๐๐ เหล่านั้นบ่อยๆ ด้วยอำนาจกิเลส ตรัสถามว่า นันทะ เธอเห็นนางอัปสรสีเท้านกพิราบเหล่านี้ไหมเล่า. กราบทูลว่า เห็นพระ พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนนันทะ จงบำเพ็ญสมณธรรมเถิด เราจะเป็นผู้รับรองเธอ. พระเถระถือพระตถาคตเป็นผู้รับรองในท่ามกลางหมู่เทวดา แล้วจึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ขอพระองค์อย่าทำให้เนิ่นช้านัก เชิญเสด็จมา ไปกันเถิด ข้าพระองค์จักบำเพ็ญสมณธรรม. พระศาสดาพาพระนันทะกลับไปสู่พระเชตวันอย่างเดิม พระเถระเริ่มบำเพ็ญสมณธรรม. พระศาสดาตรัสเรียกพระธรรมเสนาบดีมา แล้วตรัสว่า ดูก่อนสารีบุตร นันทะน้องชายของเราได้ยึดเราเป็นผู้รับรอง เพราะเรื่องนางเทพอัปสรทั้งหลาย ในท่ามกลางหมู่เทวดาในดาวดึงสเทวโลก โดยอุบายนี้แหละ พระองค์ทรงแจ้งแก่ภิกษุที่เหลือโดยมากแก่อสีติมหาสาวกเป็นต้นว่า พระมหาโมคคัลลานเถระ พระมหากัสสปเถระ พระอนุ พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเข้าไปหาพระนันทเถระกล่าวว่า ท่านนันทะ นัยว่า ท่าน พระนันทะรำพึงว่า เราทำกรรมอันไม่สมควรหนอ แล้วประคองความเพียรให้มั่นคงด้วยหิริและโอตัปปะ เจริญวิปัสสนา แล้วบรรลุพระอรหัต เข้าไปเฝ้าพระศาสดา กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าขอถอนคำรับรองของพระองค์. แม้พระศาสดาก็ตรัสว่า ดูก่อนนันทะ ก็เธอบรรลุพระอรหัตเมื่อใด เมื่อนั้นเราก็พ้นจากคำรับรอง. ภิกษุทั้งหลาย ครั้นทราบความนี้แล้ว จึงประชุมกันในโรงธรรมว่า ดูก่อนอาวุโส ท่านพระนันทะรูปนี้ อดทนต่อคำสอน ตั้งมั่นหิริและโอตัปปะ ไว้ด้วยโอวาทครั้งเดียวเท่านั้น แล้วบำเพ็ญสมณธรรมบรรลุพระอรหัต. พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นันทะอดทนต่อคำสอน มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้แต่ก่อนก็อดทนต่อคำสอนเหมือนกัน แล้วทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า. ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิ ช้างมงคลเห็นทหารซัดทรายอันร้อนเป็นต้น ปล่อยหินยนต์และเครื่องประหารหลายๆ อย่าง ก็หวาดกลัวต่อความตาย ไม่อาจเข้าใกล้ได้ จึงหลีกไป. ครั้งนั้น นายหัตถาจารย์เข้าไปหาช้างมงคล พูดปลอบว่า เจ้าก็กล้าหาญเข้าสงคราม ชื่อว่าการล่าถอยอย่างนี้ ไม่สมควร. เมื่อจะสอนช้าง จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :- ดูก่อนกุญชร ท่านปรากฏว่าเป็นผู้เคยเข้าสงคราม มีความแกล้วกล้า มีกำลังมาก เข้ามาใกล้เขื่อนประตูแล้ว เหตุไรจึงถอยกลับเสียเล่า. ดูก่อนกุญชร ท่านจงหักลิ่มกลอน ถอนเสาระเนียดและทำลายเขื่อนทั้งหลาย แล้วเข้าประตูให้ได้โดยเร็วเถิด. ในบทเหล่านั้น บทว่า อิติ วิสฺสุโต ความว่า ท่านเป็นผู้ปรากฏ คือรู้กันทั่วไปอย่างนี้ว่า ชื่อว่าเคยเข้าสู่สงคราม เพราะเข้าสงครามย่ำยีประหัตประหารต่อสู้กัน. ชื่อว่ากล้าหาญ เพราะมีใจบึกบึน และชื่อว่ามีกำลัง เพราะสมบูรณ์ด้วยกำลัง. บทว่า โตรณมาสชฺช ได้แก่ ถึงค่ายอันยันประตูเมืองแล้ว. บทว่า ปฏิกฺกมสิ คือ นายหัตถาจารย์พูดว่า ไฉนจึงท้อถอย คือเพราะเหตุไรจึงกลับ. บทว่า โอมทฺท ได้แก่ จงบุกเข้าไป คือจงรุดหน้าเข้าไป. บทว่า เอสิกานิ จ อุพฺพห ความว่า เสาระเนียดที่เขาปักไว้มั่นคง ลึกลงไปในแผ่นดิน ๑๖ ศอก ๘ ศอก ที่ประตูเมือง มีอยู่ เจ้าจงขุด คือจงถอนเสาระเนียดนั้นโดยเร็วเถิด นายหัตถาจารย์ได้สั่งไว้. บทว่า โตรณานิ จ มทฺทิตฺวา คือ จงทำลายบานประตูนครเสีย. บทว่า ขิปฺปํ ปวิส คือ เจ้าจงรีบเข้าประตูเมือง เรียกช้างว่า กุญฺชร. ช้างมงคลได้ฟังดังนั้น ก็หันกลับเพราะคำสอนของพระโพธิสัตว์ เพียงคำเดียวเท่านั้น แล้วใช้งวงพันเสาระเนียดถอนขึ้น เหมือนดังถอนเห็ดฉะนั้น แล้วทำลายเสาค่าย ถอดกลอน พังประตูเมืองเข้าพระนคร ยึดราชสมบัติถวายพระราชา. พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดก ช้างในครั้งนั้น ได้เป็น นันทะ ในครั้งนี้ พระราชาได้เป็น พระอานนท์ ส่วนนายหัตถาจารย์ คือ เราตถาคต นี้แล. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา สังคามาวจรชาดก จบ. |