บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ความพิสดารมีอยู่ว่า ลาภและสักการะได้เกิดขึ้นเป็นอันมากแก่พระผู้มีพระภาค ดังที่พระธรรมสังคาหกาจารย์กล่าวไว้ว่า ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าอันมหาชนสักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัชและบริขารทั้งหลาย แม้ภิกษุสงฆ์ก็เหมือนอย่างนั้น แต่พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกทั้งหลาย ไม่มีใครสักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม ไม่ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัชและบริขารทั้งหลาย. พวกปริพาชกเหล่านั้นเสื่อมจากลาภและสักการะอย่างนี้ จึงประชุมลับปรึกษากันทั้ง พวกปริพาชกทั้งหมดลงความเห็นกันว่า เอาเป็นอย่างนั้น จึงตกลงกันต่อไปว่า ก็ถ้าพวกเราจักไม่กราบทูลพระราชาเสียก่อนสร้างอาราม พวกภิกษุก็จะขัดขวางได้ ธรรมดา ผู้ได้สินบนแล้วจะไม่เขวไม่มี เพราะฉะนั้น เราจักถวายของกำนัลแด่พระราชา แล้วจักขอรับเอาที่สร้างอาราม จึงขอร้องพวกอุปฐากทั้งหลายรวบรวมทรัพย์ พระราชาทรงรับคำเพราะความละโมบของกำนัล. พวกเดียรถีย์ ครั้นเกลี้ย ภิกษุสงฆ์ไปยืนอยู่ที่ประตูพระราชวัง พระราชาทรงสดับว่าสงฆ์มา ทรงดำริว่า พวกภิกษุคงจะมาเรื่องอารามเดียรถีย์ เพราะพระองค์รับสินบนไว้ จึงให้ไปบอกว่า พระราชาไม่ประทับอยู่ในวัง. ภิกษุทั้งหลายจึงไปกราบทูลแด่พระศาสดา. พระศาสดาตรัสว่า พระราชาทรงทำอย่างนี้เพราะทรงรับสินบน จึงส่งพระอัครสาวกทั้งสองรูปไป. พระราชาทรงสดับว่า พระอัครสาวกทั้งสองรูปมา จึงรับสั่งให้บอกไปเหมือนอย่างนั้น. พระอัคร พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนาโดยปริยายข้อหนึ่งมาแสดงแก่พระราชา แล้วตรัสว่า มหาบพิตร พระราชาแต่ครั้งก่อนก็รับสินบนแล้ว ทำให้ผู้มีศีลทั้งหลายทะเลาะ พระราชากราบทูลอาราธนา จึงทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า. ในอดีตกาล มีพระราชาพระนามว่าภรุราช เสวยราชสมบัติอยู่ในแคว้นภรุ. ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นดาบส เป็นครูประจำคณะ ได้อภิญญาห้าและสมาบัติแปด อยู่ในหิมวันตประเทศมาช้านาน จึงแวดล้อมไปด้วยดาบส ๕๐๐ ลงจากหิมวันตประเทศ เพื่อต้องการอาหารรสเค็มและเปรี้ยว ได้ไปถึงภรุนครโดยลำดับ ออกบิณฑบาต ณ เมืองนั้น แล้วออกจากนครนั่งอยู่ที่โคนต้นไทรย้อย ซึ่งสมบูรณ์ไปด้วยสาขา และค่าคบทางประตูด้านเหนือ กระทำภัตกิจเสร็จแล้ว อาศัยอยู่ ณ โคนต้นไม้นั่นเอง. เมื่อคณะฤๅษีนั้นอยู่ ณ ที่นั้นล่วงไปครึ่งเดือน ครูประจำคณะอื่นมีบริวาร ๕๐๐ มาเที่ยวขอภิกษาในนครนั้น ครั้นออกจากนคร แล้วนั่งอยู่ที่โคนต้นไทรย้อยเช่นเดียวกันทางประตูทิศใต้ กระทำภัตรกิจแล้วอาศัยอยู่ ณ ที่นั้นเอง. คณะฤๅษีทั้งสองเหล่านั้นพักอยู่ตามพอใจ ณ ที่นั้นแล้ว ก็กลับสู่หิมวันตประเทศตามเดิม. เมื่อคณะฤๅษีเหล่านั้นไปแล้ว ต้นไทรทางประตูทิศใต้ก็แห้งโกร๋น เมื่อคณะฤาษีเหล่านั้นมาอีกครั้งหนึ่ง คณะที่อยู่ต้นไทรทางทิศใต้มาถึงก่อนรู้ว่าต้นไม้ของตนแห้งโกร๋น เที่ยวขอภิกษาออกจากนครไปโคนต้นไม้ทางทิศอุดร กระทำภัตรกิจเสร็จแล้ว ก็พักอยู่ ณ ที่นั้นเอง. ส่วนฤๅษีอีกพวกหนึ่งมาถึงทีหลัง เที่ยวภิกขาจารในนครแล้วไปยังโคนต้นไม้เดิมของตน กระทำภัตกิจแล้วก็พักผ่อน. พวกฤๅษีทั้งสองคณะก็ทะเลาะกันเพราะต้นไม้ว่า ต้นไม้ของเรา ต้นไม้ของเรา เลยเกิดทะเลาะกันใหญ่. ฤๅษีพวกหนึ่งกล่าวว่า พวกท่านจะเอาที่ที่เราอยู่มาก่อนไม่ได้. พวกหนึ่งกล่าวว่า พวกเรามาถึงที่นี่ก่อน พวกท่านจะเอาไม่ได้. พวกฤๅษีเหล่านั้นต่างทุ่มเถียงกันว่า เราเป็นเจ้าของ เราเป็นเจ้าของ ดังนี้แล้วพากันไปราชตระกูล เพื่อต้องการโคนต้นไม้. พระราชาทรงตัดสินให้คณะฤๅษีที่มาอยู่ก่อนเป็นเจ้าของ. ส่วนฤๅษีอีกพวกหนึ่งคิดว่า พวกเราจะไม่ยอมให้ใครว่าตนว่า ถูกพวกฤๅษีพวกนี้ให้แพ้ได้ จึงตรวจดูด้วยทิพยจักษุ เห็นเรือนรกหลังหนึ่งสำหรับพระเจ้าจักรพรรดิ์ทรงใช้สอย จึงนำมาถวายเป็นสินบนแด่พระราชา พากันถวายพระพรว่า มหาบพิตร ขอพระองค์จงตัดสินให้พวกอาตมาเป็นเจ้าของ พระราชาทรงรับสินบนแล้ว ทรงตัดสินให้ฤๅษีทั้งสองคณะเป็นเจ้าของว่า จงอยู่กันทั้งสองคณะเถิด. ฤๅษีอีกฝ่ายหนึ่งนำล้อแก้วของเรือนรกนั้นมาถวายเป็นสินบน แล้วทูลว่า มหา เทวดาที่สิงสถิตอยู่ ณ แคว้นภรุรัฐทั้งสิ้น ต่างร่วมกันพิโรธพระเจ้าภรุราชว่า พระราชาทำให้ผู้มีศีลทะเลาะกัน เป็นการทำที่ไม่สมควร จึงบันดาลให้แคว้นภรุรัฐอันกว้างใหญ่ ๓๐๐ โยชน์ กลายเป็นสมุทรไป ก่อให้เกิดความพินาศ. ชาวแว่นแคว้นทั้งสิ้นถึงความพินาศ เพราะอาศัยพระเจ้าภรุราชพระองค์เดียว ด้วยประการฉะนี้. พระศาสดาทรงนำเรื่องอดีตนี้มา พระองค์ตรัสรู้แล้ว ได้ตรัสคาถาเหล่านี้ว่า :- เราได้ฟังมาว่า พระราชาในภรุรัฐได้ทรงประทุษร้ายต่อฤๅษีทั้งหลายแล้ว ทรงประสบความวิบัติพร้อมทั้งแว่นแคว้น. เพราะฉะนั้นแล ปัณฑิตทั้งหลายจึงไม่สรรเสริญการลุอำนาจแก่ฉันทาคติ บุคคลไม่ควรมีจิตคิดร้าย ควรกล่าวแต่คำที่อิงความจริง. ในบทเหล่านั้น บทว่า อิสีนมนฺตรํ กตฺวา ความว่า เปิดช่องให้ด้วยอำนาจฉันทา บทว่า ภรุราชา คือพระราชาแคว้นภรุ. บทว่า อิติ เม สุตํ ความว่า เราได้สดับเรื่องนี้มาก่อนแล้ว. บทว่า ตสฺมา หิ ฉนฺทาคมํ ความว่า เพราะพระเจ้าภรุราชทรงถึงฉันทา บทว่า อทุฏฺฐจิตฺโต ความว่า บุคคลไม่ควรมีจิตคิดร้ายด้วยกิเลส ควรกล่าวคำจริง. บทว่า สจฺจูปสญฺหิตํ ความว่า ควรกล่าวคำที่อิงสภาพ คือ อิงเหตุ อิงผลเท่านั้น. ในชนเหล่านั้น พวกใดกล่าวคำจริง คัดค้านว่า ที่พระเจ้าภรุราชทรงรับสินบนนี้เป็นการทำที่ไม่สมควร ที่สำหรับชนเหล่านั้นดำรงอยู่ ได้ปรากฏขึ้นเป็นเกาะพันหนึ่ง ในนาลิเกรทวีป จนทุกวันนี้. พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ตรัสว่า มหาบพิตรไม่ควรเป็นผู้ลำเอียง แล้วทรงประชุมชาดก. เราตถาคตได้เป็นหัวหน้าคณะฤๅษีสมัยนั้น. พระราชา ในเวลาที่พระตถาคตเสวยภัตตาหารเสร็จแล้วเสด็จกลับไป ได้ส่งพวกราชบุรุษให้ไปรื้ออารามเดียรถีย์. พวกเดียรถีย์ก็ตั้งไม่ติดฉะนี้แล. จบ อรรถกถาภรุราชชาดกที่ ๓ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ภรุราชชาดก จบ. |