บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ในวันหนึ่ง พระมหาสาวกทั้งสองวินิจฉัยปัญหาอยู่. ภิกษุทั้งหลายฟังปัญหาต่างก็สรรเสริญพระเถระทั้งสอง. พระโลฬุทายีเถระนั่งอยู่ในระหว่างบริษัท ขัดคอขึ้นว่า พระมหาสาวกเหล่านี้จะรู้อะไรทัดเทียมเราหรือ. พระเถระทั้งสองเห็นพระโลฬุทายีเถระนั้นแล้ว จึงลุกจากอาสนะหลีกไป บริษัทเลยแยกย้ายกัน. ภิกษุทั้งหลายประชุมสนทนากันในโรงธรรมว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย พระโลฬุทายี ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิ ต่อมา พระราชาสวรรคต. พวกอำมาตย์จัดการถวายพระเพลิง แล้วปรึกษากันว่า จักอภิเษกปาทัญชลีราชบุตรครองราชสมบัติ. แต่พระโพธิสัตว์กล่าวว่า พระกุมารนี้มีพระทัยโลเล เชื่องช้า พวกเราจักควรทดลองดูก่อน แล้วจึงจักอภิเษกพระกุมารนั้น. พวกอำมาตย์จึงเตรียมการตัดสินความ ให้พระกุมารประทับนั่งในที่ใกล้ๆ เมื่อจะตัดสินคดี แกล้งตัดสินไม่ถูก ตัดสินให้ผู้มิใช่เจ้าของเป็นเจ้าของ แล้วทูลพระกุมารว่า ข้าแต่พระกุมาร พวกข้าพระองค์ตัดสินความชอบธรรมหรือไฉน. พระกุมารเม้มพระโอฐ. พระโพธิสัตว์สำคัญว่า พระกุมารเห็นจะทรงเฉลียวฉลาด คงจักทราบว่า ตัดสินไม่ชอบ จึงกล่าวคาถาแรกว่า :- ปาทัญชลีราชกุมารย่อมรุ่งเรืองกว่าเราทั้งหมด ด้วยพระปรีชาแน่นอน เมื่อเช่นนั้น ทำไมจึงทรงเม้มพระโอฐอยู่เล่า จะทรงเห็นเหตุอื่นยิ่งกว่านี้เป็นแน่. ครั้นวันอื่น พวกอำมาตย์เหล่านั้นตระเตรียมการตัดสินความแล้ว ตัดสินความอีกเรื่องหนึ่งโดยชอบธรรม แล้วทูลถามว่า ข้าแต่พระกุมาร ข้าพระองค์ตัดสินความถูกต้องแล้วหรือไฉน พระกุมารทรงเม้มพระโอฐอีกเหมือนอย่างเดิม. ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงทราบว่า พระกุมารนี้โง่เขลา จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :- ปาทัญชลีราชกุมารพระองค์นี้ จะทรงทราบสิ่งที่เป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม สิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ ก็หาไม่ ปาทัญชลีราชกุมารพระองค์นี้ นอกจากจะเม้มพระโอฐแล้ว ย่อมไม่ทรงทราบเหตุการณ์สักนิดหนึ่งเลย. พวกอำมาตย์รู้ว่า ปาทัญชลีราชกุมารทรงเหลวไหล จึงอภิเษกพระโพธิสัตว์ขึ้นครอง พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดก. ปาทัญชลีราชกุมารในครั้งนั้น ได้เป็น พระโลฬุทายีในครั้งนี้ ส่วนอำมาตย์บัณฑิต คือ เราตถาคต นี้แล. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ปาทัญชลิชาดก จบ. |