บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
เรื่องได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั่นแล. ก็ในที่นี้ พระศาสดาตรัสกะภิกษุนั้นว่า เธอบวชในพระศาสนาของพระ ในอดีตกาล พระเจ้ากาสีพระนามว่า กลาปุ ทรงครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี. ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ มีทรัพย์สมบัติ ๘๐ โกฏิ เป็นมาณพชื่อว่า กุณฑลกุมาร. เจริญวัยแล้ว ได้เล่าเรียนศิลปะทุกอย่างในนครตักกสิลา แล้วรวบรวมทรัพย์สมบัติตั้งตัว เมื่อบิดามารดาล่วงลับไป จึงมองดูกองทรัพย์แล้วคิดว่า ญาติทั้งหลายของเราทำทรัพย์ให้เกิดขึ้นแล้ว ไม่ถือเอาไปเลย แต่เราควรจะถือเอาทรัพย์นั้นไป จึงจัดแจงทรัพย์ทั้งหมด ให้ทรัพย์แก่คนที่ควรให้ด้วยอำนาจการให้ทาน แล้วเข้าไปยังป่าหิมพานต์ บวชยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยผลาผลไม้ อยู่เป็นเวลาช้านาน เพื่อต้องการจะเสพรสเค็มและรสเปรี้ยว จึงไปยังถิ่นมนุษย์ ถึงนครพาราณสีโดยลำดับ แล้วอยู่ในพระราชอุทยาน. วันรุ่งขึ้น เที่ยวภิกขาจารไปในนคร ถึงประตูนิเวศน์ของเสนาบดี เสนา อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้ากลาปุทรงมึนเมาน้ำจัณฑ์มีนางนักสนมห้อมล้อม เสด็จไปยังพระราชอุทยานด้วยพระอิสริยยศอันยิ่งใหญ่ ให้ลาดพระที่บรรทมบนแผ่นศิลาอันเป็นมงคล แล้วบรรทมเหนือตักของหญิงที่ทรงโปรดคนหนึ่ง หญิงนักฟ้อนทั้งหลายผู้ฉลาดในการขับร้อง การประโคมและ ลำดับนั้น หญิงเหล่านั้นพากันกล่าวว่า พวกเราประกอบการขับร้องเป็นต้น เพื่อประโยชน์แก่พระราชาใด พระราชานั้นก็ทรงบรรทมหลับไปแล้ว ประโยชน์อะไรแก่พวกเราด้วยการขับร้องเป็นต้น จึงทิ้งเครื่องดนตรีมีพิณเป็นต้นไว้ในที่นั้นๆ เอง แล้วหลีกไปยังพระราชอุทยาน ถูก ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์นั่งอยู่ ดุจช้างซับมันตัวประเสริฐ ยังเวลาให้ล่วงไปด้วยความสุขในบรรพชาอยู่ ณ โคนต้นสาละมีดอกบานสะพรั่งในพระราชอุทยานนั้น. ลำดับนั้น หญิงเหล่านั้นหลีกไปยังพระราชอุทยานแล้วเที่ยวไปอยู่ ได้เห็นพระโพธิสัตว์นั้นจึงกล่าวกันว่า มาเถิดท่านทั้งหลาย พระผู้เป็นเจ้าของพวกเราเป็นบรรพชิตนั่งอยู่ที่โคนไม้ต้นหนึ่ง พวกเราจักนั่งฟังอะไรๆ ในสำนักของพระผู้เป็นเจ้านั้น ตราบเท่าที่พระราชายังไม่ทรงตื่น พระโพธิสัตว์จึงกล่าวธรรมแก่หญิงเหล่านั้น. ครั้งนั้น หญิงคนนั้นขยับตัวทำให้พระราชาตื่นบรรทม พระราชาทรงตื่น หญิงคนโปรดนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช หญิงเหล่านั้นไปนั่งล้อม พระราชาทรงกริ้วถือพระขรรค์ได้รีบเสด็จไปด้วยตั้งพระทัยว่า จักตัดหัวของชฎิลโกงนั้น. ลำดับนั้น หญิงเหล่านั้นเห็นพระราชาทรงกริ้วกำลังเสด็จมา ในบรรดาหญิงเหล่านั้น หญิงคนที่โปรดมากไปแย่งเอาพระแสงดาบจากพระหัตถ์ของพระราชา ให้พระราชาสงบระงับ. พระราชานั้นเสด็จไปประทับยืนในสำนักของพระโพธิสัตว์ แล้วตรัสถามว่า สมณะ แกมี พระโพธิสัตว์ทูลว่า มหาบพิตร อาตมามีขันติวาทะ กล่าวยกย่องขันติ. พระราชาตรัสว่า ที่ชื่อว่าขันตินั้น คืออะไร? พระโพธิสัตว์ทูลว่า คือความไม่โกรธในเมื่อเขาด่าอยู่ ประหารอยู่ เย้ยหยันอยู่. พระราชาตรัสว่า ประเดี๋ยว เราจักเห็นความมีขันติของแก. แล้วรับสั่งให้เรียกเพชฌฆาตผู้ฆ่าโจรมา เพชฌฆาตนั้นถือขวานและแซ่หนามตามจารีตของ พระราชาตรัสว่า เจ้าจงจับดาบสชั่วเยี่ยงโจรนี้ ฉุดให้ล้มลงพื้น แล้วเอาแซ่หนามเฆี่ยนสองพันครั้งในข้างทั้งสี่ คือข้างหน้า ข้างหลังและด้านข้างๆ ทั้งสองด้าน. เพชฌฆาตนั้นได้กระทำเหมือนรับสั่งนั้น. ผิวของพระโพธิสัตว์ขาด หนังขาด เนื้อขาดโลหิตไหล. พระราชาตรัสถามอีกว่า เจ้ามีวาทะว่ากระไร? พระโพธิสัตว์ทูลว่า มหาบพิตร อาตมามีวาทะยกย่องขันติ ก็พระองค์สำคัญว่า ขันติมีในระหว่างหนังของอาตมา ขันติไม่ได้มีในระหว่างหนังของอาตมา. มหาบพิตร ก็ขันติของอาตมาตั้งอยู่เฉพาะภายในหทัย ซึ่งพระองค์ไม่อาจแลเห็น. เพชฌฆาตทูลถามอีกว่า ข้าพระองค์จะทำอะไร? พระราชาตรัสว่า จงตัดมือทั้งสองข้างของดาบสโกงผู้นี้. เพชฌฆาตนั้นจับขวานตัดมือทั้งสองข้างแค่ข้อมือ. ทีนั้น พระราชาตรัสกะเพชฌฆาตนั้นว่า จงตัดเท้าทั้งสองข้าง. เพชฌฆาตก็ตัดเท้าทั้งสองข้าง โลหิตไหลออกจากปลายมือและปลายเท้า เหมือนรดน้ำครั่งไหลออกจากหม้อทะลุ ฉะนั้น. พระราชาตรัสถามอีกว่า เจ้ามีวาทะว่ากระไร? พระโพธิสัตว์ทูลว่า มหาบพิตร อาตมามีวาทะยกย่องขันติ ก็พระองค์สำคัญว่า ขันติมีอยู่ที่ปลายมือปลายเท้าของอาตมา ขันตินั่นไม่มีอยู่ที่นี้ เพราะขันติของอาตมาตั้งอยู่เฉพาะภายในหทัย อันสถานที่ลึกซึ้ง. พระราชานั้นตรัสว่า จงตัดหูและจมูกของดาบสนี้. เพชฌฆาตก็ตัดหูและจมูก ทั่วทั้งร่างกายมีแต่โลหิต. พระราชาตรัสถามอีกว่า เจ้ามีวาทะกระไร? พระโพธิสัตว์ทูลว่า มหาบพิตร อาตมามีวาทะยกย่องขันติ แต่พระองค์ได้สำคัญว่า ขันติตั้งอยู่เฉพาะที่ปลายหู ปลายจมูก. ขันติของอาตมาตั้งอยู่เฉพาะภายในหทัยอันลึก. พระราชาตรัสว่า เจ้าชฎิลโกง เจ้าเท่านั้นจงนั่งยกเชิดชูขันติของเจ้าเถิด แล้วเอาพระบาท เมื่อพระราชานั้นเสด็จไปแล้ว เสนาบดีเช็ดโลหิตจากร่างกายของพระโพธิ เมื่อจะอ้อนวอน จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :- ข้าแต่ท่านผู้มีความเพียรมาก ผู้ใดให้ตัดมือ เท้า หู และจมูกของท่าน ท่านจงโกรธผู้นั้นเถิด อย่าได้ทำรัฐนี้ให้พินาศเสียเลย. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มหาวีร แปลว่า ผู้มีความเพียรใหญ่หลวง. บทว่า มา รฏฺฐํ วินสฺส อิทํ ความว่า ท่านอย่าทำกาสิกรัฐ อันหาความผิดมิได้ นี้ให้พินาศ. พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :- พระราชาพระองค์ใดรับสั่งให้ตัดมือ เท้า หู และจมูกของอาตมภาพ ขอพระราชาพระองค์นั้น จงทรงพระชนม์ยืนนาน บัณฑิตทั้งหลายเช่นกับอาตมภาพ ย่อมไม่โกรธเคืองเลย. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มาทิสา ความว่า บัณฑิตทั้งหลายผู้ประกอบด้วยกำลังแห่งขันติเช่นกับอาตมา ย่อมไม่โกรธว่าผู้นี้ด่า บริภาษ เย้ยหยัน ประหารเรา ตัดอวัยวะทำลายเรา. ในกาลที่พระราชาเสด็จออกจากพระราชอุทยาน ลับคลองจักษุของพระโพธิ พระโพธิสัตว์ก็ได้ทำกาละ ในวันนั้นเอง. ราชบุรุษและชาวนครทั้งหลายถือของหอม ดอกไม้ ประทีปและธูป มากระทำฌาปนกิจสรีระของพระโพธิสัตว์. ส่วนเกจิอาจารย์กล่าวว่า พระโพธิสัตว์กลับไปยังหิมวันตประเทศนั่นเอง คำของเกจิอาจารย์นั้นไม่จริง. มีอภิสัมพุทธคาถาทั้งสองคาถา นี้อยู่ว่า :- สมณะผู้สมบูรณ์ด้วยขันติได้มีมาในอดีตกาลนานแล้ว พระเจ้ากาสีได้รับสั่งให้ห้ำหั่นสมณะนั้นผู้ดำรงอยู่เฉพาะในขันติธรรม. พระเจ้ากาสีหมกไหม้อยู่ในนรก เสวยวิบากอันเผ็ดร้อนของกรรม ที่หยาบช้านั้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อตีตมทฺธานํ แปลว่า ในอดีตกาลอันยาวนาน. บทว่า ขนฺติทีปโน ได้แก่ ผู้เพียบพร้อมด้วยอธิวาสนขันติ. บทว่า อเฉทยิ ได้แก่ รับสั่งให้ฆ่า. แต่พระเถระพวกหนึ่งกล่าวว่า มือและเท้าของพระโพธิสัตว์ต่อติดได้อีก. คำนั้นไม่จริงเหมือนกัน. บทว่า สมปฺปิโต ได้แก่ ตั้งอยู่เฉพาะแล้ว. พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประกาศสัจจะ แล้วทรงประชุมชาดก ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้ขี้โกรธบรรลุพระอนาคามิผล. พระเจ้ากาสีพระนามว่า กลาปุ ในครั้งนั้น ได้เป็น พระเทวทัต เสนาบดีในครั้งนั้น ได้เป็น พระสารีบุตร ส่วนดาบสผู้มีวาทะยกย่องขันติในครั้งนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล. จบ อรรถกถาขันติวาทิชาดกที่ ๓ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขันติวาทิชาดก จบ. |