บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ได้ยินว่า เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูนั้นอยู่ในพระครรภ์ของพระมารดา พวกโหรผู้ทำนายนิมิตกราบทูลว่า สัตว์ผู้อุบัติในพระครรภ์ของพระเทวี จักปลงพระชนม์พระองค์แล้วยึดราชสมบัติ. พระราชาตรัสว่า บุตรของเราจักฆ่าเราแล้วยึดราชสมบัติ ในข้อนั้นจะมีโทษอะไร แล้วทรงเฉือนพระชานุข้างขวาด้วยพระแสงมีด เอาจานทองรองรับพระโลหิตแล้วประทานให้พระเทวีดื่ม พระเทวีนั้นทรงดำริว่า ถ้าโอรสผู้เกิดในครรภ์ของเราจักปลงพระชนม์พระบิดาไซร้ เราจะประโยชน์อะไรด้วยพระโอรสนั้น พระนางจึงให้รีดพระครรภ์ เพื่อให้ครรภ์ตกไป. พระราชาทรงทราบจึงรับสั่งให้เรียกพระเทวีนั้นมา แล้วตรัสว่า นางผู้เจริญ นัยว่าบุตรของเราจักฆ่าเราแล้วยึดราชสมบัติ ก็เราจะไม่แก่ไม่ตายก็หามิได้ เธอจงให้เราเห็นหน้าลูกเถิด จำเดิมแต่นี้ไป เธออย่าได้กระทำกรรมเห็นปานนี้. จำเดิมแต่นั้น พระเทวีเสด็จไปพระราชอุทยานแล้วให้รีดครรภ์. พระราชาได้ทรงทราบ จึงทรงห้ามเสด็จไปพระราชอุทยาน จำเดิมแต่กาลนั้น. พระเทวีทรงมีพระครรภ์ครบบริบูรณ์แล้วประสูติพระโอรส. ก็ในวันขนานนามพระโอรสนั้น เขาขนานพระนามว่า อชาตศัตรูกุมาร เพราะเป็นศัตรูต่อพระบิดาตั้งแต่ยังไม่ประสูติ เมื่ออชาตศัตรูกุมารนั้นทรงเจริญเติบโตอยู่ด้วยกุมารบริหาร. วันหนึ่ง พระศาสดาแวดล้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ เสด็จไปนิเวศน์ของพระราชาแล้วประทับนั่งอยู่. พระราชาทรงอังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ด้วยของเคี้ยวและของฉันอันประณีต ทรงนมัสการแล้วประทับนั่งสดับธรรมอยู่. ขณะนั้น พระพี่เลี้ยงแต่งองค์พระกุมารแล้วได้ถวายพระราชา พระราชาทรงรับพระโอรสด้วยพระสิเนหาเป็น พระศาสดาทรงทราบความประมาทของพระราชา จึงตรัสว่า มหาบพิตร พระราชา ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติในนครพาราณสี พระโพธิ พระโอรสของพระราชาในนครพาราณสี เสด็จไปยังสำนักของพระโพธิสัตว์นั้น ในเวลาพระองค์มีพระชนมายุ ๑๖ พรรษาเรียนไตรเพทและศิลปะทุกอย่าง เป็นผู้มีศิลปะครบบริบูรณ์แล้ว จึงตรัสลาอาจารย์. อาจารย์จึงตรวจดูพระราชกุมารนั้นด้วยวิชาดูอวัยวะ แล้วคิดว่าอันตรายเพราะอาศัยพระโอรส จะปรากฎมีแก่พระราชกุมารนี้ เราจะปัดเป่าอันตรายนั้นไปเสียด้วยอานุภาพ ก็แหละเมื่อให้คาถาอย่างนี้แล้ว จึงกำชับพระราชกุมารนั้นว่า ดูก่อนพ่อ เจ้าดำรงอยู่ในราชสมบัติแล้ว ในเวลาโอรสของเจ้ามีชนมายุ ๑๖ พรรษา เมื่อจะเสวยพระกระยาหาร พึงกล่าวคาถาที่หนึ่ง ในเวลามีการเข้าเฝ้าเป็นการใหญ่ พึงกล่าวคาถาที่ ๒ เมื่อเสด็จขึ้นปราสาทประทับยืนที่หัวบันได พึงกล่าวคาถาที่ ๓ เมื่อเสด็จเข้าห้องบรรทมประทับยืนที่ธรณีประตู พึงกล่าวคาถาที่ ๔ พระราชกุมารนั้นรับคำ จึงไหว้อาจารย์แล้วไป ได้ดำรงอยู่ในตำแหน่งอุปราช เมื่อพระบิดาล่วงไปจึงดำรงอยู่ในราชสมบัติ. พระโอรสของท้าวเธอ ในเวลามีพระชนม์ได้ ๑๖ พรรษา ได้เห็นสิริสมบัติของพระราชาผู้เสด็จออกเพื่อประโยชน์แก่กิจมีกีฬาในพระราชอุทยานเป็นต้น มีความประสงค์จะปลงพระชนม์พระบิดาแล้ว ยึดครองราชสมบัติจึงตรัสแก่พวกผู้ปฏิบัติบำรุงของพระองค์. พวกผู้ปฏิบัติบำรุงเหล่านั้นพากันทูลว่า ดีแล้ว ขอเดชะ ประโยชน์อะไรด้วยความเป็นใหญ่ที่ได้ในตอนแก่ ควรจะปลงพระชนม์พระราชาเสียด้วยอุบายอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วยึดครองราชสมบัติ. พระกุมารคิดว่า เราจะให้พระราชบิดาเสวยยาพิษสวรรคต เมื่อจะเสวยพระกระยาหารเย็นกับพระราชบิดา จึงถือยาพิษ ประทับนั่งอยู่. เมื่อพระกระยาหารในภาชนะกระยาหารยังไม่มีใครถูกต้องเลย พระราชาได้ตรัสคาถาที่ ๑ ว่า :- แกลบปรากฎโดยความเป็นแกลบแก่หนูทั้งหลาย และข้าวสารก็ปรากฎโดยความเป็นข้าวสารแก่พวกมัน แม้ในที่มืด พวกมันก็เว้นแกลบเสียกินแต่ข้าวสาร. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิทิตํ ความว่า ในที่มืดแม้มีฝนดำ แกลบก็แจ่มแจ้งปรากฎโดยความเป็นแกลบ ข้าวสารก็แจ่มแจ้งปรากฎโดยความเป็นข้าวสารแก่หนูทั้งหลาย. แต่ในที่นี้ท่านกล่าวโดยเป็นลิงควิปลาส (ลิงค์เคลื่อนคลาดตามหลักไวยากรณ์) ว่า ถุสํ ตณฺฑุลํ บทว่า ขาทเร ความว่า หนูทั้งหลายเว้นแกลบกินแต่ข้าวสารเท่านั้น. ท่านกล่าวอธิบายต่อไปว่า ลำดับนั้น พระกุมารคิดว่า แม้ในที่มืด แกลบก็ปรากฎโดยความเป็นแกลบ ข้าวสารปรากฎโดยความเป็นข้าวสารแก่หนูทั้งหลาย พวกมันเว้นแกลบกินแต่ข้าว พระกุมารดำริว่า พระบิดารู้เราแล้วจึงทรงกลัว ไม่อาจใส่ยาพิษในภาชนะพระกระยา พระกุมารจึงไปบอกเรื่องนั้นแก่พวกผู้ปฏิบัติบำรุงของพระองค์ แล้วตรัสถามว่า วัน ขณะนั้น พระราชาได้ตรัสคาถาที่ ๒ ว่า :- การปรึกษากันในป่าก็ดี การพูดกระซิบกันในบ้านก็ดี และการคิดหาโอกาสฆ่าเราในบัดนี้ก็ดี เรารู้หมดแล้ว. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อรญฺญสฺมึ ได้แก่ ในพระราชอุทยาน. บทว่า นิกณฺณิกา ได้แก่ ปรึกษากันใกล้ๆ หู. บทว่า ยญฺเจตํ อิติ จินฺตี จ ได้แก่ การแสวงหาโอกาสฆ่าเราในบัดนี้นั้นก็ดี. ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า ดูก่อนพ่อกุมาร การที่ท่านกระซิบกระซาบปรึกษากันทั้งในอุทยานและในบ้าน และเหตุแห่งความคิดว่า เพื่อต้องการฆ่าเราในบัดนี้นั้นก็ดี เรารู้หมดแล้ว. พระกุมารคิดว่า พระบิดารู้ว่าเราเป็นศัตรู จึงหนีไปบอกแก่พวกปฏิบัติบำรุงๆ ทำเวลาให้ผ่านพ้น ๗-๘ วัน จึงทูลว่า ข้าแต่พระกุมาร พระบิดาย่อมไม่รู้ว่าพระองค์เป็นศัตรู พระองค์ได้สำคัญไปอย่างนั้น เพราะการคิดคาดคะเนเอา พระองค์จงปลงพระชนม์พระบิดานั้นเถิด. วันหนึ่ง พระกุมารนั้นถือพระแสงขรรค์แล้วได้ยืนอยู่ที่ประตูห้อง ใกล้หัวบันได. ครั้งนั้น พระราชาประทับยืนอยู่ที่หัวบันได ตรัสคาถาที่ ๓ :- ได้ยินว่า ลิงตัวที่เป็นพ่อเอาฟันกัดผล คือภาวะแห่งบุรุษของลูกที่เกิดตามสภาวะ เสียแต่ยังเยาว์ทีเดียว. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺเมน ได้แก่ ตามสภาวะ. บทว่า ปุตฺตสฺส ปิตา ได้แก่ ลิงตัวที่เป็นพ่อของลูก คือลูกลิง. ท่านกล่าวคำอธิบายนี้ไว้ว่า ลิงที่เกิดในป่ารังเกียจการบริหารฝูงของตน เอาฟันกัดผลของลูกลิงเฉพาะตัวที่เป็นหนุ่ม ทำปุริสภาวะให้พินาศไป ฉันใด เราเพิกถอนผลเป็นต้นแม้ของท่านผู้ประสงค์ราชสมบัติเกินไป จักทำปุริสภาวะให้พินาศไปฉันนั้น. พระกุมารคิดว่า พระบิดาประสงค์จะให้จับเรา จึงตกพระทัยกลัว เสด็จหนีไปบอกแก่พวกผู้ปฏิบัติบำรุงว่า พระบิดาทรงคุกคามเรา. คนเหล่านั้น เมื่อล่วงเวลาไปประมาณกึ่งเดือน จึงทูลว่า ข้าแต่พระกุมาร ถ้าพระราชาพึงทรงทราบเหตุการณ์นั้น จะไม่พึงอดกลั้นอยู่ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ พระองค์ตรัสโดยการคิดคาดคะเนเอา พระองค์จงปลงพระชนม์พระราชานั้นเสียเถิด. วันหนึ่ง พระกุมารนั้นถือพระขรรค์เสด็จเข้าไปยังพระที่สิริไสยาสในปราสาทชั้นบน แล้วนอนอยู่ในใต้บังลังก์ด้วยหวังใจว่า จักประหารพระราชบิดา เมื่อเสด็จมาถึงทันที. พระราชาเสวยพระกระยาหารเย็นแล้วส่งชนบริวารกลับไป ทรงดำริว่า จักบรรทมจึงเสด็จเข้าห้องบรรทมอันประกอบด้วยสิริ ประทับยืนที่ธรณีประตู แล้วตรัสคาถาที่ ๔ ว่า :- การที่เจ้าดิ้นรนอยู่เหมือนแพะตาบอด ในไร่ผักกาดก็ดี นอนอยู่ภายใต้นี้ก็ดี เรารู้หมดสิ้นแล้ว. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปริสปฺปสิ ได้แก่ ได้อยู่ทางโน้นทางนี้ เพราะกลัว. บทว่า สาสเป แปลว่า ในไร่ผักกาด. บทว่า โยปายํ ตัดเป็น โยปิ อยํ. ท่านกล่าวคำอธิบายนี้ไว้ว่า เจ้าดิ้นรนไปทางโน้นทางนี้ เพราะความกลัว เหมือนแพะตาบอดที่เข้าไปยังดงผักกาด คือ ครั้งที่ ๑ เจ้าถือเอายาพิษมา ครั้งที่ ๒ ประสงค์จะประหารด้วยพระขรรค์จึงมา ครั้งที่ ๓ ได้ถือพระขรรค์มายืนที่หัวบันได และบัดนี้ เจ้าคิดว่าจักประหารพระราชานั้น จึงมานอนอยู่ใต้ที่นอนทั้งหมดนั้น เรารู้อยู่บัดนี้จะไม่ละเจ้าไว้ จักจับเจ้าลงราชอาญา พระราชานั้นถึงจะไม่ทรงทราบอย่างนั้น แต่คาถานั้นๆ ก็ส่องความนั้นๆ. พระกุมารคิดว่า พระราชบิดาทรงทราบเราแล้ว บัดนี้จักทรงทำเราให้พินาศ จึงตกพระทัยกลัว จึงออกมาจากใต้พระที่บรรทมทิ้งพระขรรค์ ณ ที่ใกล้พระบาทพระราชานั่นเอง หมอบลงที่ใกล้บาทมูลกราบทูลขอโทษว่า ขอเดชะๆ พระราชบิดาโปรดงดโทษแก่หม่อมฉันเถิด. พระราชาทรงขู่พระกุมารนั้นว่า เจ้าคิดว่า ใครๆ จะไม่รู้การกระทำของเรา แล้วรับสั่งให้จองจำด้วยเครื่องจองจำ คือโซ่ตรวน แล้วให้ส่งเข้าเรือนจำตั้งการอารักขาไว้. ในกาลนั้น พระราชาทรงสำนึกได้ถึงคุณงามความดีของพระโพธิสัตว์. ต่อมา พระราชานั้นเสด็จสวรรคต พวกอำมาตย์ราชเสวกกระทำการถวายพระเพลิงพระศพของท้าวเธอแล้ว จึงนำพระกุมารออกจากเรือนจำ ให้ดำรงอยู่ในราชสมบัติ. พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงตรัสเหตุนี้ว่า ดูก่อน พระศาสดาทรงประชุมชาดกว่า อาจารย์ทิศาปาโมกข์ในเมืองตักกสิลาในครั้งนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ถุสชาดก จบ. |