บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ได้ยินว่า พระเถระนั้นบวชเมื่อภายแก่ สร้างบรรณศาลาอยู่ ในสวนมะม่วงท้ายพระเชตวัน ดูแลรักษามะม่วง เคี้ยวกินมะม่วงสุกที่หล่นอยู่ ย่อมให้เฉพาะคนที่เกี่ยวข้องกับตน. เมื่อพระเถระนั้นเข้าไปภิกขาจาร คนลักมะม่วงทำผลมะม่วงให้หล่นแล้วกินและถือเอาไป. ขณะนั้น ธิดาของเศรษฐี ๔ คน อาบน้ำในแม่น้ำอจิรวดีแล้วเที่ยวไป จึงเข้าไปยังสวนมะม่วงนั้น. พระแก่มาเห็นธิดาเศรษฐีเหล่านั้นจึงกล่าวว่า พวกเจ้ากินมะม่วงของเรา. ธิดาเศรษฐีเหล่านั้นกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ พวกดิฉันเพิ่งมา ไม่ได้กินมะม่วงของท่าน. พระแก่กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าจงสบถ. ธิดาเศรษฐีเหล่านั้นรับคำว่าจะกระทำสบถ เจ้าข้า แล้วพากันกระทำสบถ. พระแก่ให้ธิดาเศรษฐีเหล่านั้นทำสบถให้ได้อาย แล้วจึงปล่อยตัวไป. ภิกษุทั้งหลายได้ฟัง การกระทำนั้นของพระแก่รูปนั้น จึงสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า อาวุโส ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ทรงครองความเป็นท้าวสักกเทวราช. ในกาลนั้น ชฎิลโกงผู้หนึ่งเข้าไปอาศัยนครพาราณสี สร้างบรรณ ในกาลนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงดำริว่า ใครหนอบำรุงบิดามารดา ใครหนอประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้เจริญที่สุดในสกุล ใครให้ทานรักษาศีล กระทำอุโบสถกรรม ใครบวชแล้วขวนขวายใน ในคราวนั้น ธิดาเศรษฐี ๔ คนจากนครพาราณสี เข้าไปยังสวนมะม่วงนั้น. ชฎิลโกงเห็นธิดาเศรษฐีเหล่านั้นจึงอ้างเอาว่า พวกท่านบริโภคมะม่วงของเรา. ธิดาเศรษฐีเหล่านั้นกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ พวกฉันเพิ่งมาเดี๋ยวนี้เอง พวกดิฉันไม่ได้กินมะม่วงของท่าน. ชฎิลโกงพูดว่า ถ้าอย่างนั้น พวกท่านจงสบถ. ธิดาเศรษฐีเหล่านั้นถามว่า ก็พวกดิฉันสบถแล้ว จักไปได้กระมัง? ชฎิลโกงกล่าวว่า เออ สบถแล้วจักได้ไป. ธิดาเศรษฐีเหล่านั้นพากันรับคำว่า ดีแล้ว ท่านผู้เจริญ เมื่อธิดาเศรษฐีคนใหญ่จะสบถ จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :- หญิงใดลักมะม่วงของท่าน หญิงนั้นจงตกอยู่ในอำนาจของชายผู้ย้อมผมให้ดำ และผู้เดือดร้อน เพราะต้องถอนผมหงอกด้วยแหนบ. คำที่เป็นคาถานั้นมีใจความว่า ชายใดแต่งให้ผมดำซึ่งเอาผลไม้สีเขียวเป็นต้นมาประกอบทำ เพื่อต้องการจะทำผมหงอกให้มีสีดำ และผู้ถอนผมหงอกซึ่งแซมอยู่กับผมดำ ชื่อว่าเดือดร้อน คือลำบากเพราะแหนบ หญิงผู้ลักมะม่วงของท่านจงตกอยู่ในอำนาจของชายแก่เห็นปานนั้น คือจงได้ผัวเห็นปานนั้น. ดาบสกล่าวว่า เจ้าจงยืนอยู่ในส่วนข้างหนึ่ง แล้วให้ธิดาเศรษฐีคนที่สองกระทำการสบถ. ธิดาเศรษฐีคนที่สองนั้น เมื่อจะสบถ จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :- หญิงใดลักมะม่วงของท่าน หญิงนั้นถึงจะมีอายุตั้ง ๒๐ ปี ๒๕ ปี หรือไม่ถึง ๓๐ ปี โดยกำเนิด แม้เป็นผู้มีวัยแก่เช่นนั้น ก็อย่าได้ผัวเลย. คำที่เป็นคาถานั้นมีใจความว่า ธรรมดา นารีทั้งหลายย่อมเป็นที่รักของพวกบุรุษ ในคราวมีอายุประมาณ ๑๕-๑๖ ปี แต่หญิงผู้ลักมะม่วงของท่าน อย่าได้สามีในคราวเป็นสาวเห็นปานนั้น พอถึงอายุ ๒๐ ปี หรือ ๒๕ ปี หรือชื่อว่าหย่อน ๓๐ ปี เพราะหย่อนหนึ่งปี สองปีโดยชาติกำเนิด แม้จะเป็นผู้เช่นนั้น คือเป็นผู้มีวัยแก่แล้ว ก็อย่าได้สามี. เมื่อธิดาเศรษฐีคนที่สอง แม้นั้นสบถแล้ว ยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง ธิดาเศรษฐีคนที่สาม จึงกล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :- หญิงใดลักมะม่วงของท่าน หญิงนั้นถึงจะกระเสือกกระสนเที่ยวหาผัว เดินทางไกลแสนไกลลำพังผู้เดียว ถึงจะได้นัดแนะกันไว้แล้ว ขออย่าได้พบได้เห็นผัวเลย. คำที่เป็นคาถานั้นมีใจความว่า หญิงใดลักมะม่วงของท่าน หญิงนั้นเมื่อปรารถนาผัว ชื่อว่าเป็นผู้กระเสือกกระสน เพราะรนไปในสำนักของผัวนั้นลำพังผู้เดียว คือไม่มีเพื่อน เดินทางไกลแสนไกลประมาณ ๑ คาวุต ๒ คาวุต และแม้ครั้นไปถึงแล้วทำการนัดหมายกันว่า ท่านพึงมายังที่ชื่อโน้น ก็อย่าได้พบเห็นผัวนั้นเลย. เมื่อธิดาเศรษฐีคนที่สาม แม้นั้นสบถแล้วยืน ณ ส่วนข้างหนึ่ง ธิดาเศรษฐีคนที่สี่ จึงกล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :- หญิงใดลักมะม่วงของท่าน หญิงนั้นถึงจะมีที่อยู่สะอาด ตกแต่งร่างกาย ทัดทรงดอกไม้ ลูบไล้ด้วยกระแจะจันทน์ ก็จงนอนอยู่บนที่นอนแต่เพียงคนเดียวเถิด. คาถานั้น มีเนื้อความง่ายทั้งนั้น. ดาบสโกงกล่าวว่า ท่านทั้งหลายทำการสบถแข็งแรงมาก คนเหล่าอื่นคงจักกินมะม่วงของเรา บัดนี้พวกท่านไปได้ แล้วส่งธิดาเศรษฐีเหล่านั้นไป. ท้าวสักกะจึงทรงแสดงรูปารมณ์อันน่ากลัว ทำดาบสโกงให้หนีไปจากที่นั้น. พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า ชฎิลโกงในครั้งนั้น ได้เป็น พระแก่เฝ้ามะม่วงรูปนี้ ธิดาเศรษฐี ๔ คนในครั้งนั้น ได้เป็น ธิดาเศรษฐีเหล่านี้แหละ ส่วนท้าวสักกเทวราชในครั้งนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล จบ อรรถกถาอัมพชาดกที่ ๔ .. อรรถกถา อัมพชาดก จบ. |