บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
เรื่องจักมีชัดใน สามชาดก แต่ในที่นี้มีดังต่อไปนี้. ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระ แต่ในเวลานั้น พระเจ้าพาราณสีได้ทรงเป็นผู้มีพระทัยฝักใฝ่ในการล่าเนื้อ. อยู่มาวันหนึ่ง พระองค์เสด็จไปป่าไกลประมาณ ๑ โยชน์ พร้อมด้วยบริวารจำนวนมาก ตรัสสั่งให้บอกแก่ทุกคนว่า ถ้าเนื้อหนีออกไปทางที่ผู้ใดยืนอยู่ ผู้นั้นถูกปรับสินไหม ชื่อนี้. อำมาตย์ทั้งหลายได้พากันกั้นซุ้มถวายพระราชาในที่ที่เป็นทางเดิน. บรรดาเนื้อทั้งหลายที่ถูกพวกมนุษย์ล้อมที่อยู่ของเนื้อ ไล่ให้ลุกออกไปด้วยก้อนดินและท่อนไม้. ละมั่งตัวหนึ่งวิ่งไปที่ที่พระราชาประทับยืน. พระราชาหมายพระทัยว่า เราจักยิงมัน แล้วได้ทรงยิงลูกศรไป. แต่เนื้อได้ศึกษามารยามาแล้ว รู้ลูกศรที่บ่ายหน้ามาอย่างสบายมาก จึงทำเป็นเหมือนต้องลูกศรล้มกลิ้งลง. พระราชาทรงเข้าพระทัยว่า เนื้อถูกเรายิงแล้ว จึงทรงวิ่งไปเพื่อต้องการจับ แต่เนื้อลุกขึ้นวิ่งหนีไปโดยเร็วเหมือนลม. พวกอำมาตย์เป็นต้นได้พากันเยาะเย้ยพระราชา. พระองค์จึงทรงติดตามเนื้อไปทัน ในเวลามันล้า ทรงใช้พระขรรค์ฟันออกเป็น ๒ ท่อน คล้องไว้ที่ท่อนไม้ท่อนหนึ่ง เป็นเหมือนคานหามเสด็จมา ทรงแวะเข้าไปต้นไทรที่อยู่ใกล้ทาง ด้วยพระดำริว่า เราจักพักผ่อนหน่อยหนึ่ง แล้วทรงม่อยหลับไป. ก็ยักษ์ชื่อมรรคเทพเกิดที่ต้นไทรนั้นได้สิทธิที่จะกินสัตว์ตัวที่เข้าไปใต้ต้นไม้นั้นจาก พระราชาตรัสถามว่า ท่านเป็นใคร? เราเป็นยักษ์ผู้เกิดขึ้นที่นี้ ได้สิทธิกินคนและสัตว์ผู้เข้ามาในที่นี้ ยักษ์ตอบ. พระราชาทรงตั้งพระสติ แล้วตรัสถามว่า เจ้าจักกินเฉพาะวันนี้หรือๆ จักกินเป็นประจำ. เมื่อได้ก็จักกินเป็นประจำ มันตอบ. พระราชาตรัสว่า วันนี้เจ้าจงกินเนื้อนี้ แล้วปล่อยเราไป ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป เราจะส่งคนมาให้ท่าน ๑ คน พร้อมกับสำรับอาหาร ๑ สำรับ. ถ้าอย่างนั้นท่านอย่าลืมในวันที่ท่านไม่ได้ส่งคนมา ข้าพเจ้าจะกินตัวท่านเอง ยักษ์พูดย้ำ. เราเป็นราชาเมืองพาราณสี ขึ้นชื่อว่า สิ่งไม่มี ไม่มีสำหรับเรา พระราชาตรัสรับรอง. ยักษ์รับปฏิญญาแล้วได้ปล่อยพระองค์ไป. พระองค์เสด็จเข้าพระนคร แล้วตรัสบอกข้อความนั้นแก่อำมาตย์ผู้แจ้งความ คือโฆษกคนหนึ่ง แล้วตรัสถามว่า บัดนี้ เราควรจะทำอย่างไร? อำ. ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์ทรงทำการกำหนดวันหรือไม่ ? รา. ไม่ได้ทำ. อำ. พระองค์ทรงทำสิ่งที่ไม่สมควร แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น พระองค์อย่าได้ทรงคิด คนในเรือนจำมีอยู่มาก. รา. ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงทำงานนั่น เจ้าจงให้ชีวิตฉันไว้. อำมาตย์รับใส่เกล้าใส่กระหม่อมว่า สาธุ แล้วเบิกคนจากเรือนจำ ให้แบกกับข้าวไปส่งยักษ์ทุกวัน โดยไม่ให้รู้เรื่องอะไรเลย. ยักษ์กินภัตตาหาร แล้วก็กินคนด้วย. ต่อมาเรือนจำทั้งหลายเกิดไม่มีคน คือนักโทษ. พระราชา เมื่อไม่ได้คนนำสำรับกับข้าวไป ก็ทรงหวาดหวั่นเพราะทรงกลัวความตาย. ลำดับนั้น อำมาตย์เมื่อจะทรงปลอบพระทัยพระองค์ จึงทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ คนมีความหวังในทรัพย์มีมากกว่า คนมีความหวังชีวิต ข้าพระองค์จักให้วางห่อเงินพันกหาปณะไว้บนคอช้าง แล้วให้เที่ยวตีกลองประกาศว่า ใครจักรับเอาทรัพย์นี้ แล้วถือเอาภัตตาหารไปให้ยักษ์ แล้วก็ให้ทำอย่างนั้น. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ได้ยินคำนั้นแล้ว คิดว่า เราเก็บรวบรวมเงินจากค่าจ้างได้มาสก ๑ บ้าง ครึ่งมาสกบ้าง เลี้ยงมารดาโดยยากลำบาก เราจักรับเอาทรัพย์นี้ให้มารดา แล้วจักไปสำนักของยักษ์ ถ้าหากเราจักอาจทรมานยักษ์ได้ไซร้ ข้อนี้จะเป็นกุศล แต่ถ้าจักไม่อาจไซร้ มารดาของเราก็จักมีชีวิตอยู่อย่างสบาย. เขาทำความตกลงใจ แล้วจึงบอกข้อความนั้นให้มารดาทราบ ถูกมารดาห้ามถึง ๒ ครั้งว่า อย่าเลยลูก แม่ไม่ต้องการทรัพย์ ครั้งที่ ๓ ไม่บอกกล่าวมารดาเลย บอกอำมาตย์ว่า นำมาเถิดพอมหาจำเริญทรัพย์ ๑ พัน ข้าพเจ้าจักนำภัตตาหารไปให้ยักษ์ ให้ทรัพย์แก่มารดา แล้วพูดว่า แม่ แม่อย่าคิดอะไร ผมจะทรมานยักษ์ ทำความสวัสดีแก่ ต่อแต่นั้น ตัวเขา เมื่อพระราชาตรัสถามว่า ดูก่อนพ่อ เจ้าหรือจักนำภัต รา. เธอควรจะได้อะไร? โพ. ข้าแต่สมมติเทพ ฉลองพระบาททองคำของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท. รา. เพราะเหตุไร? โพ. ข้าแต่สมมติเทพ ยักษ์นั้นจะได้กินเฉพาะคนที่ยืนอยู่บนพื้นที่ภายใต้ควงไม้ของตน ข้าพระพุทธเจ้าจะไม่ยืนบนพื้นที่ที่เป็นของยักษ์นั้น แต่จักยืนอยู่บนฉลองพระบาท. รา. ควรจะได้อะไร อย่างอื่นอีก? โพ. ฉัตร พระพุทธเจ้าข้า. รา. ฉัตรนี้ เพื่อประโยชน์อะไร? โพ. ข้าแต่สมมติเทพ ยักษ์นั้นจะได้กินเฉพาะคนที่ยืนอยู่ภายใต้ร่มไม้ของตน ข้าพระพุทธเจ้าจะไม่ยืนอยู่ภายใต้ร่มไม้ แต่จักยืนอยู่ภายใต้ร่มฉัตร. รา. ควรจะได้อะไรอย่างอื่นอีก? โพ. ข้าแต่สมมติเทพ พระขรรค์ของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท. รา. จักมีประโยชน์อะไรด้วยพระขรรค์นี้? โพ. ข้าแต่สมมติเทพ ยักษ์ทั้งหลายกลัวพระขรรค์ แม้มนุษย์ทั้งหลายก็กลัวพระขรรค์เหมือนกัน. รา. ควรจะได้อะไรอย่างอื่นอีก? โพ. ข้าแต่สมมติเทพ เครื่องต้นเต็มพระสุวรรณภาชน์ของพระองค์. รา. เพราะเหตุไร พ่อคุณ. โพ. ข้าแต่สมมติเทพ เพราะว่า ธรรมดาการนำโภชนาหารที่เลวๆ บรรจุถาดดิน คือกระเบื้องไป ไม่สมควรแก่ชายชาติบัณฑิตผู้เช่นกับข้าพระพุทธเจ้า. พระราชาตรัสสั่งว่า ดีแล้วพ่อคุณ ทรงประทานทุกอย่าง แล้วทรงมอบให้คนรับใช้ ยักษ์มองดูทาง เห็นพระโพธิสัตว์นั้น แล้วจึงคิดว่า ชายคนนี้ไม่มาโดยทำนองการมาในวันอื่นๆ จักมีเหตุอะไรหนอ? พระโพธิสัตว์ไปใกล้ต้นไม้ เอาปลายดาบผลักถาดภัตตาหารเข้าไปภายในร่มไม้ ตนเองยืนอยู่สุดร่มไม้นั่นเอง กล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :- ดูก่อนมฆเทพ ผู้สิงสถิตอยู่ ณ ต้นไทรนี้ พระราชาทรงส่งภัตตาหารเจือด้วยเนื้อสะอาดมาให้ท่าน ขอท่านจงออกมารับประทานเถิด. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาเหสิ ความว่า ทรงส่งมา. บทว่า มฆเทวสฺมึ อธิวตฺเถ ความว่า ต้นไทร เขาเรียกว่า มฆเทพ พระโพธิสัตว์เรียกเทวดาว่า ท่านผู้สิงอยู่ในต้นไทรนั้น. ยักษ์ได้ฟังคำนั้นแล้วคิดว่า เราจักลวงชายคนนี้ให้เข้ามาภายในร่มไม้ แล้วจึงจะกิน ดังนี้ แล้วได้กล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :- มาเถิดมาณพ จงถือเอาภัตตาหารผสมด้วยกับข้าว ลงมาเถิดมาณพ ท่านจงกินเถิด เราทั้ง ๒ จักกินด้วยกัน. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภิกฺขํ ได้แก่ ภัตตาหารประจำ. บทว่า สูปิตํ ความว่า ถึงพร้อมด้วยกับข้าว. ต่อจากนั้น พระโพธิสัตว์ได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า :- ดูก่อนยักษ์ ท่านจักละทิ้งประโยชน์มากมาย เพราะเหตุเล็กน้อย คนทั้งหลายผู้ระแวงความตาย จักไม่นำภิกษาหารมาให้ท่าน ดูก่อนยักษ์ ภัตตาหารที่เรานำมานี้เป็นของดี เป็นภัตตาหารประจำของท่าน เป็นของสะอาด ประณีต ประกอบด้วยรสอร่อย ถ้าเมื่อท่านกินแล้วไซร้ คนที่จะนำภัตตา บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ถูลฺลมตฺถํ ความว่า พระโพธิสัตว์แสดงว่า ท่านจักละประโยชน์มากมาย เพราะเหตุประมาณเล็กน้อย. บทว่า นาหริสฺสนฺติ ความว่า จำเดิมแต่นี้ไป คนทั้งหลายผู้ระแวงความตาย จักไม่นำภัตตาหารมาให้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านก็จักเป็นผู้ไม่มีอาหาร มีกำลังน้อยเหมือนต้นไม้ที่มีกิ่งเหี่ยวแห้งแล้ว ดังนี้. บทว่า ลทฺธายํ ความว่า เป็นของดี คือเป็นของที่มาดี. มีอธิบายว่า สหายยักษ์ วันนี้เรานำภิกษาหารมา ภิกษาหารที่เรานำมานี้ เป็นภิกษาหารประจำของท่าน เป็นของสะอาด ประณีต ประกอบด้วยรสที่ยอดเยี่ยม เป็นสิ่งที่มาดี คือจักมาหาท่านทุกวัน. บทว่า อาหริโย ได้แก่ เป็นผู้นำมา. มีอธิบายว่า ถ้าหากท่านจะกินเรา ผู้ถือภิกษาหารนี้มาให้ไซร้ ภายหลังเมื่อเราถูกกินอย่างนี้ แล้วคนอื่นผู้จะนำภิกษาหารมาให้ท่าน จักหาได้ยากมากในที่นี้. เพราะเหตุไร? เพราะคนอื่นที่เป็นคนฉลาดเช่นกับเรา ในเมืองพาราณสีไม่มี แต่เมื่อเราถูกกินแล้ว คนทั้งหลายก็จะพูดว่า ยักษ์กินคนชื่อสุตนะ มันไม่ละอายใจต่อใครคนอื่นเลย ท่านก็จักไม่ได้คนนำ เพราะเหตุไร? เพราะการยืนอยู่นอกต้นไม้ แต่ถ้าท่านรับประทานภัตตาหารนี้ แล้วจักส่งเราไปไซร้ เราก็จักทูลพระราชาให้ทรง ได้ทราบว่า พระมหาสัตว์ขู่ยักษ์นั้นอย่างนี้. ยักษ์สังเกตเห็นว่า มาณพพูดถูกแบบ มีจิตเลื่อมใส ได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า :- ดูก่อนสุตนะ ประโยชน์ตามที่ท่านพูดถึงย่อมเจริญแก่เราทีเดียว เราอนุญาตแล้ว ท่านจงไปหามารดาโดยสวัสดีเถิด ดูก่อนมาณพ ท่านจงเอาพระขรรค์, ฉัตรและฉลองพระบาทไปเถิด มารดาของท่านก็จงเห็นท่าน และท่านก็จงเห็นมารดา โดยสวัสดีเถิด. พึงทราบวินิจฉัยในคาถานั้น. ยักษ์เรียกพระโพธิสัตว์ว่า สุตนะ. บทว่า ยถา ภาสสิ ความว่า ประโยชน์ของเรานั่นเองตามที่ท่านพูดถึง ย่อมเจริญแก่เราทีเดียว. พระโพธิสัตว์ได้ยินคำของยักษ์นั้น แล้วปลื้มใจว่า งานของเราสำเร็จแล้ว ยักษ์เราทรมานได้แล้ว เราได้ทรัพย์จำนวนมาก ทั้งได้ปฏิบัติตามพระราชดำรัสแล้ว. เมื่อจะทำการอนุโมทนา จึงได้กล่าวคาถาสุดท้ายว่า :- ดูก่อนยักษ์ ขอท่านจงเป็นผู้มีความสุขพร้อมกับญาติทั้งหมดเหมือนกัน เราได้ทั้งทรัพย์ ทั้งได้ปฏิบัติตามพระราชดำรัส. ก็แหละพระโพธิสัตว์ ครั้นกล่าวคาถาแล้วก็เรียกยักษ์มา แล้วบอกอานิสงส์ศีลและโทษทุศีลว่า ดูก่อนสหาย เมื่อก่อนท่านทำอกุศลกรรมไว้ จึงเกิดเป็นคนกักขฬะหยาบ อำมาตย์ทั้งหลายพากันกราบทูลพระราชาว่า สุตนมาณพพายักษ์มา. พระราชามีหมู่อำมาตย์ห้อมล้อม ทำการต้อนรับพระโพธิสัตว์ ให้ยักษ์นั่งที่ประตูนคร ทำให้เขามีลาภ มีภัตตาหารที่เลิศเป็นต้น แล้วเสด็จเข้าพระนคร ทรงให้ตีกลองเที่ยวประกาศให้ชาวพระนครประชุมกัน ตรัสบอกคุณงามความดีของพระโพธิสัตว์ แล้วโปรดเกล้าฯ พระราชทานตำแหน่งเสนาบดีแก่พระโพธิสัตว์ และพระองค์เองก็ทรงดำรงอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์ ทรงทำบุญทั้งหลายมีทานเป็นต้น แล้วได้ทรงมีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า. พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา ทรงประกาศสัจธรรมทั้งหลาย แล้วทรงประชุม ยักษ์ในครั้งนั้น ได้แก่ พระองคุลิมาล ในบัดนี้ พระราชาได้แก่ พระอานนท์ ส่วนมาณพได้แก่ เราตถาคต ฉะนี้แล จบ อรรถกถาสุตนชาดกที่ ๓ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา สุตนชาดก จบ. |