ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 

อ่านชาดก 270000อ่านชาดก 271065อรรถกถาชาดก 271072
เล่มที่ 27 ข้อ 1072อ่านชาดก 271079อ่านชาดก 272519
อรรถกถา โสมทัตตชาดก
ว่าด้วย ความเศร้าโศกถึงผู้เป็นที่รัก
               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภหลวงตารูปหนึ่ง แล้วจึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า โย มํ ปุเร ปจฺจุเทติ ดังนี้.
               ได้ยินว่า หลวงตานั้นบวชสามเณรรูปหนึ่ง สามเณรนั้นเป็นผู้อุปัฏฐากท่าน ได้มรณภาพ ด้วยโรคชนิดนั้น. เมื่อสามเณรนั้นมรณภาพ หลวงตาเดินร้องไห้คร่ำครวญไปพลาง.
               ภิกษุทั้งหลายเห็นท่านแล้วตั้งเรื่องขึ้นสนทนากันในธรรมสภาว่า ดูก่อนอาวุโส หลวงตารูปโน้นเดินร้องไห้คร่ำครวญไปพลาง เพราะการมรณภาพของสามเณร ท่านเห็นจะเว้นจากรรมฐานข้อมรณานุสสติ.
               พระศาสดาเสด็จมาถึงตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไรหรือ? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ด้วยเรื่องชื่อนี้แล้ว ได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่เฉพาะแต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน เมื่อสามเณรมรณภาพแล้ว หลวงตานั้นก็ร้องไห้เหมือนกัน. เป็นผู้ที่ภิกษุทั้งหลายทูลอ้อนวอนแล้ว จึงได้ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้ :-
               ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นท้าวสักกะ. ครั้งนั้น พราหมณ์มหาศาลชาวกาสีนิคมคนหนึ่ง ละทิ้งกามทั้งหลายออกไปป่าหิมพานต์ บวชเป็นฤๅษี มีหัวมันและผลไม้ในป่าเป็นอาหาร อยู่โดยการประพฤติด้วยการแสวงหา.
               วันหนึ่ง ท่านไปเพื่อต้องการผลไม้น้อยใหญ่ เห็นลูกช้างเชือกหนึ่ง จึงนำมาอาศรมของตน ให้ดำรงอยู่ในฐานเป็นบุตร ตั้งชื่อมันว่าโสมทัตตะ เลี้ยงดูไว้ให้กินหญ้าและใบไม้. มันเติบโตขึ้นมีร่างกายใหญ่
               วันหนึ่ง กินเหยื่อมากไปได้อ่อนกำลังลง เพราะไม่ย่อย. ดาบสให้มันอยู่ใกล้อาศรม แล้วไปเพื่อต้องการผลไม้น้อยใหญ่. เมื่อท่านยังไม่มานั่นเอง ลูกช้างได้ล้ม. ดาบสถือเอาผลไม้น้อยใหญ่มา สงสัยว่า ในวันอื่นๆ ลูกของเราทำการต้อนรับ วันนี้ไม่เห็นไปไหนหนอ?
               เมื่อคร่ำครวญได้กล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-

               โสมทัตตมาตังคะ ซึ่งในวันก่อนมาต้อนรับเราไกลถึงในป่า เป็นเวลานาน เราไม่เห็นไปที่ไหนเสียแล้ว.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุเร ความว่า ก่อนแต่วันนี้. บทว่า ปจฺจุเทติ ความว่า ออกมาต้อนรับ. บทว่า อรญฺเญ ทูรํ ความว่า ต้อนรับเราไกลถึงในป่าที่ไม่มีคนนี้. บทว่า อายติ ความว่า ถึงพร้อมด้วยกาลที่ยาวนาน.

               ดาบสเดินมาพลางคร่ำครวญไปพลางอย่างนี้ เห็นลูกช้างนั้นล้มอยู่ที่จงกรมแล้ว เมื่อจักคอคร่ำครวญอยู่ จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-

               นี้เองคือช้างโสมทัตตเชือกนั้น นอนตายแล้ว มันนอนตายอยู่ที่พื้นดิน เหมือนยอดเถาย่านทรายที่ถูกเด็ดทิ้งแล้ว โสมทัตตกุญชรได้ตายไปแล้วหนอ.


               วา ศัพท์ ในคำว่า อยํ วา ในคาถานั้น มีความหมายว่า ทำให้แจ่มชัด. ดาบสเมื่อจะให้เรื่องนั้นชัดแจ้งว่า ช้างเชือกนี้เอง คือช้างโสมทัตตนั้น ไม่ใช่เชือกอื่น. บทว่า อลฺลปิตํ ได้แก่ปลายหน่อของเถาย่านทราย. บทว่า วิจฺฉิโต ความว่า เด็ดขาดแล้ว มีอธิบายว่า เหมือนหน่อเถาย่านทราย ที่เขาเอาเล็บเด็ดทิ้งลงที่เนินทรายร้อนๆ ในกลางฤดูร้อน. บทว่า ภุมฺยา ได้แก่ ภูมิยํ คือบนพื้นดิน. บทว่า อมรา วต ความว่า ตายแล้วหนอ. ปาฐะว่า อมรี ก็มี.

               ในขณะนั้น ท้าวสักกะกำลังตรวจดูสัตว์โลกทรงเห็นเหตุการณ์นั้น ทรงดำริว่า ดาบสนี้ละทิ้งลูกเมียไปบวชแล้ว บัดนี้ยังมาสร้างความสำคัญในลูกช้างว่าเป็นลูกคร่ำครวญอยู่ เราจักให้ท่านสลดใจ แล้วได้สติ ดังนี้แล้ว จึงมายังอาศรมบทของท่านสถิตอยู่ที่อากาศนั่นเอง กล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :-

               เมื่อท่านเป็นอนาคาริก หลุดพ้นไปแล้ว การที่ท่านโศกเศร้าถึงสัตว์ที่ตายไปแล้ว ไม่เป็นการดีสำหรับท่านผู้เป็นสมณะ.


               ดาบส ครั้นได้ฟังคำนั้นแล้ว จึงได้กล่าวคาถาที่ ๔ ว่า :-
               ข้าแต่ท้าวสักกะ ความรักใคร่ย่อมเกิดขึ้นในดวงใจของมนุษย์หรือมฤค เพราะการอยู่ร่วมกันโดยแท้ อาตมภาพจึงไม่อาจจะไม่เศร้าโศกถึงสัตว์ที่เป็นที่รักได้.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มิคสฺสวา ความว่า ในที่นี้ ท่านเรียกสัตว์เดียรฉานทั้งหมดว่า มฤค. บทว่า ตํ โยค ปิยายิตํ สตฺตํ คือสัตว์ที่เป็นที่รัก.

               ลำดับนั้น ท้าวสักกะเมื่อจะโอวาท ท่านได้ภาษิตคาถา ๒ คาถาว่า :-

               เหล่าสัตว์ผู้ร้องไห้คร่ำครวญ ก็ร้องไห้ถึงสัตว์ผู้ตายไปแล้วและจักตาย เพราะฉะนั้น ท่านฤษี ท่านอย่าได้ร้องไห้เลย เพราะสัตบุรุษทั้งหลายเรียกการร้องไห้ว่าเป็นโมฆะ

               ข้าแต่ท่านผู้ประเสริฐ ถ้าคนที่ตายแล้ว ล่วงลับไปแล้ว พึงกลับฟื้นขึ้นมาไซร้ พวกเราทุกคนก็จงมาชุมนุมกันร้องไห้ถึงญาติของกันและกันเถิด.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เย รุทนฺติ ลปนฺติ จ ความว่า ข้าแต่ท่านพราหมณ์ เหล่าชนผู้ร้องไห้คร่ำครวญทุกคน ย่อมร้องไห้ถึงคนที่ตายไปแล้วนั่นแหละและจักตาย. เมื่อพวกเขาพากันร้องไห้อยู่อย่างนี้ ก็ไม่มีเวลาน้ำตาจะเหือดหน้า เพราะฉะนั้น ท่านฤษี ท่านอย่าร้องไห้ไปเลย.
               เพราะเหตุไร? บทว่า โรทิตํ โมฆมาหุ สนฺโต ความว่า เพราะบัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า การร้องไห้เป็นสิ่งไร้ผล.
               บทว่า มโต เปโต ความว่า ถ้าหากคนที่ตายแล้วนั้นถึงการนับว่า เป็นผู้ล่วงลับไปแล้ว จะพึงฟื้นขึ้นมาเพราะการร้องไห้ไซร้ เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราแม้ทุกคน ก็จงไปชุมนุมกันร้องไห้ถึงญาติของกันและกันเถิด พวกเราจงออกไปเถิด เฝ้ากันอยู่ทำไม.

               ดาบสได้ฟังคำนั้นแล้ว กลับได้สติ ปราศจากความเศร้าโศกเช็ดน้ำตาแล้ว ได้กล่าวคาถาที่เหลือ ด้วยการสดุดีท้าวสักกะว่า :-

               อาตมภาพถูกไฟ คือความโศกแผดเผาแล้วหนอ มหาบพิตรทรงช่วยดับความร้อนรนทุกอย่างให้หายไป เหมือนเอาน้ำดับไฟที่ไหม้เปรียงก็ปานกัน มหาบพิตรได้ทรงถอนลูกศรคือความโศก อันปักอยู่ที่หัวอกของอาตมภาพออกไปแล้ว เมื่ออาตมภาพถูกความโศกครอบงำ มหาบพิตรได้ทรงบรรเทาความโศกถึงบุตรนั้นเสียได้
               ข้าแต่ท้าวสักกะ อาตมภาพนั้นเป็นผู้มีลูกศรคือความโศก อันมหาบพิตรทรงถอนออกแล้ว หายโศกแล้ว ใจก็ไม่ขุ่นมัว ทั้งจะไม่เศร้าโศกไม่ร้องไห้ต่อไป เพราะได้ฟังเทพดำรัสของมหาบพิตรแล้ว.


               ท้าวสักกะ ครั้นทรงโอวาทดาบสอย่างนี้แล้ว ได้เสด็จไปสู่ที่ประทับของพระองค์นั่นเอง.

               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา ประกาศสัจธรรมทั้ง ๔ แล้วทรงประชุมชาดกไว้ว่า
               ลูกช้างในครั้งนั้น ได้แก่ สามเณรในบัดนี้
               ดาบส ได้แก่ หลวงตา
               ส่วนท้าวสักกะ ได้แก่ เราตถาคต ฉะนี้แล.

               จบ อรรถกถาโสมทัตตชาดกที่ ๕

.. อรรถกถา โสมทัตตชาดก จบ.
อ่านชาดก 270000อ่านชาดก 271065อรรถกถาชาดก 271072
เล่มที่ 27 ข้อ 1072อ่านชาดก 271079อ่านชาดก 272519
อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=4618&Z=4642
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด พระไตรปิฎกฉบับธรรมทาน
บันทึก  ๔  กรกฎาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]