ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 

อ่านชาดก 270000อ่านชาดก 271163อรรถกถาชาดก 271171
เล่มที่ 27 ข้อ 1171อ่านชาดก 271180อ่านชาดก 272519
อรรถกถา อินทริยชาดก
ว่าด้วย ดี ๔ ชั้น
               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุถูกภรรยาเก่าประเล้าประโลม จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า โย อินฺทฺริยานํ ดังนี้
               ได้ยินว่า ในพระนครสาวัตถี มีกุลบุตรคนหนึ่ง ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว คิดว่า ผู้อยู่ครองเรือนไม่อาจประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียว เราจักบวชในศาสนาที่นำสัตว์ออกจากทุกข์ แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ ดังนี้แล้ว ได้มอบสมบัติในเรือนให้แก่บุตรและภรรยา แล้วทูลขอบรรพชากะพระศาสดา.
               แม้พระบรมศาสดาก็รับสั่งให้บรรพชาแก่กุลบุตรนั้น.
               ครั้นบวชเป็นภิกษุแล้ว ไปบิณฑบาตกับอาจารย์และพระอุปัชฌาย์ อาสนะในเรือนแห่งตระกูลก็ดี ในโรงฉันก็ดี ไม่ถึงภิกษุนั้นเพราะตนเป็นนวกะและมีภิกษุมากด้วยกัน ตั่งหรือแผ่นกระดาน ย่อมถึงในที่สุดท้ายพระสังฆนวกะ แม้อาหารที่จะพึงได้ ก็ล้วนป่นเป็นแป้งและเป็นน้ำข้าว ที่ติดอยู่ตามข้างกระบวยบ้าง เป็นข้าวยาคูบ้าง ของเคี้ยวที่บูดที่แห้งบ้าง เป็นข้าวตังข้าวตากบ้าง ไม่พออิ่ม.
               ภิกษุนั้นถือเอาอาหารที่ตนได้แล้ว ไปสำนักของภรรยาเก่า ภรรยาเก่าไหว้แล้วรับบาตรของภิกษุนั้น เอาภัตตาหารออกจากบาตรทิ้งเสียแล้วถวายข้าวยาคูภัตสูปพยัญชนะที่ตนตกแต่งไว้ดีแล้ว. ภิกษุแก่นั้นติดรสอาหารไม่สามารถจะละภรรยาเก่าได้.
               ภรรยาเก่าคิดว่า เราจักทดลองภิกษุแก่นี้ ดูว่า จะติดรสอาหารหรือไม่. อยู่มาวันหนึ่ง นางได้ให้มนุษย์ชาวชนบทอาบน้ำ ทาดินสีพอง นั่งอยู่ในเรือน บังคับคนใช้อื่นอีก ๒-๓ คน ให้นำน้ำและข้าวมาให้มนุษย์ชนบทนั้นคนละนิดละหน่อย แล้วก็พากันนั่งเคี้ยวกินอยู่. นางได้ให้คนใช้ไปจับโคเข้าเทียมเกวียนไว้เล่มหนึ่งที่ประตูเรือน ส่วนตัวเองก็หลบไปนั่งทอดขนม อยู่ที่ห้องหลังเรือน.
               ลำดับนั้น ภิกษุแก่มายืนอยู่ที่ประตู. ชายแก่คนหนึ่งเห็นภิกษุนั้น กล่าวว่า แน่ะแม่เจ้า พระเถระองค์ ๑ มายืนอยู่ที่ประตู. นางตอบไปว่า ท่านช่วยไหว้นิมนต์ให้ท่านไปข้างหน้าเถิด. ชายแก่กล่าวหลายครั้งว่า นิมนต์ไปข้างหน้าเถิด เจ้าข้า. ก็ยังเห็นท่านยืนเฉยอยู่ จึงได้บอกกะภรรยาเก่าว่า แน่ะแม่เจ้า พระเถระไม่ยอมไป. ภรรยาเก่าไปเลิกม่านมองดู กล่าวว่า อ้อ พระเถระพ่อของเด็กเรา จึงออกไปไหว้ แล้วรับบาตรนิมนต์ให้เข้าไปในเรือนแล้วให้ฉัน ครั้นฉันเสร็จ นางกล่าวว่า พระผู้เป็นเจ้าจงปรินิพพานอยู่ในที่นี้แหละ ตลอดกาลเท่านี้ ดิฉันมิได้ยึดถือตระกูลอื่นเลย ก็เรือนที่ปราศจากสามี จะดำรงการครองเรือนอยู่ด้วยดีไม่ได้. ดิฉันจะยึดถือตระกูลอื่นไปอยู่ชนบทที่ไกล ขอพระผู้เป็นเจ้าอย่าได้ประมาท ถ้าดิฉันมีโทษอยู่ไซร้ ขอได้โปรดอดโทษนั้นเสียเถิด. หัวใจของภิกษุแก่ได้เป็นเหมือนถูกฉีกออก.
               ลำดับนั้น ภิกษุแก่ได้กล่าวกะภรรยาเก่าว่า เราไม่อาจจะละเจ้าไปได้ เจ้าอย่าไปเลย ฉันจักสึกละ เจ้าจงส่งผ้าสาฎกไปให้ฉันที่โน้น เราไปมอบบาตรจีวร แล้วจักมา. นางรับคำแล้ว. ภิกษุแก่ไปวิหาร ให้อาจารย์อุปัชฌาย์รับบาตรจีวร เมื่ออาจารย์และอุปัชฌาย์ถามว่า อาวุโส เหตุไรเธอจึงทำอย่างนี้ จึงตอบว่า กระผมไม่อาจละภรรยาเก่าได้ กระผมจักสึก. ลำดับนั้น อาจารย์และอุปัชฌาย์จึงนำภิกษุนั้นผู้ไม่ปรารถนาจะบวชอยู่ ไปสู่สำนักพระศาสดา.
               เมื่อพระศาสดาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอนำเอาภิกษุผู้ไม่ปรารถนาจะบวชอยู่นี้ มาทำไม? จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุนี้กระสันอยากจะสึก พระเจ้าข้า. ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้นว่า ได้ยินว่า เธอกระสันจะสึก จริงหรือ. เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลว่า จริง พระเจ้าข้า. ตรัสถามว่า ใครทำให้เธอกระสัน. เมื่อภิกษุกราบทูลว่า ภรรยาเก่า พระเจ้าข้า.
               จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่หญิงนั้นทำความพินาศให้แก่เธอ แม้ในกาลก่อน เธอก็เสื่อมจากฌานสี่ ถึงความทุกข์ใหญ่ เพราะอาศัยหญิงนั้น แต่ได้อาศัยเรา จึงพ้นจากทุกข์ กลับได้ฌานที่เสื่อมเสียไปแล้ว ดังนี้แล้ว
               ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
               ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์อาศัยปุโรหิตของพระเจ้าพรหมทัตนั้น เกิดในครรภ์นางพราหมณีภรรยาปุโรหิตนั้น.
               ในวันที่พระโพธิสัตว์เกิด บรรดาอาวุธที่มีอยู่ทั่วพระนครลุกโพลงขึ้น เพราะเหตุนั้น ญาติทั้งหลายจึงตั้งชื่อพระโพธิสัตว์ว่า โชติปาละ.
               โชติปาลกุมารนั้น ครั้นเจริญวัยแล้ว เรียนศิลปะทุกอย่างในเมืองตักกสิลา แล้วกลับมาแสดงศิลปะแก่พระราชา. ต่อมาได้ละอิสริยยศเสียไม่ให้ใครๆ รู้ หนีออกทางอัคคทวาร เข้าป่าบวชเป็นฤๅษี อยู่ในอาศรม ป่าไม้มะขวิดที่ท้าวสักกเทวราชเนรมิตรถวาย ทำฌานและอภิญญาให้เกิดแล้ว. พระฤๅษีหลายร้อยห้อมล้อมเป็นบริวาร พระโชติปาลฤๅษีผู้อยู่ที่อาศรมนั้น.
               อาศรมนั้นได้เป็นมหาสมาคม มีลูกศิษย์ชั้นหัวหน้า ๗ องค์ องค์ที่ ๑ ชื่อว่า สาลิสสรฤๅษี ได้ออกจากอาศรมป่าไม้มะขวิด ไปอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำสาโตทกา ในสุรัฏฐชนบท มีฤๅษีหลายพันองค์เป็นบริวาร.
               องค์ที่ ๒ ชื่อ เมณฑิสสรฤๅษี ไปอาศัยนิคมกลัมพมูลกะ อยู่ในแว่นแคว้นของพระเจ้าปโชตกราช มีฤๅษีหลายพันองค์เป็นบริวาร.
               องค์ที่ ๓ ชื่อ บรรพตฤๅษี ไปอาศัยอฏวีชนบทแห่งหนึ่งอยู่ มีฤๅษีหลายพันเป็นบริวาร.
               องค์ที่ ๔ ชื่อ กาฬเทวิลฤๅษี ไปอาศัยโขดศิลาแห่งหนึ่งอยู่ ณ ทักษิณาบท ในแคว้นอวันตี มีฤๅษีหลายพันเป็นบริวาร.
               องค์ที่ ๕ ชื่อ กิสวัจฉฤๅษี ไปอาศัยนครกุมภวดีของเจ้าทัณฑกี อยู่องค์เดียวในพระราชอุทยาน.
               องค์ที่ ๖ พระดาบสอนุสิสสะ เป็นอุปัฏฐากอยู่กับพระโพธิสัตว์.
               องค์ที่ ๗ ชื่อว่า นารทฤๅษี เป็นน้องชายกาฬเทวิลฤๅษี ไปอยู่ในถ้ำที่เร้นแห่งหนึ่ง ในระหว่างข่ายภูเขาอัญชนคิรี ในป่ามัชฌิมประเทศ แต่องค์เดียว.
               ก็ ณ ที่ใกล้ๆ ภูเขาอัญชนคิรี มีนิคมแห่ง ๑ มีมนุษย์อยู่มากด้วยกัน. ในระหว่างภูเขาอัญชนคิรีกับนิคมมีแม่น้ำใหญ่ พวกมนุษย์พากันไปประชุมที่แม่น้ำนั้นมาก. พวกนางวรรณทาสีรูปงามทั้งหลาย เมื่อเล้าโลมผู้ชาย ก็พากันไปนั่งที่ฝั่งแม่น้ำ.
               พระนารทดาบสเห็นนาง ๑ เข้าในบรรดานางเหล่านั้น มีจิตปฏิพัทธ์ จึงเสื่อมจากฌาน ซูบซีด ตกอยู่ในอำนาจกิเลส นอนอดอาหารอยู่ ๗ วัน.
               ลำดับนั้น กาฬเทวิลดาบสผู้เป็นพี่ชายของนารทดาบสใคร่ครวญดู ก็รู้เหตุนั้น จึงเหาะมาแล้วเข้าไปในถ้ำที่เร้น.
               นารทดาบสเห็นพระกาฬเทวิลดาบส จึงถามว่า ท่านมาทำไม?
               กาฬเทวิลดาบสตอบว่า ท่านไม่สบาย เรามาเพื่อรักษาท่าน.
               นารทดาบสจึงพูดข่มกาฬเทวิลดาบส ด้วยมุสาวาทว่า ท่านพูดไม่ได้เรื่อง กล่าวคำเหลาะแหละ เปล่าๆ. กาฬเทวิลดาบสคิดว่า เราไม่ควรฟังนารทดาบส จึงไปนำดาบส ๓ องค์มา คือสาลิสสรดาบส เมณฑิสสรดาบส บรรพติสสรดาบส.
               นารทดาบสก็กล่าวข่มดาบสเหล่านั้น ด้วยมุสาวาท.
               กาฬเทวิลดาบสคิดว่า เราจักนำสรภังคดาบสมา จึงเหาะไปเชิญสรภังคดาบสมา. ท่านสรภังคดาบส ครั้นมาเห็นแล้วก็รู้ว่าตกอยู่ในอำนาจแห่งอินทรีย์ จึงถามว่า ดูก่อนนารทะ เธอตกอยู่ในอำนาจแห่งอินทรีย์ กระมัง.
               เมื่อนารทดาบสพอได้ฟังถ้อยคำดังนั้น ก็ลุกขึ้นถวายอภิวาทกล่าวว่า ถูกแล้ว ท่านอาจารย์.
               ท่านสรภังคดาบสจึงกล่าวว่า ดูก่อนนารทะ ธรรมดา ผู้ที่ตกอยู่ในอำนาจอินทรีย์ ในอัตภาพนี้ ก็ซูบซีดเสวยทุกข์ ในอัตภาพที่สองย่อมเกิดในนรก ดังนี้แล้ว
               กล่าวคาถาที่ ๑ ความว่า :-
               ดูก่อนนารทะ บุรุษใดตกอยู่ในอำนาจแห่งอินทรีย์ เพราะกาม บุรุษนั้นละโลกทั้ง ๒ ไปแล้ว ย่อมเกิดในอบายมีนรกเป็นต้น แม้เมื่อยังเป็นอยู่ ก็ย่อมซูบซีดไป.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โย อินฺทฺริยานํ ความว่า ดูก่อนนารทะ บุรุษใดยึดถืออาการในรูปเป็นต้นว่างาม ตกอยู่ในอำนาจแห่งอินทรีย์ ๖ ด้วยสามารถแห่งกิเลสกาม.
               บทว่า ปริจฺจชฺชุโภ ความว่า บุรุษนั้นละโลกทั้ง ๒ คือมนุษยโลกและเทวโลกเสีย ย่อมบังเกิดในอบายมีนรกเป็นต้น. บทว่า ชีวนฺเตว วิสุสฺสติ ความว่า เมื่อยังเป็นอยู่ ก็ไม่ได้กิเลสวัตถุที่ตนปรารถนา ย่อมเหือดแห้งด้วยความโศกถึงทุกข์ใหญ่.

               นารทดาบสได้ฟังดังนั้น จึงถามว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ ขึ้นชื่อว่าการเสพกาม ย่อมเป็นสุข แต่ท่านมากล่าวความสุขเช่นนี้ว่าเป็นทุกข์ ดังนี้ หมายถึงอะไร?
               ลำดับนั้น ท่านสรภังคดาบสได้กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น เธอจงฟัง แล้วกล่าวคาถาที่ ๒ ความว่า :-
               ทุกข์เกิดในลำดับแห่งสุข สุขเกิดในลำดับแห่งทุกข์ ส่วนเธอนั้นประสบทุกข์มากกว่าสุข เธอจงหวังความสุขอันประเสริฐเถิด.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุขสฺสานนฺตรํ ได้แก่ทุกข์ คือนรก อันเกิดขึ้นในลำดับแห่งกามสุข.
               บทว่า ทุกฺขสฺส ได้แก่สุขที่เป็นทิพย์ สุขมนุษย์ และสุข คือพระนิพพาน อันเกิดในลำดับแห่งความลำบาก คือต้องรักษาศีล.
               ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ดังนี้
               ดูก่อนนารทะ สัตว์เหล่านี้ทำกาละลงในสมัยที่เสพกาม ย่อมเกิดในนรกอันเป็นสถานที่มีทุกข์โดยส่วนเดียว. ส่วนผู้รักษาศีลและเจริญวิปัสสนา ย่อมลำบาก เขาเหล่านั้นรักษาศีล ด้วยความลำบากแล้ว ย่อมกลับได้ความสุข ดังกล่าวแล้ว ด้วยผลแห่งศีล. อาศัยเหตุนี้ เราจึงกล่าวอย่างนี้.
               บทว่า โสสิ ปตฺโต ความว่า ดูก่อนนารทะ เธอนั้น บัดนี้ได้ทำฌานสุขให้พินาศเสียแล้ว จึงถึงทุกข์ทางใจ ซึ่งอาศัยกามเป็นเหตุ มากกว่าสุขนั้น.
               บทว่า ปาฏิกงฺขา ความว่า เธอจงทิ้งกิเลสทุกข์นี้เสีย แล้วจำนง คือปรารถนาฌานสุขที่ประเสริฐ คือสูงสุดนั้นแหละเถิด.

               นารทดาบสกล่าวว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ ทุกข์นี้นั้น ข้าพเจ้าไม่อาจอดกลั้นได้.
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์กล่าวกะนารทดาบสว่า ดูก่อนนารทะ ธรรมดาทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว บุคคลพึงอดกลั้นได้ ดังนี้.
               แล้วกล่าวคาถาที่ ๓ ความว่า :-
               ในเวลาเกิดความลำบาก บุคคลใดอดทนความลำบากได้ บุคคลนั้น ย่อมไม่เป็นไปตามความลำบาก บุคคลนั้นเป็นนักปราชญ์ ย่อมบรรลุสุข ปราศจากเครื่องประกอบ อันเป็นที่สุดแห่งความลำบาก.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาติวตฺตติ แปลว่า ย่อมไม่เป็นไปตาม. พระบาลีก็อย่างนี้เหมือนกัน.
               ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ว่า
               ดูก่อนนารทะ บุคคลใด ในกาลเมื่อความลำบาก คือทุกข์อันเป็นไปทางกายและทางจิตเกิดขึ้นแล้ว เป็นผู้ไม่ประมาท หาอุบายกำจัดความลำบากนั้นเสียได้ อดกลั้นต่อความลำบากได้ ชื่อว่าไม่เป็นไปตามความลำบาก คือไม่เป็นไปในอำนาจความลำบากนั้น ใช้อุบายนั้นๆ ครอบงำความลำบาก คือทำความลำบากนั้นให้หมดไปได้ บุคคลนั้นเป็นนักปราชญ์ บรรลุความสุขที่ปราศจากอามิส คือสุขที่มีในที่สุดแห่งความลำบาก หรือว่าเป็นผู้ไม่ลำบาก ย่อมประสบ คือบรรลุถึงซึ่งความสุขที่ปราศจากโยคะ ซึ่งเป็นที่สุดของความลำบากนั้น.

               นารทดาบสกล่าวว่า ข้าแต่ท่านอาจารย์ ขึ้นชื่อว่ากามสุขเป็นสุขสูงสุด ข้าพเจ้าไม่อาจละกามสุขนั้นได้.
               ลำดับนั้น พระมหาสัตว์จึงกล่าวกะนารทดาบสว่า ดูก่อนนารทะ ขึ้นชื่อว่าธรรม บุคคลไม่ควรให้พินาศด้วยเหตุไรๆ ก็ตาม ดังนี้.
               แล้วกล่าวคาถาที่ ๔ ความว่า :-
               เธอไม่ควรเคลื่อนจากธรรม เพราะปรารถนากามทั้งหลาย เพราะเหตุใช่ประโยชน์ เพราะเหตุเป็นประโยชน์ ถึงเธอจะทำสุขในฌานที่สำเร็จแล้วให้นิราศไป ก็ไม่ควรเคลื่อนจากธรรมเลย.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กามานํ กามา ได้แก่ เพราะความใคร่กาม คือเพราะปรารถนาวัตถุกามทั้งหลาย. บทว่า นานตฺถา นตฺถการณา ความว่า เธอไม่ควรเสื่อมจากธรรม เพราะเหตุใช่ประโยชน์ และเพราะเหตุเป็นประโยชน์.
               บทว่า น กตญฺจ นิรํกตฺวา ความว่า ถึงเธอจะทำฌานสุขที่ทำจนสำเร็จแล้ว ให้นิราศไป.
               ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ว่า
               ดูก่อนนารทะ เธอไม่ควรเคลื่อนจากธรรม เพราะปรารถนาวัตถุกามเท่านั้นเลย คือเมื่อสิ่งมิใช่ประโยชน์อย่างหนึ่งเกิดขึ้น ประสงค์จะกำจัดสิ่งมิใช่ประโยชน์นั้น ก็ไม่ควรเคลื่อนจากธรรม เพราะมุ่งประโยชน์ คือเพราะประโยชน์อันเป็นต้นเหตุ.
               อธิบายว่า ก็เธอไม่สมควรเคลื่อนจากธรรม เพราะเหตุอันเป็นประโยชน์อย่างนี้ว่า ประโยชน์อย่างโน้นจะเกิดแก่เรา คือถึงเธอจะทำฌานสุขที่ทำจนสำเร็จแล้วให้นิราศไป คือเสื่อมสิ้นไป ก็ยังไม่สมควรเคลื่อนเสียจากธรรม.

               เมื่อสรภังคดาบสแสดงธรรมด้วยคาถา ๔ คาถาอย่างนี้แล้ว
               กาฬเทวิลดาบส เมื่อจะกล่าวสอนน้องชายของตน จึงกล่าวคาถาที่ ๕ ความว่า :-
               ความขยันของคฤหบดี ผู้อยู่ครองเรือน ดีชั้น ๑
               การแบ่งปันโภคทรัพย์ให้แก่สมณพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรมแล้วบริโภคด้วยตนเอง ดีชั้น ๒
               เมื่อได้ประโยชน์ ไม่ระเริงใจด้วยความมัวเมา ดีชั้น ๓
               เมื่อเวลาเสื่อมประโยชน์ ไม่มีความลำบากใจ ดีชั้น ๔.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทกฺขํ คหปตํ ความว่า ดูก่อนนารทะ คฤหบดีผู้อยู่ครองเรือน ฉลาดไม่เกียจคร้าน ทำโภคะให้เกิดขึ้น ชื่อว่าขยันหมั่นเพียร คือความเป็นผู้ฉลาด ข้อนี้ดีชั้น ๑.
               บทว่า สํวิภชฺชญฺจ โภชนํ ความว่า การแบ่งปันโภคะที่ให้เกิดแล้วด้วยความลำบากแก่สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติธรรมแล้ว จึงบริโภค ข้อนี้ดีที่ ๒.
               บทว่า อหาโส อตฺถลาเภสุ ความว่า เมื่ออิสริยยศอันยิ่งใหญ่เกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่ร่าเริงใจด้วยอำนาจความมัวเมา ได้แก่ปราศจากความระเริงใจ ข้อนี้ดีที่ ๓.
               บทว่า อตฺถพฺยาปตฺติ ความว่า ก็เมื่อใดมีความเสื่อมประโยชน์ คือยศพินาศ เมื่อนั้นไม่มีความลำบากซบเซา ข้อนี้ดีที ๔.

               ดูก่อนนารทะ เพราะเหตุนั้น เธออย่าเศร้าโศกไปเลยว่า ฌานของเราเสื่อมไปแล้ว ถ้าเธอไม่ตกอยู่ในอำนาจของอินทรีย์ แม้ฌานของเธอที่เสื่อมแล้ว ก็จักกลับคืนเป็นปกติเหมือนเดิม.
               พระศาสดาผู้ตรัสรู้เองด้วยพระปัญญาอันยิ่ง ทรงทราบความที่กาฬเทวิลดาบสกล่าวสอนนารทดาบสนั้น ตรัสพระคาถาที่ ๖ ความว่า :-
               เทวิลดาบสผู้สงบระงับ ได้พร่ำสอนความเป็นบัณฑิตกะนารทดาบสนั้น ด้วยคำมีประมาณเท่านี้ว่า บุคคลผู้เลวกว่าผู้ที่ตกอยู่ในอำนาจอินทรีย์ ไม่มีเลย.


               พระคาถานั้นมีอรรถาธิบายว่า
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวิลดาบสผู้สงบระงับพร่ำสอนความเป็นบัณฑิตกะนารทดาบสนั้น ด้วยคำเท่านี้ว่า ก็ผู้ใดตกอยู่ในอำนาจแห่งอินทรีย์ด้วยสามารถแห่งกิเลส คนอื่นที่จะเลวไปกว่าผู้นั้น มิได้มีสักนิดเลย.

               ลำดับนั้น สรภังคศาสดาเรียกนารทดาบสนั้นมา กล่าวว่า ดูก่อนนารทะ เธอจะฟังคำนี้ก่อน ผู้ใดไม่ทำสิ่งที่ควรจะพึงทำก่อน ผู้นั้นย่อมเศร้าโศกร่ำไร เหมือนมาณพที่เที่ยวไปในป่าฉะนั้น ดังนี้แล้ว ได้นำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
               ในอดีตกาล ในกาสีนิคมตำบลหนึ่ง มีพราหมณ์มาณพคนหนึ่งรูปงาม สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง มีกำลังเท่าช้างสาร.
               พราหมณ์มาณพนั้นคิดว่า ประโยชน์อะไรที่เราจะทำกสิกรรมเป็นต้น เลี้ยงมารดา ประโยชน์อะไรด้วยบุตรภรรยา ประโยชน์อะไรด้วยบุญมีทานเป็นต้น ที่เราทำไว้. เราจักไม่เลี้ยงดูใครๆ จักไม่ทำบุญอะไรๆ จักเข้าป่า ฆ่าเนื้อต่างๆ เลี้ยงชีวิต ดังนี้แล้ว จึงผูกสอดอาวุธ ๕ ชนิด มุ่งไปสู่ป่าหิมพานต์ ฆ่าเนื้อต่างๆ กิน.
               วันหนึ่ง ไปถึงเวิ้งภูเขาใหญ่ มีภูเขาห้อมล้อมรอบใกล้ฝั่งวิธินีนที ภายในหิมวันตประเทศ ฆ่าเนื้อแล้วกินเนื้อที่ย่างในถ่านเพลิงอยู่ ณ ที่นั้น. มาณพนั้นคิดว่า เราจักมีเรี่ยวแรงอยู่เสมอไปไม่ได้ เวลาทุพพลภาพ เราจักไม่อาจเที่ยวไปในป่า บัดนี้ เราจักต้อนเนื้อนานาชนิดเข้าเวิ้งภูเขาแล้ว ทำประตูปิดไว้. เมื่อเข้าไปป่าไม่ได้ เราจักได้ฆ่าเนื้อกินตามชอบใจ คิดดังนี้แล้ว เขาก็ทำตามนั้น.
               ครั้นกาลล่วงไป กรรมของเขาถึงที่สุด ให้ผลเป็นทิฏฐธรรมเวทนีย์ ทันตาเห็น คือมือเท้าของตนใช้ไม่ได้ เขาไม่อาจเดินและพลิกไปมาได้ กินของเคี้ยวของบริโภคอะไรๆ ไม่ได้ น้ำก็ดื่มไม่ได้ ร่างกายเหี่ยวแห้ง เป็นมนุษย์เปรต ร่างกายแตกปริเป็นร่องริ้ว เหมือนแผ่นดินแตกระแหง ในฤดูร้อน ฉะนั้น. เขามีรูปร่างทรวดทรง น่าเกลียดน่ากลัว เสวยทุกข์ใหญ่หลวง.
               เมื่อเวลาล่วงผ่านไปนานด้วยอาการอย่างนี้ พระเจ้าสีวิราชในสีวิรัฐทรงพระดำริว่า เราจักเสวยเนื้อย่างในป่า จึงมอบราชสมบัติให้อำมาตย์ทั้งหลายดูแลแทน พระองค์เหน็บอาวุธห้าอย่างเสด็จเข้าป่า ฆ่าเนื้อ เสวยเนื้อ เรื่อยมาจนลุถึงประเทศนั้น โดยลำดับ ทอดพระเนตรเห็นบุรุษนั้นตกพระทัย
               ครั้นดำรงพระสติได้ จึงตรัสถามว่า พ่อมหาจำเริญ ท่านเป็นใคร?
               เขาตอบว่า นาย ข้าพเจ้าเป็นมนุษย์เปรต เสวยผลกรรมที่ตนทำไว้ ก็ท่านเล่าเป็นใคร?
               เรา คือพระเจ้าสีวิราช
               พระองค์เสด็จมาที่นี้ เพื่ออะไร?
               เพื่อเสวยเนื้อมฤค.
               ลำดับนั้น มาณพนั้นจึงกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า แม้ข้าพระองค์ก็มาด้วยเหตุนี้แหละ จึงเป็นมนุษย์เปรต แล้วทูลเรื่องทั้งหมดโดยพิสดาร.
               เมื่อจะกราบทูลความที่ตนเสวยทุกข์แด่พระราชา ได้กล่าวคาถาที่เหลือ ความว่า :-
               ข้าแต่พระเจ้าสีวิราช พระองค์ เกือบจะถึงความพินาศ อยู่ในเงื้อมมือของศัตรูทั้งหลาย เทียว เหมือนข้าพระองค์ไม่กระทำกรรม ที่ควรกระทำ ไม่ศึกษาศิลปวิทยา ไม่ทำความขวนขวาย เพื่อให้เกิดโภคทรัพย์ ไม่ทำอาวาหวิวาหะ ไม่รักษาศีล ไม่กล่าววาจาอ่อนหวาน ทำยศเหล่านี้ให้เสื่อมไป จึงมาบังเกิดเป็นเปรต เพราะกรรมของตน.
               ข้าพระองค์นั้นปฏิบัติชอบแล้ว พึงยังโภคะให้เกิดขึ้น เหมือนบุรุษชนะแล้วพันคน ไม่มีพวกพ้องที่พึ่งอาศัย ล่วงเสียจากอริยธรรมมีอาการเหมือนเปรต ฉะนั้น.
               ข้าพระองค์ทำสัตว์ทั้งหลาย ผู้ใคร่ต่อความสุข ให้ได้รับความทุกข์ จึงได้มาถึง ส่วนอันนี้. ข้าพระองค์นั้นดำรงอยู่ เหมือนบุคคลอันกองถ่านไฟล้อมรอบด้าน ย่อมไม่ได้ประสบความสุขเลย.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อมิตฺตานํว หตฺถตฺถํ ความว่า พระองค์เกือบจะมาถึงซึ่งความตั้งอยู่ไม่ได้ คือความพินาศในมือของพวกอมิตร.
               มาณพเรียกพระราชาว่า สีวิ ข้าแต่พระเจ้าสีวิราช.
               บทว่า ปปฺโปติ มามิว ความว่า เหมือนดังข้าพระองค์ต้องประสบบาปกรรม. อธิบายว่า ต้องถึงความพินาศด้วยกรรมของตนเอง.
               บทว่า กมฺมํ ได้แก่ กิจกรรมอันยังอาชีพให้สำเร็จ มีกสิกรรมเป็นต้นเป็นประเภท. บทว่า วิชฺชํ ได้แก่ ศิลปะ มีศิลปะในเพราะช้างเป็นต้น ซึ่งมีประการต่างๆ กัน. บทว่า ทกฺเขยฺยํ ได้แก่ ความเป็นผู้ฉลาด ด้วยการยังโภคะให้เกิดขึ้น มีประการต่างๆ.
               บทว่า วิวาหํ ความว่า ไม่ทำอาวาหมงคลและวิวาหมงคล.
               บทว่า สีลมทฺทวํ ได้แก่ ศีลมีอย่าง ๕ และความเป็นผู้มีวาจาอ่อนหวาน มีกัลยาณมิตรผู้มุ่งประโยชน์ สามารถช่วยห้ามการทำบาป ก็ข้อนั้นแหละ ท่านหมายเอาว่า มัททวะ ในคาถานี้.
               บทว่า เอเตว ยเส หาเปตฺวา ความว่า ทำโลกธรรมอันเป็นเหตุให้ถึงยศเหล่านี้ มีประมาณเท่านี้ ให้เสื่อมไป. บทว่า นิพฺพตฺโต เสหิ กมฺเมหิ ความว่า เกิดเป็นมนุษย์เปรต ด้วยกรรมของตน.
               ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ดังนี้
               ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระองค์ไม่กระทำกรรมที่ควรกระทำอันเป็นเหตุให้ถึงอิสริยยศในโลกนี้ ไม่ศึกษาศิลปวิทยา ไม่ขวนขวายยังโภคะให้เกิดโดยอุบาย ไม่ทำอาวาหวิวาหะ ไม่รักษาศีล ไม่คบกัลยาณมิตร ผู้สามารถห้ามไม่ให้ทำชั่ว ยังโลกธรรมอันถึงการนับว่ายศ เพราะเป็นเหตุให้ได้ยศเหล่านี้ คือมีประมาณเท่านี้ ให้เสื่อมเสียไป คือละทิ้งเสีย เข้าไปสู่ป่านี้จนเกิดเป็นมนุษย์เปรตในบัดนี้ ด้วยบาปกรรม อันตนทำไว้เอง.
               บทว่า สหสฺสชีโนว ความว่า เหมือนมีบุรุษได้ชนะแล้วพันคน. และมีอรรถาธิบายว่า ถ้าข้าพระองค์ปฏิบัติชอบ ทำโภคะให้เกิดขึ้น มีชัยชนะด้วยโภคสมบัติหลายพันเหล่านั้น ดังนี้บ้าง.
               บทว่า อปรายโน ความว่า ไม่มีพวกพ้องที่พึ่งอาศัย.
               บทว่า อริยธมฺมา ความว่า ก้าวล่วงจากสัปปุริสธรรม.
               บทว่า ยถา เปโต ความว่า ถึงยังมีชีวิตอยู่ ก็เหมือนตายแล้วเกิดเป็นเปรต. อธิบายว่า ข้าพระองค์กลายเป็นมนุษย์เปรต.
               บทว่า สุขกาเม ทุกฺขาเปตฺวา ความว่า ข้าพระองค์ได้ทำสัตว์ทั้งหลายผู้ใคร่ต่อความสุข ให้ได้รับความทุกข์. ปาฐะเป็นสุขกาโม ก็มี ความก็ว่า ข้าพระองค์ปรารถนาความสุขด้วยตนเอง แต่ยังผู้อื่นให้ได้รับความทุกข์.
               บทว่า อาปนฺโนสฺมิ ปทํ อิมํ ความว่า ข้าพระองค์จึงถึงส่วนอันนี้ คือเห็นปานนี้. ปาฐะว่า ปถํ ดังนี้ ก็มี ความก็ว่า ข้าพระองค์ต้องมาถึงอัตภาพอันเป็นครองแห่งทุกข์นี้.
               บทว่า ฐิโต ภาณุมกาสิว ความว่า ไฟท่านเรียกว่า ภาณุมา คือ มาณพกราบทูลว่า ข้าพระองค์เป็นราวกะว่า มีกองถ่านเพลิงรายรอบข้าง ถูกความเร่าร้อนใหญ่ที่ตั้งขึ้นในร่างกาย เผาผลาญอยู่ ไม่ได้ประสบความสุขกายสุขใจเลย.

               ก็มาณพนั้น ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว กราบทูลต่อไปว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ข้าพระองค์ประสงค์ความสุข แต่ทำผู้อื่นให้ได้รับความทุกข์ จึงเป็นมนุษย์เปรตในปัจจุบันทันตาเห็น เพราะฉะนั้น ขอพระองค์อย่าทรงทำกรรมชั่วเลย จงเสด็จไปพระนครของพระองค์ ทรงบำเพ็ญบุญมีให้ทานเป็นต้นเถิด.
               พระเจ้าสีวิราชได้ทรงกระทำตามนั้น ทรงบำเพ็ญทางไปสู่สวรรค์.
               สรภังคศาสดานำเรื่องนี้มาแสดงให้ดาบสเข้าใจแจ่มแจ้งเป็นอันดี. ดาบสนั้นได้ความสลดใจ เพราะถ้อยคำของสรภังคศาสดา จึงไหว้ ขอขมาโทษ แล้วทำกสิณบริกรรม ทำฌานที่เสื่อมแล้ว ให้กลับคืนเป็นปกติ.
               สรภังคดาบสไม่ยอมให้นารทดาบสอยู่ที่ที่นั้น พาไปยังอาศรมของตน.

               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประกาศสัจจะ เวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้กระสันดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล.
               พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า
               นารทดาบสในครั้งนั้น ได้เป็น ภิกษุผู้กระสัน
               สาลิสสรดาบสได้เป็น พระสารีบุตร
               เมณฑิสสรดาบสได้เป็น พระกัสสปะ
               ปัพพตดาบสได้เป็น พระอนุรุทธะ
               กาฬเทวิลดาบสได้เป็น พระกัจจายนะ
               อนุสิสสะดาบสได้เป็น พระอานนท์
               กิสวัจฉดาบสได้เป็น พระโมคคัลลานะ
               ส่วนสรภังคดาบส คือ เราตถาคต ฉะนี้แล.

               จบ อรรถกถาอินทริยชาดกที่ ๗               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา อินทริยชาดก จบ.
อ่านชาดก 270000อ่านชาดก 271163อรรถกถาชาดก 271171
เล่มที่ 27 ข้อ 1171อ่านชาดก 271180อ่านชาดก 272519
อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=4983&Z=5014
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด พระไตรปิฎกฉบับธรรมทาน
บันทึก  ๓๑  ตุลาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๖
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]