บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ความย่อว่า ครั้งนั้น พระเจ้าสุทโธทนมหาราชถวายข้าวยาคูและของเคี้ยวแด่พระผู้มี เมื่อพระศาสดาตรัสว่า มหาบพิตร พระองค์ทรงเชื่อหรือ? จึงตรัสว่า หม่อมฉันไม่เชื่อดอก พระเจ้าข้า ยังห้ามเทวดาที่ยืนกล่าวอยู่ในอากาศเสียอีกว่า พระโอรสของเรายังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าที่โคนต้นโพธิ์แล้ว จะยังไม่ปรินิพพาน. พระศาสดาตรัสว่า มหาบพิตร ในบัดนี้ พระองค์จักทรงเชื่อได้อย่างไร แม้ในครั้งก่อน ครั้งอาตมภาพเกิดเป็นมหาธรรมปาลกุมาร เมื่ออาจารย์ทิศาปาโมกข์เอากระดูกแพะมาแสดง บอกว่า บุตร พระพุทธบิดาทูลอาราธนาให้ตรัสเรื่องราว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้ :- ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี ได้มีบ้านธรรมปาลคามในแคว้นกาสี บ้านนั้นที่ได้ชื่ออย่างนั้น เพราะเป็นที่อยู่ของตระกูล ในตระกูลของเขาชั้นทาสและกรรมกรก็ให้ทานรักษาศีลทำอุโบสถกรรม. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลนั้นได้นามว่าธรรมปาลกุมาร ครั้นเจริญวัยแล้ว บิดาได้ให้ทรัพย์พันหนึ่ง ส่งไปเรียนศิลปะ ณ เมืองตักกสิลา ธรรมปาลกุมารไป ณ ที่นั้นแล้ว เรียนศิลปะในสำนักของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ได้เป็นหัวหน้ามาณพพวกอันเต ครั้งนั้นบุตรคนโตของอาจารย์ตายลง อาจารย์มีศิษย์มาณพแวดล้อม พร้อมด้วยหมู่ญาติร้องไห้คร่ำครวญอยู่ ทำฌาปนกิจศพบุตรในป่าช้า ทั้งอาจารย์ทั้งศิษย์และหมู่ญาติต่างร้องไห้คร่ำครวญอยู่ ณ ที่นั้น. ธรรมปาลบุตรคนเดียวเท่านั้น ไม่ร้องไห้ ไม่คร่ำครวญ. เมื่อมาณพ ๕๐๐ คนนั้นมาจากป่าช้าแล้ว ได้พากันไปนั่งรำพันอยู่ในสำนักอาจารย์ว่า น่าเสียดาย มาณพหนุ่มสมบูรณ์ด้วยมารยาทเห็นปานนี้ พลัดพรากจากมารดาบิดา ตายเสียแต่ยังหนุ่มทีเดียว ธรรมปาลกุมารกล่าวว่า เพื่อน ท่านทั้งหลายกล่าวว่ายังหนุ่ม ก็เหตุไรเล่าจึงได้ตายกันเสียแต่ยังหนุ่ม เวลาหนุ่มยังไม่ควรตายมิใช่หรือ? มาณพเหล่านั้นกล่าวกะธรรมปาลกุมารว่า แน่ะเพื่อน ท่านไม่รู้จักความตายของสัตว์เหล่านี้ดอกหรือ? ธรรมปาลกุมาร. เรารู้ แต่ไม่มีใครตายแต่ยังหนุ่ม ตายกันเมื่อแก่แล้วทั้งนั้น. มาณพทั้งหลาย. สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง มีแล้วกลับไม่มี มิใช่หรือ? ธรรมปาลกุมาร. จริง สังขารไม่เที่ยง แต่สัตว์ทั้งหลายไม่ตายแต่ยังหนุ่ม ตายกันเมื่อแก่แล้ว ถึงซึ่งความไม่เที่ยง. มาณพทั้งหลาย. แน่ะเพื่อนธรรมปาละ ในเรือนของท่านไม่มีใครตายหรือ? ธรรมปาลกุมาร. ที่ตายแต่ยังหนุ่มไม่มี มีแต่ตายกันเมื่อแก่แล้วทั้งนั้น. มาณพทั้งหลาย. ข้อนี้เป็นประเพณีแห่งตระกูลของท่านหรือ? ธรรมปาลกุมาร. ถูกแล้ว เป็นประเพณีแห่งตระกูลของเรา. มาณพทั้งหลายได้ฟังถ้อยคำของธรรมปาลกุมารดังนั้นแล้ว จึงพากันบอกแก่อาจารย์ อาจารย์เรียกธรรมปาลกุมารมาถามว่า พ่อธรรมปาละ ได้ยินว่า ในตระกูลของท่าน คนไม่ตายกันแต่ยังหนุ่ม จริงหรือ? ธรรมปาลกุมารตอบว่า จริง ท่านอาจารย์. อาจารย์ฟังคำของเขาแล้วคิดว่า กุมารนี้พูดอัศจรรย์เหลือเกิน เราจักไปสำนักบิดาของกุมารนี้ถามดู ถ้าเป็นจริง เราจักบำเพ็ญธรรมเช่นนั้นบ้าง อาจารย์นั้นครั้นทำฌาปน ถึงบ้านนั้น เที่ยวถามถึงเรือนของมหาธรรมปาละว่า หลังไหน รู้แห่งแล้วก็ไปยืนอยู่ที่ประตู. พวกทาสของพราหมณ์ที่เห็นก่อน ต่างก็รับร่มรับรองเท้าจากมือของอาจารย์ และรับกระสอบจากมือของคนรับใช้. เมื่ออาจารย์กล่าวว่า พวกท่านจงไปบอกบิดาของกุมารว่า อาจารย์ของธรรมปาลกุมารบุตรของท่านมายืนอยู่ที่ประตู พวกทาสรับคำว่า ดีแล้ว แล้วก็พากันไปบอก พราหมณ์รีบไปที่ใกล้ประตู เชื้อเชิญว่า มาข้างนี้เถิดท่าน แล้วนำอาจารย์ขึ้นเรือน ให้นั่งบนบัลลังก์ ทำกิจทุกอย่างมีล้างเท้าเป็นต้น. อาจารย์บริโภคอาหารแล้ว เวลานั่งสนทนากันอยู่ตามสบาย จึงแสร้งกล่าวว่า ท่านพราหมณ์ ธรรมปาลกุมารบุตรของท่านเป็นคนมีสติปัญญา เรียนจบไตรเพทและศิลปะ ๑๘ ประการแล้ว แต่ได้ตายเสียแล้วด้วยโรคอย่างหนึ่ง สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ท่านอย่าเศร้าโศกไปเลย. พราหมณ์ตบมือหัวเราะดังลั่น. เมื่ออาจารย์ถามว่า ท่านพราหมณ์ ท่านหัวเราะอะไร? ก็ตอบว่า ลูกฉันยังไม่ตาย ที่ตายนั้นจักเป็นคนอื่น. อาจารย์กล่าวว่า ท่านพราหมณ์ ท่านได้เห็นกระดูกบุตรของท่านแล้ว จงเชื่อเถิด แล้วนำกระดูกออกกล่าวว่า นี่กระดูกบุตรของท่าน. พราหมณ์กล่าวว่า นี่จักเป็นกระดูกแพะหรือกระดูกสุนัข แต่ลูกฉันยังไม่ตาย เพราะใน ขณะนั้น คนทั้งหมดได้ตบมือหัวเราะกันยกใหญ่. อาจารย์เห็นความอัศจรรย์นั้นแล้วมีความโสมนัส เมื่อจะถามว่า ท่านพราหมณ์ ในประเพณีตระกูลของท่านที่คนหนุ่มๆ ไม่ตาย ถ้าไม่มีเหตุคงไม่อาจเป็นไปได้ เพราะเหตุไร คนหนุ่มๆ จึงไม่ตาย? ดังนี้ ได้กล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :- อะไรเป็นวัตรของท่าน อะไรเป็นพรหมจรรย์ของท่าน การที่คนหนุ่มๆ ไม่ตายนี้ เป็นผลแห่งกรรมอะไร ที่ท่านประพฤติดีแล้ว ดูก่อนพราหมณ์ ขอท่านจงบอกเนื้อความนี้แก่เรา เหตุไรหนอ คนหนุ่มๆ ของพวกท่านจึงไม่ตาย. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วตํ คือ เป็นวัตตสมาทาน. บทว่า พฺรหฺมจริยํ คือ เป็นพรหมจรรย์อันประเสริฐสุด. บทว่า กิสฺส สุจิณฺณสฺส ความว่า การที่คนหนุ่มๆ ในตระกูล พราหมณ์ได้ฟังดังนั้นแล้ว เมื่อจะพรรณนาคุณานุภาพที่เป็นเหตุให้คนหนุ่มในตระกูลนั้นไม่ตาย จึงกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :- พวกเราประพฤติธรรม ไม่กล่าวมุสา งดเว้นกรรมชั่ว งดเว้นกรรมอันไม่ประเสริฐทั้งหมด เพราะเหตุนั้นแหละ คนหนุ่มๆ ของพวกเราจึงไม่ตาย. พวกเราฟังธรรมของอสัตบุรุษและของสัตบุรุษแล้ว เราไม่ชอบใจธรรมของ ก่อนที่เริ่มจะให้ทาน พวกเราเป็นผู้ตั้งใจดี แม้กำลังให้ก็มีใจผ่องแผ้ว ครั้นให้แล้วก็ไม่เดือดร้อนภายหลัง เพราะเหตุนั้นแหละ คนหนุ่มๆ ของพวกเราจึงไม่ตาย. พวกเราเลี้ยงดูสมณะ พราหมณ์ คนเดินทาง วณิพก ยาจก และคนขัดสนทั้งหลายให้อิ่มหนำสำราญด้วยข้าวน้ำ เพราะเหตุนั้นแหละ คนหนุ่มๆ ของพวกเราจึงไม่ตาย. พวกเราไม่นอกใจภรรยา ถึงภรรยาก็ไม่นอกใจพวกเรา พวกเราประพฤติพรหม พวกเราทั้งหมดงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ งดเว้นสิ่งของที่เขาไม่ให้ในโลก ไม่ดื่มของเมา ไม่กล่าวปด เพราะเหตุนั้นแหละ คนหนุ่มๆของพวกเราจึงไม่ตาย. บุตรที่เกิดในภรรยาผู้มีศีลดีเหล่านั้น เป็นผู้ฉลาด มีปัญญา เป็นพหูสูต เรียนจบไตรเพท เพราะเหตุนั้นแหละ คนหนุ่มๆ ของพวกเราจึงไม่ตาย. มารดาบิดา พี่น้องหญิงชาย บุตร ภรรยา และเราทุกคนประพฤติธรรมมุ่งประโยชน์ในโลกหน้า เพราะเหตุนั้นแหละ คนหนุ่มๆ ของพวกเราจึงไม่ตาย. ทาส ทาสี คนที่อาศัยเลี้ยงชีวิต คนรับใช้ คนทำงานทั้งหมดล้วนแต่ประพฤติธรรมมุ่งประโยชน์ในโลกหน้า เพราะเหตุนั้นแหละ คนหนุ่มๆ ของพวกเราจึงไม่ตาย. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺมญฺจราม ได้แก่ ประพฤติธรรม คือกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ กุศลกรรมทุกอย่างเป็นต้นว่า พวกเราไม่ปลงสัตว์โดยที่สุดแม้มดดำจากชีวิต เพราะเหตุแห่งชีวิตตนและไม่มองดูสิ่งของของผู้อื่นด้วยโลภจิต อันบัณฑิตพึง ก็ในคาถานี้ พราหมณ์กล่าวถึงการพูดมุสา แต่กล่าวไว้ด้วย บทว่า ปาปานิ ได้แก่ กรรมอันลามกที่เป็นเหตุให้เข้าถึงนรกแม้ทุกอย่าง. บทว่า อนริยํ ได้แก่ งดเว้นกรรมที่เว้นจากความเป็นกรรมอันประเสริฐ คือที่ไม่ดี ได้แก่ไม่บริสุทธิ์ทั้งหมด. หิ อักษรในคำว่า ตสฺมา หิ อมฺหํ นี้เป็นเพียงนิบาต. อธิบายว่า เพราะเหตุนี้ คนหนุ่มๆ ของพวกเราจึงไม่ตาย คือขึ้นชื่อว่าอกาลมรณะในระหว่าง ย่อมไม่มีแก่พวกเรา. บาลีว่า ตสฺมา หิ อมฺหํ ดังนี้ก็มี. บทว่า สุโณม เป็นต้น ความว่า ได้ยินว่า พวกเรา ธรรมอันแสดงกุศลของ บทว่า สมเณ มยํ พฺราหฺมเณ ความว่า ดูก่อนพราหมณ์ พวกเราเลี้ยงดูสมณ บทว่า นาติกฺกมาม ความว่า พวกเราไม่นอกใจภรรยาของตน กระทำมิจฉาจารในหญิงอื่นในภาย บทว่า อญฺญตฺร ตาหิ ความว่า พวกเราประพฤติพรหมจรรย์ในหญิงที่เหลือ นอกจากภรรยาของตน แม้ภรรยาของพวกเราก็เป็นไปในชายที่เหลืออย่างนี้เหมือนกัน. บทว่า ชายเร แปลว่า ย่อมเกิด. บทว่า สุตฺตมาสุ คือ ในหญิงผู้สูงสุด ผู้มีศีลดีทั้งหลาย. ข้อนี้มีอธิบายว่า บุตรเหล่าใดของพวกเราเกิดในหญิงผู้สูงสุด ผู้มีศีลสมบูรณ์เหล่านั้น บุตรเหล่านั้นย่อมเป็นผู้มีประการอย่างนี้ คือเป็นผู้ฉลาดเป็นต้น ความตายในระหว่างจักมีแก่บุตรเหล่านั้น แต่ที่ไหนเล่า แม้เพราะเหตุนั้น คนหนุ่มๆ ในตระกูลของพวกเราจึงไม่ตาย. บทว่า ธมฺมญฺจราม ได้แก่ ประพฤติสุจริตธรรม ๓ ประการเพื่อประโยชน์แก่ปร หญิงรับใช้ทั้งหลาย ชื่อว่าทาสี. ในที่สุด พราหมณ์ก็ได้แสดงคุณของผู้ประพฤติธรรมด้วยคาถา ๒ คาถาเหล่านี้ว่า :- ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมที่บุคคลประพฤติดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้ นี้เป็นอานิสงส์ในธรรมที่ประพฤติดีแล้ว ผู้ประพฤติธรรมย่อมไม่ไปสู่ทุคติ. ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม เหมือนร่มใหญ่ในฤดูฝน ฉะนั้น ธรรมปาละบุตรของเรา อันธรรมคุ้มครองแล้ว กระดูกที่ท่านนำเอามานี้ เป็นกระดูกสัตว์อื่น บุตรของเรายังมีความสุข. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รกฺขติ ความว่า ธรรมดาว่า ธรรมที่บุคคลรักษาแล้วนั้น ย่อมกลับรักษาซึ่งบุคคลผู้มีธรรมอันตนรักษาแล้ว. บทว่า สุขมาวหาติ คือ ย่อมนำสุขในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายกับนิพพานสุขมาให้. บทว่า น ทุคฺคตึ คือ ย่อมไม่ไปสู่ทุคติ อันต่างด้วยทุคติมีนรกเป็นต้น. พราหมณ์นั้นแสดงว่า ดูก่อนพราหมณ์ พวกเรารักษาธรรมอย่างนี้ แม้ธรรมก็รักษาพวกเราเหมือนกัน. บทว่า ธมฺเมน คุตฺโต คือ อันธรรมที่ตนรักษาอันเช่นกับด้วยร่มใหญ่คุ้มครองแล้ว. บทว่า อญฺญฺสฺส อฏฺฐีนิ ความว่า ก็กระดูกที่ท่านนำมานี้ จักเป็นกระดูกของสัตว์อื่น คือของแพะก็ตามของสุนัขก็ตาม ท่านจงทิ้งกระดูกเหล่านั้นเสีย บุตรของเรายังมีความสุข. อาจารย์ได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวว่า การมาของข้าพเจ้าเป็นการมาดี มีผล ไม่ไร้ผล แล้วมีความยินดี ขอขมาโทษกะบิดาธรรมปาละแล้วกล่าวว่า นี่เป็นกระดูกแพะ ข้าพ พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแก่พระเจ้าสุทโธทน พระทศพลทรงประชุมชาดกว่า มารดาบิดาในครั้งนั้น ได้มาเป็น พุทธมารดาพุทธบิดา ในบัดนี้ อาจารย์ในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระสารีบุตร ในบัดนี้ บริษัทในครั้งนั้น ได้มาเป็น พุทธบริษัท ในบัดนี้ ส่วนธรรมปาลกุมาร ได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล. จบ อรรถกถามหาธัมมปาลชาดกที่ ๙ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา มหาธรรมปาลชาดก จบ. |