ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 

อ่านชาดก 270000อ่านชาดก 272245อรรถกถาชาดก 272261
เล่มที่ 27 ข้อ 2261อ่านชาดก 272285อ่านชาดก 272519
อรรถกถา อโยฆรชาดก
ว่าด้วย อำนาจของมัจจุราช
               พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภการออกมหาภิเนษกรมณ์นั่นเอง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ยเมกรตฺตึ ปฐมํ ดังนี้.
               แท้จริงแม้ในครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสว่า ใช่แต่ในชาตินี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในชาติก่อน ตถาคตก็เคยออกมหาภิเนษกรมณ์เหมือนกัน แล้วทรงนำอดีตนิทานมาตรัสดังนี้
               เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ ณ พระนครพาราณสี พระอัครมเหสีของท้าวเธอทรงพระครรภ์ ได้รับการบริหารพระครรภ์เป็นอย่างดี จนพระครรภ์แก่แล้วประสูติพระราชโอรส ในระหว่างเวลาปัจจุสมัยใกล้รุ่ง
               ในภพก่อนมีสตรีผู้หนึ่งร่วมสามีเดียวกันกับพระนางเทวีนั้น ตั้งความปรารถนาไว้ว่า ขอให้เราได้กินลูกของท่านที่คลอดแล้วๆ. ได้ยินว่า สตรีผู้นั้นตนเองเป็นหญิงหมัน ทำความปรารถนาเช่นนั้น เพราะความโกรธสตรีที่มีบุตร แล้วได้มาบังเกิดในกำเนิดนางยักษิณี สตรีที่มีบุตรนั้นได้มาเป็นพระอัครมเหสีของพระเจ้าพรหมทัต จนคลอดพระโอรสองค์นี้
               คราวนั้น นางยักษิณีได้โอกาสจึงแปลงกายมา เมื่อพระเทวีทอดพระเนตรดูอยู่นั่นแล ตรงเข้าจับทารกนั้นแล้วหนีไป. พระนางเทวีทรงร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า นางยักษิณีจับโอรสของเราหนีไปแล้ว. ฝ่ายนางยักษิณีก็กัดกินทารกทำเสียงมุรุ มุรุ เหมือนกินเหง้าบัว แสดงท่ายกมือชี้หน้าคุกคามพระเทวี แล้วก็หลีกหนีไป พระราชาทรงสดับพระเสาวนีย์ของพระเทวีแล้วทรงดำริว่า ไฉนนางยักษิณีจึงบังอาจกระทำได้แต่ทรงนิ่งเฉยเสีย. ในกาลที่พระเทวีทรงประสูติพระโอรสอีก ท้าวเธอได้ทรงจัดการอารักขามั่นคง. พระเทวีก็ประสูติพระโอรสอีกเป็นคำรบสอง. นางยักษิณีก็มาเคี้ยวกินพระกุมารนั้นแล้วหนีไปอีก.
               ในวาระที่สาม พระมหาสัตว์เจ้าทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระเทวี พระราชาทรงมีพระโองการให้มหาชนมาประชุมกัน ตรัสถามว่า ยักษิณีตนหนึ่งมากินโอรสที่ประสูติจากพระเทวีของเราทุกคราว ควรจะจัดการสถานใด?
               ครั้งนั้นบุรุษคนหนึ่งกราบทูลว่า ขอเดชะ ธรรมดานางยักษิณีย่อมกลัวใบตาล ควรที่จะผูกใบตาลไว้ที่พระหัตถ์และพระบาททั้งสองของพระเทวี อีกคนหนึ่งทูลว่า ขอเดชะ ธรรมดานางยักษิณีย่อมกลัวเรือนเหล็ก ควรทำเรือนเหล็กไว้ พ่ะย่ะค่ะ.
               พระราชาตรัสสั่งว่า  ดีละ แล้วตรัสสั่งให้ช่างเหล็กทั้งหลายในแว่นแคว้นของพระองค์มาประชุมกัน ทรงบัญชาว่า ท่านทั้งหลายจงช่วยกันทำเรือนเหล็กให้เรา แล้วโปรดให้ราชบุรุษผู้ดูแลคอยกำกับการ. ช่างเหล็กทั้งหลายจึงก่อสร้างพระตำหนักขึ้น ณ ภูมิภาคอันรื่นรมย์ภายในพระนครนั่นเอง. สัมภาระแห่งพระตำหนักทุกอย่าง ตั้งแต่เสาเป็นต้น ล้วนแล้วไปด้วยเหล็กทั้งนั้น ตำหนักรูปทรงจตุรมุขหลังใหญ่ล้วนแล้วไปด้วยเหล็ก สำเร็จลงโดยเวลาเก้าเดือน. พระตำหนักนั้นงามรุ่งเรืองเท่าเทียมกับแสงประทีปอันโพลงอยู่เป็นนิตย์.
               พระราชาทรงทราบว่า พระราชเทวีทรงพระครรภ์แก่แล้ว จึงตรัสสั่งให้ประดับตกแต่งพระตำหนักเหล็ก พาพระนางเทวีไปประทับยังตำหนักนั้น พระนางเทวีก็ประสูติพระราชโอรสสมบูรณ์ด้วยธัญบุญลักษณะ ณ พระตำหนักเหล็กนั้น. พระราชากับพระอัครมเหสีทรงพระราชทานนามพระราชโอรสว่า "อโยฆรกุมาร"
               พระราชาทรงมอบพระกุมารแก่พระพี่เลี้ยงนางนมแล้ว ทรงจัดแจงอารักขาใหญ่ยิ่ง พาพระราชเทวีกระทำประทักษิณเสด็จเลียบพระนคร แล้วเสด็จสู่พื้นอลังกตปราสาท.
               ฝ่ายนางยักษิณี ถึงเวรตักน้ำ นำน้ำไปถวายท้าวเวสวัณ ถึงความสิ้นชีวิตแล้ว.
               พระมหาสัตว์เจ้าทรงเจริญเติบโตในพระตำหนักเหล็กนั่นเอง จนรู้เดียงสา ทรงศึกษาศิลปวิทยาทุกอย่างในที่นั้นแหละ.
               พระราชาตรัสถามหมู่อำมาตย์ว่า โอรสของเรามีพระชันษาได้เท่าไร ทรงสดับว่า พระโอรสมีพระชันษา ๑๖ แกล้วกล้า สมบูรณ์ด้วยพลานามัย สามารถต่อสู้กับยักษ์ได้แม้ตั้งพัน จึงมีพระราชโองการว่า เราจักมอบราชสมบัติแก่โอรสของเรา ท่านทั้งหลายจงให้จัดการตกแต่งทั่วทั้งพระนคร แล้วเชิญพระโอรสออกจากตำหนักเหล็กนำมายังพระราชฐาน
               อำมาตย์ทั้งหลายรับพระราชโองการว่า ดีละ พระเจ้าข้า
               แล้วให้พนักงานตบแต่งพระนครพาราณสี อันมีปริมณฑลได้ ๑๒ โยชน์เสร็จแล้วนำมงคลหัตถี อันเพริศแพร้วไปด้วยสรรพาลังการ ไปยังพระตำหนักเหล็กนั้น ประดับตกแต่งพระราชกุมารแล้ว ทูลเชิญให้ประทับเหนือมงคลหัตถี
               แล้วทูลว่า ขอเดชะพระกุมารผู้ประเสริฐ ขอเชิญพระองค์ทรงทำประทักษิณเลียบพระนครอันอลงกต ซึ่งเป็นมรดกแห่งราชตระกูล แล้วเสด็จไปถวายบังคมพระเจ้ากาสิกราชผู้พระราชบิดา พระองค์จักได้เศวตฉัตรในวันนี้แหละ พะย่ะค่ะ
               เมื่อพระมหาสัตว์ทำการประทักษิณพระนครอยู่ ทอดพระเนตรเห็นพระราชอุทยาน แนวป่า สระโบกขรณี พื้นภูมิภาคและปราสาทราชวังอันน่ารื่นรมย์ยินดีเป็นต้นแล้ว ทรงจินตนาการว่า พระราชบิดาของเราให้เราอยู่ในเรือนจำตลอดกาลเพียงนี้ ไม่ให้เราได้เห็นพระนครอันตกแต่งงดงามเห็นปานนี้เลย โทษผิดของเรามีอย่างไรหนอ ดังนี้แล้วจึงตรัสถามพวกอำมาตย์
               อำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า ขอเดชะ พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ โทษผิดของพระองค์ไม่มีเลย พะย่ะค่ะ แต่นางยักษิณีตนหนึ่งมาเคี้ยวกินพระเชษฐาธิราชของพระองค์ถึงสองพระองค์ เพราะเหตุนั้น พระราชบิดาของพระองค์จึงโปรดให้พระองค์อยู่ในตำหนักเหล็ก พระองค์รอดพระชนมชีพมาได้ เพราะพระตำหนักเหล็กแท้ๆ พะย่ะค่ะ
               อโยฆรราชกุมารทรงสดับคำของอำมาตย์กราบทูล แล้วทรงพระดำริว่า เราอยู่ในครรภ์ของพระมารดา ๑๐ เดือนเหมือนอยู่ในโลหกุมภีนรก และคูถนรก นับแต่คลอดออกจากพระครรภ์พระมารดาแล้วต้องอยู่ในที่คุมขังถึง ๑๖ ปี ไม่ได้โอกาสที่จะได้ดูโลกภายนอกเลย เป็นเหมือนตกอยู่ในอุสสุทนรกฉะนั้น แม้เราจะพ้นจากเงื้อมมือของนางยักษิณีมาได้ ใช่ว่าจะไม่แก่ไม่ตายก็หามิได้ ประโยชน์อะไรด้วยราชสมบัติแก่เรา นับแต่วาระที่ได้ดำรงอยู่ในราชสมบัติแล้ว จะออกบรรพชาได้ยาก เราจักให้พระราชบิดาทรงอนุญาตการบรรพชาแก่เรา แล้วเข้าไปสู่ป่าหิมพานต์ บวชเสียวันนี้ทีเดียว
               ครั้นพระราชกุมารทรงกระทำประทักษิณพระนครแล้ว เสด็จเข้าไปสู่ราชตระกูล ถวายบังคมพระราชบิดาแล้วประทับยืนอยู่ พระเจ้าพรหมทัตทอดพระเนตรสรีรโสภาแห่งพระโอรสแล้ว ทรงเสน่หารักใคร่เป็นกำลังจึงทรงชำเลืองดูหมู่อำมาตย์
               อำมาตย์ทั้งหลายทูลว่า ขอเดชะ จะโปรดให้พวกข้าพระพุทธเจ้า จัดแจงอย่างไรต่อไป.
               ท้าวเธอจึงตรัสสั่งว่า ท่านทั้งหลายจงเชิญโอรสของเราให้ประทับเหนือกองรัตนะ แล้วสระสรงด้วยน้ำสังข์สามอย่าง แล้วสอดสวมกาญจนมาลา และยกเศวตฉัตรขึ้น
               พระมหาสัตว์เจ้าจึงถวายบังคมพระราชบิดาทูลคัดค้านว่า ข้าพระพุทธเจ้าไม่มีความต้องการด้วยราชสมบัติ ข้าพระพุทธเจ้าจักบวช ขอพระองค์ได้โปรดทรงอนุญาตให้ข้าพระพุทธเจ้าบวชเถิด.
               พระเจ้าพรหมทัตจึงตรัสว่า ลูกรัก เจ้าบอกคืนราชสมบัติแล้วจักบวช เพราะเหตุอะไร?
               พระมหาสัตว์เจ้าทูลตอบว่า ขอเดชะพระราชบิดาผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ข้าพระพุทธเจ้าอยู่ในพระครรภ์พระมารดา ๑๐ เดือน เหมือนอยู่ในคูถนรก ประสูติจากพระครรภ์แล้ว ต้องอยู่ในที่คุมขังถึง ๑๖ ปี ไม่ได้โอกาสที่จะเห็นโลกภายนอกได้ เพราะภัยอันเกิดแต่นางยักษิณี ได้เป็นเหมือนตกอยู่ในอุสสุทนรก ถึงพ้นจากเงื้อมมือนางยักษิณีแล้ว ใช่ว่าข้าพระพุทธเจ้าจะเป็นคนไม่แก่ไม่ตายก็หามิได้ ขึ้นชื่อว่า มฤตยุราชนี้ ใครๆ ไม่อาจชนะ ไม่อาจจะลวงได้ ข้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้เอือมระอาในภพ ข้าพระพุทธเจ้าจักบวชประพฤติธรรมไปจนกว่าชรา พยาธิและมรณะจะไม่มาถึง ข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าไม่ปรารถนาราชสมบัติ ขอเดชะพระราชบิดาผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ โปรดทรงอนุญาตให้ข้าพระองค์บวชเถิด ดังนี้แล้ว
               เมื่อจะทรงแสดงธรรมถวายพระราชบิดา จึงตรัส (พระคาถา) ความว่า
               สัตว์ถือปฏิสนธิกลางคืนก็ตาม กลางวันก็ตาม ย่อมอยู่ในครรภ์มารดาก่อน สัตว์นั้นย่อมเกิดเพราะกำลังลม ย่อมไปสู่ความเป็นกลละเป็นต้น ย่อมไม่ย้อนกลับมาสู่ความเป็นกลละเป็นต้นอีก.
               นรชนทั้งหลายจะยกพลโยธายุทธนาการกับชรา พยาธิ มรณะไม่ได้เลยเป็นอันขาด เพราะว่าชีวิตของสัตว์ทั้งมวลนี้ ถูกความเกิดและความแก่เข้าไปประทุษร้ายเบียดเบียน เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวชประพฤติธรรม.
               พระราชาผู้เป็นอธิบดีในรัฐทั้งหลาย ย่อมจะข่มขี่ราชศัตรูผู้มีเสนาอันประกอบด้วยองค์ ๔ ล้วนรูปร่างน่าสะพรึงกลัว เอาชัยชนะได้ แต่ไม่สามารถจะชนะเสนาแห่งมัจจุราชได้ เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวชประพฤติธรรม.
               พระราชาบางพวกแวดล้อมด้วยพลม้า พลรถและพลเดินเท้า ย่อมพ้นจากเงื้อมมือของข้าศึก แต่ก็ไม่อาจจะพ้นจากสำนักของมัจจุราชได้ เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวชประพฤติธรรม.
               พระราชาทั้งหลายผู้กล้าหาญย่อมหักค่ายทำลายพระนครแห่งราชศัตรูให้ย่อยยับได้ และกำจัดมหาชนได้ด้วยพลช้าง พลม้า พลรถ และพลเดินเท้า แต่ไม่สามารถจะหักรานเสนาแห่งมัจจุราชได้ เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวชประพฤติธรรม.
               คชสารทั้งหลายที่ตกมัน มีมันเหลวแตกออกจากกระพอง ย่อมย่ำยีนครทั้งหลาย และเข่นฆ่าประชาชนได้ แต่ไม่สามารถจะย่ำยีเสนาแห่งมัจจุราชได้ เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวชประพฤติธรรม.
               นายขมังธนูทั้งหลาย แม้มีมืออันได้ฝึกฝนมาดีแล้ว เป็นผู้มีปัญญา สามารถยิงธนูให้ถูกได้ในที่ไกล ยิงได้แม่นยำไม่ผิดพลาด ก็ไม่สามารถจะยิงต่อต้านมัจจุราชได้ เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวชประพฤติธรรม.
               สระทั้งหลายและมหาปฐพีกับทั้งภูเขาราวไพร ย่อมเสื่อมสิ้นไป สังขารทั้งปวงนั้นจะตั้งอยู่นานสักเท่าไรก็ย่อมเสื่อมสิ้นไป เพราะสังขารทั้งปวงนั้น ครั้นถึงกาลกำหนดแล้วย่อมจะแตกทำลายไป เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวชประพฤติธรรม.
               แท้จริง ชีวิตของสัตว์ทั้งมวลทั้งที่เป็นสตรี และบุรุษในโลกนี้ เป็นของหวั่นไหว เหมือนแผ่นผ้าของนักเลงสุรา และต้นไม้เกิดใกล้ฝั่ง เป็นของหวั่นไหวไม่ยั่งยืนฉะนั้น เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวชประพฤติธรรม.
               ผลไม้ที่สุกแล้วย่อมหล่นล่วงฉันใด สัตว์ทั้งหลายทั้งหนุ่มแก่ ทั้งปานกลาง ทั้งหญิง ทั้งชาย ย่อมเป็นผู้มีสรีระทำลายหล่นไปฉันนั้น เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวชประพฤติธรรม.
               พระจันทร์ อันเป็นราชาแห่งดวงดาวเป็นฉันใด วัยนี้หาเป็นฉันนั้นไม่ เพราะส่วนใดล่วงไปแล้ว ส่วนนั้นเป็นอันล่วงไปแล้วในบัดนี้ อนึ่ง ความยินดีในกามคุณของคนแก่ชราแล้วย่อมไม่มี ความสุขจะมีมาแต่ไหน เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวชประพฤติธรรม.
               ยักษ์ก็ดี ปีศาจก็ดี หรือเปรตก็ดี โกรธเคืองแล้ว ย่อมเข้าสิงมนุษย์ได้ แต่ไม่สามารถจะเข้าสิงมัจจุราชได้เลย เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวชประพฤติธรรม.
               มนุษย์ทั้งหลายย่อมกระทำการบวงสรวงยักษ์ ปีศาจ หรือเปรตทั้งหลายผู้โกรธเคืองแล้วได้ แต่ไม่สามารถจะบวงสรวงมัจจุราชได้เลย เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวชประพฤติธรรม.
               พระราชาทั้งหลายทรงทราบโทษผิดแล้ว ย่อมลงอาชญากะบุคคลผู้กระทำความผิด ผู้ประทุษร้ายต่อราชสมบัติ และผู้เบียดเบียนประชาชนตามสมควร แต่ไม่สามารถลงอาชญามัจจุราชได้ เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวชประพฤติธรรม.
               ชนทั้งหลายผู้กระทำความผิดฐานประทุษร้ายต่อพระราชาก็ดี ผู้ประทุษร้ายต่อราชสมบัติก็ดี ผู้เบียดเบียนประชาชนก็ดี ย่อมจะขอพระราชทานอภัยโทษได้ แต่หาทำมัจจุราชให้ผ่อนปรน กรุณาปรานีได้ไม่ เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวชประพฤติธรรม.
               มัจจุราชมิได้มีความเกรงใจเลยว่า ผู้นี้เป็นกษัตริย์ ผู้นี้เป็นพราหมณ์ ผู้นี้มั่งคั่ง ผู้นี้มีกำลัง ผู้นี้มีเดชานุภาพ ย่อมย่ำยีทั่วทั้งหมด เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวชประพฤติธรรม.
               ราชสีห์ก็ดี เสือโคร่งก็ดี เสือเหลืองก็ดี ย่อมข่มขี่เคี้ยวกินสัตว์ที่ดิ้นรนอยู่ได้ แต่ไม่สามารถจะเคี้ยวกินมัจจุราชได้ เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวชประพฤติธรรม.
               นักเล่นกลทั้งหลาย เมื่อกระทำกลมายา ณ ท่ามกลางสนาม ย่อมลวงนัยน์ตาประชาชนในที่นั้นๆ ให้หลงเชื่อได้ แต่ไม่สามารถจะลวงมัจจุราชให้หลงเชื่อได้ เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวชประพฤติธรรม.
               อสรพิษที่มีพิษร้ายโกรธขึ้นมาแล้ว ย่อมขบกัดมนุษย์ให้ถึงตายได้ แต่ไม่สามารถจะขบกัดมัจจุราชให้ตายได้ เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวชประพฤติธรรม.
               อสรพิษทั้งหลายโกรธขึ้นแล้ว ขบกัดผู้ใด หมอทั้งหลายย่อมถอนพิษร้ายนั้นได้ แต่จะถอนพิษของผู้ถูกมัจจุราชประทุษร้ายหาได้ไม่ เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวชประพฤติธรรม.
               แพทย์ผู้มีชื่อเสียงเหล่านี้คือ แพทย์ธรรมมนตรี แพทย์เวตตรุณะ แพทย์โภชะ อาจจะกำจัดพิษพระยานาคได้ แต่แพทย์เหล่านั้นต้องทำกาลกิริยานอนตาย เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวชประพฤติธรรม.
               วิชาธรทั้งหลาย เมื่อร่ายอาคมชื่อ โฆรมนต์ ย่อมหายตัวไปได้ด้วยโอสถทั้งหลาย แต่หายตัวไม่ให้มัจจุราชเห็นไม่ได้เลย เพราะเหตุนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจึงคิดว่า จะบวชประพฤติธรรม.
               ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมที่บุคคลประพฤติดีแล้ว ย่อมนำความสุขมาให้ นี้เป็นอานิสงส์ในธรรมที่ประพฤติดีแล้ว ผู้มีปกติประพฤติธรรม ย่อมไม่ไปสู่ทุคติ.
               สภาพทั้งสองคือ ธรรมและอธรรม มีวิบากไม่เสมอกัน อธรรมย่อมนำไปสู่นรก ธรรมย่อมยังสัตว์ให้ถึงสุคติ.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยเมกรตฺตึ ความว่า โดยมากสัตว์ทั้งหลายเมื่อจะถือปฏิสนธิในท้องมารดา มักถือปฏิสนธิในเวลาราตรี เพราะ เหตุนั้น พระโพธิสัตว์เจ้าจึงตรัสอย่างนี้.
               ในข้อนี้มีอรรถาธิบายว่า สัตว์จะถือปฏิสนธิในเวลาราตรีก็ตาม ในเวลากลางวันก็ตาม ย่อมอยู่ในครรภ์ คือท้องของมารดาก่อน.
               บทว่า มาณโว ความว่า สัตว์ย่อมดำรงอยู่โดยความเป็นกลละ.
               บทว่า อพฺภุฏฺฐิโตว โส ยาติ ความว่า เมฆหมอกกล่าวคือวลาหกตั้งขึ้นเกิดขึ้นถูกกำลังพายุพัดไปฉันใด สัตว์นั้นย่อมไปสู่ความเป็นกลละก่อนฉันนั้นเหมือนกัน.

               ข้อนี้ สมกับที่พระโบราณาจารย์กล่าวไว้ว่า
               แรกสัตว์ถือปฏิสนธินั้น เป็นกลละคือข้นเข้าหน่อยหนึ่ง
                         ต่อจากกลละเป็นอัพพุทะ คือข้นขุ่นดังน้ำล้างเนื้อ
                         ต่อจากอัพพุทะก็เกิดเป็นเปสิ คือชิ้นเนื้ออ่อนๆ
                         ต่อจากเปสิก็เป็นฆนะ คือก้อนแข็ง
                         ต่อจากฆนะก็เกิดเป็นสาขาอวัยวะ คือ ผมบ้าง ขนบ้าง เล็บบ้าง
               มารดาของนระนั้นบริโภคโภชนะสิ่งใด ทั้งข้าวทั้งน้ำ
               นระผู้อยู่ในครรภ์มารดานั้นย่อมเลี้ยงอัตภาพด้วยโภชนะสิ่งนั้นอยู่ในครรภ์มารดานั้น.


               ในคาถานั้น พึงทราบอธิบายดังต่อไปนี้
               นระนั้นย่อมถึงความเป็นกลละเป็นต้นในครรภ์มารดานี้ และครั้นออกจากครรภ์มารดาแล้ว ก็ถึงความเป็นมันททสกะเป็นต้น ย่อมเป็นไปติดต่อไม่ขาดระยะ.
               บทว่า ส คจฺฉํ น นิวตฺตติ ความว่า และเมื่อเป็นไปอย่างนี้ นระนี้มิได้ย้อนรอยถอยกลับเข้าไปถึงความเป็นกลละจากอัพพุทะ
                         ถึงความเป็นอัพพุทะเป็นต้น จากเปสิเป็นต้น
                         เป็นมันททสกะ จากขิฑฑาทสกะ
                         หรือถึงความเป็นขิฑฑาทสกะเป็นต้น จากวัณณทสกะเป็นต้น
               เปรียบเหมือนวลาหกอันกำลังลมพัดให้กระจัดกระจาย ย่อมไม่ได้ที่จะคิดว่า เราตั้งขึ้น ณ ที่โน้น จักกลับไปแล้วดำรงอยู่โดยปกติภาพ ณ ที่โน้นอีกทีเดียว
               ที่ใดอันเวลาหกนั้นไปแล้ว ที่นั้นชื่อว่าได้ไปแล้ว ที่ใดอันตรธานไป ที่นั้นเป็นอันชื่อว่าอันตรธานไปแล้วฉันใด แม้สัตว์ผู้ถือปฏิสนธิในครรภ์ก็ฉันนั้น เมื่อไปโดยความเป็นกลละเป็นต้นย่อมไปทีเดียว สังขารทั้งหลายในส่วนนั้นๆ เป็นปัจจัยแห่งภาวะมีในก่อน มิได้ถอยกลับคืนข้างหลัง ย่อมแตกทำลายไปในที่นั้นๆ ทีเดียว
               สังขารทั้งหลายในชรากาลย่อมไม่ได้สิ่งที่จะคิดว่า เมื่อก่อนนี้หนุ่มแน่นสมบูรณ์ด้วยกำลัง พวกเรากระทำได้ตามต้องการ พวกเราจักให้สังขารนั้นกลับสภาพเดิม ทำได้เหมือนก่อนนั้นอีก ดังนี้ ย่อมจะอันตรธานไปในที่นั้นๆ นั่นแหละ.
               บทว่า น ยุชฺฌมานา ความว่า นรชนทั้งหลายจะตั้งค่ายประชิดพลทั้งสองข้าง กระทำยุทธสงคราม(กับชรามรณะหาได้ไม่).
               บทว่า น พเลน วสฺสิตา ความว่า นรชนทั้งหลายจะเข้าถึง คือประกอบด้วยกำลังกาย กำลังพลโยธาก็ตาม. บัณฑิตพึงนำเอา "" อักษรข้างหน้า ในบทว่า น ชีรนฺติ มาประกอบแล้ว ทราบเนื้อความว่า นรชนทั้งหลายแม้เห็นปานนี้ จะไม่แก่ไม่ตายก็หามิได้.
               บทว่า สพฺพมฺหิ ตํ ความว่า ขอเดชะพระมหาราชเจ้า เพราะมณฑลแห่งปาณะสัตว์ทั้งหมดนี้ ถูกชาติและชราเบียดเบียนบีบคั้นเป็นนิตย์ ดุจลำอ้อยถูกเครื่องยนต์ขนาดใหญ่บีบคั้นฉะนั้น.
               บทว่า ตํ เม มตี โหติ ความว่า แม้เพราะเหตุนั้น ความคิดของข้าพระพุทธเจ้าจึงมี คือเกิดความคิดขึ้นว่าจะบวชประพฤติธรรม.
               บทว่า จาตุรงฺคินึ ความว่า ประกอบด้วยองค์ ๔ มีม้าเป็นต้น.
               บทว่า เสนํ สุภึสรูปํ ได้แก่ เสนาซึ่งมีรูปร่างน่ากลัว.
               บทว่า ชยนฺติ ความว่า บางครั้งพระราชาบางจำพวกชนะ (เสนาของศัตรู) ด้วยเสนาของตนได้.
               บทว่า น มจฺจุโน ความว่า แต่พระราชาแม้เหล่านั้นไม่อาจชนะเสนาแห่งมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่ได้ คือไม่สามารถเพื่อจะย่ำยี ชรา พยาธิ และมรณะได้.
               บทว่า มุจฺจเร เอกจฺจยา ความว่า พระราชาบางพวกแวดล้อมด้วยพลช้างเป็นต้นเหล่านี้ ย่อมพ้นจากเงื้อมมือของปัจจามิตรได้ แต่ไม่สามารถเพื่อจะพ้นจากสำนักของมัจจุราชได้.
               บทว่า ปภิญฺชนฺติ ความว่า พระราชาผู้แกล้วกล้าย่อมหักหาญตีเอาพระนครของราชศัตรูได้ ด้วยพลช้างเป็นต้นเหล่านี้.
               บทว่า ปธํสยนฺติ ความว่า ย่อมกำจัดย่ำยียังมหาชนให้ถึงความตายได้.
               บทว่า น มจฺจุโน ความว่า แต่พระราชาเหล่านั้น เมื่อกาลมรณะมาถึงแล้ว ไม่อาจที่จะหักรานมฤตยูได้.
               บทว่า ภินฺนคฬา ปภินฺนา ความว่า คชสารทั้งหลายเป็นสัตว์มีมันเหลวแตกออกในที่ ๓ สถาน ก็เมามัน คือมีมันเหลวไหลออก.
               บทว่า น มจฺจุโน ความว่า แม้คชสารเหล่านั้นก็ไม่อาจย่ำยีมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่ได้.
               บทว่า อิสฺสาสิโน ได้แก่ นายขมังธนูทั้งหลาย.
               บทว่า กตหตฺถา ความว่า ผู้ศึกษาดีแล้ว.
               บทว่า ทูเรปาตี ความว่า เป็นผู้สามารถยิงให้ถูกได้ ณ ที่ไกล.
               บทว่า อกฺขณเวธิโน ความว่า ยิงได้แม่นไม่ผิดพลาด หรือเป็นผู้สามารถยิงได้ด้วยสายฟ้าแลบ.
               บทว่า สรานิ ความว่า แม้สระใหญ่ๆ ทั้งหลาย มีสระอโนดาตเป็นต้น ย่อมเสื่อมสิ้นไปเหมือนกัน.
               บทว่า สเสลกานนา ความว่า แม้มหาปฐพีพร้อมทั้งบรรพต และไพรสณฑ์ก็ดี ย่อมเสื่อมสิ้นไป.
               บทว่า สพฺพํ หิ ตํ ความว่า ธรรมชาติอันนับว่าเป็นสังขารทั้งหมดนี้ แม้ตั้งอยู่ยืนนานเพียงใด ก็ย่อมจะเสื่อมสิ้นไป แม้มหาเมรุราช ถึงไฟบัลลัยกัลป์แล้ว ย่อมจะย่อยยับไปเหมือนขี้ผึ้งใกล้เตาไฟ ย่อมละลายไปฉะนั้น ฝ่ายสังขารมีประมาณเล็กน้อย ไม่สามารถดำรงอยู่ได้. สังขารทั้งหมดถึงกาลเป็นที่สุด คือถึงวาระกาลพินาศแล้ว ย่อมจะหักละเอียด คือแตกทำลายไป.
               เพื่อจะประกาศความนี้นั้น ควรนำ สัตตสุริยสูตร มาแสดง.
               บทว่า จลาจลํ ความว่า เป็นของจลาจล คือไม่สามารถดำรงอยู่ตามสภาพของตนได้ มีอันเป็นไปต่างๆ แปลกๆ กัน.
               บทว่า ปาณภุโนธ ชีวิตํ ความว่า ชีวิตของปาณสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ในโลกนี้ (ก็ฉันนั้น).
               บทว่า ปโฏว ธุตฺตสฺส ทุโมว กูลโช ความว่า ธรรมดานักเลงสุราเห็นสุราแล้ว ย่อมเปลื้องผ้าคาดพุงแลกดื่มได้ทีเดียว ต้นไม้ที่เกิดใกล้ฝั่งแม่น้ำ เมื่อฝั่งพังลงไป ก็ย่อมโค่นล้มไป แผ่นผ้าของนักเลงสุรา และต้นไม้ใกล้ฝั่งนี้เป็นฉันใด ขอเดชะ ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็ฉันนั้น.
               บทว่า ทุมฺมปฺผลาเนว ความว่า ผลไม้ทั้งหลายที่สุกแล้วถูกลมกระทบ ย่อมหล่นจากต้นตกลงที่พื้นดิน ฉันใด มาณพทั้งหลายเหล่านี้ถูกลม คือชรากระทบแล้ว กลืนกินชีวิตแล้ว ย่อมล่วงหล่นไปในแผ่นดิน คือความตายฉันนั้นเหมือนกัน.
               บทว่า ทหรา ความว่า มาณพทั้งหลายเหล่านี้ คือคนหนุ่ม โดยที่สุดแม้ตั้งอยู่ในความเป็นกลละก็ดี.
               บทว่า มชฺฌิมโปริสา ความว่า หญิงชายผู้ตั้งอยู่ในวัยกลางคน ทั้งอุภโตพยัญชนก และนปุงสกเพศ.
               บทว่า ตารกราชสนฺนิโภ ความว่า พระจันทร์เป็นราชาแห่งดวงดารา สิ้นแรงลงในกาฬปักษ์ข้างแรม แต่ก็แจ่มใสเต็มดวงในชุณหปักษ์ข้างขึ้นฉันใด วัยของสัตว์ทั้งหลายหาเป็นฉันนั้นไม่. เพราะวัยของสัตว์ทั้งหลายส่วนใดล่วงไปแล้ว เป็นอันว่าส่วนนั้นล่วงไปแล้วในบัดนี้ทีเดียว ไม่มีทางที่จะกลับคืนไปสู่วัยนั้นได้อีก.
               บทว่า กุโต รติ ความว่า แม้ความยินดีในกามคุณทั้งหลายของคนแก่ชราย่อมไม่มี ความสุขอันเกิดขึ้น เพราะอาศัยกามคุณนั้นจะมีมาแต่ไหน.
               บทว่า ยกฺขา ได้แก่ ยักษ์ผู้มีมหิทธิฤทธิ์.
               บทว่า ปีสาจา ได้แก่ ปีศาจคลุกฝุ่น.
               บทว่า เปตา ได้แก่ สัตว์ผู้เข้าถึงเปตวิสัย.
               บทว่า อสฺสสนฺติ ความว่า เข้าไปกระทบ หรือแทรกซึมเข้าไปตามลมหายใจเข้าออก.
               บทว่า น มจฺจุโน ความว่า แต่แม้ยักษ์เป็นต้นแม้เหล่านั้นไม่สามารถจะเข้าไปกระทบหรือแทรกซึมตามลมหายใจมฤตยูได้.
               บทว่า นิชฺฌาปนํ กโรนฺติ ความว่า ให้อดโทษ คือให้ยินดีด้วยสามารถแห่งพลีกรรมได้.
               บทว่า อปราธเก ได้แก่ ผู้กระทำความผิดต่อพระราชา.
               บทว่า ทูสเก ได้แก่ ผู้ประทุษร้ายต่อราชสมบัติ.
               บทว่า เหฐเก ได้แก่ ผู้เบียดเบียนชาวโลกด้วยการตัดช่องย่องเบาเป็นต้น.
               บทว่า ราชิโน ได้แก่ พระราชาทั้งหลาย.
               บทว่า วิทิตฺวาน โทสํ ความว่า พระราชาทั้งหลายทรงทราบโทษผิดแล้ว ย่อมลงอาชญา ตามสมควรแก่ความผิด.
               บทว่า น มจฺจุโน ความว่า แต่พระราชาเหล่านั้น ไม่อาจลงอาชญา แก่มฤตยุราชได้.
               บทว่า นิชฺฌาเปตุํ ความว่า ย่อมได้เพื่อจะประกาศความเป็นผู้ไร้ความผิดของตนได้ ด้วยหลักฐานพยาน.
               บทว่า น อฑฺฒกา พลวา เตชวาปิ ความว่า พระโพธิสัตว์เจ้าทรงแสดงว่ามัจจุราชมิได้มีความเกรงใจ แม้อย่างนี้ว่า ชนเหล่านี้มั่งคั่ง ผู้นี้มีกำลัง ทั้งด้วยกำลังกายและกำลังความรู้ ผู้นี้มีเดชานุภาพ คือไม่มีความเกรงใจ รักใคร่สิเนหาในสัตวนิกายแม้แต่ผู้เดียว ย่อมย่ำยีทั้งหมดทีเดียว.
               บทว่า ปสยฺห ความว่า ข่มขี่โดยพลการ.
               บทว่า น มจฺจุโน ความว่า แม้สัตว์เหล่านั้น ก็ไม่อาจเคี้ยวกินมัจจุราชได้.
               บทว่า กโรนฺตา ความว่า กระทำกลมายา.
               บทว่า โมเหนฺติ ความว่า แสดงสิ่งที่ไม่จริง ทำให้เห็นเป็นจริง ลวงนัยน์ตาประชาชน.
               บทว่า อุคฺคเตชา ความว่า อสรพิษทั้งหลายที่ประกอบด้วยเดชคือพิษกล้า.
               บทว่า ติกิจฺฉกา ได้แก่ หมอผู้เยียวยาแก้พิษ.
               บทว่า ธมฺมนฺตรี เวตฺตรุโณ จ โภโช ความว่า แพทย์ผู้มีชื่ออย่างนี้ เหล่านี้.
               บทว่า โฆรมธียมานา ได้แก่ ผู้ทรงไว้ซึ่งวิชาชื่อโฆระ.
               บทว่า โอสเธภิ ความว่า วิชาธรทั้งหลาย ครั้นร่ายวิชา ชื่อโฆระหรือคันธะเป็นต้นแล้ว ถือโอสถไปสู่ที่ซึ่งข้าศึกทั้งหลายไม่อาจแลเห็นได้ด้วยโอสถเหล่านั้น.
               บทว่า ธมฺโม ได้แก่ สุจริตธรรม.
               บทว่า รกฺขติ ความว่า สุจริตธรรม อันบุคคลใดรักษาแล้ว สุจริตธรรมนั้นย่อมรักษาผู้นั้นตอบ.
               บทว่า สุขํ ความว่า ธรรมอันบุคคลประพฤติดีแล้ว ย่อมนำสุขมาคือให้ถึงสุข ได้แก่นำเข้าไปด้วยอำนาจแห่งปฏิสนธิในฉกามาพจรสวรรค์.

               ครั้นพระมหาสัตว์เจ้าแสดงธรรมถวายพระราชบิดา ด้วยคาถา ๒๔ คาถาอย่างนี้แล้ว กราบทูลว่า ขอเดชะพระชนกมหาราชเจ้า ราชสมบัติของพระราชบิดา จงเป็นของพระราชบิดาผู้เดียวเถิด ข้าพระพุทธเจ้าไม่มีความต้องการด้วยราชสมบัตินี้ ชรา พยาธิและมรณะ ย่อมรุกรานข้าพระพุทธเจ้าซึ่งกำลังกราบทูลสนทนากับพระองค์อยู่ทีเดียว ขอพระองค์จงอยู่เป็นสุขเถิดดังนี้แล้ว สละกามทั้งหลายถวายบังคมลาพระชนกชนนี เสด็จออกบรรพชา อุปมาเหมือนช้างซับมัน สลัดตัดเสียซึ่งห่วงเหล็กแล่นไป หรือดุจสีหโปดกทำลายกรงทองไปได้ฉะนั้น.
               ลำดับนั้น พระราชบิดาของพระมหาสัตว์ ทรงดำริว่า ประโยชน์อะไรด้วยราชสมบัติแม้แก่เรา จึงสละราชสมบัติ เสด็จออกพร้อมกับพระราชโอรสทีเดียว.
               เมื่อพระเจ้าพรหมทัตกำลังเสด็จออกไปนั้น ทั้งพระเทวี ทั้งหมู่อำมาตย์ราชบริพาร ตลอดจนชาวพระนครทั้งสิ้น มีพราหมณ์และคฤหบดีเป็นต้น ต่างพากันสละเคหสถานออกตามเสด็จพระเจ้าพรหมทัต ได้เกิดเป็นมหาสมาคมใหญ่ มีบริษัทนับได้ประมาณ ๑๒ โยชน์ พระมหาสัตว์เจ้าพาบริษัทนั้นเข้าไปสู่หิมวันตประเทศ
               ท้าวสักกเทวราชทรงทราบว่า พระมหาสัตว์เจ้าเสด็จออกแล้ว จึงส่งวิสสุกรรมเทพบุตรไปเนรมิตอาศรมบทให้ยาว ๑๒ โยชน์ กว้าง ๗ โยชน์ ทั้งให้จัดแจงบรรพชิตบริขารไว้ครบถ้วน.
               ต่อจากนี้ไป การบรรพชาของพระมหาสัตว์เจ้าก็ดี การให้โอวาทก็ดี ความเป็นผู้มีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้าก็ดี ความไม่ไปสู่อบายของบริษัทก็ดี พึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วในหนหลังทั้งหมด.

               พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในชาติก่อน ตถาคตก็ออกสู่มหาภิเนษกรมณ์อย่างนี้เหมือนกัน
               แล้วทรงประชุมชาดกว่า
                         พระราชมารดาบิดาในครั้งนั้น ได้มาเป็น มหาราชสกุล
                         บริษัทได้มาเป็น พุทธบริษัท
               ส่วนอโยฆรบัณฑิตได้มาเป็น เราผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉะนี้เลย.

               จบอรรถกถาอโยฆรชาดกที่ ๑๔               
               จบอรรถกถาวีสตินิบาต เพียงเท่านี้               
               -----------------------------------------------------               
               รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ
                         ๑. มาตังคชาดก ว่าด้วย อานุภาพของมาตังคฤาษี
                         ๒. จิตตสัมภูตชาดก ว่าด้วย ผลของกรรม
                         ๓. สีวิราชชาดก ว่าด้วย การให้ดวงตาเป็นทาน
                         ๔. ศิริมันทชาดก ว่าด้วย ปัญญาประเสริฐ
                         ๕. โรหนมิคชาดก ว่าด้วย ความรักในสายเลือด
                         ๖. หังสชาดก ว่าด้วย หงส์สุมุขะผู้ภักดี
                         ๗. สัตติคุมพชาดก ว่าด้วย พี่น้องก็ยังต่างใจกัน
                         ๘. ภัลลาติยชาดก ว่าด้วย อายุของกินนร
                         ๙. โสมนัสสชาดก ว่าด้วย การใคร่ครวญก่อนแล้วทำ
                         ๑๐. จัมเปยยชาดก ว่าด้วย บำเพ็ญตบะเพื่อต้องการเกิดเป็นมนุษย์
                         ๑๑. มหาโลภนชาดก ว่าด้วย หญิงเป็นมลทินของพรหมจรรย์
                         ๑๒. ปัญจปัณฑิตชาดก ว่าด้วย ความลับไม่ควรเปิดเผย
                         ๑๓. หัตถิปาลชาดก ว่าด้วย กาลเวลาไม่คอยใคร
                         ๑๔. อโยฆรชาดก. ว่าด้วย อำนาจของมัจจุราช
               จบ วีสตินิบาตชาดก.               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา อโยฆรชาดก จบ.
อ่านชาดก 270000อ่านชาดก 272245อรรถกถาชาดก 272261
เล่มที่ 27 ข้อ 2261อ่านชาดก 272285อ่านชาดก 272519
อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=9067&Z=9162
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด พระไตรปิฎกฉบับธรรมทาน
บันทึก  ๒๗  กรกฎาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]