ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ
     ฉบับหลวง   ฉบับมหาจุฬาฯ   บาลีอักษรไทย   PaliRoman 
อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้าอ่านหน้า[ต่าง] ถัดไปอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๕ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก
เขมาเถริยาปทานที่ ๘
ว่าด้วยบุพจริยาของพระเขมาเถรี
[๑๕๘] พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ มีพระญาณจักษุในสรรพธรรม เป็นพระโลกนายก เสด็จอุบัติในกัปที่แสนกัปแต่กัปนี้ ครั้งนั้น ดิฉันเกิดในสกุลเศรษฐีมีความรุ่งเรืองด้วยรัตนะต่างๆ ในเมือง หังสวดี เป็นผู้เพียบพร้อมไปด้วยความสุขมาก ดิฉันเข้าไปเฝ้าพระ พุทธมหาวีระพระองค์นั้นแล้ว ได้ฟังธรรมเทศนา เกิดความเลื่อม ใสในพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ได้ถึงพระองค์เป็นสรณะ ดิฉันขอ อนุญาตมารดาบิดาได้แล้ว นิมนต์พระพุทธเจ้าผู้นำชั้นพิเศษให้ เสวยพร้อมด้วยพระสาวกสงฆ์ ตลอดสัปดาห์หนึ่งเมื่อสัปดาห์หนึ่ง ล่วงไปแล้ว พระผู้มีพระภาคผู้เป็นสารถีฝึกนระ ทรงตั้งภิกษุณีองค์ หนึ่ง ซึ่งอุดมกว่าพวกภิกษุณีฝ่ายที่มีปัญญามากในตำแหน่งเอตทัคคะ ดิฉันได้ฟังเรื่องนั้นแล้ว มีความยินดีทำสักการะแต่พระพุทธเจ้า ผู้ แสวงหาคุณใหญ่พระองค์นั้นอีกแล้วหมอบลงปรารถนาตำแหน่งนั้น ในทันใดนั้น พระพิชิตมารพระองค์นั้นตรัสกะดิฉันว่า ความ ปรารถนาของท่านจักสำเร็จ สักการะที่ท่านทำแล้วแก่เราพร้อมด้วย ภิกษุสงฆ์มีผลมาก ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ พระศาสดาพระนาม ว่าโคดมทรงสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นใน โลก หญิงนี้จักได้เป็นภิกษุณีชื่อเขมา ผู้เป็นธรรมทายาทของพระ ศาสดาพระองค์นั้น เป็นโอรสอันธรรมนิรมิตจักถึงตำแหน่งเอต- ทัคคะ ด้วยกรรมที่ทำดีแล้วนั้น และด้วยการตั้งเจตน์จำนงไว้ดิฉัน ละร่างกายมนุษย์แล้วได้เป็นผู้เข้าถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จุติจากสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์แล้วไปชั้นยามา จุติจากชั้นยามาแล้วไปชั้นดุสิต จุติจาก ชั้นดุสิตแล้ว ไปชั้นนิมมานรดี จุติจากชั้นนิมมานรดีแล้วไปชั้น ปรนิมมิตวสวัสดี เพราะอำนาจบุญกรรมนั้น ดิฉันเกิดในภพใดๆ ก็ได้เป็นพระอัครมเหสีของพระราชาในภพนั้นๆ ดิฉันจุติจากภพนั้น แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ได้เป็นพระอัครมเหสีของพระเจ้าจักรพรรดิและ เป็นมเหสีของพระเจ้าเอกราช เสวยทิพสมบัติและมนุษยสมบัติ มี ความสุขทุกภพท่องเที่ยวไปในกัปเป็นอเนกในกัปที่ ๙๑ แต่กัปนี้ พระพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี เป็นนายกของโลก งดงามน่าดู ยิ่งนัก ทรงเห็นแจ่มแจ้งในสรรพธรรมเสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก ดิฉันเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งเป็นนายกของโลก ได้ออก บวชเป็นบรรพชิตในพระศาสนาของพระวีรเจ้าพระองค์นั้นอยู่หมื่นปี ประพฤติพรหมจรรย์ ประกอบความเพียร เป็นพหูสูตฉลาดในปัจจัย การคล่องแคล่วในจตุราริยสัจ มีปัญญาละเอียดแสดงธรรมไพเราะ ปฏิบัติตามสัตถุศาสน์อยู่หมื่นปี ด้วยผลแห่งพรหมจรรย์ ดิฉันจุติ จากภพนั้นแล้วเข้าถึงสวรรค์ชั้นดุสิตเป็นผู้มีศีล เสวยสมบัติในภพ นั้นและภพอื่น ดิฉันเกิดในภพใดๆ ก็เป็นผู้มีสมบัติมาก มีทรัพย์ มาก มีปัญญา รูปงาม มีบริวารชมก็ว่าง่าย ด้วยบุญกรรมและความ เพียรในศาสนาของพระพิชิตมารนั้น สมบัติทุกอย่างดิฉันหาได้ง่าย เป็นที่รักแห่งใจ ด้วยผลแห่งความปฏิบัติของดิฉัน เมื่อดิฉันเดินไป ณ ที่ใดๆ ภัสดาของดิฉันและใครๆ ย่อมไม่ดูหมิ่นดิฉัน ในภัทกัป นี้ พระพุทธเจ้าพระนามว่าโกนาคมน์ผู้เป็นพงศ์พันธุ์แห่งพราหมณ์ มียศมาก ประเสริฐกว่าพวกบัณฑิต เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ในครั้งนั้น แหละกุลธิดาที่มั่นคงดีในเมืองพาราณสี ชื่อธนัญชานี ๑ สุเมธา ๑ ดิฉัน ๑ รวม ๓ คนด้วยกัน ได้ถวายสังฆารามแก่พระมุนีหลายพัน และได้สร้างวิหารอุทิศถวายแก่พระพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระสาวก สงฆ์ เราทั้งหมดด้วยกันจุติจากภพนั้นแล้วไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ถึงความเป็นผู้เลิศด้วยยศกว่าเทพธิดาและกุลธิดาในมนุษย์ ใน ภัทกัปนี้แหละ พระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ผู้เป็นพงศ์พันธุ์ แห่งพราหมณ์ มียศมาก ประเสริฐกว่าพวกบัณฑิต เสด็จอุบัติขึ้น แล้ว ในครั้งนั้น พระเจ้ากาสีพระนามว่ากิกี ในพระนครพาราณสี อันอุดม เป็นอิสระกว่าประชาชน เป็นอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าผู้ทรง แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ดิฉันเป็นพระธิดาคนใหญ่ของท้าวเธอ มี นามปรากฏว่าสมณี ได้ฟังธรรมของพระพิชิตมารผู้เลิศแล้ว พอใจ บรรพชาแต่พระชนกนาถไม่ทรงอนุญาตแก่เราทั้งหลาย เมื่ออยู่ใน อาคารสถานในครั้งนั้น เราทั้งหลายผู้เป็นราชกัญญามิได้เกียจคร้าน ปรนพฤติพรหมจรรย์ตั้งแต่เป็นกุมารี ดำรงอยู่ในสุขสมบัติสอง หมื่นปี พระราชธิดา ๗ องค์ล้วนพอใจยินดีในการบำรุงพระพุทธเจ้า พระราชธิดา ๗ นั้น คือ นางสมณี ๑ นางสมณคุตตา ๑ นางภิกษุณี ๑ นางภิกขุทาสิกา ๑ นางธรรมา ๑ นางสุธรรมา ๑ และ นางสังฆทาสิกาเป็นที่ ๗ พระราชธิดาทั้ง ๗ นั้น ได้มาเป็นดิฉันเป็น พระอุบลวรรณาเถรี เป็นพระปฏาจาราเถรี เป็นพระกุณฑลเกสีเถรี เป็นพระกิสาโคตมีเถรีเป็นพระธรรมทินนาเถรีเป็นนางวิสาขาอุบาสิกา เป็นที่ ๗ บางครั้ง พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นผู้เป็นดังว่าดวงอาทิตย์ ของนรชน ทรงแสดงธรรมเป็นอัศจรรย์ดิฉันได้ฟังมหานิทานสูตรแล้ว เล่าเรียนอยู่ เพราะกรรมที่ได้ทำไว้ดีแล้วนั้น และเพราะการตั้งเจตน์ จำนงไว้ ดิฉันละร่างกายมนุษย์แล้ว ได้ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ในภพหลัง ครั้งนี้ ดิฉันเป็นพระธิดาที่พอพระทัยกรุณาโปรดปราน ของพระเจ้ามัททราช ในสากลนครอันอุดม พร้อมกับเมื่อดิฉันเกิด พระนครนั้นได้มีความเกษมสุข โดยคุณนิรมิตนั้น ชื่อดิฉันปรากฏว่า เขมา เมื่อใด ดิฉันเจริญวัยโตเป็นสาว มีรูปและผิวพรรณงาม เมื่อ นั้น พระราชบิดาก็โปรดปรานประทาน ดิฉันแก่พระเจ้าพิมพิสาร ดิฉันเป็นที่โปรดปรานของพระราชสวามียินดีแต่ในการบำรุงรูป ไม่ พอใจคนที่กล่าวโทษรูปเป็นอันมาก ครั้งนั้น พระเจ้าพิมพิสารโปรด ให้นักขับร้องขับเพลงพรรณนาพระมหาวิหารเวฬุวัน ด้วยพระ ประสงค์จะทรงอนุเคราะห์ดิฉัน ดิฉันสำคัญว่าพระมหาวิหารเวฬุวัน อันเป็นที่ประทับแห่งพระสุคตเจ้าเป็นที่น่ารื่นรมย์ผู้ใดยังมิได้เห็นก็ จัดว่าผู้นั้นยังไม่เห็นนันทวัน พระมหาวิหารเวฬุวันเป็นดังว่านันทวัน อันเป็นที่เพลิดเพลินของนรชน ผู้ใดได้เห็นแล้ว นับว่าผู้นั้นเห็นดี แล้ว ซึ่งนันทวัน อันเป็นที่เพลิดเพลิน ของท้าวอมรินทร์ สักก- เทวราชทวยเทพละนันทวันแล้วลงมาที่พื้นดินเห็นพระมหาวิหาร- เวฬุวันอันน่ารื่นรมย์เข้าแล้ว ก็อัศจรรย์ใจเพลินชมมิได้เบื่อ พระ- มหาวิหารเวฬุวันเกิดขึ้นเพราะบุญของพระราชา อันบุญญานุภาพ แห่งพระพุทธเจ้าประดับแล้ว ใครเล่าจะกล่าวถึงความเจริญด้วยคุณ แห่งพระมหาวิหารเวฬุวันให้จบได้ครั้งนั้นดิฉันได้ฟังความสำเร็จแห่ง พระมหาวิหารเวฬุวันอันเป็นที่ชอบโสตและชอบใจแล้วประสงค์จะ เห็นดิฉันจึงได้กราบทูลพระราชา ครั้งนั้น ท้าวมหิบดีจึงโปรดสั่งดิฉัน ผู้มุ่งจะชมพระมหาวิหารเวฬุวัน พร้อมด้วยบริวารเป็นอันมาก ด้วย พระดำรัสว่า พระนางผู้มีสมบัติมาก เชิญเสด็จไปชม พระมหาวิหาร เวฬุวัน อันเป็นที่เย็นตา เปล่งปลั่งด้วยพระรัศมีแห่งพระสุคตเจ้า งามด้วยสิริทุกสมัย ดิฉันทูลว่า เมื่อใด พระพุทธมุนีเสด็จเข้ามา ทรงบาตรในพระนครราชคฤห์อันอุดม เมื่อนั้น หม่อมฉันจะเข้าไป ชมพระมหาวิหารเวฬุวัน เวลานั้น พระมหาวิหารเวฬุวันมีสวน ดอกไม้กำลังแย้มบาน วู่ว่อนไปด้วยภมรต่างๆ ชนิด และมีเสียง นกดุเหว่าร่ำร้องดังเพลงขับ ทั้งมีเหล่านกยูงฟ้อนรำ เงียบเสียง ไม่ พลุกพล่าน ประดับไปด้วยที่จงกรมต่างๆ สะพรั่งไปด้วยกุฎีและ มณฑปที่พระโยคีชอบปรารภบำเพ็ญเพียร เมื่อดิฉันเที่ยวไปได้รู้สึก ว่านัยน์ตาของเรามีผล ครั้งนั้น ดิฉันได้เห็นภิกษุรูปหนึ่งประกอบกิจ อยู่ แล้วคิดไปว่า ภิกษุนี้ตั้งอยู่ในปฐมวัย มีรูปน่าปรารถนา ปฏิบัติ ดีอยู่ในป่าที่น่ารื่นรมย์เช่นนี้ เหมือนคนอยู่ในที่มืด ภิกษุนี้ศีรษะโล้น คลุมสังฆาฏินั่งอยู่ที่โคนไม้ ละความยินดีที่เกิดแต่อารมณ์เจริญฌาน อยู่ธรรมดาคฤหัสถ์ควรจะบริโภคกามตามความสุข แก่แล้วจึงควรจะ ประพฤติธรรมอันเจริญงามนี้ในภายหลัง ดิฉันสำคัญว่าพระคันธกุฎี ที่ประทับแห่งพระพิชิตมารว่างเปล่าจึงเข้าไป ได้เห็นพระพิชิตมาร ดังดวงอาทิตย์แรกอุทัย ประทับสำราญพระองค์เดียว มีหญิงสาว สวยพัดถวายอยู่ ครั้นแล้วดำริผิดว่าพระผู้มีพระภาคผู้องอาจกว่า นรชนพระองค์นี้มิได้เศร้าหมองหญิงสาวคนนั้น มีรัศมีเปล่งปลั่งดัง ทองคำ มีดวงตางามเช่น ดอกบัว ริมฝีปากแดงดังผลมะพลับสุก ชำเลืองแต่น้อยเป็นที่ยินดีแห่งใจและนัยน์ตา มีลำแขนเหมือน ทองคำ วงหน้าสวย ถันทั้งคู่เต่งตั่งดังดอกบัวตูม มีเอวกลมกล่อม ตะโพกผึ่งผาย ลำขาน่ายินดี มีเครื่องตกแต่งงาม เครื่องประดับ สีแดงแวววาว นุ่งผ้าเนื้อเกลี้ยงสีเขียว มีรูปสมบัติชมไม่เบื่อ ประดับด้วยสรรพาภรณ์ ดิฉันเห็นหญิงสาวนั้นเข้าแล้วคิดว่า โอ หญิงสาวคนนี้รูปงามเหลือเกิน เราไม่เคยเห็นด้วยนัยน์ตาในครั้ง ไหนๆ เลย ขณะนั้น หญิงสาวคนนั้นถูกชราย่ำยี มีผิวพรรณแปลก ไป หน้าเหี่ยว ฟันหัก ผมหงอก น้ำลายไหล หน้าไม่สะอาด ใบหู แข็งกระด้าง นัยน์ตาขาว นมยานไม่งาม ตัวตกกระทั่วไป ร่างกาย สั่นตลอดศีรษะ หลังขด มีไม้เท้าเป็นคู่เดิน ร่างกายซูบผอมลีบไป สั่นงั่นงก ล้มลงแล้วหายใจถี่ๆ ลำดับนั้น ความสังเวชอันไม่เคย เป็นทำให้ขนลุกชูชันได้มีแก่ดิฉันว่า น่าตำหนิรูปอันไม่สะอาด ที่พวกคนพาลยินดีกัน ขณะนั้น พระพุทธเจ้าผู้ทรงพระกรุณามาก มีพระทัยปีติโสมนัส ทอดพระเนตรเห็นดิฉันผู้มีใจสังเวชแล้ว ได้ ตรัสพระคาถานี้ว่า ดูกรพระนางเขมา เชิญดูร่างกายอันกระสับ กระส่าย ไม่สะอาดโสโครก ไหลเข้า ถ่ายออก ที่พวกพาลชนยินดี กันซิ ท่านจงอบรมจิตให้เป็นสมาธิมีอารมณ์เดียวด้วยอสุภารมณ์เถิด ท่าน จงมีกายคตาสติมากไปด้วยความเบื่อหน่ายเถิด รูปหญิงนี้ฉันใด รูปของท่านนั้นก็ฉันนั้น รูปของท่านฉันใด รูปหญิงนี้ก็เป็นฉันนั้น ท่านจงคลายความพอใจในกายทั้งภายในภายนอกเสียเถิด จงอบรม อนิมิตตวิโมกข์ จงละมานานุสัยเสีย ท่านจักเป็นผู้สงบประพฤติไป เพราะละมานานุสัยนั้นได้. ชนเหล่าใด กำหนัดด้วยราคะเกาะกระแสอยู่เหมือน แมงมุมเกาะใยตรงกลางที่ทำไว้เอง ชนเหล่านั้นตัด ราคะนั้นเสีย ไม่มีความอาลัย ละกามสุขไป ย่อม ละเว้นได้. ขณะนั้น พระบรมศาสดาผู้เป็นสารถีฝึกนรชน ทรงทราบดิฉันว่า มีจิตควรแล้ว จึงทรงแสดงมหานิทานสูตรเพื่อจะทรงแนะนำดิฉัน ดิฉันได้ฟังสูตรอันประเสริฐนั้นแล้ว จึงระลึกถึงสัญญาในกาลก่อน ได้ ดำรงอยู่ในสัญญานั้นแล้ว ชำระธรรมจักษุให้หมดจด ทันใดนั้น ดิฉันหมอบลงแทบพระบาทยุคลแห่งพระเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ เพื่อประสงค์จะแสดงโทษ จึงได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรง เห็นแจ้งธรรมทั้งปวง หม่อมฉันขอถวายนมัสการแด่พระองค์ ข้าแต่ พระองค์ผู้มีพระกรุณาเป็นที่อยู่ หม่อมฉันขอถวายนมัสการแด่พระ- องค์ ข้าแต่พระองค์ผู้เสด็จข้ามสงสารแล้ว หม่อมฉันขอถวายนมัส- การแด่พระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้ประทานอมตธรรม หม่อมฉันขอ ถวายนมัสการแด่พระองค์หม่อมฉันแล่นไปแล้วสู่ทิฏฐิอันรกชัฏหลง- ใหลเพราะกามราคะ พระองค์ทรงแนะนำด้วยอุบายที่ชอบเป็นผู้ยินดี แล้วในธรรมที่ทรงแนะนำ สัตว์ทั้งหลายเหินห่างจากการเห็นท่าน ผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่เช่นพระองค์ ย่อมประสบมหันตทุกข์ใน สังสารสาคร เมื่อใดหม่อมฉันยังมิได้มาเฝ้าพระองค์ผู้เป็นสรณะแห่ง สัตว์โลก ไม่เป็นศัตรูแก่สัตว์โลก เสด็จถึงที่สุดแห่งมรณะ มีธรรม เป็นประโยชน์อย่างดี หม่อมฉันขอแสดงโทษนั้น หม่อมฉันมัวยินดี ในรูป ระแวงว่าพระองค์ไม่ทรงเกื้อกูล จึงมิได้มาเฝ้าพระองค์ผู้ทรง เกื้อกูลมาก ทรงประทานธรรมอันประเสริฐ หม่อมฉันขอแสดง โทษนั้น ครั้งนั้น พระองค์ผู้ทรงพระมหากรุณา มีพระกระแสเสียง อันไพเราะ เมื่อทรงเอาน้ำอมฤตรดดิฉัน ได้ตรัสว่า ดูกรพระนาง เขมา หยุดอยู่เถิดครั้งนั้น ดิฉันประนมนมัสการด้วยเศียรเกล้า ทำประทักษิณพระองค์แล้ว กลับไปเฝ้าพระราชสวามีผู้เป็นนรบดี แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงทรมานข้าศึก น่าชมอุบาย อย่างดีนั้น ที่พระองค์ทรงดำริแล้ว พระมุนีเจ้าผู้ไม่มีกิเลสเหมือนป่า หม่อมฉันผู้ปรารถนาจะชมพระมหาวิหารเวฬุวันได้เฝ้าแล้ว ถ้า พระมหาราชจะทรงพระกรุณาโปรด หม่อมฉันผู้เบื่อหน่ายในรูปตาม ที่พระพุทธมุนีตรัสสอน จักบวชในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้คงที่ พระองค์นั้น.
จบทุติยภาณวาร.
ครั้งนั้น พระเจ้าพิมพิสารพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นั้น ทรงประ- นมกรอัญชลีตรัสว่า ดูกรพระน้องนาง พี่อนุญาตแก่พระน้อง บรรพชาจงสำเร็จแก่พระน้องเถิด ครั้งนั้น ดิฉันบวชมาแล้วได้เจ็ด เดือน เห็นประทีปสว่างขึ้นและดับไปมีใจสังเวช เบื่อหน่ายใน สรรพสังขาร ฉลาดในปัจจยาการข้ามพ้นจตุรโอฆะแล้ว ได้บรรลุ อรหัต เป็นผู้ชำนาญในฤทธิ์ในทิพโสตธาตุและเจโตปริยญาณ รู้ชัด ปุพเพนิวาสญาณชำระทิพจักษุให้บริสุทธิ์ มีอาสวะทั้งปวงหมดสิ้น แล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีก ญาณอันบริสุทธิ์ของดิฉัน ในอรรถะ ธรรมะ นิรุติและปฏิภาณ เกิดขึ้นแล้วในพระพุทธศาสนา ดิฉัน เป็นผู้ฉลาดในวิสุทธิทั้งหลาย คล่องแคล่วในกถาวัตถุ รู้จักนัยแห่ง อภิธรรม ถึงความชำนาญในศาสนา ภายหลัง พระราชสวามีผู้ฉลาด ตรัสถามปัญหาละเอียดในโตรณวัตถุ ดิฉันได้วิสัชนาโดยควรแก่กถา ครั้งนั้น พระราชาเสด็จเข้าเฝ้าพระสุคตเจ้าแล้ว ทูลสอบถามปัญหา เหล่านั้น พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์เป็นอย่างเดียวกันกับที่ดิฉัน วิสัชนาแล้ว พระพิชิตมารผู้อุดมกว่านรชน ทรงพอพระทัยใน คุณสมบัตินั้น จึงทรงตั้งดิฉันไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะว่า เป็นผู้เลิศ กว่าบรรดาภิกษุณีที่มีปัญญามาก ดิฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... พระพุทธศาสนาดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว. ทราบว่า ท่านพระเขมาภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบเขมาเถริยาปทาน.

             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ บรรทัดที่ ๔๘๘๘-๕๐๗๒ หน้าที่ ๒๑๐-๒๑๘. https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=33&A=4888&Z=5072&pagebreak=0              ฟังเนื้อความพระไตรปิฎก : [1], [2], [3], [4]              อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ :- https://84000.org/tipitaka/attha/m_siri.php?B=33&siri=169              ศึกษาอรรถกถานี้ได้ที่ :- https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=33&i=158              ศึกษาพระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลีอักษรไทย :- [158] https://84000.org/tipitaka/pali/pali_item_s.php?book=33&item=158&items=1              The Pali Tipitaka in Roman :- [158] https://84000.org/tipitaka/pali/roman_item_s.php?book=33&item=158&items=1              สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ https://84000.org/tipitaka/read/?index_33              อ่านเทียบฉบับแปลอังกฤษ Compare with English Translation :- https://suttacentral.net/thi-ap18/en/walters

อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้าอ่านหน้า[ต่าง] ถัดไปอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย

บันทึก ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ บันทึกล่าสุด ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับหลวง. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :