ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ
     ฉบับหลวง   ฉบับมหาจุฬาฯ   บาลีอักษรไทย   PaliRoman 
อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้าอ่านหน้า[ต่าง] ถัดไปอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๔๒ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๙ มหาปัฏฐานปกรณ์ ภาค ๓
พระอภิธรรมปิฎก
เล่ม ๙
มหาปัฏฐานปกรณ์ ภาค ๓
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เหตุทุกะ
ปฏิจจวาร
[๑] เหตุธรรม อาศัยเหตุธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ อโทสะ อโมหะ อาศัยอโลภะ อโลภะ อโมหะ อาศัยอโทสะ อโลภะ อโทสะ อาศัยอโมหะ โมหะ อาศัยโลภะ โลภะ อาศัยโทสะ โทสะ อาศัยโมหะ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ นเหตุธรรม อาศัยเหตุธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยเหตุธรรม ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ เหตุธรรม และนเหตุธรรม อาศัยเหตุธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ อโทสะ อโมหะ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยอโลภะ
พึงผูกจักรนัย
โมหะ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยโลภะ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ นเหตุธรรม อาศัยนเหตุธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเหตุธรรม ฯลฯ ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัย หทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ เหตุธรรม อาศัยนเหตุธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ เหตุธรรมทั้งหลาย อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นนเหตุธรรม ในปฏิสนธิขณะ เหตุธรรมทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ เหตุธรรม และนเหตุธรรม อาศัยนเหตุธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และเหตุธรรม และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุธรรม ฯลฯ ขันธ์ ๒ และเหตุธรรม และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ เหตุธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ เหตุธรรม อาศัยเหตุธรรม และนเหตุธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ อโทสะ อโมหะ อาศัยอโลภะ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย
พึงผูกจักรนัย
โมหะ อาศัยโลภะ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โมหะ อาศัยโทสะ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ อโทสะ อโมหะ อาศัยอโลภะ และหทัยวัตถุ ฯลฯ นเหตุธรรม อาศัยเหตุธรรม และนเหตุธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุธรรม และเหตุธรรม ฯลฯ ขันธ์ ๒ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๒ และเหตุธรรม ในปฏิสนธิขณะ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ และเหตุธรรม เหตุธรรม และนเหตุธรรม อาศัยเหตุธรรม และนเหตุธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อโทสะ อโมหะ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็น เหตุธรรม และอโลภะ ฯลฯ ขันธ์ ๒ อโทสะ อโมหะ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๒ และอโลภะ
พึงผูกจักรนัย
ขันธ์ ๓ และโมหะ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุธรรม และโลภะ ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ อโทสะ อโมหะ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัย หทัยวัตถุ และอโลภะ ฯลฯ [๒] เหตุธรรม อาศัยเหตุธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย ทิ้งรูปภูมิเสีย พึงกระทำหัวข้อปัจจัย ๙ ในอรูปภูมิเท่านั้น เพราะอธิปติปัจจัย ปฏิสนธิไม่มี พึงกระทำให้บริบูรณ์ อาศัยมหาภูต- *รูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูปที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย นี้เป็น ข้อที่ต่างกัน เพราะอนันตรปัจจัย เพราะสมนันตรปัจจัย เพราะสหชาตปัจจัย มีมหาภูตรูปทั้งหมดตลอดถึงอสัญญสัตว์ เพราะอัญญมัญญปัจจัย เพราะนิสสยปัจจัย เพราะอุปนิสสยปัจจัย เพราะปุเรชาตปัจจัย เพราะอาเสวนปัจจัย ปฏิสนธิไม่มี แม้ในภูมิทั้งสอง เพราะกัมมปัจจัย เพราะวิปากปัจจัย ฯลฯ เพราะอวิคตปัจจัย [๓] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัฏฐาน จบ
[๔] นเหตุธรรม อาศัยนเหตุธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ เหตุธรรม อาศัยนเหตุธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๕] นเหตุธรรม อาศัยเหตุธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยเหตุธรรม ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ นเหตุธรรม อาศัยนเหตุธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุธรรม ในปฏิสนธิขณะ มหาภูตรูปทั้งหมด นเหตุธรรม อาศัยเหตุธรรม และนเหตุธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยเหตุธรรม และขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุ- *ธรรม ในปฏิสนธิขณะ ฯ ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย พึงกระทำให้บริบูรณ์ ไม่ใช่เพราะอนันตรปัจจัย ไม่ใช่เพราะสมนันตรปัจจัย ไม่ใช่เพราะอัญญมัญญปัจจัย ไม่ใช่เพราะอุปนิสสย- *ปัจจัย [๖] เหตุธรรม อาศัยเหตุธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ อโทสะ อโมหะ อาศัยอโลภะ
พึงผูกจักรนัย
โมหะ อาศัยโลภะ โลภะ อาศัยโมหะ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ นเหตุธรรม อาศัยเหตุธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยเหตุธรรม จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยเหตุธรรม ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ เหตุธรรม และนเหตุธรรม อาศัยเหตุธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ ปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ อโทสะ อโมหะ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยอโลภะ
พึงผูกจักรนัย
โมหะ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยโลภะ
พึงผูกจักรนัย
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ นเหตุธรรม อาศัยนเหตุธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุธรรม ฯลฯ ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเหตุธรรม ใน ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ เหตุธรรม อาศัยนเหตุธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ เหตุธรรมทั้งหลาย อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุธรรม ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ เหตุธรรม และนเหตุธรรม อาศัยนเหตุธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ ปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ และนเหตุธรรมทั้งหลาย อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็น นเหตุธรรม ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ เหตุธรรม อาศัยเหตุธรรม และนเหตุธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ ปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ อโทสะ อโมหะ อาศัยอโลภะ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย
พึงผูกจักรนัย
ในอรูปภูมิ โมหะ อาศัยโลภะ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย
พึงผูกจักรนัย
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ นเหตุธรรม อาศัยเหตุธรรม และนเหตุธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ ปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุธรรมและเหตุธรรม ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุธรรม และ นเหตุธรรม ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ เหตุธรรม และนเหตุธรรม อาศัยเหตุธรรมและนเหตุธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ และอโทสะ อโมหะ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็น นเหตุธรรม และอโลภะ ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ
พึงผูกจักรนัย
ขันธ์ ๓ และโมหะ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุธรรม และโลภะ
พึงผูกจักรนัย
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๗] เหตุธรรม อาศัยเหตุธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปัจฉาชาตปัจจัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย [๘] นเหตุธรรม อาศัยเหตุธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ สัมปยุตตเจตนา อาศัยเหตุธรรม นเหตุธรรม อาศัยนเหตุธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ สัมปยุตตเจตนา อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุธรรม พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ นเหตุธรรม อาศัยเหตุธรรม และนเหตุธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ กัมมปัจจัย คือ สัมปยุตตเจตนา อาศัยเหตุธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย [๙] เหตุธรรม อาศัยเหตุธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะวิปากปัจจัย มี ๙ นัย [๑๐] นเหตุธรรม อาศัยนเหตุธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอาหารปัจจัย คือ พาหิรรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๑] ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอินทริยปัจจัย คือ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป มหา- *ภูตรูป ๑ ฯลฯ อุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ส่วนพวกอสัญญสัตว์ รูปชีวิตินทรีย์ อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๒] ฯลฯ ไม่ใช่เพราะฌานปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยปัญจวิญญาณ ฯลฯ พาหิรรูป ฯลฯ อาหาร- *สมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ [๑๓] ฯลฯ ไม่ใช่เพราะมัคคปัจจัย คือ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกธรรม ฯลฯ ในอเหตุก- *ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ ฯลฯ ไม่ใช่เพราะสัมปยุตตปัจจัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย เหมือนที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย พึงกระทำหัวข้อปัจจัย ในอรูปภูมิเท่านั้น ฯลฯ ไม่ใช่เพราะนัตถิปัจจัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิคตปัจจัย [๑๔] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัตถิปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓
ปัจจนียะ จบ
[๑๕] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๑๖] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๒ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ฯลฯ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในอินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ฯลฯ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒
ปัจจนียานุโลม จบ
แม้สหชาตวาร ก็เหมือนกับปฏิจจวาร ปัจจยวารก็ดี นิสสยวารก็ดี เหมือนกับปฏิจจวาร หัวข้อปัจจัย เมื่อมหา- *ภูตรูปทั้งหลายจบแล้ว พึงกระทำว่า "อาศัยหทัยวัตถุ" อายตนะ ๕ ย่อมได้ ในอนุโลมก็ดี ในปัจจนียะก็ดี ฉันใด พึงกระทำฉันนั้น สังสัฏฐวารก็ดี สัมปยุตต- *วารก็ดี พึงทำให้บริบูรณ์ รูปภูมิไม่มี มีแต่อรูปภูมิเท่านั้น
ปัญหาวาร
[๑๗] เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ อโลภะ เป็นปัจจัยแก่อโทสะ แก่อโมหะ โดยเหตุปัจจัย
พึงผูกจักรนัย
โลภะ เป็นปัจจัยแก่โมหะ โดยเหตุปัจจัย โทสะ เป็นปัจจัยแก่โมหะ โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม และนเหตุธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ อโลภะ เป็นปัจจัยแก่อโทสะอโมหะ และสัมปยุตตขันธ์และจิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย
พึงผูกจักรนัย
โลภะ เป็นปัจจัยแก่โมหะ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๘] เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เหตุธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้น เพราะปรารภเหตุธรรม เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุธรรม เกิดขึ้น เพราะปรารภเหตุธรรม เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม และนเหตุธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เหตุธรรมทั้งหลาย และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น เพราะ ปรารภเหตุธรรม นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน ๑- สมาทานศีล ทำอุโบสถกรรมแล้ว พิจารณาซึ่งกุศล- *กรรมนั้น บุคคลพิจารณากุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน บุคคลออกจากฌานแล้ว พิจารณาฌาน พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรคแล้ว พิจารณามรรค ฯลฯ ผล ฯลฯ นิพพาน ฯลฯ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย ๒- พระอริยะทั้งหลาย พิจารณากิเลสทั้งหลายที่ละแล้ว ที่เป็นเหตุธรรม กิเลสที่ข่มแล้ว ฯลฯ รู้ซึ่งกิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็น @๑. หมายความว่า บาลีตอนที่ ๑ ๒. หมายความว่า บาลีตอนที่ ๒ นเหตุธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่เป็นเหตุธรรม โดยเจโต- *ปริยญาณ อากาสานัญจายตนะกิริยา เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะกิริยา อากิญ- *จัญญายตนกิริยา เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนกิริยา รูปายตนะเป็น ปัจจัย แก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยอารัมมณ- *ปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโตปริย- *ญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมูปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่ อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม โดยอารัมมณปัจจัย พึงยกเอาเฉพาะข้อความในบาลีตอนที่ ๑ ว่า "บุคคลให้ทาน" เท่านั้น มาใส่ในที่นี้ แต่ให้ตัดอาวัชชนะออกเสีย และข้อที่ว่า "รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ" นี้ ก็ให้ตัดออก นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม และนเหตุธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือบุคคลให้ทาน ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ แล้วพิจารณาซึ่งกุศล- *กรรมนั้น เพราะปรารภกุศลกรรมนั้น เหตุธรรมทั้งหลายและสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น พึงยกเอาข้อความที่ตั้งอยู่ในบาลีนั้นมาใส่ที่นี้ ให้เหมือนกับข้อความใน บาลีตอนที่ ๒ เหตุธรรมและนเหตุธรรมเป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เหตุธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้น เพราะปรารภเหตุธรรมและสัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย เหตุธรรมและนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเหตุธรรม เกิดขึ้น เพราะปรารภเหตุธรรมและ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เหตุธรรมและนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม และนเหตุธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ เหตุธรรมทั้งหลาย และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น เพราะ ปรารภเหตุธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย [๑๙] เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่เพราะกระทำเหตุธรรมให้หนักแน่น เหตุธรรม ทั้งหลาย เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่อธิปติธรรมที่เป็นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตเหตุทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่เพราะกระทำเหตุธรรมให้เป็นอารมณ์อย่าง หนักแน่น ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุธรรม เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่อธิปติธรรมที่เป็นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม และนเหตุธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่เพราะกระทำเหตุธรรมให้เป็นอารมณ์อย่าง หนักแน่น เหตุธรรมทั้งหลาย และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ และเหตุธรรม และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ พึงยกเอาข้อความตามบาลีที่ว่า "บุคคลให้ทานแล้ว" มาใส่ให้พิสดาร จนถึงคำว่าขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุธรรม ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นนเหตุธรรม เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน ฯลฯ พึงยกเอาข้อความ ตามบาลีข้างต้นมาใส่ จนถึงหทยวัตถุ และขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุธรรม ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นนเหตุธรรม เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตเหตุทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม และนเหตุธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ กระทำกุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้วพิจารณา เพราะ กระทำกุศลธรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุธรรม และเหตุธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้น พึงยกเอาข้อความตามบาลีที่ว่า บุคคลพิจารณากุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่ง สมไว้แล้วในกาลก่อน จนถึงหทยวัตถุ และขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุธรรม มาใส่ ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และเหตุธรรมทั้งหลาย และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย เหตุธรรม และนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะกระทำเหตุธรรม และ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เหตุธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้น เหตุธรรม และนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะกระทำเหตุธรรม และ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุ- *ธรรม เกิดขึ้น เหตุธรรม และนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม และนเหตุธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะกระทำเหตุธรรม และ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เหตุธรรมทั้งหลาย และ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น [๒๐] เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ เหตุธรรมทั้งหลายที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรมทั้งหลาย ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ เหตุธรรมทั้งหลายที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น นเหตุธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม และนเหตุธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ เหตุธรรมทั้งหลาย ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรมทั้งหลาย ที่เกิดหลังๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอนันตรปัจจัย นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นนเหตุธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู ฯลฯ เนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็น ปัจจัยแก่ผลสมาบัติ โดยอนันตรปัจจัย นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม โดยอนันตรปัจจัย นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม และนเหตุธรรม โดยอนันตรปัจจัย นเหตุมูลกนัย เป็นอย่างเดียวกันทั้ง ๓ เหตุธรรม และนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ เหตุธรรมทั้งหลาย ที่เกิดก่อนๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรมทั้งหลาย ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย เหตุธรรม และนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ เหตุธรรมทั้งหลาย ที่เกิดก่อนๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย เหตุธรรม และนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม และนเหตุธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ เหตุธรรมทั้งหลาย ที่เกิดก่อนๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรมทั้งหลาย ที่เกิดหลังๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดย อนันตรปัจจัย [๒๑] เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม โดยสมนันตรปัจจัยเหมือน กับอนันตรปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอัญญมัญญปัจจัย ทั้ง ๒ ปัจจัยนี้เหมือนกับ ปัจจยวาร ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยนิสสยปัจจัย เหมือนกับนิสสยปัจจัย ใน ปัจจยวาร [๒๒] เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสย อนันตรรูปนิสสย ปกตูปนิสสย ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ เหตุธรรมทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่ เหตุธรรมทั้งหลาย โดยอุปนิสสยปัจจัย เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ เหตุธรรมทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม และนเหตุธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ เหตุธรรมทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่ เหตุธรรมทั้งหลาย และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอุปนิสสยปัจจัย นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้ว ให้ ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ก่อมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีล ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ แก่ความ ปรารถนา แก่มรรค แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ แก่ความ ปรารถนา แก่มรรค แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ เหมือนกับอุปนิสสยปัจจัย ตอนที่ ๒ เหตุธรรม และนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ เหตุธรรมทั้งหลาย และสัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรมทั้งหลาย โดยอุปนิสสยปัจจัย เหตุธรรม และนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ เหตุธรรมทั้งหลาย และสัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย เหตุธรรม และนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม และนเหตุธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ เหตุธรรมทั้งหลาย และสัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรมทั้งหลาย และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดย อุปนิสสยปัจจัย [๒๓] นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นหทัย- *วัตถุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัย แก่กายวิญญาณ โดยปุเรชาตปัจจัย ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โดยปุเรชาตปัจจัย ฯลฯ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยปุเรชาต- *ปัจจัย หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นนเหตุธรรม โดยปุเรชาต- *ปัจจัย นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความเป็น ของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรมทั้งหลาย โดยปุเรชาตปัจจัย นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม และนเหตุธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความเป็น ของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส ฯลฯ ทิพพจักขุ ฯลฯ ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรมทั้งหลาย และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยปุเรชาตปัจจัย [๒๔] เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ เหตุธรรมทั้งหลาย ที่เกิดหลังๆ เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุธรรม ที่เกิดหลังๆ เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย เหตุธรรม และนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุธรรม โดยปัจฉาชาต- *ปัจจัย คือ เหตุธรรมทั้งหลาย ที่เกิดหลังๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็น ปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๒๕] เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม โดยอาเสวนปัจจัย เหมือน กับอนันตรปัจจัย [๒๖] นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่วิบาก- *ขันธ์ และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *เหตุทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่วิบาก- *เหตุทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม และนเหตุธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลาย และเหตุธรรมทั้งหลาย และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมม- *ปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่วิบาก- *ขันธ์ทั้งหลาย และเหตุธรรมทั้งหลาย และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๒๗] เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม โดยวิปากปัจจัย คือ อโลภะ ที่เป็นวิบาก เป็นปัจจัยแก่อโทสะ แก่อโมหะ โดย วิปากปัจจัย พึงกระทำหัวข้อปัจจัย ๙ ในวิปากวิภังค์ เหมือนกับปฏิจจวาร [๒๘] นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุธรรม โดยอาหารปัจจัย คือ อาหารทั้งหลายที่เป็นนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอาหารปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดยอาหารปัจจัย นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม โดยอาหารปัจจัย คือ อาหารทั้งหลายที่เป็นนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตเหตุ ทั้งหลาย โดยอาหารปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม และนเหตุธรรม โดยอาหารปัจจัย คือ อาหารทั้งหลายที่เป็นนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย แก่เหตุธรรมทั้งหลาย และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอาหารปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๒๙] เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม โดยอินทริยปัจจัย ในเหตุ- *มูลกนัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุธรรม โดยอินทริยปัจจัย คือ อินทรีย์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอินทริยปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดย อินทริยปัจจัย อินทริยปัจจัย พึงให้พิสดารอย่างนี้ และมีหัวข้อปัจจัย ๙ [๓๐] นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุธรรม โดยฌานปัจจัยมี ๓ นัย [๓๑] เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม โดยมัคคปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสัมปยุตตปัจจัย ใน ๒ ปัจจัยนี้ มีหัวข้อปัจจัย ๙ [๓๒] เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เหตุธรรมทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐาน- *รูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เหตุธรรมทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย เหตุธรรมทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยวิปปยุตต- *ปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่เหตุธรรมทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูป ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ หทัยวัตถุเป็น ปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่ กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุธรรม โดยวิปปยุตต- *ปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรมทั้งหลาย โดย วิปปยุตตปัจจัย นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรมและนเหตุธรรม โดยวิปปยุตต- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม ทั้งหลาย และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรมทั้งหลาย และ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย เหตุธรรมและนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เหตุธรรมทั้งหลาย และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เหตุธรรมทั้งหลาย และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ เหตุธรรมทั้งหลาย และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย [๓๓] เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม โดยอัตถิปัจจัย คือ อโลภะ เป็นปัจจัยแก่อโทสะ แก่อโมหะ โดยอัตถิปัจจัย
พึงผูกจักรนัย
โลภะ เป็นปัจจัยแก่โมหะ โดยอัตถิปัจจัย
พึงผูกจักรนัย
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เหตุธรรมทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ เหตุธรรมทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิด ก่อน โดยอัตถิปัจจัย เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม และนเหตุธรรม โดยอัตถิปัจจัย คือ อโลภะ เป็นปัจจัยแก่อโทสะ แก่อโมหะ แก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย
พึงผูกจักรนัย
โลภะ เป็นปัจจัยแก่โมหะ แก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย
พึงผูกจักรนัย
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูปทั้งหลาย
พึงผูกจักรนัย
ขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยอัตถิปัจจัย หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพ- *จักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยอัตถิปัจจัย หทัยวัตถุ เป็น ปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุธรรม โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดย อัตถิปัจจัย รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตเหตุทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ หทยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ เหตุธรรมทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรมทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรมและนเหตุธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ ๓ แก่เหตุธรรมทั้งหลาย และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรมทั้งหลาย และสัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรมทั้งหลาย และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย เหตุธรรม และนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ อโลภะ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัย แก่อโทสะ แก่อโมหะ โดยอัตถิปัจจัย
พึงผูกจักรนัย
โลภะ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่โมหะ โดยอัตถิปัจจัย
พึงผูกจักรนัย
ปฏิสนธิขณะ อโลภะ และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่อโทสะ อโมหะ โดยอัตถิปัจจัย
พึงผูกจักรนัย
เหตุธรรมและนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๔ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุธรรม และเหตุธรรม เป็นปัจจัย แก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ เหตุธรรมและหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นเหตุธรรม โดยอัตถิปัจจัย เหตุธรรมทั้งหลาย และมหาภูตรูปทั้งหลาย ที่เกิดร่วมกัน เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ เหตุธรรมทั้งหลาย และกวฬิงการาหาร เป็น ปัจจัยแก่กายนี้ โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ เหตุธรรมทั้งหลาย และรูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัย แก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย เหตุธรรม และนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุธรรม และอโลภะ เป็น ปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ แก่อโทสะ แก่อโมหะ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย อัตถิปัจจัย
พึงผูกจักรนัย
ขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุธรรม และอโลภะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ แก่โมหะ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย
พึงผูกจักรนัย
ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุธรรม และอโลภะ ฯลฯ
พึงผูกจักรนัย
ในปฏิสนธิขณะ อโลภะ และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่อโมหะและ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย โลภะ และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ โมหะ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยนัตถิปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยวิคตปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอวิคตปัจจัย [๓๔] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๙ ในนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในปัจฉาชาตปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในกัมมปัจจัย มี " ๓ ในวิปากปัจจัย มี " ๓ ในอาหารปัจจัย มี " ๓ ในอินทริยปัจจัย มี " ๙ ในฌานปัจจัย มี " ๓ ในมัคคปัจจัย มี " ๙ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในอัตถิปัจจัย มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย มี " ๙ ในวิคตปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙
ผู้มีปัญญาพึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๓๕] เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม โดยอารัมมณปัจจัย โดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย เป็น ปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม และนเหตุธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย นเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย เป็น ปัจจัยโดยกัมมปัจจัย นเหตุธรรม ปัจจัยแก่เหตุธรรม และนเหตุธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาต- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย เหตุธรรม และนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เหตุธรรม และนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปัจฉาชาตปัจจัย เหตุธรรม และนเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม และนเหตุธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย [๓๖] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๙ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๙
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๓๗] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๓๘] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในวิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
เหตุทุกะ จบ
สเหตุกทุกะ
ปฏิจจวาร
[๓๙] สเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ อาศัยขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม ใน ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อเหตุกธรรม อาศัยอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย สเหตุกธรรม อาศัยอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่ สหรคตด้วยอุทธัจจะ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นสเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม อาศัยอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยโมหะ ที่ สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ กฏัตตารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย สเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม และ หทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ อเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม และ มหาภูตรูปทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม และ หทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม และ มหาภูตรูปทั้งหลาย [๔๐] สเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ใน ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และโมหะ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่ สหรคตด้วยอุทธัจจะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ อเหตุกธรรม อาศัยอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ใน ปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ สเหตุกธรรม อาศัยอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่ สหรคตด้วยอุทธัจจะ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม อาศัย หทัยวัตถุ สเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม และ หทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๔๑] สเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ อเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะ อธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ อเหตุกธรรม อาศัยอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย คือ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัย มหาภูตรูปทั้งหลาย อเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะ อธิปติปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม และ มหาภูตรูปทั้งหลาย [๔๒] สเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอนันตรปัจจัย ฯลฯ เพราะสมนันตรปัจจัย [๔๓] ฯลฯ เพราะสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อเหตุกธรรม อาศัยอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะสหชาตปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะ สหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุก- *ธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ และโมหะ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัย ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ขันธ์ ๒ ใน ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อเหตุกธรรม อาศัยอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัย หทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ สเหตุกธรรม อาศัยอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะสหชาตปัจจัย ปัจจัยเหล่านี้ พึงกระทำเป็นหัวข้อปัจจัย ๕ เหมือนกับเหตุปัจจัย ไม่มีแตกต่างกัน [๔๔] สเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอัญญมัญญ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอัญญมัญญปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะ อัญญมัญญปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และโมหะ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่ สหรคตด้วยอุทธัจจะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และหทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็น สเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ อเหตุกธรรม อาศัยอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอัญญมัญญปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และหทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุก- *ธรรม อาศัยขันธ์ ๒ ฯลฯ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ สเหตุกธรรม อาศัยอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอัญญมัญญปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่ สหรคตด้วยอุทธัจจะ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ สเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะ อัญญมัญญปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม และ หทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๔๕] สเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะนิสสยปัจจัย ฯลฯ เพราะอุปนิสสยปัจจัย ฯลฯ เพราะปุเรชาตปัจจัย ฯลฯ เพราะอาเสวนปัจจัย ฯลฯ เพราะกัมมปัจจัย ฯลฯ เพราะวิปากปัจจัย ฯลฯ เพราะอาหารปัจจัย ฯลฯ เพราะอินทริยปัจจัย ฯลฯ เพราะฌานปัจจัย ฯลฯ เพราะมัคคปัจจัย ฌานปัจจัยก็ดี มัคคปัจจัยก็ดี เหมือนกับสหชาตปัจจัย พาหิรรูป มหา- *ภูตรูป ไม่มี ฯลฯ เพราะสัมปยุตตปัจจัย ฯลฯ เพราะวิปปยุตตปัจจัย ฯลฯ เพราะอัตถิปัจจัย ฯลฯ เพราะนัตถิปัจจัย ฯลฯ เพราะวิคตปัจจัย ฯลฯ เพราะอวิคตปัจจัย [๔๖] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๖ ในอธิปติปัจจัย มี " ๕ ในอนันตรปัจจัย มี " ๖ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๖ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๖ ในนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๖ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๖ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๖ ในกัมมปัจจัย มี " ๙ ในวิปากปัจจัย มี " ๙ ในอาหารปัจจัย มี " ๙ ในอินทริยปัจจัย มี " ๙ ในฌานปัจจัย มี " ๙ ในมัคคปัจจัย มี " ๙ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๖ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในอัตถิปัจจัย มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย มี " ๖ ในวิคตปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๖ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๔๗] อเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ เหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อเหตุกธรรม อาศัยอเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ พึงกระทำทั้งหมด ตลอดถึงอสัญญสัตว์ [๔๘] อเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณ- *ปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม ในปฏิสนธิ- *ขณะ ฯลฯ อเหตุกธรรม อาศัยอเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเหตุกธรรม จิตต- *สมุฏฐานรูป อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ อเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม และมหา- *ภูตรูปทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่ สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ [๔๙] สเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย เหมือนกับสหชาตปัจจัย ในอนุโลม ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอนันตรปัจจัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะสมนันตรปัจจัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอัญญมัญญปัจจัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอุปนิสสยปัจจัย [๕๐] สเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาต- *ปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม ในปฏิสนธิ- *ขณะ ที่เป็นสเหตุกธรรม ฯลฯ อเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุธรรม ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม อาศัยอเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ ปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ และโมหะ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกธรรม ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเหตุกธรรม จิตตสมุฏฐานรูป อาศัย โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ พึงให้พิสดาร ตลอดถึงอสัญญสัตว์ สเหตุกธรรม อาศัยอเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม อาศัยอเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ กฏัตตารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย สเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม และหทัย- *วัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ อเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ ปุเรชาตปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม และมหา- *ภูตรูปทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม และหทัย- *วัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม และ มหาภูตรูปทั้งหลาย [๕๑] สเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ ปัจฉาชาตปัจจัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย [๕๒] ฯลฯ ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นสเหตุกธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นสเหตุกธรรม อเหตุกธรรม อาศัยอเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นอเหตุกธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเหตุกธรรม พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ สเหตุกธรรม อาศัยอเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ สัมปยุตตเจตนา อาศัยโมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ สเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะกัมมปัจจัย คือ สัมปยุตตเจตนา อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่ สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ [๕๓] ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิปากปัจจัย ปฏิสนธิ ไม่มี [๕๔] อเหตุกธรรม อาศัยอเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอาหารปัจจัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอินทริยปัจจัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะฌานปัจจัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะมัคคปัจจัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะสัมปยุตตปัจจัย [๕๕] สเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะวิปปยุตต- *ปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม ฯลฯ อเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ และโมหะ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ อเหตุกธรรม อาศัยอเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ สเหตุกธรรม อาศัยอเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ สเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะวิปปยุตตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ฯลฯ ไม่ใช่เพราะนัตถิปัจจัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิคตปัจจัย [๕๖] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓ พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๕๗] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๕๘] ในอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๒ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในปัจจัยทั้งปวง กับ ฯลฯ มี " ๒ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๒ ในอินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ พึงนับอย่างนี้ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒
ปัจจัยนียานุโลม จบ
สหชาตวาร เหมือนกับ ปฏิจจวาร
ปัจจยวาร
[๕๙] สเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย สเหตุกมูลกะนัยเหมือนกับปฏิจจวาร อเหตุกธรรม อาศัยอเหตุกธรรม ฯลฯ เหมือนกับปฏิจจวารนั่นเอง สเหตุกธรรม อาศัยอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม อาศัยอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายและจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ ฯลฯ สเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม และ อเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม และ หทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และ โมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อเหตุกธรรม อาศัย สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเหตุกธรรม และ มหาภูตรูปทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และ โมหะ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สเหตุกธรรม และ อเหตุกธรรม อาศัย สเหตุกธรรม และ อเหตุธรรม เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัย ขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม และ หทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม และ มหาภูตรูปทั้งหลาย ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัย ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัย ขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม และหทัย- *วัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ กฏัตตารูป อาศัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม และ มหาภูตรูปทั้งหลาย [๖๐] สเหตุกธรรม อาศัย สเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัย ขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อเหตุกธรรม อาศัย สเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัย ขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ สเหตุกธรรม และ อเหตุกธรรม อาศัย สเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และโมหะ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่ สหรคตด้วยอุทธัจจะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ อเหตุกธรรม อาศัย อเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกธรรม ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย อาศัย หทัยวัตถุ จักขุวิญญาณ อาศัย จักขายตนะ กายวิญญาณ อาศัยกายายตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเหตุกธรรม อาศัย หทัยวัตถุ สเหตุกธรรม อาศัย อเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม อาศัย หทัยวัตถุ สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ใน ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สเหตุกธรรม และ อเหตุกธรรม อาศัย อเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และ โมหะ อาศัยหทัยวัตถุ สเหตุกธรรม อาศัย สเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๓ อาศัย ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และ โมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อเหตุกธรรม อาศัย สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัย ขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และ หทัยวัตถุ สเหตุกธรรม และ อเหตุกธรรม อาศัย สเหตุกธรรม และ อเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และ โมหะ อาศัย ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่ สหรคตด้วยอุทธัจจะ และ โมหะ อาศัย ขันธ์ ๒ [๖๑] สเหตุกธรรม อาศัย สเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย ในอธิปติปัจจัย พึงกระทำหัวข้อปัจจัย ๙ เฉพาะในปวัตติกาลเท่านั้น [๖๒] สเหตุกธรรม อาศัย สเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอนันตรปัจจัย ฯลฯ เพราะสมนันตรปัจจัย [๖๓] ฯลฯ เพราะสหชาตปัจจัย มี ๓ นัย เหมือนกับ ปฏิจจวาร อเหตุกธรรม อาศัย อเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัย ขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ จักขุวิญญาณ อาศัย จักขายตนะ กายวิญญาณ อาศัย กายายตนะ ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอเหตุกธรรม อาศัย หทัยวัตถุ สเหตุกธรรม อาศัย อเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม อาศัย หทัยวัตถุ สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย อาศัย โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ใน ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สเหตุกธรรม และ อเหตุกธรรม อาศัย อเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะ สหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม อาศัย หทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัย มหาภูตรูปทั้งหลาย สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัย โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ ฯลฯ สเหตุกธรรม อาศัย สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะ สหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัย ขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ อาศัย ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และ โมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อเหตุกธรรม อาศัย สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะ สหชาตปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม และ มหาภูตรูปทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัย ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ อาศัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และหทัยวัตถุ สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม และ มหาภูตรูปทั้งหลาย ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นสเหตุกธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม และมหาภูตรูป ทั้งหลาย ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ และโมหะ อาศัย ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม และ หทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๖๔] สเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอัญญมัญญ- *ปัจจัย ฯลฯ ฯลฯ เพราะอวิคตปัจจัย [๖๕] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๖๖] อเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ เหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อเหตุกธรรม อาศัยอเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกธรรม ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ จักขุวิญญาณ อาศัย จักขายตนะ กายวิญญาณ อาศัยกายายตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเหตุกธรรม และโมหะ อาศัยหทยวัตถุ อเหตุกธรรม อาศัยสเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และหทยวัตถุ
ฯลฯ
[๖๗] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓ พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๖๘] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียา จบ
[๖๙] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ฯลฯ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
นิสสยวาร เหมือนกับ ปัจจยวาร
สังสัฏฐวาร
[๗๐] สเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับสเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ คลุกเคล้ากับโมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ สหรคตธรรม คลุกเคล้ากับสเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๗๑] สเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับสเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับสเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ คลุกเคล้ากับ ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับสเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และโมหะ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ อเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ คลุกเคล้ากับโมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ สเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับสเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๗๒] สเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับสเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะ อธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๗๓] สเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับสเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะ อนันตรปัจจัย ฯลฯ เพราะสมนันตรปัจจัย ฯลฯ เพราะสหชาตปัจจัย ฯลฯ [๗๔] ฯลฯ เพราะวิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม ซึ่งเป็นวิบาก ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะวิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกธรรม ซึ่งเป็นวิปาก ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ฯลฯ เพราะฌานปัจจัย ฯลฯ ฯลฯ เพราะอวิคตปัจจัย [๗๕] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๖ ในอธิปติปัจจัย มี " ๑ ในอนันตรปัจจัย มี " ๖ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๖ ในสหชาตปัจจัย มี " ๖ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๖ ในนิสสยปัจจัย มี " ๖ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๖ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๖ ฯลฯ ในวิปากปัจจัย มี " ๒ ในอาหารปัจจัย มี " ๖ ในอินทริยปัจจัย มี " ๖ ในฌานปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๖ ในมัคคปัจจัย มี " ๕ ในอวิคตปัจจัย มี " ๖ พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๗๖] อเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับสเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ เหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ คลุกเคล้า กับขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับอเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
ฯลฯ
[๗๗] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๖ พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๗๘] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๗๙] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๒ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ฯลฯ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
สัมปยุตตวาร เหมือนกับ สังสัฏฐวาร
ปัญหาวาร
[๘๐] สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อเหตุกธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ สเหตุกธรรม และ อเหตุกธรรม โดย เหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อเหตุกธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ เป็นปัจจัย แก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย อเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย อเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ สเหตุกธรรม และ อเหตุกธรรม โดย เหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย [๘๑] สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ พิจารณากุศล- *กรรมนั้น บุคคลพิจารณากุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ออกจากฌานแล้ว พิจารณาฌาน พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค พิจารณามรรค พิจารณาผล กิเลสที่ละแล้ว ฯลฯ กิเลสที่ข่มแล้ว ฯลฯ กิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้น แล้วในกาลก่อน ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น เมื่อกุศลและอกุศลดับไปแล้ว ตทารัมมณจิตที่เป็นวิบาก ที่เป็น สเหตุกธรรม เกิดขึ้น บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่เป็นสเหตุกธรรม โดย เจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่ เจโตปริยญาณ แก่บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมูปคญาณ โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น สเหตุกธรรม เกิดขึ้น สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น เมื่อกุศลและอกุศลดับไปแล้ว ตทารัมมณจิตที่เป็นวิบาก ที่เป็นอเหตุก- *ธรรม เกิดขึ้น เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อเหตุกธรรม และ โมหะ เกิดขึ้น สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม และ อเหตุกธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่ สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และ โมหะ เกิดขึ้น อเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย จักขุ ฯลฯ หทยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเหตุกธรรม และ โมหะ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น เมื่อกุศลและอกุศลดับไปแล้ว ตทารัมมณจิตที่เป็นวิบาก ที่เป็น อเหตุกธรรม เกิดขึ้น รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่ กายวิญญาณ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเหตุกธรรม และ โมหะ ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอเหตุกธรรม และ โมหะ เกิดขึ้น อเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ พระอริยะทั้งหลาย พิจารณานิพพาน นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล โดย อารัมมณปัจจัย พระอริยะทั้งหลายพิจารณากิเลสที่ละแล้ว ที่เป็นอเหตุกธรรม กิเลส ทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเหตุกธรรม และ โมหะ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น เมื่อกุศลและอกุศลดับไปแล้ว ตทารัมมณจิตที่เป็นวิบาก ที่เป็น สเหตุกธรรม เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูป ด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียง ด้วยทิพพโสตธาตุ บุคคลผู้จิตของบุคคลรู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่เป็นอเหตุกธรรม โดย เจโตปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโต- *ปริยญาณ แก่บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมูปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ โดยอารัมมณปัจจัย เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเหตุกธรรม และ โมหะ ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นสเหตุกธรรม เกิดขึ้น อเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม และ อเหตุกธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภจักขุ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ และ โมหะ เกิดขึ้น โสตะ ฯลฯ หทยวัตถุ ฯลฯ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อเหตุกธรรม และ โมหะ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ และ โมหะ เกิดขึ้น สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม เกิดขึ้น สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อเหตุกธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเหตุกธรรม และโมหะ เกิดขึ้น สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม และ อเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เกิดขึ้น [๘๒] สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ กระทำกุศลธรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา จากฌาน ฯลฯ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค กระทำมรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนัก แน่น ฯลฯ ผล ฯลฯ เพราะกระทำขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นสเหตุกธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนัก แน่น ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำความยินดีนั้นให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติที่เป็นสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย อเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม โดย อธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย อเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะทั้งหลายกระทำ นิพพานให้หนักแน่นแล้ว พิจารณา นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล โดย อธิปติปัจจัย จักขุ ฯลฯ หทยวัตถุ ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเหตุก- *ธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะ กระทำความยินดีนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น [๘๓] สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โวทาน โคตรภู เป็นปัจจัยแก่มรรค มรรค เป็นปัจจัยแก่ผล ผล เป็นปัจจัยแก่ผล อนุโลม เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ของบุคคลผู้ออกจากนิโรธ เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ โดยอนันตรปัจจัย สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อเหตุกธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิด ก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่โมหะ ที่สหรคตด้วยวิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่ เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย จุติจิต ที่เป็นสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิต ที่เป็นอเหตุกธรรม โดยอนันตรปัจจัย ภวังค์ที่เป็นสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อาวัชชนะ โดยอนันตรปัจจัย ภวังค์ที่เป็นสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภวังค์ที่เป็นอเหตุกธรรม โดย อนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่เป็นอเหตุกธรรม โดยอนันตรปัจจัย สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม โดย อนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิด ก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดหลังๆ และโมหะ โดยอนันตรปัจจัย อเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อเหตุกธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิด หลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเหตุกธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอเหตุกธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่ปัญจวิญญาณ โดยอนันตรปัจจัย อเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิด หลังๆ โดยอนันตรปัจจัย จุติจิตที่เป็นอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่เป็นสเหตุกธรรม โดยอนันตรปัจจัย ภวังค์ที่เป็นอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภวังค์ที่เป็นสเหตุกธรรม โดย อนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่เป็นสเหตุกธรรม โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นสเหตุกธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย อเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิด หลังๆ และโมหะ โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ และโมหะ โดยอนันตรปัจจัย สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่ เกิดก่อนๆ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่ สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อเหตุกธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่ เกิดก่อนๆ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะที่เป็นอเหตุกธรรม โดยอนันตรปัจจัย สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม และ อเหตุกธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่ เกิดก่อนๆ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่ สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดหลังๆ และโมหะ โดยอนันตรปัจจัย [๘๔] สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม โดยสหชาตปัจจัย เหมือนกับสหชาตปัจจัย ในปฏิจจวาร
ปัจจัยสงเคราะห์ในที่นี้ ไม่มี
ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอัญญมัญญปัจจัย เหมือนกับปฏิจจวาร ฯลฯ เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย เหมือนกับนิสสยปัจจัย ในปฏิจจวาร
ปัจจัยสงเคราะห์ในที่นี้ ไม่มี
[๘๕] ฯลฯ เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อเหตุกธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม เป็น ปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเหตุกธรรม และโมหะ โดยอุปนิสสยปัจจัย สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ โดยอุปนิสสยปัจจัย อเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อเหตุกธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ สุขทางกาย เป็นปัจจัยแก่สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย และแก่โมหะ โดยอุปนิสสยปัจจัย ทุกข์ทางกาย ฯลฯ อุตุ ฯลฯ โภชนะ ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัย แก่สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย และแก่โมหะ โดยอุปนิสสยปัจจัย โมหะ เป็นปัจจัยแก่สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย และแก่โมหะ โดย อุปนิสสยปัจจัย สุขทางกาย ทุกข์ทางกาย อุตุ โภชนะ เสนาสนะ และโมหะ เป็น ปัจจัยแก่สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย และแก่โมหะ โดยอุปนิสสยปัจจัย อเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยสุขทางกายแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ทำลายสงฆ์ บุคคลเข้าไปอาศัยทุกข์ทางกาย ฯลฯ อุตุ โภชนะ เสนาสนะ ฯลฯ โมหะแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ทำลายสงฆ์ สุขทางกาย ฯลฯ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ แก่ปัญญา แก่ราคะ ฯลฯ แก่ความปรารถนา แก่มรรค แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย อเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ สุขทางกาย และโมหะ เป็นปัจจัย แก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ โดยอุปนิสสยปัจจัย สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อเหตุกธรรม โดย อุปนิสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเหตุกธรรม และโมหะ โดยอุปนิสสยปัจจัย สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม และอเหตุก- *ธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๘๖] อเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อเหตุกธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความเป็น ของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น เมื่อกุศลและอกุศลดับไปแล้ว อารัมมณจิตที่เป็นวิบาก ที่เป็นอเหตุกธรรม เกิดขึ้น รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่ กายวิญญาณ โดยปุเรชาตปัจจัย ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยปุเรชาตปัจจัย หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเหตุกธรรม และโมหะ โดยปุเรชาตปัจจัย อเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความเป็น ของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น เมื่อกุศลและอกุศลดับไปแล้ว ตทารัมมณจิตที่เป็นวิบากที่เป็นสเหตุก- *ธรรม เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูป ด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียง ด้วยทิพพโสตธาตุ ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น สเหตุกธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย อเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม โดย ปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ เพราะปรารภจักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เกิดขึ้น ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคต ด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ โดยปุเรชาตปัจจัย [๘๗] สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อเหตุกธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม ที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย อเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อเหตุกธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเหตุกธรรม ที่เกิดภายหลัง และโมหะ เป็น ปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อเหตุกธรรม โดย ปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิด ภายหลัง และโมหะ เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๘๘] สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม โดยอาเสวนปัจจัย เหมือนกับ อนันตรปัจจัย อาวัชชนะก็ดี ภวังค์ก็ดี ไม่มี ในอาเสวนปัจจัย พึงเว้นหัวข้อ ปัจจัยทั้ง ๙ [๘๙] สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม ซึ่งเป็นวิบาก โดยกัมมปัจจัย สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อเหตุกธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นอเหตุกธรรม ซึ่งเป็นวิบาก และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมม- *ปัจจัย สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม โดยกัมม- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม ซึ่งเป็นวิบาก และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมม- *ปัจจัย อเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่อเหตุธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๙๐] สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม โดยวิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม ซึ่งเป็นวิบาก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อเหตุกธรรม โดยวิปากปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม ซึ่งเป็นวิบาก เป็นปัจจัยแก่จิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปากปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม โดยวิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม ซึ่งเป็นวิบาก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อเหตุกธรรม โดยวิปากปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกธรรม ซึ่งเป็นวิบาก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยวิปาก- *ปัจจัย [๙๑] สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม โดยอาหารปัจจัย มี ๓ นัย อเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อเหตุกธรรม โดยอาหารปัจจัย คือ อาหารทั้งหลาย ที่เป็นอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอาหารปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดยอาหารปัจจัย [๙๒] สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม โดยอินทริยปัจจัย มี ๓ นัย อเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อเหตุกธรรม โดยอินทริยปัจจัย คือ อินทรีย์ทั้งหลายที่เป็นอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุตฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอินทริยปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ จักขุนทรีย์ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กาย- *วิญญาณ โดยอินทริยปัจจัย รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดย อินทริยปัจจัย [๙๓] สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม โดยฌานปัจจัย มี ๓ นัย อเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อเหตุกธรรม โดยฌานปัจจัย คือ องค์ฌานทั้งหลายที่เป็นอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยฌานปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๙๔] สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม โดยมัคคปัจจัย มี ๓ นัย [๙๕] สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม โดยสัมปยุตตปัจจัย เหมือนกับสัมปยุตตปัจจัย ในปฏิจจวาร
พึงกระทำหัวข้อปัจจัย ๖
[๙๖] สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อเหตุกธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่กฏัตตา- *รูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย อเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อเหตุกธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่กฏัตตา- *รูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดย วิปปยุตตปัจจัย หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเหตุกธรรม และโมหะ โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเหตุกธรรม และโมหะ เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย อเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุก ธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย อเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม โดยวิปปยุตต- *ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ โดยวิปปยุตต- *ปัจจัย สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อเหตุกธรรม โดยวิปปยุตต- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตต- *ปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย [๙๗] สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม โดยอัตถิปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อเหตุกธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ เป็นปัจจัยแก่โมหะ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย อัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม โดยอัตถิ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๕ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่ สหรคตด้วยอุทธัจจะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ แก่โมหะ และจิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อเหตุกธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ขันธ์ ๑ ที่เป็นอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ โมหะ ที่สหรคต ด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ เป็นปัจจัยแก่สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย อัตถิปัจจัย ปฏิสนธิ พึงกระทำตลอดถึงอสัญญสัตว์ ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความเป็นของ ไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น เมื่อกุศลและอกุศลดับไปแล้ว ตทารัมมณจิตที่เป็นวิบาก ที่เป็น อเหตุกธรรม เกิดขึ้น รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่ กายวิญญาณ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่ กายวิญญาณ โดยอัตถิปัจจัย หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเหตุกธรรม และโมหะ โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอเหตุกธรรม และโมหะ เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัย แก่กายนี้ โดยอัตถิปัจจัย รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย อเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุก- *ธรรม โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความเป็นของ ไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น เมื่อกุศลและอกุศลดับไปแล้ว ตทารัมมณจิตที่เป็นวิบาก ที่เป็น สเหตุกธรรม เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูป ด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม โดยอัตถิปัจจัย อเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม โดย อัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย อัตถิปัจจัย ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ เพราะปรารภจักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโทสะ เกิดขึ้น หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ และโมหะ โดยอัตถิปัจจัย สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม โดย อัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม และหทัยวัตถุ เป็น ปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อเหตุกธรรม โดยอัตถิ- *ปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม และมหาภูตรูป ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม และมหาภูตรูป ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่โมหะ โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม และ กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม และรูป- *ชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม และ อเหตุกธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และโมหะ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๙๘] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๖ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอธิปติปัจจัย มี " ๔ ในอนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๖ ในนิสสยปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในกัมมปัจจัย มี " ๔ ในวิปากปัจจัย มี " ๔ ในอาหารปัจจัย มี " ๔ ในอินทริยปัจจัย มี " ๔ ในฌานปัจจัย มี " ๔ ในมัคคปัจจัย มี " ๓ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๖ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในอัตถิปัจจัย มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย มี " ๙ ในวิคตปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๙๙] สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็น ปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาต- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย สเหตุกธรรม เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสย- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย อเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อินทริยปัจจัย อเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย อเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อเหตุกธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย สเหตุกธรรม และอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สเหตุกธรรม และ อเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย [๑๐๐] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ฯลฯ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๙ พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๑๐๑] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๖ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๑๐๒] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในอินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ ในวิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
สเหตุกทุกะ จบ
เหตุสัมปยุตตทุกะ
ปฏิจจวาร
[๑๐๓] เหตุสัมปยุตตธรรม อาศัยเหตุสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเหตุสัมปยุตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ เหตุวิปปยุตตธรรม อาศัยเหตุสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นเหตุสัมปยุตตธรรม ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ พึงให้พิสดาร ด้วยเหตุนี้ เหมือนกับสเหตุกทุกะ ไม่มีแตกต่างกัน
เหตุสัมปยุตตทุกะ จบ
เหตุสเหตุกทุกะ
ปฏิจจวาร
[๑๐๔] ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรม และสเหตุกธรรม อาศัยธรรม ที่เป็นทั้งเหตุธรรม และสเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ อโทสะอโมหะ อาศัย อโลภะ
พึงผูกจักรนัย
โมหะ อาศัย โลภะ
พึงผูกจักรนัย
ในปฏิสนธิขณะ อโทสะอโมหะ อาศัย อโลภะ
พึงผูกจักรนัย
ธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม อาศัยธรรมที่เป็นทั้ง เหตุธรรมและสเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยเหตุธรรม ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ธรรมเป็นที่ทั้งเหตุธรรม และสเหตุกธรรม และธรรมที่เป็นสเหตุกธรรม แต่ไม่ใช่เหตุธรรม อาศัยธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรม และสเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ อโทสะอโมหะ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยอโลภะ
พึงผูกจักรนัย
โมหะ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยโลภะ
พึงผูกจักรนัย
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม อาศัยธรรมที่เป็นสเหตุก- *ธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรม และสเหตุกธรรม อาศัยธรรมที่เป็นสเหตุกธรรม แต่ไม่ใช่เหตุธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ เหตุธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรม และสเหตุกธรรม และธรรมที่เป็นสเหตุกธรรม แต่ไม่ใช่เหตุธรรม อาศัยธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และเหตุธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่ เหตุธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรม และสเหตุกธรรม อาศัยธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรม และสเหตุกธรรม และธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ อโทสะอโมหะ อาศัยอโลภะ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย
พึงผูกจักรนัย
โมหะ อาศัยโลภะ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย
พึงผูกจักรนัย
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม อาศัยธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรม และสเหตุกธรรม และธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม และ เหตุธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรม และสเหตุกธรรม และธรรมที่เป็นสเหตุกธรรม แต่ไม่ใช่เหตุธรรม อาศัยธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรมและธรรม ที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือขันธ์ ๓ และอโทสะอโมหะ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ ไม่ใช่เหตุธรรม และอโลภะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
พึงให้พิสดารอย่างที่กล่าวมาแล้ว
[๑๐๕] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๑๐๖] ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรม และสเหตุกธรรม อาศัยธรรมที่เป็น ทั้งเหตุธรรม และสเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย คือ อโทสะอโมหะ อาศัยอโลภะ
พึงผูกจักรนัย
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
พึงกระทำหัวข้อปัจจัย ๙ ให้บริบูรณ์
ฯลฯ ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะปัจฉาชาตปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย มี ๙ นัย [๑๐๗] ธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม อาศัยธรรมที่เป็น ทั้งเหตุธรรม และสเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือสัมปยุตตเจตนา อาศัยเหตุธรรม ธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม อาศัยธรรมที่เป็นสเหตุก- *ธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ สัมปยุตตเจตนา อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม ธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม อาศัยธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรม และสเหตุกธรรม และธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะกัมมปัจจัย คือสัมปยุตตเจตนา อาศัยเหตุธรรม และสัมปยุตขันธ์ทั้งหลาย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิปากปัจจัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย [๑๐๘] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๙
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๑๐๙] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๑๑๐] ในเหตุปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
สหชาตวารก็ดี ปัจจยวารก็ดี นิสสยวารก็ดี สังสัฏฐวารก็ดี สัมปยุตต- *วารก็ดี เหมือนกับปฏิจจวาร
ปัญหาวาร
[๑๑๑] ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม ที่เป็นทั้งเหตุธรรม และสเหตุกธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ อโลภะ เป็นปัจจัยแก่อโทสะอโมหะ โดยเหตุปัจจัย เหมือนกับปฏิจจวาร ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็น สเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็น ทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม และธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ อโลภะ เป็นปัจจัยแก่อโทสะอโมหะ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย
พึงให้พิสดาร
[๑๑๒] ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม ที่เป็นทั้งเหตุธรรม และสเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภเหตุธรรม เหตุธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้น ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นสเหตุก- *ธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภเหตุธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่ เหตุธรรม เกิดขึ้น ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้ง เหตุธรรมและสเหตุกธรรม และธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภเหตุธรรม เหตุธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น ธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็น สเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ พิจารณากุศลกรรม นั้น บุคคลพิจารณากุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน บุคคลออกจากฌานแล้ว พิจารณาฌาน พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรค พิจารณาผล พิจารณา กิเลสที่ละแล้ว พิจารณากิเลสที่ข่มแล้ว รู้ซึ่งกิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้ว ในกาลก่อน ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม โดยเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่ เหตุธรรม โดยเจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ โดยอารัมมณปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธ- *ญาณแก่เจโตปริยญาณ แก่บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ โดยอารัมมณปัจจัย ธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้ง เหตุธรรมและสเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน ฯลฯ มีอธิบายเหมือนข้อความตามบาลีตอนต้น ไม่มี แตกต่างกัน ธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้ง เหตุธรรมและสเหตุกธรรม และธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน ฯลฯ มีอธิบายเหมือนกับข้อความตามบาลีตอนต้น ไม่มีแตกต่างกัน ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม และธรรมที่เป็นสเหตุกธรรม แต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภเหตุธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เหตุธรรม ทั้งหลาย เกิดขึ้น ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม และธรรมที่เป็นสเหตุกธรรม และธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นสเหตุก- *ธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภเหตุธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เกิดขึ้น ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม และธรรมที่เป็นสเหตุกธรรม แต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม และ ธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภเหตุธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เหตุธรรมและ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น [๑๑๓] ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม ที่เป็นทั้งเหตุธรรม และสเหตุกธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะกระทำเหตุธรรมทั้งหลายให้เป็น อารมณ์อย่างหนักแน่น เหตุธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมเป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็น สเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะกระทำเหตุธรรมให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่น ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุก- *ธรรมเป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้งเหตุ ธรรมและสเหตุกธรรม และธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม โดยอธิปติ- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะกระทำเหตุธรรมทั้งหลายให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่น เหตุธรรมทั้งหลาย และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุก- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และเหตุธรรมทั้งหลาย โดย อธิปติปัจจัย ธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็น สเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน ศีล ฯลฯ กระทำอุโบสถ- *กรรมแล้ว กระทำกุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา ในกาลก่อน ฯลฯ ออกจากฌานแล้ว กระทำฌานให้เป็นอารมณ์อย่าง หนักแน่น พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค กระทำมรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนัก แน่น ฯลฯ แล้วพิจารณากระทำผลให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น แล้วพิจารณา บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรม แต่ไม่ใช่เหตุธรรมให้เป็น อารมณ์อย่างหนักแน่นแล้วย่อมยินดีย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำความดีนั้น ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่ เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย ธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็น ทั้งเหตุธรรม และ สเหตุกธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน ฯลฯ มีอธิบายเหมือนข้อ ความตามบาลีตอนต้นนั่นเอง ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุ- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตเหตุทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุ- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตเหตุทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย ธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้ง เหตุธรรม และสเหตุกธรรม และธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน ฯลฯ มีอธิบายเหมือน ข้อความตามบาลีตอนต้นนั่นเอง ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่ เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และเหตุธรรมทั้งหลาย โดย อธิปติปัจจัย ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม และธรรมที่เป็นสเหตุกธรรม แต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม โดย อธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะกระทำเหตุธรรม และ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เหตุธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้น ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม และธรรมที่เป็นสเหตุกธรรม แต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะกระทำเหตุธรรม และ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุก- *ธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เกิดขึ้น ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม และธรรมที่เป็นสเหตุกธรรม แต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรม และสเหตุกธรรม และ ธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะกระทำเหตุธรรม และ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เหตุธรรมทั้งหลาย และ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น [๑๑๔] ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม ที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ เหตุธรรมทั้งหลาย ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรมทั้งหลาย ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็น สเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ เหตุธรรมทั้งหลาย ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น สเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้ง เหตุธรรม และสเหตุกธรรม และธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ เหตุธรรมทั้งหลาย ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรมทั้งหลาย ที่เกิดหลังๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอนันตรปัจจัย ธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็น สเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็น ปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม ที่เกิดหลังๆ โดย อนันตรปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โวทาน ฯลฯ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ของบุคคลผู้ออกจากนิโรธเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ โดยอนันตรปัจจัย ธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้ง เหตุธรรมและสเหตุกธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็น ปัจจัยแก่เหตุธรรมทั้งหลาย ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โคตรภู ฯลฯ ธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้ง เหตุธรรมและสเหตุกธรรม และธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม โดย อนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรมทั้งหลาย ที่เกิดหลังๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดย อนันตรปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู สเหตุกนเหตุมูลกนัย แม้ทั้ง ๓ เป็นเช่นเดียวกัน ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม และธรรมที่เป็นสเหตุกธรรม แต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรมโดย อนันตรปัจจัย คือ เหตุธรรมทั้งหลายที่เกิดก่อนๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็น ปัจจัยแก่เหตุธรรมทั้งหลาย ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม และธรรมที่เป็นสเหตุกธรรม แต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นสเหตุกธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ เหตุธรรมทั้งหลายที่เกิดก่อนๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็น ปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุกธรรม ที่เกิดหลังๆ โดย อนันตรปัจจัย ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรม และธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรม และธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุ ธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ เหตุธรรมทั้งหลายที่เกิดก่อนๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็น ปัจจัยแก่เหตุธรรมทั้งหลายที่เกิดหลังๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอนันตร ปัจจัย [๑๑๕] ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม ที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม โดยสหชาตปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอัญญมัญญปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยนิสสยปัจจัย ทั้ง ๓ ปัจจัยเหมือนกับเหตุปัจจัย ในปฏิจจวาร [๑๑๖] ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม ที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ เหตุธรรมทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่ เหตุธรรมทั้งหลาย โดยอุปนิสสยปัจจัย เหตุธรรมทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ ไม่ใช่เหตุธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย เหตุธรรมทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่เหตุธรรมทั้งหลาย และสัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยอุปนิสสยปัจจัย พึงถามถึงมูลทั้งหลาย แห่งหัวข้อปัจจัยทั้งหลาย แม้ทั้ง ๒ เหล่านี้ ธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็น สเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้วให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ก่อมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีล ฯลฯ ความปรารถนา แล้วให้ทาน ฯลฯ ทำ ลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ ความปรารถนาเป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย ในสเหตุมูลกนัย พึงให้พิสดารโดยเหตุนี้ ที่เหลือนอกนั้น มีหัวข้อ ปัจจัย ๒ ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรม และธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรม และสเหตุกธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ เหตุกธรรมทั้งหลาย และสัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรมทั้งหลาย โดยอุปนิสสยปัจจัย
พึงถามถึงมูล ๒
เหตุธรรมทั้งหลาย และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย
พึงถามถึงมูล
เหตุธรรมทั้งหลาย และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรม ทั้งหลาย และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๑๗] ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม โดยอาเสวนปัจจัย เหมือนกับอนันตรปัจจัย [๑๑๘] ธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม ที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม ซึ่งเป็นวิบาก โดย กัมมปัจจัย ธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้ง เหตุธรรมและสเหตุกธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตเหตุทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่เหตุธรรมทั้งหลาย ที่เป็นวิบาก โดยกัมมปัจจัย ธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็น เหตุธรรมและสเหตุกธรรม และธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม โดย กัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และเหตุธรรมทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่วิบาก ขันธ์ทั้งหลาย และเหตุธรรมทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๑๑๙] ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม โดยวิปากปัจจัย คือ อโลภะที่เป็นวิบาก เป็นปัจจัยแก่อโทสะ อโมหะ โดยวิปากปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ อโลภะ ฯลฯ พึงให้พิสดาร เหมือนกับเหตุปัจจัย พึงกำหนดว่า วิบากทั้ง ๙ นัย [๑๒๐] ธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม ที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม โดยอาหารปัจจัย มี ๓ นัย [๑๒๑] ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม โดยอินทริยปัจจัย พึงกำหนดว่า อินทรีย์ พึงกระทำหัวข้อปัจจัย ๙ ให้บริบูรณ์ [๑๒๒] ธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม ที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม โดยฌานปัจจัย มี ๓ นัย [๑๒๓] ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม ที่เป็นทั้งเหตุธรรม และสเหตุกธรรม โดยมัคคปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสัมปยุตตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอัตถิปัจจัย เป็นปัจจัย โดยนัตถิปัจจัย เป็นปัจจัย โดยวิคตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอวิคตปัจจัย [๑๒๔] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๙ ในนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในกัมมปัจจัย มี " ๓ ในวิปากปัจจัย มี " ๙ ในอาหารปัจจัย มี " ๓ ในอินทริยปัจจัย มี " ๙ ในฌานปัจจัย มี " ๓ ในมัคคปัจจัย มี " ๙ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในอัตถิปัจจัย มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย มี " ๙ ในวิคตปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมจบ
[๑๒๕] ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม ที่เป็นทั้งเหตุธรรม และสเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาต ปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นสเหตุก ธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็น ปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้ง เหตุธรรมและสเหตุกธรรม และธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย ธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็น สเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย ธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้ง เหตุธรรมและสเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย ธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้ง เหตุธรรมและสเหตุกธรรม และธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม และธรรมที่เป็นสเหตุกธรรม แต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม และธรรมที่เป็นสเหตุกธรรม แต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม และธรรมที่เป็นสเหตุกธรรม แต่ไม่ใช่เหตุธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้งเหตุธรรมและสเหตุกธรรม และ ธรรมที่เป็นสเหตุกธรรมแต่ไม่ใช่เหตุธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๒๖] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ฯลฯ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๑๒๗] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยทั้งปวง กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๑๒๘] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๙
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
เหตุสเหตุกทุกะ จบ
เหตุเหตุสัมปยุตตทุกะ
[๑๒๙] ธรรมที่เป็นเหตุและเหตุสัมปยุตตธรรม อาศัยธรรมที่เป็น ทั้งเหตุและเหตุสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ อโทสะ อโมหะ อาศัยอโลภะ
พึงผูกจักรนัย
โมหะ อาศัยโลภะ
พึงผูกจักรนัย
ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ พึงให้พิสดารเหมือนกับ เหตุสเหตุกทุกะ ไม่มีแตกต่างกัน
เหตุเหตุสัมปยุตตทุกะ จบ
นเหตุสเหตุกทุกะ
[๑๓๐] นเหตุสเหตุกธรรม อาศัยนเหตุสเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม ฯลฯ นเหตุอเหตุกธรรม อาศัยนเหตุสเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ นเหตุสเหตุกธรรม และนเหตุอเหตุกธรรม อาศัยนเหตุสเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุ- *สเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ นเหตุอเหตุกธรรม อาศัยนเหตุอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ฯลฯ มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย นเหตุสเหตุกธรรม อาศัยนเหตุอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม อาศัย หทัยวัตถุ นเหตุสเหตุกธรรม และนเหตุอเหตุกธรรม อาศัยนเหตุอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม อาศัย หทัยวัตถุ กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย นเหตุสเหตุกธรรม อาศัยนเหตุสเหตุกธรรม และนเหตุอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ นเหตุอเหตุกธรรม อาศัยนเหตุสเหตุกธรรม และนเหตุอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ นเหตุสเหตุกธรรม และนเหตุอเหตุกธรรม อาศัยนเหตุสเหตุกธรรม และนเหตุอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็น นเหตุสเหตุกธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๓๑] นเหตุสเหตุกธรรม อาศัยนเหตุสเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ นเหตุอเหตุกธรรม อาศัยนเหตุอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุอเหตุกธรรม ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ นเหตุสเหตุกธรรม อาศัยนเหตุอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณ- *ปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม อาศัย หทัยวัตถุ นเหตุสเหตุกธรรม อาศัยนเหตุสเหตุกธรรม และนเหตุอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ
ฯลฯ พึงจำแนกอย่างนี้
[๑๓๒] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๔ ในอธิปติปัจจัย มี " ๕ ในอนันตรปัจจัย มี " ๔ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๔ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๖ ในนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๔ ในปุเรชาตปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๒ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๒ ในกัมมปัจจัย มี " ๙ ในวิปากปัจจัย มี " ๙ ในอาหารปัจจัย มี " ๙ ฯลฯ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๔ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในอัตถิปัจจัย มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย มี " ๔ ในวิคตปัจจัย มี " ๔ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๑๓๓] นเหตุอเหตุกธรรม อาศัยนเหตุอเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปอาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุอเหตุก- *ธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ โมหะไม่มี [๑๓๔] นเหตุอเหตุกธรรม อาศัยนเหตุสเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม นเหตุอเหตุกธรรม อาศัยนเหตุอเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุอเหตุกธรรม ใน ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ นเหตุอเหตุกธรรม อาศัยเหตุนสเหตุกธรรม และนเหตุอเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ
ฯลฯ
[๑๓๕] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๑๓๖] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๑๓๗] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ฯลฯ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในวิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑
ปัจจนียานุโลม จบ
แม้ในสหชาตวาร ก็พึงนับอย่างนี้
ปฏิจจวาร
[๑๓๘] นเหตุสเหตุกธรรม อาศัยนเหตุสเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย มี ๓ นัย นเหตุอเหตุกธรรม อาศัยนเหตุอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย นเหตุสเหตุกธรรม อาศัยนเหตุอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ ในปฏิสนธิ- *ขณะ ฯลฯ นเหตุสเหตุกธรรม และนเหตุอเหตุกธรรม อาศัยนเหตุอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม อาศัยหทัยวัตถุ จิตต- *สมุฏฐานรูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ นเหตุสเหตุกธรรม อาศัยนเหตุสเหตุกธรรม และนเหตุอเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย ปัจจัยสงเคราะห์ มี ๓ ปวัตติ และปฏิสนธิ พึงกระทำให้ บริบูรณ์ ฯลฯ [๑๓๙] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๔ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๑๔๐] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓
ปัจจนียะ จบ
นิสสยวาร เหมือนกับ ปัจจยวาร
สังสัฏฐวาร
[๑๔๑] นเหตุสเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับ นเหตุสเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๔๒] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๒ ในอธิปติปัจจัย มี " ๑ ในอนันตรปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๒ ในวิคตปัจจัย มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย มี " ๒
อนุโลม จบ
[๑๔๓] นเหตุอเหตุกธรรม คลุกเคล้ากับ นเหตุอเหตุกธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุอเหตุกธรรม ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น นเหตุอเหตุกธรรม ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๔๔] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๒
ปัจจนียะ จบ
การนับ ๑ อย่างแม้ที่ยังเหลือ พึงนับอย่างนี้ สัมปยุตตวาร เหมือนกับ สังสัฏฐวาร
ปัญหาวาร
[๑๔๕] นเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุสเหตุกธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ พิจารณากุศลกรรม นั้น พิจารณากุศลกรรมทั้งหลาย ที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฌาน ฯลฯ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรคแล้วพิจารณาผล กิเลสที่ละแล้ว ฯลฯ กิเลสที่ข่มแล้ว ฯลฯ กิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น เมื่อกุศลและอกุศลดับไปแล้ว ตทารัมมณจิตที่เป็นวิบาก ที่เป็นนเหตุ- *สเหตุกธรรม เกิดขึ้น บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม โดย เจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่ เจโตปริยญาณ แก่บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตัง- *สญาณ โดยอารัมมณปัจจัย เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น นเหตุสเหตุกธรรม เกิดขึ้น นเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุกอเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น เมื่อกุศลและอกุศลดับไปแล้ว ตทารัมมณจิตที่เป็นวิบาก ที่เป็นนเหตุ- *อเหตุกธรรม เกิดขึ้น เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น นเหตุอเหตุกธรรม เกิดขึ้น นเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุอเหตุกธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่ อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุอเหตุกธรรม โดย ความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น เมื่อกุศลและอกุศลดับไปแล้ว ตทารัมมณจิตที่เป็นวิบากที่เป็นนเหตุ- *อเหตุกธรรม เกิดขึ้น รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่ กายวิญญาณ โดยอารัมมณปัจจัย เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุอเหตุกธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น นเหตุอเหตุกธรรม เกิดขึ้น นเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุสเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ พระอริยะทั้งหลายพิจารณานิพพาน นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล โดยอารัมมณ- *ปัจจัย จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุอเหตุกธรรม โดย ความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น เมื่อกุศลและอกุศลดับไปแล้ว ตทารัมมณจิตที่เป็นวิบาก ที่เป็น นเหตุสเหตุกธรรม เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่เป็นนเหตุอเหตุกธรรม โดย เจโตปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่ เจโตปริยญาณ แก่บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่อนาคตังสญาณ โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุอเหตุกธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น นเหตุสเหตุกธรรม เกิดขึ้น [๑๔๖] นเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุสเหตุกธรรม โดยอธิปติ- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่บุคคลให้ทาน สมาทานศีลแล้วกระทำกุศล- *กรรมนั้น ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา บุคคลพิจารณากุศลกรรมทั้งหลาย ที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ออก จากฌานแล้ว กระทำฌานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค กระทำมรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนัก แน่นแล้ว พิจารณา กระทำผลให้หนักแน่นแล้ว พิจารณา บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรมให้เป็นอารมณ์อย่าง หนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำความยินดีนั้นให้เป็น อารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย นเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุอเหตุกธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่อธิปติธรรมที่เป็นนเหตุสเหตุก- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย นเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุสเหตุกธรรม และนเหตุอเหตุก- *ธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่อธิปติธรรมที่เป็นนเหตุสเหตุก- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติ- *ปัจจัย นเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุสเหตุกธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่พระอริยะทั้งหลายกระทำนิพพาน ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล โดย อธิปติปัจจัย จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุ อเหตุกธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะ กระทำความยินดีนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น [๑๔๗] นเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุสเหตุกธรรม โดยอนันตร ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัย แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่ โคตรภู ฯลฯ เนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่ ผลสมาบัติ โดยอนันตร- *ปัจจัย นเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุอเหตุกธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ จุติจิตที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อุปปัตติจิตที่เป็นนเหตุ อเหตุกธรรม โดยอนันตรปัจจัย ภวังค์ที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่อาวัชชนะ ภวังค์ที่เป็น นเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ภวังค์ที่เป็นนเหตุอเหตุกธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น นเหตุสเหตุกธรรมเป็นปัจจัย แก่วุฏฐานะที่เป็นนเหตุอเหตุกธรรม โดยอนันตรปัจจัย นเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ นเหตุอเหตุกธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุอเหตุกธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุอเหตุกธรรมที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่ ปัญจวิญญาณ โดยอนันตรปัจจัย นเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ นเหตุสเหตุกธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ จุติจิตที่เป็นนเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ อุปปัตติจิตที่เป็น นเหตุสเหตุกธรรม โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม โดย อนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ วุฏฐานะที่เป็น นเหตุสเหตุกธรรม โดยอนันตรปัจจัย [๑๔๘] นเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ นเหตุสเหตุกธรรม โดย สมนันตรปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย ในที่นี้ปัจจัยสงเคราะห์ ไม่มี พึงกระทำหัวข้อปัจจัย ๗ ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอัญญมัญญปัจจัย
พึงกระทำหัวข้อปัจจัย ๖
ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยนิสสยปัจจัย พึงกระทำปวัตติ และ ปฏิสนธิ หัวข้อปัจจัย ๗ ในที่นี้ปัจจัยสงเคราะห์ ไม่มี [๑๔๙] นเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ นเหตุสเหตุกธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ก่อมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีล ฯลฯ ความปรารถนาแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ทำลาย สงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ ศรัทธา ฯลฯ แก่ความ ปรารถนา แก่มรรค แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย นเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุอเหตุกธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ศรัทธา เป็นปัจจัยแก่สุขทางกาย แก่ ทุกข์ทางกาย โดยอุปนิสสยปัจจัย ศีล ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย โดยอุปนิสสยปัจจัย ศรัทธา ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ สุขทางกาย แก่ทุกข์ ทางกาย โดยอุปนิสสยปัจจัย นเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ นเหตุอเหตุกธรรม โดยอุปนิสสย ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ สุขทางกาย เป็นปัจจัยแก่สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย โดยอุปนิสสยปัจจัย ทุกข์ทางกาย ฯลฯ ฤดู ฯลฯ โภชนะ ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย โดยอุปนิสสยปัจจัย สุขทางกาย ทุกข์ทางกาย ฤดู โภชนะ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย โดยอุปนิสสยปัจจัย นเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ นเหตุสเหตุกธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยสุขทางกายแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ทำลายสงฆ์ บุคคลเข้าไปอาศัยทุกข์ทางกาย ฯลฯ ฤดู ฯลฯ โภชนะ ฯลฯ เสนาสนะ แล้ว ให้ทาน ฯลฯ ทำลายสงฆ์ สุขทางกาย ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ แก่ความ ปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๕๐] นเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ นเหตุอเหตุกธรรม โดย ปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความเป็น ของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น เมื่อกุศลและอกุศลดับไปแล้ว ตทารัมมณจิตที่เป็นวิบาก ที่เป็นนเหตุ- *อเหตุกธรรม เกิดขึ้น รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่ จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะเป็นปัจจัยแก่ กายวิญญาณ โดยปุเรชาตปัจจัย ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นนเหตุอเหตุกธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย นเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ นเหตุสเหตุกธรรม โดยปุเรชาต- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความเป็น ของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น เมื่อกุศลและอกุศลดับไปแล้ว ตทารัมมณจิตที่เป็นวิบาก ที่เป็นนเหตุ- *สเหตุกธรรม เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพโสตธาตุ ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย [๑๕๑] นเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุอเหตุกธรรม โดย ปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย นเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุอเหตุกธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๑๕๒] นเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุกสเหตุธรรม โดย อาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โวทาน โคตรภู เป็นปัจจัยแก่มรรค โวทาน เป็นปัจจัยแก่มรรค โดยอาเสวนปัจจัย นเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุอเหตุกธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุอเหตุกธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุอเหตุกธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย [๑๕๓] นเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุสเหตุกธรรม โดยกัมม ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่เจตนาที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่เจตนาที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม ที่เป็นวิบาก โดยกัมมปัจจัย นเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุอเหตุกธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่เจตนาที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่เจตนาที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นนเหตุอเหตุกธรรมที่เป็นวิบากและกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย นเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุสเหตุกธรรม และนเหตุอเหตุกธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่เจตนาที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่เจตนาที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม ที่เป็นวิบากและกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมม- *ปัจจัย นเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุอเหตุกธรรม โดยกัมมปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาต ได้แก่เจตนาที่เป็นนเหตุอเหตุกธรรม เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ เจตนาที่เป็นนเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต ขันธ์และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๑๕๔] นเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุสเหตุกธรรม โดย วิปากปัจจัยมี ๓ นัย นเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุอเหตุกธรรม โดยวิปากปัจจัยมี ๑ นัย [๑๕๕] นเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุสเหตุกธรรม โดยอาหาร ปัจจัย มี ๓ นัย นเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุอเหตุกธรรม โดยอาหารปัจจัย คือ อาหารทั้งหลายที่เป็นนเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอาหารปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ กวฬิงการาหารเป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดยอาหารปัจจัย [๑๕๖] นเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุสเหตุกธรรม โดยอินทริย ปัจจัย มี ๓ นัย นเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุอเหตุกธรรม โดยอินทริยปัจจัย คือ อินทรีย์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยสัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอินทริยปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ รูปชีวิตินทรีย์เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดย อินทริยปัจจัย [๑๕๗] นเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุสเหตุกธรรม โดยฌาน ปัจจัย พึงกระทำทั้ง ๔ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยมัคคปัจจัย มี ๓ นัย [๑๕๘] นเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุสเหตุกธรรม โดย สัมปยุตตปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ฯลฯ ใน- *ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ นเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุอเหตุกธรรม โดยสัมปยุตตปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ฯลฯ ปฏิ สนธิ [๑๕๙] นเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุอเหตุกธรรม โดย- *วิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัย แก่กายนี้ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย นเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุอเหตุกธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยวิปปยุตตปัจจัย หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุอเหตุก ธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัย แก่กายนี้ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย นเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุสเหตุกธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น นเหตุสเหตุกธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย [๑๖๐] นเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุสเหตุกธรรม โดยอัตถิ ปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ฯลฯ ใน ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ นเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุอเหตุกธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ฯลฯ นเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุสเหตุกธรรม และนเหตุอเหตุ- *กธรรมโดยอัตถิปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ นเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุอเหตุกธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ตลอดถึงอสัญญสัตว์ ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่ กายวิญญาณ จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ ปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุอเหตุกธรรม โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัย แก่กายนี้ที่เกิดก่อน กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัย แก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย นเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุสเหตุกธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น เมื่อกุศลและอกุศลดับไปแล้ว ตทารัมมณจิตที่เป็นวิบากที่เป็นนเหตุ- *สเหตุกธรรม เกิดขึ้น นเหตุสเหตุกธรรม และนเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุสเหตุก- *ธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม และหทัยวัตถุ เป็น ปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ฯลฯ นเหตุสเหตุกธรรม และนเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุอเหตุกธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๔ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม และ มหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม และ กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนเหตุสเหตุกธรรม และ รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย [๑๖๑] ในอารัมมณปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในอธิปติปัจจัย มี " ๔ ในอนันตรปัจจัย มี " ๔ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๔ ในสหชาตปัจจัย มี " ๗ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๖ ในนิสสยปัจจัย มี " ๗ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๔ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๒ ในปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๒ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๒ ในกัมมปัจจัย มี " ๔ ในวิปากปัจจัย มี " ๔ ในอาหารปัจจัย มี " ๔ ในอินทริยปัจจัย มี " ๔ ในฌานปัจจัย มี " ๔ ในมัคคปัจจัย มี " ๓ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๒ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในอัตถิปัจจัย มี " ๗ ในนัตถิปัจจัย มี " ๔ ในวิคตปัจจัย มี " ๔ ในอวิคตปัจจัย มี " ๗
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๑๖๒] นเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุสเหตุกธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็น ปัจจัยโดยกัมมปัจจัย นเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุอเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย นเหตุสเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุสเหตุกธรรม และนเหตุอเหตุก- *ธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย นเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุอเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอาหารปัจจัย เป็น ปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย นเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุสเหตุกธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปุเรชาตปัจจัย นเหตุสเหตุกธรรม และนเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุสเหตุก- *ธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย นเหตุสเหตุกธรรม และนเหตุอเหตุกธรรม เป็นปัจจัยแก่นเหตุอเหตุก- *ธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอาหาร- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย [๑๖๓] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๗ ฯลฯ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สหชาตปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นิสสยปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัตถิปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๕
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๑๖๔] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับอารัมมณปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยทั้งปวง กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔
พึงนับอย่างนี้
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๑๖๕] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
นเหตุสเหตุกทุกะ จบ
สัปปัจจยทุกะ
ปฏิจจวาร
[๑๖๖] สัปปัจจยธรรม อาศัยสัปปัจจยธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสัปปัจจยธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายอาศัย หทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทารูป อาศัย มหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๖๗] สัปปัจจยธรรม อาศัยสัปปัจจยธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณ- *ปัจจัย ฯลฯ ฯลฯ เพราะอวิคตปัจจัย [๑๖๘] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย มี " ๑
อนุโลม จบ
[๑๖๙] สัปปัจจยธรรม อาศัยสัปปัจจยธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสัปปัจจยธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ โมหะ ที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่ สหรคตด้วยอุทธัจจะ ฯลฯ [๑๗๐] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๑
ปัจจนียะ จบ
[๑๗๑] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๑๗๒] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ฯลฯ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑
ปัจจนียานุโลม จบ
สหชาตวาร เหมือนกับ ปฏิจจวาร
ปัจจยวาร
[๑๗๓] สัปปัจจยธรรม อาศัยสัปปัจจยธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสัปปัจจยธรรม ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัย หทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัปปัจจยธรรม อาศัยหทัยวัตถุ [๑๗๔] สัปปัจจยธรรม อาศัยสัปปัจจยธรรม เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณปัจจัย ฯลฯ ปัจจยวารก็ดี นิสสยวารก็ดี สังสัฏฐวารก็ดี สัมปยุตตวารก็ดี พึงให้ พิสดารอย่างนี้ ในปัจจัยทั้งปวง มีหัวข้อปัจจัย ๑ เท่านั้น
ปัญหาวาร
[๑๗๕] สัปปัจจยธรรม เป็นปัจจัยแก่สัปปัจจยธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลาย ที่เป็นสัปปัจจยธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๑๗๖] สัปปัจจยธรรม เป็นปัจจัยแก่สัปปัจจยธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล อุโบสถกรรม ฯลฯ แล้วพิจารณา ซึ่งกุศลกรรมนั้น บุคคลพิจารณากุศลกรรมทั้งหลาย ที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ออกจากฌานแล้ว พิจารณาฌาน พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค พิจารณามรรค พิจารณาผล กิเลสที่ละ แล้ว ฯลฯ กิเลสที่ข่มแล้ว ฯลฯ รู้ซึ่งกิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัปปัจจยธรรม โดย ความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูป ด้วยทิพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่เป็นสัปปัจจยธรรม โดย เจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เป็นปัจจัย แก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่ กายวิญญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัปปัจจยธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโต- *ปริยญาณ แก่บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย อัปปัจจยธรรม เป็นปัจจัยแก่สัปปัจจยธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ พระอริยะทั้งหลาย พิจารณานิพพาน นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล แก่ อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๑๗๗] สัปปัจจยธรรม เป็นปัจจัยแก่สัปปัจจยธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ กระทำกุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้วพิจารณา ในกาลก่อน ฯลฯ จากฌาน ฯลฯ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค กระทำมรรคให้เป็นอารมณ์ อย่างหนัก แน่น แล้วพิจารณา กระทำผลให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่น จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ กระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัปปัจจยธรรม ให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่น แล้วพิจารณา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะ กระทำความยินดีนั้นให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นสัปปัจจยธรรมเป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย อัปปัจจยธรรม เป็นปัจจัยแก่สัปปัจจยธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะทั้งหลายกระทำ นิพพานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น แล้วพิจารณา นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผลโดยอธิปติ- *ปัจจัย [๑๗๘] สัปปัจจยธรรม เป็นปัจจัยแก่สัปปัจจยธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย ฯลฯ ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย อุปนิสสยมูล มีหัวข้อปัจจัย ๒ ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยปุเรชาตปัจจัย ฯลฯ ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอวิคตปัจจัย ปัจจัยทั้งปวง มีหัวข้อปัจจัย ๑ เท่านั้น [๑๗๙] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๒ ในอธิปติปัจจัย มี " ๒ ในอนันตรปัจจัย มี " ๑ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๑ ในสหชาตปัจจัย มี " ๑ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๑ ในนิสสยปัจจัย มี " ๑ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๒ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย มี " ๑
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๑๘๐] สัปปัจจยธรรม เป็นปัจจัยแก่สัปปัจจยธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาต- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย อัปปัจจยธรรม เป็นปัจจัยแก่สัปปัจจยธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็น ปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย [๑๘๑] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๒ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๒ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๒
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๑๘๒] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑
พึงนับอย่างนั้น
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๑๘๓] ในอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย ที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๒ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ฯลฯ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑
พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียานุโลม จบ
สัปปัจจยทุกะ จบ
สังขตทุกะ
ปฏิจจวาร
[๑๘๔] สังขตธรรม อาศัยสังขตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสังขตธรรม ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัย หทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ทุกะนี้ พึงกระทำเหมือนสัปปัจจยทุกะ ไม่มีแตกต่างกัน
สังขตทุกะ จบ
สนิทัสสนทุกะ
ปฏิจจวาร
[๑๘๕] อนิทัสสนธรรม อาศัยอนิทัสสนธรรม เกิดขึ้น เพราะ- *เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นอนิทัสสนธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิทัสสนธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ และกฏัตตารูป ที่เป็นอนิทัสสนธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิทัสสนธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ หทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นอนิทัสสนธรรม อาศัย มหาภูตรูปทั้งหลาย สนิทัสสนธรรม อาศัยอนิทัสสนธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นสนิทัสสนธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อนิทัสสนธรรม ในปฏิสนธิขณะ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูปที่เป็น สนิทัสสนธรรม อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย สนิทัสสนธรรม และอนิทัสสนธรรม อาศัยอนิทัสสนธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นสนิทัสสนธรรม และอนิทัสสน- *ธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิทัสสนธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็น สนิทัสสนธรรม และอนิทัสสนธรรม อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย [๑๘๖] อนิทัสสนธรรม อาศัยอนิทัสสนธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิทัสสนธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย อาศัย หทัยวัตถุ [๑๘๗] อนิทัสสนธรรม อาศัยอนิทัสสนธรรม เกิดขึ้น เพราะ อธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นอนิทัสสนธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิทัสสนธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ มหาภูต- *รูป ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นอนิทัสสนธรรม อาศัย มหาภูตรูปทั้งหลาย สนิทัสสนธรรม อาศัยอนิทัสสนธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นสนิทัสสนธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อนิทัสสนธรรม จิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นสนิทัสสนธรรม อาศัย มหาภูตรูปทั้งหลาย สนิทัสสนธรรม และอนิทัสสนธรรม อาศัยอนิทัสสนธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นสนิทัสสนธรรม และอนิทัสสน- *ธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิทัสสนธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นสนิทัสสนธรรม และอนิทัสสนธรรม อาศัยมหาภูตรูป ทั้งหลาย
ฯลฯ พึงกระทำทุกปัจจัย
[๑๘๘] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๑ ในอธิปติปัจจัย มี " ๓ ในอนันตรปัจจัย มี " ๑ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๑ ในสหชาตปัจจัย มี " ๓ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๑ ในนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๑ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๑ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๑ ในกัมมปัจจัย มี " ๓ ในวิปากปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๓ ในมัคคปัจจัย มี " ๓ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๑ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในอัตถิปัจจัย มี " ๓ ในนัตถิปัจจัย มี " ๑ ในวิคตปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในอวิคตปัจจัย มี " ๓
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๑๘๙] อนิทัสสนธรรม อาศัยอนิทัสสนธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นอนิทัสสนธรรม อาศัย ขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิทัสสนธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นอนิทัสสนธรรม อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐาน- *รูป อุตุสมุฏฐานรูป ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ สนิทัสสนธรรม อาศัยอนิทัสสนธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นสนิทัสสนธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อนิทัสสนธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ในปฏิสนธิขณะ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็น สนิทัสสนธรรม อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย กฏัตตารูป ที่เป็น อุปาทารูป ที่เป็นสนิทัสสนธรรม อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย สนิทัสสนธรรม และอนิทัสสนธรรม อาศัยอนิทัสสนธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นสนิทัสสนธรรม และอนิทัสสนธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิทัสสนธรรม ซึ่งเป็นอเหตุทุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ฯลฯ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็น สนิทัสสนธรรม และอนิทัสสนธรรม อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย
พึงกระทำอย่างนี้ทุกปัจจัย
[๑๙๐] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓ [๑๙๑] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยทั้งปวง กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๑๙๒] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ฯลฯ ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในวิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓
ปัจจนียานุโลม จบ
ปัจจยวาร
[๑๙๓] อนิทัสสนธรรม อาศัยอนิทัสสนธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นอนิทัสสนธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิทัสสนธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัย หทัยวัตถุ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นอนิทัสสนธรรม อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนธรรม อาศัยหทัยวัตถุ พึงกระทำหัวข้อปัจจัย ๒ แม้นอกนี้ [๑๙๔] อนิทัสสนธรรม อาศัยอนิทัสสนธรรม เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิทัสสนธรรม ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ จักขุวิญญาณ อาศัย จักขายตนะ กายวิญญาณ อาศัยกายายตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนธรรม อาศัยหทัยวัตถุ ฯลฯ [๑๙๕] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๑ ในอธิปติปัจจัย มี " ๓ ฯลฯ ในวิคตปัจจัย มี " ๓
อนุโลม จบ
[๑๙๖] อนิทัสสนธรรม อาศัยอนิทัสสนธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ- *เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นอนิทัสสนธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิทัสสนธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ จักขุวิญญาณ อาศัย จักขายตนะ กายวิญญาณ อาศัยกายายตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ อาศัยหทัยวัตถุ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และหทัยวัตถุ
พึงกระทำหัวข้อปัจจัย ๒ แม้นอกนี้ ฯลฯ
[๑๙๗] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓
ปัจจนียะ จบ
[๑๙๘] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๑๙๙] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓
ปัจจนียานุโลม จบ
แม้นิสสยวาร ก็พึงกระทำอย่างนี้
สังสัฏฐวาร
[๒๐๐] อนิทัสสนธรรม คลุกเคล้ากับอนิทัสสนธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิทัสสนธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ [๒๐๑] อนิทัสสนธรรม คลุกเคล้ากับอนิทัสสนธรรม เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณปัจจัย ทั้งหมดนี้ พึงแจกกับด้วยจำนวนปัจจัยรวมกัน อย่างที่กล่าวมาแล้ว
แม้สัมปยุตตวาร ก็เหมือนกับสังสัฏฐวาร
ปัญหาวาร
[๒๐๒] อนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย ที่เป็นอนิทัสสนธรรม โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิ ขณะ ฯลฯ อนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่สนิทัสสนธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย ที่เป็นสนิทัสสนธรรม โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่สนิทัสสนธรรม และอนิทัสสนธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์- *และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย ที่เป็นสนิทัสสนธรรม และอนิทัสสนธรรม โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๒๐๓] สนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ รูปที่เป็นสนิทัสสนธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น ด้วยทิพพจักขุ ฯลฯ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โดยอารัมมณปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่ บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย อนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ บุคคล พิจารณาซึ่ง กุศลกรรมนั้น บุคคลพิจารณากุศลกรรมทั้งหลาย ที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน บุคคลออกจากฌาน พิจารณาฌาน พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค พิจารณามรรค พิจารณาผล พิจารณา นิพพาน นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล แก่ อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย พระอริยะทั้งหลายพิจารณากิเลสที่ละแล้ว ฯลฯ กิเลสที่ข่มแล้ว ฯลฯ กิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ กาย เสียง หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสน- *ธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลฟังเสียง ด้วยทิพพโสตธาตุ บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่เป็นอนิทัสสนธรรม โดย เจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ อากิญ- *จัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ สัททายตนะ เป็นปัจจัย แก่โสตวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่ เจโตปริยญาณ แก่บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๒๐๔] สนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนธรรม โดยอธิปติ ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลกระทำรูปที่เป็น อนิทัสสนธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำความยินดีนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น อนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ ให้ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ กระทำกุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ กุศลกรรมทั้งหลาย ที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ ออกจากฌาน ฯลฯ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค กระทำมรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนัก แน่น ฯลฯ กระทำผลให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล โดย อธิปติปัจจัย จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนธรรม ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะ กระทำความยินดีนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นอนิทัสสนธรรม เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนธรรม โดย อธิปติปัจจัย อนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่สนิทัสสนธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นอนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลายที่เป็นสนิทัสสนธรรม โดยอธิปติปัจจัย อนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่สนิทัสสนธรรม และอนิทัสสนธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นอนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย ที่เป็นสนิทัสสนธรรม และอนิทัสสนธรรม โดยอธิปติปัจจัย [๒๐๕] อนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู โคตรภู เป็นปัจจัยแก่มรรค เนวสัญญา- *นาสัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ โดยอนันตรปัจจัย [๒๐๖] อนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนธรรม โดยสมนันตร- *ปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอัญญมัญญปัจจัย มี ๑ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยนิสสยปัจจัย มี ๓ นัย [๒๐๗] สนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลปรารถนาซึ่งความถึงพร้อมแห่ง วรรณะ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ กระทำอุโบสถกรรม ความถึงพร้อมแห่งวรรณะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ แก่ความปรารถนา แก่สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย แก่มรรค แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย อนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้ว ให้ ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ก่อมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีล ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๐๘] สนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนธรรม โดยปุเรชาต- *ปัจจัย คือ รูปที่เป็นสนิทัสสนธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูป ด้วยทิพพจักขุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โดยปุเรชาตปัจจัย อนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดย ความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลฟังเสียง ด้วยทิพพโสตธาตุ สัททายตนะ เป็นปัจจัยแก่โสตวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัย แก่กายวิญญาณ โดยปุเรชาตปัจจัย ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อนิทัสสนธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย สนิทัสสนธรรม และอนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ได้แก่รูปายตนะ และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย รูปายตนะ และจักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โดยปุเรชาต- *ปัจจัย [๒๐๙] สนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนธรรม โดยปัจฉาชาต- *ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนธรรม ที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัยแก่ กายที่เป็นอนิทัสสนธรรมนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย อนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่สนิทัสสนธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนธรรม ที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัยแก่ กายที่เป็นสนิทัสสนธรรมนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย อนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่สนิทัสสนธรรม และอนิทัสสนธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนธรรม ที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัยแก่ กายที่เป็นสนิทัสสนธรรม และอนิทัสสนธรรมนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาต- *ปัจจัย [๒๑๐] อนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนธรรม โดยอาเสวน- *ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลาย ที่เกิดก่อนๆ ฯลฯ [๒๑๑] อนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนธรรม โดยกัมม- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่เจตนาที่เป็นอนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมป- *ยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย ที่เป็นอนิทัสสนธรรม โดยกัมมปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นอนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนธรรม ที่เป็นวิบาก และกฏัตตารูปทั้งหลาย ที่เป็น อนิทัสสนธรรม โดยกัมมปัจจัย อนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่สนิทัสสนธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก พึงให้พิสดาร อนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่สนิทัสสนธรรม และอนิทัสสนธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก พึงให้พิสดาร [๒๑๒] อนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนธรรม โดยวิปาก- *ปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอาหารปัจจัย มี ๓ นัย พึงกระทำกวฬิงการาหาร ในหัวข้อปัจจัยแม้ทั้ง ๓ ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอินทริยปัจจัย มี ๓ นัย พึงกระทำรูปชีวิตินทรีย์ ในหัวข้อปัจจัยแม้ทั้ง ๓ ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยฌานปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยมัคคปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสัมปยุตตปัจจัย มี ๑ นัย [๒๑๓] อนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนธรรม โดยวิปปยุตต- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัย แก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย ที่เป็นอนิทัสสนธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่ กฏัตตารูปทั้งหลาย ที่เป็นอนิทัสสนธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย ขันธ์ทั้งหลาย เป็น ปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยวิปปยุตตปัจจัย หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ เป็นอนิทัสสนธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัย แก่กายที่เป็นอนิทัสสนธรรมนี้ ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย อนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่สนิทัสสนธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัย แก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย ที่เป็นสนิทัสสนธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนธรรม ที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัยแก่กายที่เป็นสนิทัสสนธรรมนี้ ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย อนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่สนิทัสสนธรรม และอนิทัสสนธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัย แก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย ที่เป็นสนิทัสสนธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนธรรม ที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัยแก่กายที่เป็นสนิทัสสนธรรม และอนิทัสสนธรรมนี้ ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย [๒๑๔] สนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนธรรม โดย- *อัตถิปัจจัย คือ รูปที่เป็นสนิทัสสนธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพจักขุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โดยอัตถิปัจจัย อนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย ที่เป็นอนิทัสสนธรรม โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความเป็นของ ไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลฟังเสียงด้วยทิพโสตธาตุ สัททายตนะ เป็นปัจจัยแก่โสตวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัย แก่กายวิญญาณ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็น ปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสน- *ธรรม โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนธรรม เป็น ปัจจัยแก่กายที่เป็นอนิทัสสนธรรมนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายที่เป็นอนิทัสสนธรรมนี้ โดยอัตถิปัจจัย รูปชีวิตินทรีย์ เป็น ปัจจัยแก่ กฏัตตรูปทั้งหลาย ที่เป็นอนิทัสสนธรรม โดยอัตถิปัจจัย อนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่สนิทัสสนธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๔ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัย แก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย ที่เป็นสนิทัสสนธรรม โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ มหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูปทั้งหลาย ที่เป็นสนิทัสสนธรรม โดยอัตถิปัจจัย พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่ สนิทัสสนรูป โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัย แก่กายที่เป็นสนิทัสสนธรรมนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายที่เป็นสนิทัสสนธรรมนี้ โดยอัตถิปัจจัย รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย ที่เป็นสนิทัสสนธรรม โดยอัตถิปัจจัย อนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่สนิทัสสนธรรม และอนิทัสสนธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๔ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัย แก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย ที่เป็นสนิทัสสนธรรม โดยอัตถิ ปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ มหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูปทั้งหลาย ที่เป็นสนิทัสสนธรรม และอนิทัสสนธรรม โดยอัตถิปัจจัย พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่ กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูปทั้งหลาย ที่เป็นสนิทัสสนธรรม และอนิทัสสนธรรม โดยอัตถิปัจจัย สนิทัสสนธรรม และอนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนธรรม โดยอัตถิปัจจัย มีอย่างเดียว คือปุเรชาต ได้แก่รูปายตนะและหทัยวัตถุ เป็นปัจจัย แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนิทัสสนธรรม โดยอัตถิปัจจัย รูปายตนะ และจักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โดยอัตถิ- *ปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยนัตถิปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยวิคตปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอวิคตปัจจัย [๒๑๕] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๒ ในอธิปติปัจจัย มี " ๔ ในอนันตรปัจจัย มี " ๑ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๑ ในสหชาตปัจจัย มี " ๓ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๑ ในนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในอุปนิสสยปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๒ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๑ ในกัมมปัจจัย มี " ๓ ในวิปากปัจจัย มี " ๓ ในอาหารปัจจัย มี " ๓ ในอินทริยปัจจัย มี " ๓ ในฌานปัจจัย มี " ๓ ในมัคคปัจจัย มี " ๑ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๑ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในอัตถิปัจจัย มี " ๕ ในนัตถิปัจจัย มี " ๑ ในวิคตปัจจัย มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย มี " ๕
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๒๑๖] สนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย อนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย เป็น ปัจจัยโดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย อนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่สนิทัสสนธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย อนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่สนิทัสสนธรรม และอนิทัสสนธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย สนิทัสสนธรรมและอนิทัสสนธรรม เป็นปัจจัยแก่อนิทัสสนธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย [๒๑๗] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สหชาตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นิสสยปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัตถิปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๔
ปัจจนียะ จบ
[๒๑๘] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๒๑๙] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๒ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในวิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕
ปัจจนียานุโลม จบ
สนิทัสสนทุกะ จบ
สัปปฏิฆทุกะ
ปฏิจจวาร
[๒๒๐] สัปปฏิฆธรรม อาศัยสัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เป็นสัปปฏิฆธรรม มหาภูตรูป ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นสัปปฏิฆธรรม มหาภูตรูปทั้งหลาย ที่เป็นสัปปฏิฆธรรม จักขายตนะ รสายตนะ อาศัย โผฏฐัพพายตนะ อัปปฏิฆธรรม อาศัยสัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ อาโปธาตุ อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ที่เป็นสัปปฏิฆธรรม จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นอัปปฏิฆธรรม อาโปธาตุ อิตถินทรีย์ กวฬิงการาหาร อาศัยโผฏฐัพพายตนะ สัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรม อาศัยสัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ มหาภูตรูป ๒ และอาโปธาตุ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เป็น สัปปฏิฆธรรม มหาภูตรูป ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็น อุปาทารูป ที่เป็นสัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรม อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ที่เป็นสัปปฏิฆธรรม จักขายตนะ รสายตนะ อาโปธาตุ อิตถินทรีย์ กวฬิงการาหาร อาศัยโผฏฐัพพายตนะ อัปปฏิฆธรรม อาศัยอัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นอัปปฏิฆธรรม อาศัย ขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปฏิฆธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัย หทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นอัปปฏิฆธรรม อาศัยอาโปธาตุ อิตถินทรีย์ กวฬิงการาหาร อาศัยอาโปธาตุ สัปปฏิฆธรรม อาศัยอัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นสัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอัปปฏิฆธรรม ในปฏิสนธิขณะ มหาภูตรูปทั้งหลาย ที่เป็นสัปปฏิฆธรรม อาศัย อาโปธาตุ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นสัปปฏิฆธรรม อาศัยอาโปธาตุ จักขายตนะ โผฏฐัพพายตนะ อาศัยอาโปธาตุ สัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรม อาศัยอัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นสัปปฏิฆธรรม และ อัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปฏิฆธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็น สัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรม อาศัยอาโปธาตุ จักขายตนะ โผฏฐัพพายตนะ อิตถินทรีย์ กวฬิงการาหาร อาศัย อาโปธาตุ สัปปฏิฆธรรม อาศัยสัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นสัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็น สัปปฏิฆธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เป็นสัปปฏิฆ- *ธรรม และอาโปธาตุ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูปที่เป็นสัปปฏิฆธรรม อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ที่เป็นสัปปฏิฆธรรม และอาโปธาตุ จักขายตนะ รสายตนะ อาศัยโผฏฐัพพายตนะ และอาโปธาตุ อัปปฏิฆธรรม อาศัยสัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นอัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็น สัปปฏิฆธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป ที่เป็นอัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอัปปฏิฆธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นอัปปฏิฆธรรม อาศัยโผฏฐัพพายตนะ และอาโปธาตุ อิตถินทรีย์ กวฬิงการาหาร อาศัยโผฏฐัพพายตนะ และอาโปธาตุ สัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรม อาศัยสัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆ- *ธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นสัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรม อาศัย ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอัปปฏิฆธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ กฏัตตารูป ที่เป็นสัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอัปปฏิฆธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย จิตตสมุฏ- *ฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นสัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรม อาศัยโผฏฐัพพายตนะ และอาโปธาตุ จักขายตนะ รสายตนะ อิตถินทรีย์ กวฬิงการาหาร อาศัย โผฏฐัพพายตนะ และอาโปธาตุ [๒๒๑] อัปปฏิฆธรรม อาศัยอัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปฏิฆธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทยวัตถุ [๒๒๒] สัปปฏิฆธรรม อาศัยสัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติ- *ปัจจัย พึงเว้นปฏิสนธิ และกฏัตตารูป ฯลฯ เพราะอนันตรปัจจัย ฯลฯ เพราะสมนันตรปัจจัย ฯลฯ เพราะสหชาตปัจจัย พึงกระทำมหาภูตรูปทั้งหมด [๒๒๓] ฯลฯ เพราะอัญญมัญญปัจจัย คือ มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เป็นสัปปฏิฆธรรม มหาภูต รูป ๒ ฯลฯ อัปปฏิฆธรรม อาศัยสัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะอัญญมัญญปัจจัย คือ อาโปธาตุ อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ที่เป็นสัปปฏิฆธรรม สัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรม อาศัยสัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะ อัญญมัญญปัจจัย คือ มหาภูตรูป ๒ และอาโปธาตุ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เป็นสัปปฏิฆ- *ธรรม มหาภูตรูป ๒ ฯลฯ อัปปฏิฆธรรม อาศัยอัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะอัญญมัญญปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปฏิฆธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ สัปปฏิฆธรรม อาศัยอัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะอัญญมัญญปัจจัย คือ มหาภูตรูปทั้งหลาย ที่เป็นสัปปฏิฆธรรม อาศัยอาโปธาตุ พึง กระทำอัชฌัตติกพาหิรมหาภูตรูปเหล่านี้ สัปปฏิฆธรรม อาศัยสัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะ อัญญมัญญปัจจัย คือ มหาภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๑ ที่เป็นสัปปฏิฆธรรม และ อาโปธาตุ ฯลฯ เพราะนิสสยปัจจัย ฯลฯ เพราะอวิคตปัจจัย [๒๒๔] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๑ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๑ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๑ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๖ ในนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๑ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๑ ในอาเสวนปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในกัมมปัจจัย มี " ๙ ในวิปากปัจจัย มี " ๙ ในอาหารปัจจัย มี " ๙ ในอินทริยปัจจัย มี " ๙ ในฌานปัจจัย มี " ๙ ในมัคคปัจจัย มี " ๙ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๑ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในอัตถิปัจจัย มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย มี " ๑ ในวิคตปัจจัย มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙
อนุโลม จบ
[๒๒๕] สัปปฏิฆธรรม อาศัยสัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ เหตุปัจจัย มี ๓ นัย อัปปฏิฆธรรม อาศัยอัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นอัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปฏิฆธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็นอัปปฏิฆ- *ธรรม อาศัยอาโปธาตุ อิตถินทรีย์ กวฬิงการาหาร อาศัยอาโปธาตุ พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป ฯลฯ อุตุสมุฏฐานรูป ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็น อัปปฏิฆธรรม อาศัยอาโปธาตุ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อัปปฏิฆมูลกะนัย พึงกระทำหัวข้อปัจจัย ๒ แม้นอกนี้ แม้ในปัจจัย สงเคราะห์ ก็พึงกระทำหัวข้อปัจจัย ๓ อัชฌัตติกและพาหิรมหาภูตรูปทั้งหมด ผู้มีปัญญารู้แล้ว พึงกระทำ [๒๒๖] สัปปฏิฆธรรม อาศัยสัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ อารัมมณปัจจัย ฯลฯ ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิคตปัจจัย [๒๒๗] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๙
ปัจจนียะ จบ
[๒๒๘] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๒๒๙] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ฯลฯ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในวิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙
ปัจจนียานุโลม จบ
แม้สหชาตวาร ก็เหมือนกับ ปฏิจจวาร
ปัจจยวาร
[๒๓๐] สัปปฏิฆธรรม อาศัยสัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย มี ๓ นัย อัปปฏิฆธรรม อาศัยอัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นอัปปฏิฆธรรม อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปฏิฆธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป ที่เป็น อัปปฏิฆธรรม อาศัยอาโปธาตุ อิตถินทรีย์ กวฬิงการาหาร อาศัยอาโปธาตุ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปฏิฆธรรม อาศัยหทัยวัตถุ
หัวข้อปัจจัย ๕ ที่เหลือ เหมือนกับปฏิจจวาร
[๒๓๑] อัปปฏิฆธรรม อาศัยสัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ กายวิญญาณ อาศัยกายายตนะ อัปปฏิฆธรรม อาศัยอัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปฏิฆธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปฏิฆธรรม อาศัยหทัยวัตถุ อัปปฏิฆธรรม อาศัยสัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรม เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณ และจักขายตนะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยกายวิญญาณ และกายายตนะ ฯลฯ เพราะอธิปติปัจจัย ฯลฯ เพราะอวิคตปัจจัย [๒๓๒] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๓ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๖ ในนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๑ ในกัมมปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ แม้การนับปัจจนียะ ก็พึงกระทำอย่างนี้ แม้นิสสยวารก็เหมือนกับปัจจยวาร แม้ในสังสัฏฐวารทั้งหมด ก็มีหัวข้อปัจจัย ๑ ฯลฯ เพราะอวิคตปัจจัย ก็มีหัวข้อปัจจัย ๑ เท่านั้น
แม้วาระทั้งสอง ก็พึงกระทำ
ปัญหาวาร
[๒๓๓] อัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปฏิฆธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย ที่เป็นอัปปฏิฆธรรม โดยเหตุปัจจัย ปฏิสนธิ อัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สัปปฏิฆธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย ที่เป็นสัปปฏิฆธรรม โดยเหตุปัจจัย ปฏิสนธิ อัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรม โดย เหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย ที่เป็นสัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรม โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๒๓๔] สัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปฏิฆธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ จักขุ ฯลฯ โผฏฐัพพะทั้งหลาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่ กายวิญญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่ บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย อัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปฏิฆธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ กระทำอุโบสถกรรม ฯลฯ แล้วพิจารณาซึ่งกุศลกรรมนั้น บุคคลพิจารณาซึ่งกุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน บุคคลออกจากฌาน แล้วพิจารณาฌาน พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรคแล้ว พิจารณามรรค พิจารณาผล นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล แก่ อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย พระอริยะทั้งหลายพิจารณากิเลสที่ละแล้ว กิเลสที่ข่มแล้ว รู้ซึ่งกิเลส ทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน หทัยวัตถุ ฯลฯ อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ อาโปธาตุ ฯลฯ กวฬิงการาหาร โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่เป็นอัปปฏิฆธรรม โดย เจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปฏิฆธรรม เป็น ปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโตปริยญาณ แก่บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๒๓๕] สัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปฏิฆธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคล กระทำ โผฏฐัพพะทั้งหลายให้หนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะ กระทำความยินดีนั้นให้หนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น อัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปฏิฆธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ กระทำกุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ กุศลกรรม ทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ ออกจากฌานแล้ว กระทำฌาน ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรคแล้ว กระทำมรรคให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่น ฯลฯ กระทำผลให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล โดย อธิปติปัจจัย หทัยวัตถุ ฯลฯ อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ อาโปธาตุ ฯลฯ บุคคล กระทำกวฬิงการาหารให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลิน ยิ่ง เพราะกระทำความยินดีนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย ที่เป็นอัปปฏิฆธรรม โดย อธิปติปัจจัย อัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สัปปฏิฆธรรม โดยอธิปติปัจจัย คือ อธิปติธรรมที่เป็นอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย ที่เป็นสัปปฏิฆธรรม โดยอธิปติปัจจัย อัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็น อัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย ที่เป็น สัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรม โดยอธิปติปัจจัย [๒๓๖] อัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปฏิฆธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปฏิฆธรรม ที่เกิดก่อนๆ ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่ ผลสมาบัติ โดยอนันตรปัจจัย [๒๓๗] อัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปฏิฆธรรม โดยสมนันตร ปัจจัย [๒๓๘] สัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สัปปฏิฆธรรม โดยสหชาต ปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัยโดยอัญญมัญญปัจจัย มี ๖ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย มี ๙ นัย [๒๓๙] สัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปฏิฆธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยฤดู ฯลฯ เสนาสนะแล้วให้ทาน ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ฤดู เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ แก่ผลสมาบัติ โดย อุปนิสสยปัจจัย อัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปฏิฆธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัย ศีล ฯลฯ สุขทางกาย ฯลฯ ทุกข์ทางกาย ฯลฯ โภชนะแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ โภชนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๔๐] สัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปฏิฆธรรม โดยปุเรชาต ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ โผฏฐัพพะทั้งหลาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่ กายวิญญาณ โดยปุเรชาตปัจจัย ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยปุเรชาตปัจจัย อัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่ อัปปฏิฆธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ ฯลฯ อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์ ชีวิตินทริย์ อาโปธาตุ ฯลฯ กวฬิงการาหาร โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอัปปฏิฆธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย สัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปฏิฆธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ และหทัยวัตถุ โผฏฐัพพายตนะ และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอัปปฏิฆธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย [๒๔๑] อัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปฏิฆธรรม โดยปัจฉาชาต ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปฏิฆธรรม ที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัยแก่ กายที่เป็นอัปปฏิฆธรรมนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปฏิฆธรรม ที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัยแก่กายที่ เป็นสัปปฏิฆธรรมนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปฏิฆธรรม ที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัยแก่กายที่ เป็นสัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรมนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย พึงกระทำมูลแห่งหัวข้อปัจจัยทั้ง ๒ [๒๔๒] อัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปฏิฆธรรม โดยอาเสวน ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปฏิฆธรรม ที่เกิดก่อนๆ ฯลฯ โวทาน เป็นปัจจัยแก่มรรค โดยอาเสวนปัจจัย [๒๔๓] อัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปฏิฆธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย ที่เป็นอัปปฏิฆธรรม โดย กัมมปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่ วิปากขันธ์ และกฏัตตารูปทั้งหลาย ที่เป็นอัปปฏิฆธรรม โดยกัมมปัจจัย อัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สัปปฏิฆธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย ที่เป็นสัปปฏิฆธรรม โดย กัมมปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่ วิบากขันธ์ และกฏัตตารูปทั้งหลาย ที่เป็นสัปปฏิฆธรรม โดยกัมมปัจจัย อัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรม โดย กัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ฯลฯ [๒๔๔] อัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปฏิฆธรรม โดยวิปากปัจจัย คือ อัปปฏิฆธรรมที่เป็นวิบาก ฯลฯ มี ๓ นัย [๒๔๕] อัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปฏิฆธรรม โดยอาหารปัจจัย คือ อาหารทั้งหลายที่เป็นอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย ที่เป็นอัปปฏิฆธรรม โดยอาหารปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายที่เป็นอัปปฏิฆธรรม นี้ โดยอาหารปัจจัย หัวข้อปัจจัยทั้ง ๒ ที่เหลือนอกนั้นพึงกระทำ ปฏิสนธิ กวฬิงการาหาร พึงกระทำแม้ในหัวข้อปัจจัยทั้ง ๒ ในบทเบื้องปลาย [๒๔๖] สัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปฏิฆธรรม โดยอินทริยปัจจัย คือ จักขุนทรีย์ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่ กายวิญญาณ โดยอินทริยปัจจัย อัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปฏิฆธรรม โดยอินทริยปัจจัย มี ๓ นัย พึงกระทำชีวิตินทรีย์ แม้ในหัวข้อปัจจัย ๓ ในบทเบื้องปลาย สัปปฏิฆธรรมและอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปฏิฆธรรม โดย อินทริยปัจจัย คือ จักขุนทรีย์และจักขุวิญญาณ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคต ด้วยจักขุวิญญาณ โดยอินทริยปัจจัย กายินทรีย์ และกายวิญญาณ เป็นปัจจัย แก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยกายวิญญาณ โดยอินทริยปัจจัย [๒๔๗] ฯลฯ เป็นปัจจัยโดยฌานปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัยโดยมัคคปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัยโดยสัมปยุตตปัจจัย มี ๑ นัย [๒๔๘] สัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปฏิฆธรรม โดยวิปปยุตต ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยวิปปยุตตปัจจัย อัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปฏิฆธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย ที่เป็นอัปปฏิฆธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยวิปปยุตต- *ปัจจัย หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็น อัปปฏิฆธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัย แก่กายที่เป็นอัปปฏิฆธรรมนี้ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย อัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สัปปฏิฆธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย ที่เป็นสัปปฏิฆธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย ใน ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัย แก่กายที่เป็นสัปปฏิฆธรรมนี้ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย อัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรม โดย วิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย ที่เป็นสัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรม โดยวิปปยุตต- *ปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่ กายที่เป็นสัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรมนี้ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย [๒๔๙] สัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สัปปฏิฆธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๑ นัย หัวข้อปัจจัยข้อแรกเหมือนกับปฏิจจวาร สัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปฏิฆธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่มหาภูตรูปทั้งหลาย ที่เป็นสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัย แก่อาโปธาตุ โดยอัตถิปัจจัย มหาภูตรูปทั้งหลายที่เป็นสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัย แก่จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทารูปทั้งหลายที่เป็นอัปปฏิฆธรรม โดย อัตถิปัจจัย โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่อิตถินทรีย์ แก่กวฬิงการาหาร โดยอัตถิ ปัจจัย พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป อุตุสมุฏฐานรูป ส่วนพวกอสัญญสัตว์ ทั้งหลาย ฯลฯ ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่จักขุ ฯลฯ โผฏฐัพพะทั้งหลาย โดยความเป็น ของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัสเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่ กายวิญญาณ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะเป็นปัจจัยแก่ กายวิญญาณ โดยอัตถิปัจจัย สัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรม โดย อัตถิปัจจัย คือ มหาภูตรูป ๑ ที่เป็นสัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่มหาภูตรูป ๒ และอาโปธาตุ โดยอัตถิปัจจัย เหมือนกับปฏิจจวาร ตลอดถึงอสัญญสัตว์ อัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปฏิฆธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ฯลฯ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ ฯลฯ อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ อาโปธาตุ ฯลฯ กวฬิงการาหาร โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปฏิฆธรรม โดยนัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัย แก่กายที่เป็นอัปปฏิฆธรรมนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย กวฬิงการาหาร เป็น ปัจจัยแก่กายที่เป็นอัปปฏิฆธรรมนี้ โดยอัตถิปัจจัย รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่ กฏัตตารูปทั้งหลายที่เป็นอัปปฏิฆธรรม โดยอัตถิปัจจัย อัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สัปปฏิฆธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๔ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย ที่เป็นสัปปฏิฆธรรม โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ อาโปธาตุเป็นปัจจัยแก่มหาภูตรูปทั้งหลายที่เป็นสัปปฏิฆ ธรรม โดยอัตถิปัจจัย อาโปธาตุ เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูปทั้งหลาย ที่เป็นสัปปฏิฆธรรม โดยอัตถิปัจจัย อาโปธาตุ เป็น ปัจจัยแก่จักขายตนะ แก่โผฏฐัพพายตนะ โดยอัตถิปัจจัย พาหิรรูป ฯลฯ อาหารสมุฏฐานรูป อุตุสมุฏฐานรูป ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย ฯลฯ ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปฏิฆธรรมเป็นปัจจัยแก่ กายที่เป็นสัปปฏิฆธรรมนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัย แก่กายที่เป็นสัปปฏิฆธรรมนี้ โดยอัตถิปัจจัย รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่ กฏัตตารูปทั้งหลายที่เป็นสัปปฏิฆธรรม โดยอัตถิปัจจัย อัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรม โดยอัตถิ- *ปัจจัย มี ๔ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ ๓ และที่เป็นสัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรม ฯลฯ เหมือนกับปฏิจจวาร ตลอดถึงอสัญญสัตว์ ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่ กายที่เป็นสัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรมนี้ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย กวฬิง- *การาหาร เป็นปัจจัยแก่กายที่เป็นสัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรมนี้ โดยอัตถิ- *ปัจจัย รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลายที่เป็นสัปปฏิฆธรรม และ อัปปฏิฆธรรม โดยอัตถิปัจจัย สัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สัปปฏิฆธรรม โดย อัตถิปัจจัย เหมือนกับปฏิจจวาร ตลอดถึงอสัญญสัตว์ สัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปฏิฆธรรม โดย อัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอัปปฏิฆธรรม และมหาภูต- *รูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลายที่เป็นอัปปฏิฆธรรม ฯลฯ เหมือนกับปฏิจจวาร ตลอดถึงอสัญญสัตว์ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณและ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยกาย- *วิญญาณ และกายายตนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ สัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สัปปฏิฆธรรม และ อัปปฏิฆธรรม โดยอัตถิปัจจัย เหมือนกับปฏิจจวาร [๒๕๐] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๒ ในอธิปติปัจจัย มี " ๔ ในอนันตรปัจจัย มี " ๑ ในสมนันตรปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๖ ในนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๒ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๑ ในกัมมปัจจัย มี " ๓ ในวิปากปัจจัย มี " ๓ ในอาหารปัจจัย มี " ๓ ในอินทริยปัจจัย มี " ๕ ในฌานปัจจัย มี " ๓ ในมัคคปัจจัย มี " ๓ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๑ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๔ ในอัตถิปัจจัย มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย มี " ๑ ในวิคตปัจจัย มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙
พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๒๕๑] สัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สัปปฏิฆธรรม โดยสหชาตปัจจัย สัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปฏิฆธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็น ปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาต- *ปัจจัย สัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรม โดย สหชาตปัจจัย อัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปฏิฆธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็น ปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาต- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย อัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สัปปฏิฆธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็น ปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย สัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรม โดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย เป็น ปัจจัยโดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย สัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สัปปฏิฆธรรม โดย สหชาตปัจจัย สัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่อัปปฏิฆธรรม โดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย สัปปฏิฆธรรม และอัปปฏิฆธรรม เป็นปัจจัยแก่สัปปฏิฆธรรม และ อัปปฏิฆธรรม โดยสหชาตปัจจัย [๒๕๒] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สหชาตปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นิสสยปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัตถิปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๔
ปัจจนียะ จบ
[๒๕๓] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๓
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๒๕๔] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๒ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔
พึงนับอนุโลมมาติกา
ในอวิคตปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่ เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙
ปัจจนียานุโลม จบ
สัปปฏิฆทุกะ จบ
รูปีทุกะ
ปฏิจจวาร
[๒๕๕] รูปีธรรม อาศัยรูปีธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ มหา- *ภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ มหาภูตรูป ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย อรูปีธรรม อาศัยรูปีธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอรูปีธรรม อาศัยหทัยวัตถุ รูปีธรรม และอรูปีธรรม อาศัยรูปีธรรมเกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอรูปีธรรม อาศัยหทัยวัตถุ กฏัตตารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย อรูปีธรรม อาศัยอรูปีธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอรูปีธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ รูปีธรรม อาศัยอรูปีธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอรูปีธรรม ปฏิสนธิ รูปีธรรม และอรูปีธรรม อาศัยอรูปีธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอรูปีธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ รูปีธรรม อาศัยรูปีธรรม และอรูปีธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอรูปีธรรม และมหาภูต- *รูปทั้งหลาย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อรูปีธรรม อาศัยรูปีธรรม และอรูปีธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอรูปีธรรม และ หทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ รูปีธรรม และอรูปีธรรม อาศัยรูปีธรรม และอรูปีธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอรูปีธรรม และ หทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ กฏัตตารูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอรูปีธรรม และ มหาภูตรูปทั้งหลาย
ฯลฯ
[๒๕๖] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในอธิปติปัจจัย มี " ๕ ในอนันตรปัจจัย มี " ๓ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๖ ในนิสสยปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๑ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๑ ในกัมมปัจจัย มี " ๙ ในวิปากปัจจัย มี " ๙ ในอาหารปัจจัย มี " ๙ ในอินทริยปัจจัย มี " ๙ ในฌานปัจจัย มี " ๙ ในมัคคปัจจัย มี " ๙ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในอัตถิปัจจัย มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย มี " ๓ ในวิคตปัจจัย มี " ๓ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙
อนุโลม จบ
[๒๕๗] รูปีธรรม อาศัยรูปีธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย มี ๓ นัย อรูปีธรรม อาศัยอรูปีธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอรูปีธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย พึงกำหนด หัวข้อปัจจัย ๙ ว่าเป็นอเหตุกะ [๒๕๘] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓
ปัจจนียะ จบ
[๒๕๙] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๒๖๐] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในสหชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ ในนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในอินทริยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในวิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในอัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙
ปัจจนียานุโลม จบ
แม้สหชาตวาร ก็เหมือนกับปฏิจจวาร
ปัจจยวาร
[๒๖๑] รูปีธรรม อาศัยรูปีธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ เหมือนกับปฏิจจวาร อรูปีธรรม อาศัยอรูปีธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอรูปีธรรม อาศัยหทัยวัตถุ ปฏิสนธิ รูปีธรรม และอรูปีธรรม อาศัยรูปีธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอรูปีธรรม อาศัยหทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ปฏิสนธิ หัวข้อปัจจัยที่เหลือนอกนั้น พึงจำแนกเป็น ปวัตติ ปฏิสนธิ อย่างนี้ [๒๖๒] อรูปีธรรม อาศัยอรูปีธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ กายวิญญาณ อาศัยกายายตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอรูปีธรรม อาศัยหทัยวัตถุ ปฏิสนธิ อรูปีธรรม อาศัยอรูปีธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอรูปีธรรม ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ อรูปีธรรม อาศัยรูปีธรรม และอรูปีธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณและจักขายตนะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ที่สหรคตด้วยกายวิญญาณ ฯลฯ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็น อรูปีธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ
ฯลฯ
[๒๖๓] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๓ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๖ ในนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๓ ในกัมมปัจจัย มี " ๙ ฯลฯ ในมัคคปัจจัย มี " ๙ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในอัตถิปัจจัย มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย มี " ๓ ในวิคตปัจจัย มี " ๓ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙
อนุโลม จบ
[๒๖๔] รูปีธรรม อาศัยรูปีธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ส่วนพวกอสัญญสัตว์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ อรูปีธรรม อาศัยรูปีธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ กายวิญญาณ อาศัยกายายตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอรูปีธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ อาศัยหทัยวัตถุ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ อาศัยหทัยวัตถุ รูปีธรรม และอรูปีธรรม อาศัยรูปีธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุ- *ปัจจัย พึงกระทำปวัตติ ปฏิสนธิ อรูปีธรรม อาศัยอรูปีธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอรูปีธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ รูปีธรรม อาศัยอรูปีธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอรูปีธรรม ปฏิสนธิ รูปีธรรม และอรูปีธรรม อาศัยอรูปีธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอรูปีธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ รูปีธรรม อาศัยรูปีธรรม และอรูปีธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุ- *ปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอรูปีธรรมและมหาภูตรูป ทั้งหลาย ปฏิสนธิ รูปีธรรม อาศัยรูปีธรรม และอรูปีธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณและจักขายตนะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ที่สหรคตด้วยกายวิญญาณ ฯลฯ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็น อรูปีธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และหทัยวัตถุ รูปีธรรม และอรูปีธรรม อาศัยรูปีธรรม และอรูปีธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นอเหตุกะ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอรูปีธรรม และหทัย- *วัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอรูปีธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ปฏิสนธิ [๒๖๕] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓
ปัจจนียะ จบ
[๒๖๖] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ฯลฯ พึงกระทำให้หมด ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๒๖๗] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ พึงกระทำให้หมด ในฌานปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ฯลฯ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙
ปัจจนียานุโลม จบ
แม้นิสสยวาร ก็เหมือนกับ ปัจจยวาร
สังสัฏฐวาร
[๒๖๘] อรูปีธรรม คลุกเคล้ากับอรูปีธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นอรูปีธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ [๒๖๙] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในอวิคตปัจจัย มี " ๑ ปัจจนียะก็ดี การนับทั้ง ๓ ก็ดี สัมปยุตตวารก็ดี ทั้งหมดพึงกระทำอย่าง ที่กล่าวมาแล้ว มีหัวข้อปัจจัย ๑ เท่านั้น
ปัญหาวาร
[๒๗๐] อรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่อรูปีธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นอรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ปฏิสนธิ อรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่รูปีธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นอรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ปฏิสนธิ อรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่รูปีธรรม และอรูปีธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นอรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ปฏิสนธิ [๒๗๑] รูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่อรูปีธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ อาโปธาตุ ฯลฯ กวฬิงการาหาร โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โดยอารัมมณปัจจัย โผฏฐัพพา- *ยตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยอารัมมณปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่ปุพเพนิวาสา- *นุสสติญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย อรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่อรูปีธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ แล้ว พิจารณาซึ่งกุศลกรรมนั้น บุคคลพิจารณาซึ่งกุศลกรรมทั้งหลาย ที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน จากฌาน ฯลฯ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค ฯลฯ แล้วพิจารณาผล นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล แก่ อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย พระอริยะทั้งหลายพิจารณากิเลสที่ละแล้ว ฯลฯ กิเลสที่ข่มแล้ว ฯลฯ กิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอรูปีธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่เป็นอรูปีธรรม โดยเจโต- *ปริยญาณ อากาสานัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโตปริย- *ญาณ แก่บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๒๗๒] รูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่อรูปีธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลกระทำ กวฬิงการาหารให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำความยินดีนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น อรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่อรูปีธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ ทาน ฯลฯ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่มรรค แก่ผล โดยอธิปติปัจจัย บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอรูปีธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น แล้ว ย่อมยินดี ฯลฯ ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นอรูปีธรรม เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย อรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่รูปีธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นอรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย อรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่รูปีธรรม และอรูปีธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นอรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๒๗๓] อรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่อรูปีธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอรูปีธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นอรูปีธรรม ที่เกิดหลังๆ และแก่ผลสมาบัติ โดยอนันตรปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสมนันตรปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย มี ๗ นัย ในที่นี้ปัจจัยสงเคราะห์ไม่มี ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอัญญมัญญปัจจัย มี ๖ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยนิสสยปัจจัย มี ๗ นัย ในที่นี้ปัจจัยสงเคราะห์ไม่มี [๒๗๔] รูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่อรูปีธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยฤดู ฯลฯ โภชนะ ฯลฯ เสนาสนะ แล้วให้ทาน ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ฤดู โภชนะ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ แก่ผล สมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย อรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่อรูปีธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ บุคคลเข้าไปอาศัยทุกข์ทางกายแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ ทุกข์ทางกาย เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๒๗๕] รูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่อรูปีธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ กวฬิง- *การาหาร โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูป ด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียง ด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัย แก่กายวิญญาณ ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อรูปีธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย [๒๗๖] อรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่รูปีธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอรูปีธรรม ที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๒๗๗] อรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่อรูปีธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อรูปีธรรม ที่เกิดก่อนๆ ฯลฯ [๒๗๘] อรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่อรูปีธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นอรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นอรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่วิบาก- *ขันธ์ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย อรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่รูปีธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นอรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นอรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่กฏัตตา- *รูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย อรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่รูปีธรรม และอรูปีธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นอรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นอรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่วิบากขันธ์ และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๒๗๙] อรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่อรูปีธรรม โดยวิปากปัจจัย มี ๓ นัย [๒๘๐] รูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่รูปีธรรม โดยอาหารปัจจัย คือ กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดยอาหารปัจจัย อรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่อรูปีธรรม โดยอาหารปัจจัย มี ๓ นัย [๒๘๑] รูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่รูปีธรรม โดยอินทริยปัจจัย คือ รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอินทริยปัจจัย รูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่อรูปีธรรม โดยอินทริยปัจจัย คือ จักขุนทรีย์ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่ กายวิญญาณ โดยอินทริยปัจจัย อรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่อรูปีธรรม โดยอินทริยปัจจัย มี ๓ นัย รูปีธรรมและอรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่อรูปีธรรม โดยอินทริยปัจจัย คือ จักขุนทรีย์ และจักขุวิญญาณ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่ สหรคตด้วยจักขุวิญญาณ โดยอินทริยปัจจัย กายินทรีย์ ฯลฯ [๒๘๒] อรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่อรูปีธรรม โดยฌานปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยมัคคปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสัมปยุตตปัจจัย มี ๑ นัย [๒๘๓] รูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่อรูปีธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นอรูปีธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อรูปีธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย อรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่รูปีธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอรูปีธรรม เป็นปัจจัย แก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่กาย นี้ ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย [๒๘๔] รูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่รูปีธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาต อาหาร อินทรีย์ ที่เป็นสหชาต ได้แก่มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดยอัตถิปัจจัย รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัย แก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย รูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่อรูปีธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นอรูปีธรรม โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ กวฬิงการาหาร โดยความเป็น ของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น ด้วยทิพพจักขุ ฯลฯ ด้วยทิพพโสตธาตุ ฯลฯ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่ กายวิญญาณ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่ กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอรูปีธรรม โดย อัตถิปัจจัย อรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่อรูปีธรรม โดยอัตถิปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ อรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่รูปีธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่ กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย อรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่รูปีธรรม และอรูปีธรรม โดยอัตถิปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐาน- *รูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ รูปีธรรม และอรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่รูปีธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๔ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอรูปีธรรม และมหาภูตรูป ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอรูปีธรรม และกวฬิง- *การาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอรูปีธรรม และ รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย รูปีธรรม และอรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่อรูปีธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยจักขุวิญญาณ และ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอรูปีธรรม ที่สหรคตด้วยกายวิญญาณ และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอรูปีธรรม และ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยนัตถิปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยวิคตปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอวิคตปัจจัย [๒๘๕] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๒ ในอธิปติปัจจัย มี " ๔ ในอนันตรปัจจัย มี " ๑ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๑ ในสหชาตปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๗ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๖ ในนิสสยปัจจัย มี " ๗ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๒ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๑ ในปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๑ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๑ ในกัมมปัจจัย มี " ๓ ในวิปากปัจจัย มี " ๓ ในอาหารปัจจัย มี " ๔ ในอินทริยปัจจัย มี " ๖ ในฌานปัจจัย มี " ๓ ในมัคคปัจจัย มี " ๓ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๑ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๒ ในอัตถิปัจจัย มี " ๗ ในนัตถิปัจจัย มี " ๑ ในวิคตปัจจัย มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย มี " ๗ พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๒๘๖] รูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่รูปีธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็น ปัจจัยโดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย รูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่อรูปีธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย อรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่อรูปีธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย อรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่รูปีธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย อรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่รูปีธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย รูปีธรรม และอรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่รูปีธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อินทริยปัจจัย รูปีธรรม และอรูปีธรรม เป็นปัจจัยแก่อรูปีธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย [๒๘๗] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สหชาตปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นิสสยปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๗ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัตถิปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๔ พึงนับอย่างนี้
ปัจจนียะ จบ
[๒๘๘] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยทั้งปวง กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ พึงนับอย่างนี้
อนุโลม จบ
[๒๘๙] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๒ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔
พึงกระทำอนุโลมมาติกา
ในอวิคตปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๗
ปัจจนียานุโลม จบ
รูปีทุกะ จบ
โลกิยทุกะ
ปฏิจจวาร
[๒๙๐] โลกิยธรรม อาศัยโลกิยธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นโลกิยธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย โลกุตตรธรรม อาศัยโลกุตตรธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นโลกุตตรธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ โลกิยธรรม อาศัยโลกุตตรธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นโลกุตตรธรรม โลกิยธรรม และโลกุตตรธรรม อาศัยโลกุตตรธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นโลกุตตรธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ โลกิยธรรม อาศัยโลกิยธรรม และโลกุตตรธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นโลกุตตรธรรม และมหา- *ภูตรูปทั้งหลาย
ฯลฯ
[๒๙๑] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๕ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๒ ในอธิปติปัจจัย มี " ๕ ในอนันตรปัจจัย มี " ๒ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๒ ในสหชาตปัจจัย มี " ๕ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๒ ในนิสสยปัจจัย มี " ๕ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๒ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๒ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๒ ในกัมมปัจจัย มี " ๕ ในวิปากปัจจัย มี " ๕ ในอาหารปัจจัย มี " ๕ ในอินทริยปัจจัย มี " ๕ ในฌานปัจจัย มี " ๕ ในมัคคปัจจัย มี " ๕ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๒ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในอัตถิปัจจัย มี " ๒ ในนัตถิปัจจัย มี " ๒ ในวิคตปัจจัย มี " ๒ ในอวิคตปัจจัย มี " ๕
อนุโลม จบ
[๒๙๒] โลกิยธรรม อาศัยโลกิยธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นโลกิยธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ อเหตุกปฏิสนธิ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ
ฯลฯ
[๒๙๓] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๕ ในอาเสวนมูลกนัย ในโลกุตตระ ในสุทธกอรูปภูมิ พึงกำหนดคำว่า วิบาก ส่วนที่เหลือนอกนั้น พึงกระทำตามปรกติ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓
ปัจจนียะ จบ
[๒๙๔] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ บทที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย เป็นต้น เหมือนกับปัจจนียะ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๒๙๕] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑
ปัจจนียานุโลม จบ
สหชาตวาร เหมือนกับปฏิจจวาร
ปัจจยวาร
[๒๙๖] โลกิยธรรม อาศัยโลกิยธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นโลกิยธรรม ฯลฯ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตต- *สมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นโลกิยธรรม อาศัยหทัยวัตถุ โลกุตตรธรรม อาศัยโลกิยธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ทั้งหลาย ที่เป็นโลกุตตรธรรม อาศัยหทัยวัตถุ โลกิยธรรม และโลกุตตรธรรม อาศัยโลกิยธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุ ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นโลกุตตรธรรม อาศัยหทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย โลกุตตรธรรม อาศัยโลกุตตรธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย มี ๓ นัย โลกิยธรรม อาศัยโลกิยธรรม และโลกุตตรธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุ- *ปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นโลกุตตรธรรม และ มหาภูตรูปทั้งหลาย โลกุตตรธรรม อาศัยโลกิยธรรม และโลกุตตรธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นโลกุตตรธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ โลกิยธรรม และโลกุตตรธรรม อาศัยโลกิยธรรม และโลกุตตรธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นโลกุตตรธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นโลกุตตรธรรม และ มหาภูตรูปทั้งหลาย
ฯลฯ
[๒๙๗] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๔ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๔ ในสมนันตรปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๔ ในนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๔ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๔ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๔ ในกัมมปัจจัย มี " ๙ ในวิปากปัจจัย มี " ๙ ฯลฯ ในมัคคปัจจัย มี " ๙ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๔ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในอัตถิปัจจัย มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย มี " ๔ ในวิคตปัจจัย มี " ๔ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙
อนุโลม จบ
[๒๙๘] โลกิยธรรม อาศัยโลกิยธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นโลกิยธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ฯลฯ ตลอดถึง อสัญญสัตว์ จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ กายวิญญาณ อาศัยกายายตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นโลกิยธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ อาศัยหทัยวัตถุ โมหะ ที่ สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และหทัยวัตถุ
ฯลฯ
[๒๙๙] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๓ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในโลกุตตระ ในอรูปภูมิ พึงกำหนดว่าวิบาก ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓
ปัจจนียะ จบ
[๓๐๐] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ บทที่ว่าไม่ใช่อนันตรปัจจัย เป็นต้น เหมือนกับปัจจนียะ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๓๐๑] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑
ปัจจนียานุโลม จบ
สังสัฏฐวาร
[๓๐๒] โลกิยธรรม คลุกเคล้ากับโลกิยธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นโลกิยธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ โลกุตตรธรรม คลุกเคล้ากับโลกุตตรธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นโลกุตตรธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ สังสัฏฐวารพึงให้พิสดารอย่างนี้ พร้อมด้วยการนับ มีหัวข้อปัจจัย ๒
สัมปยุตตวาร เหมือนกับสังสัฏฐวาร
ปัญหาวาร
[๓๐๓] โลกิยธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกิยธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นโลกิยธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ โลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกุตตรธรรม โดยเหตุปัจจัย มี ๓ นัย [๓๐๔] โลกิยธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกิยธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ กระทำอุโบสถกรรม ฯลฯ แล้ว พิจารณาซึ่งกุศลกรรมนั้น บุคคลพิจารณากุศลกรรมทั้งหลาย ที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน จากฌาน ฯลฯ พระอริยะทั้งหลายพิจารณาโคตรภู พิจารณาโวทาน พิจารณากิเลสที่ละ- *แล้ว พิจารณากิเลสที่ข่มแล้ว รู้ซึ่งกิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นโลกิยธรรม โดยความ เป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่เป็นโลกิยธรรม โดย เจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นโลกิยธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโต- *ปริยญาณ แก่บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย โลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกุตตรธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ นิพพานเป็นปัจจัยแก่มรรค แก่ผล โดยอารัมมณปัจจัย โลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกิยธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค แล้วพิจารณามรรค พิจารณาผล พิจารณานิพพาน นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่อาวัชชนะ โดย อารัมมณปัจจัย พระอริยะทั้งหลายรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่เป็นโลกุตตร- *ธรรม โดยเจโตปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นโลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ แก่ บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย [๓๐๕] โลกิยธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกิยธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน ศีล ฯลฯ อุโปสถกรรม ฯลฯ ในกาลก่อน ฯลฯ จากฌาน ฯลฯ พระเสกขบุคคลทั้งหลาย กระทำโคตรภูให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ กระทำโวทานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น แล้วพิจารณา จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นโลกิยธรรม ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำ- *ความยินดีนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นโลกิยธรรม เป็นปัจจัยแก่- *สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย โลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกุตตรธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่มรรค แก่ผล โดย อธิปติปัจจัย ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นโลกุตตรธรรม เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย โลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกิยธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค กระทำ- *มรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น กระทำผลให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น แล้ว พิจารณา นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน โดยอธิปติปัจจัย ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นโลกุตตรธรรม เป็นปัจจัย แก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย โลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกิยธรรม และโลกุตตรธรรม โดยอธิปติ- *ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นโลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย [๓๐๖] โลกิยธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกิยธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นโลกิยธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นโลกิยธรรม ที่เกิดหลังๆ ฯลฯ อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โวทาน โดยอนันตรปัจจัย โลกิยธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกุตตรธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ โคตรภู เป็นปัจจัยแก่มรรค โวทาน เป็นปัจจัยแก่มรรค อนุโลม เป็นปัจจัยแก่ผลสมบัติ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ของบุคคลผู้ออกจาก นิโรธเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ โดยอนันตรปัจจัย โลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกุตตรธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นโลกุตตรธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นโลกุตตรธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย มรรค เป็นปัจจัย แก่ผล ผลเป็นปัจจัยแก่ผล โดยอนันตรปัจจัย โลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกิยธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ผล เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ โดยอนันตรปัจจัย โลกิยธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกิยธรรม โดยสมนันตรปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๕ ปัจจัยสงเคราะห์ ไม่มี ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอัญญมัญญปัจจัย มี ๒ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยนิสสยปัจจัย มี ๗ นัย [๓๐๗] โลกิยธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกิยธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาที่เป็น โลกิยธรรมแล้วให้ทาน ฯลฯ ยังวิปัสสนาให้เกิดขึ้น ยังอภิญญาให้เกิดขึ้น ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ก่อมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีลที่เป็นโลกิยธรรม ฯลฯ เสนาสนะ แล้วให้ทาน ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธาที่เป็นโลกิยธรรม ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธาที่ เป็นโลกิยธรรม ฯลฯ แก่ทุกข์ทางกาย โดยอุปนิสสยปัจจัย ธรรมที่เป็นกุศลและอกุศล เป็นปัจจัยแก่วิบาก โดยอุปนิสสยปัจจัย โลกิยธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกุตตรธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บริกรรมแห่งปฐมมรรค เป็นปัจจัย แก่ปฐมมรรค โดยอุปนิสสยปัจจัย ฯลฯ บริกรรมแห่งจตุตถมรรค เป็นปัจจัย แก่จตุตถมรรค โดยอุปนิสสยปัจจัย โลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกุตตรธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปฐมมรรคเป็นปัจจัยแก่ทุติยมรรค โดยอุปนิสสยปัจจัย ตติยมรรคเป็นปัจจัยแก่จตุตถมรรค โดยอุปนิสสยปัจจัย โลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกิยธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ พระอริยะทั้งหลายเข้าไปอาศัยมรรค แล้วยังสมาบัติที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น เข้าสมาบัติที่เกิดขึ้นแล้วพิจารณาเห็นสังขาร โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา มรรคของพระอริยะเหล่านั้น ฯลฯ เป็นปัจจัยแก่ความฉลาดในฐานะ และอฐานะ โดยอุปนิสสยปัจจัย ผลสมาบัติ เป็นปัจจัยแก่สุขทางกาย โดยอุปนิสสยปัจจัย [๓๐๘] โลกิยธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกิยธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความ เป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัย แก่กายวิญญาณ ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นโลกิยธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย โลกิยธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกุตตรธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ วัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นโลกุตตรธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย [๓๐๙] โลกิยธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกิยธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นโลกิยธรรม ที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย โลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกิยธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นโลกุตตรธรรม ที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัยแก่กาย นี้ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๓๑๐] โลกิยธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกิยธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นโลกิยธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นโลกิยธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอาเสวนปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โวทาน โดยอาเสวนปัจจัย โลกิยธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกุตตรธรรม โดยอาเสวนปัจจัย คือ โคตรภู เป็นปัจจัยแก่มรรค โวทาน เป็นปัจจัยแก่มรรค โดย อาเสวนปัจจัย [๓๑๑] โลกิยธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกิยธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นโลกิยธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นโลกิยธรรม เป็นปัจจัยแก่ วิบากขันธ์ และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย โลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกุตตรธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นโลกิยธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นโลกุตตรธรรม เป็นปัจจัย แก่วิบากขันธ์ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย โลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกิยธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นโลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย โลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกิยธรรม และโลกุตตรธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นโลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๓๑๒] โลกิยธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกิยธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นโลกิยธรรม ซึ่งเป็นวิบาก เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปากปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ใน ปฏิสนธิขณะ ฯลฯ โลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกุตตรธรรม โดยวิปากปัจจัย มี ๓ นัย [๓๑๓] โลกิยธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกิยธรรม โดยอาหารปัจจัย คือ อาหารทั้งหลายที่เป็นโลกิยธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอาหารปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ กพฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดยอาหารปัจจัย โลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกุตตรธรรม โดยวิปากปัจจัย มี ๓ นัย [๓๑๔] โลกิยธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกิยธรรม โดยอินทริยปัจจัย พึงกระทำปฏิสนธิ จักขุนทรีย์เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายินทรีย์เป็นปัจจัย แก่กายวิญญาณโดยอินทริยปัจจัย รูปชีวิตินทรีย์เป็นปัจจัย แก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอินทริยปัจจัย โลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกุตตรธรรม โดยอินทริยปัจจัย มี ๓ นัย [๓๑๕] โลกิยธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกิยธรรม โดยฌานปัจจัย มี ๑ นัย โลกุตตรธรรม ฯลฯ มี ๓ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยมัคคปัจจัย ในโลกิยธรรม มี ๑ นัย ใน โลกุตตรธรรม มี ๓ นัย โลกิยธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกิยธรรม โดยสัมปยุตตปัจจัย มี ๑ นัย โลกุตตรธรรม ฯลฯ มี ๑ นัย [๓๑๖] โลกิยธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกิยธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นโลกิยธรรม เป็นปัจจัย แก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยวิปปยุตต- *ปัจจัย หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นโลกิยธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นโลกิยธรรม เป็นปัจจัย แก่กายนี้ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย โลกิยธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกุตตรธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นโลกิยธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย โลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกิยธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นโลกุตตรธรรม เป็นปัจจัย แก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นโลกุตตรธรรม เป็นปัจจัย แก่กายนี้ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย [๓๑๗] โลกิยธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกิยธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นโลกิยธรรม เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย ฯลฯ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ เหมือนกับ ปุเรชาตปัจจัย หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นโลกิยธรรม โดย อัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นโลกิยธรรม เป็นปัจจัย แก่กายนี้ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย กพฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดยอัตถิปัจจัย รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิ- *ปัจจัย โลกิยธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกุตตรธรรม โดยอัตถิปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นโลกุตตรธรรม โดยอัตถิปัจจัย โลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกุตตรธรรม โดยอัตถิปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นโลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิ- *ปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ โลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกิยธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นโลกุตตรธรรม เป็นปัจจัย แก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นโลกุตตรธรรม เป็นปัจจัย แก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย โลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกิยธรรม และโลกุตตรธรรม โดย อัตถิปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นโลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ โลกิยธรรม และโลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกิยธรรม โดยอัตถิ- *ปัจจัย มี ๔ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นโลกุตตรธรรม และมหาภูตรูป ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นโลกุตตรธรรม และ กพฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นโลกุตตรธรรม และ รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย โลกิยธรรม และโลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกุตตรธรรม โดย อัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นโลกุตตรธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยนัตถิปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยวิคตปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอวิคตปัจจัย [๓๑๘] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในอธิปติปัจจัย มี " ๔ ในอนันตรปัจจัย มี " ๔ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๔ ในสหชาตปัจจัย มี " ๕ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๒ ในนิสสยปัจจัย มี " ๗ ในอุปนิสสยปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๒ ในปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๒ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๒ ในกัมมปัจจัย มี " ๔ ในวิปากปัจจัย มี " ๔ ในอาหารปัจจัย มี " ๔ ในอินทริยปัจจัย มี " ๔ ในฌานปัจจัย มี " ๔ ในมัคคปัจจัย มี " ๔ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๒ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในอัตถิปัจจัย มี " ๗ ในนัตถิปัจจัย มี " ๔ ในวิคตปัจจัย มี " ๔ ในอวิคตปัจจัย มี " ๗
อนุโลม จบ
[๓๑๙] โลกิยธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกิยธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย โลกิยธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกุตตรธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยปุเรชาตปัจจัย โลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกุตตรธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็น ปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย โลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกิยธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็น ปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาต- *ปัจจัย โลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกิยธรรม และโลกุตตรธรรม โดย สหชาตปัจจัย โลกิยธรรม และโลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกิยธรรม โดยสหชาต- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอินทริยปัจจัย โลกิยธรรม และโลกุตตรธรรม เป็นปัจจัยแก่โลกุตตรธรรม โดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย [๓๒๐] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๗
ฯลฯ
ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สหชาตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นิสสยปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๗
ฯลฯ
ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัตถิปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๔
ปัจจนียะ จบ
[๓๒๑] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔
ปัจจนียานุโลม จบ
[๓๒๒] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔
พึงกระทำอนุโลมมาติกา
ในอวิคตปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มี " ๗
ปัจจนียานุโลม จบ
โลกิยทุกะ จบ
เกนจิวิญเญยยทุกะ
ปฏิจจวาร
[๓๒๓] เกนจิวิญเญยยธรรม อาศัยเกนจิวิญเญยยธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็น เกนจิวิญเญยยธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัย หทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย เกนจินวิญเญยยธรรม อาศัยเกนจิวิญเญยยธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นเกนจินวิญเญยยธรรม และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเกนจิวิญเญยยธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายอาศัย หทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย เกนจิวิญเญยยธรรม และเกนจินวิญเญยยธรรม อาศัยเกนจิวิญเญยย- *ธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นเกนจิวิญเญยยธรรม และเกนจิวิญเญยยธรรม และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเกนจิวิญเญยยธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายอาศัย หทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย เกนจินวิญเญยยธรรม อาศัยเกนจินวิญเญยยธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นเกนจินวิญเญยยธรรม และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเกนจินวิญเญยยธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัย หทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัย มหาภูตรูปทั้งหลาย เกนจิวิญเญยยธรรม อาศัยเกนจินวิญเญยยธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นเกนจิวิญเญยยธรรม และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัย ขันธ์ ๑ ที่เป็นเกนจินวิญเญยยธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัย หทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย เกนจิวิญเญยยธรรม และเกนจินวิญเญยยธรรม อาศัยเกนจินวิญเญยย- *ธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นเกนจิวิญเญยยธรรม และเกนจินวิญเญยยธรรม และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเกนจินวิญเญยยธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัย หทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย เกนจิวิญเญยยธรรม อาศัยเกนจิวิญเญยยธรรม และเกนจินวิญเญยย- *ธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นเกนจิวิญเญยยธรรม และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัย ขันธ์ ๑ ที่เป็นเกนจิวิญเญยยธรรม และเกนจินวิญเญยยธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัย หทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย เกนจินวิญเญยยธรรม อาศัยเกนจิวิญเญยยธรรม และเกนจินวิญเญยย- *ธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นเกนจินวิญเญยยธรรม และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัย ขันธ์ ๑ ที่เป็นเกนจินวิญเญยยธรรม และเกนจิวิญเญยยธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัย หทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย เกนจิวิญเญยยธรรม และเกนจินวิญเญยยธรรม อาศัยเกนจิวิญเญยย- *ธรรม และเกนจินวิญเญยยธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นเกนจิวิญเญยยธรรม และเกนจินวิญเญยยธรรม และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นเกนจิวิญเญยยธรรม และเกนจิ- *นวิญเญยยธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัย หทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย
ฯลฯ
[๓๒๔] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙
อนุโลม จบ
[๓๒๕] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๙ การนับทั้งสี่พึงกระทำให้บริบูรณ์อย่างนี้ สหชาตวารก็ดี ปัจจยวารก็ดี นิสสยวารก็ดี สังสัฏฐวารก็ดี สัมปยุตต- *วารก็ดี พึงให้พิสดารอย่างนี้ ปัจจยวาร พึงแสดง หทัยวัตถุ และอายตนะห้า พึงกระทำตามสมควร
ปัญหาวาร
[๓๒๖] เกนจิวิญเญยยธรรม เป็นปัจจัยแก่เกนจิวิญเญยยธรรม โดย เหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นเกนจิวิญเญยยธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ปฏิสนธิ
ฯลฯ
[๓๒๗] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙
อนุโลม จบ
[๓๒๘] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๙
ปัจจนียะ จบ
การนับทั้งสี่พึงกระทำให้บริบูรณ์อย่างนี้
เกนจิญเญยยทุกะ จบ
อาสวทุกะ
ปฏิจจวาร
[๓๒๙] อาสวธรรม อาศัยอาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ อาศัยกามาสวะ กามาสวะ อวิชชาสวะ อาศัยทิฏฐาสวะ กามาสวะ ทิฏฐาสวะ อาศัยอวิชชาสวะ อวิชชาสวะ อาศัย ภวาสวะ อวิชชาสวะ อาศัยทิฏฐาสวะ
พึงผูกจักรนัย แม้อย่างหนึ่งๆ
ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม อาศัยอาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ อาสวสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยอาสวธรรม อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม อาศัยอาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยกามาสวะ
พึงผูกจักรนัย
ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่อาสวธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัย หทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย อาสวธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ อาสวะ ๔ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่อาสวธรรม อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นอาสวธรรม และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่อาสวธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ อาสวธรรม อาศัยอาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ อาศัยกามาสวะ และสัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย
พึงผูกจักรนัย
ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม อาศัยอาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่อาสวธรรม และอาสวธรรมทั้งหลาย ขันธ์ ๒ ฯลฯ อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม อาศัยอาสวธรรม และธรรม ที่ไม่ใช่อาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัย ขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่อาสวธรรม และกามาสวะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ
พึงผูกจักรนัย
ฯลฯ
[๓๓๐] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙
อนุโลม จบ
[๓๓๑] ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่อาสวธรรม ซึ่งเป็นเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ อาสวธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๓๓๒] ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม อาศัยอาสวธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยอาสวธรรมทั้งหลาย ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่อาสวธรรม ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม อาศัยอาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยอาสวธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย
ฯลฯ
[๓๓๓] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓
ปัจจนียะ จบ
[๓๓๔] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๓๓๕] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มี " ๒ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๒ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในมัคคปัจจัย มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย มี " ๒
ปัจจนียานุโลม จบ
สหชาตวาร เหมือนกับ ปฏิจจวาร
ปัจจยวาร
[๓๓๖] อาสวธรรม อาศัยอาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย อาสว- *มูลกนัย มี ๓ นัย เหมือนกับ ปฏิจจวาร ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เกิดขึ้นเพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่อาสวธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายอาศัย หทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูปอาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่อาสวธรรม อาศัยหทัยวัตถุ อาสวธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ อาสวธรรมทั้งหลาย อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่อาสวธรรม อาสว- *ธรรมทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ที่เป็นอาสวธรรม และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่- *ไม่ใช่อาสวธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ อาสวธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัย หทัยวัตถุ อาสวธรรม อาศัยอาสวธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ อาศัยกามาสวะ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย
พึงผูกจักรนัย
ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ อาศัยกามาสวะ และหทัยวัตถุ
พึงผูกจักรนัย
ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม อาศัยอาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่อาสวธรรม และอาสวธรรมทั้งหลาย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่อาสวธรรม อาศัย อาสวธรรม และหทัยวัตถุ อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม อาศัยอาสวธรรม และธรรม ที่ไม่ใช่อาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่อาสวธรรม และกามาสวะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ
พึงผูกจักรนัย
ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยกามาสวะ และหทัยวัตถุ
พึงผูกจักรนัย
ฯลฯ
[๓๓๗] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในวิคตปัจจัย มี " ๙
อนุโลม จบ
[๓๓๘] ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่อาสวธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ อเหตุกปฏิสนธิ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ กายวิญญาณ อาศัยกายายตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่อาสวธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ อาศัยหทัยวัตถุ อาสวธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ เหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และหทัยวัตถุ [๓๓๙] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓
การนับทั้งปวง พึงนับอย่างนี้
นิสสยวาร เหมือนกับ ปัจจยวาร
สังสัฏฐวาร
[๓๔๐] อาสวธรรม คลุกเคล้ากับอาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ คลุกเคล้ากับกามาสวะ
พึงผูกจักรนัย
ฯลฯ
[๓๔๑] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ [๓๔๒] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๙ การนับก็ดี สัมปยุตตวารก็ดี เหมือนกับ สังสัฏฐวาร
ปัญหาวาร
[๓๔๓] อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ กามาสวะ เป็นปัจจัยแก่ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ โดยเหตุปัจจัย ภวาสวะ เป็นปัจจัยแก่ อวิชชาสวะ โดยเหตุปัจจัย
พึงผูกจักรนัย
อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นอาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดย เหตุปัจจัย คือ กามาสวะ เป็นปัจจัยแก่ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดย เหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ปฏิสนธิ ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และอาสวธรรม โดยเหตุปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่อาสว- *ธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาสวธรรม และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่ อาสวธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นอาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรมเป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย [๓๔๔] อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภอาสวธรรมทั้งหลาย อาสวธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้น อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภอาสวธรรมทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่อาสวธรรม เกิดขึ้น อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภอาสวธรรมทั้งหลาย อาสวธรรม และสัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย เกิดขึ้น ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ จากฌาน ฯลฯ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรคแล้ว พิจารณามรรค พิจารณาผล พิจารณา นิพพาน นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล แก่ อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย พระอริยะทั้งหลายพิจารณากิเลสที่ละแล้ว ที่ไม่ใช่อาสวธรรม ฯลฯ กิเลส ทั้งหลายที่ข่มแล้ว ฯลฯ รู้ซึ่งกิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยความ เป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพยจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพโสตธาตุ บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดย เจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโตปริย- *ญาณ แก่บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่ อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทานแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่งทานนั้น เพราะปรารภ ความยินดีนั้น อาสวธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้น ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ ฌาน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่ง- *ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่อาสวธรรม ให้หนักแน่นแล้ว เพราะปรารภความยินดีนั้น อาสวธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้น ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ อาสวธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ ทาน ฯลฯ มีอธิบายเหมือนกับข้อความตามบาลีตอนที่สอง บุคคล ย่อมยินดีย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภความยินดีนั้น อาสวธรรม และ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภอาสวธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาสวธรรม ทั้งหลาย เกิดขึ้น อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่ อารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภอาสวธรรม และสัมปยุตตขันธ์ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่ อาสวธรรม เกิดขึ้น อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม และ ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภอาสวธรรม และสัมปยุตตขันธ์ อาสวธรรม และ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น [๓๔๕] อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะกระทำอาสวธรรม ทั้งหลายให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น อาสวธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้น มี ๓ นัย พึงกระทำว่าให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เหมือนกับอารัมมณปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดย อธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ ในกาลก่อน ฯลฯ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค ฯลฯ ผล ฯลฯ กระทำนิพพานให้เป็น อารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล โดย อธิปติปัจจัย จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่อาสวธรรม ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำความยินดีนั้นให้หนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ ทาน ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่ ไม่ใช่อาสวธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำความยินดีนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น อาสวธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้น ธรรมที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ อาสวธรรมทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ อาสวธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ ทาน ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่ ไม่ใช่อาสวธรรมให้หนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำ ความยินดีนั้นให้หนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ อาสวธรรม และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม โดย อธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลกระทำอาสวธรรมและ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายให้หนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ฯลฯ อาสวธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้น มี ๓ นัย พึงกระทำว่าให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น [๓๔๖] อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ อาสวธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรมทั้งหลายที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ อาสวธรรมทั้งหลายที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่ ไม่ใช่อาสวธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อาสวธรรมทั้งหลายเป็น ปัจจัยแก่วุฏฐานะ โดยอนันตรปัจจัย อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ อาสวธรรมทั้งหลายที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรมทั้งหลาย ที่เกิดหลังๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอนันตรปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดย อนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่อาสวธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่อาสวธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลม เป็น ปัจจัยแก่โคตรภู แก่ผลสมาบัติ โดยอนันตรปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่อาสวธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นอาสวธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ อาสวธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่อาสวธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ อาสวธรรมทั้งหลาย ที่เกิดหลังๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอนันตร- *ปัจจัย อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม โดยอนันตรปัจจัย มี ๓ นัย อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม โดยสมนันตรปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอัญญมัญญปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยนิสสยปัจจัย มี ๙ นัย และพึงแสดง หทัยวัตถุ [๓๔๗] อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ อาสวธรรมทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่ อาสวธรรมทั้งหลาย โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ นัย ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสย อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้วให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ก่อมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัย ศีล ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ ศรัทธา ฯลฯ แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้ว ก่อมานะ ถือทิฏฐิ ศีล ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ ราคะ ฯลฯ แก่ความ ปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ อาสวธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้ว ก่อมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัย ศีล ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ ราคะ ฯลฯ แก่ความ ปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ มี ๓ นัย [๓๔๘] ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ หทัยวัตถุ ฯลฯ
พึงให้พิสดารอย่างนี้
โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยปุเรชาตปัจจัย ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลกระทำหทัยวัตถุให้ หนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่งหทัยวัตถุ เพราะปรารภความ ยินดีนั้น อาสวธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้น ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรมทั้งหลาย โดยปุเรชาตปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ อาสวธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ บุคคลกระทำจักขุให้หนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินซึ่งจักขุ เพราะปรารภความยินดีนั้น อาสวธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม และ อาสวสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย [๓๔๙] อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดย ปัจฉาชาตปัจจัย คือ อาสวธรรมที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อน โดย ปัจฉาชาตปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดย ปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่อาสวธรรม ที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัยแก่ กายนี้ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ อาสวธรรม ที่เกิดภายหลัง และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัย แก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๓๕๐] อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม โดยอาเสวนปัจจัย มี ๙ นัย [๓๕๑] ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ วิบากขันธ์ และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตอาสวธรรม ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ อาสวธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ อาสวธรรม และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๓๕๒] ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยวิปากปัจจัย มี ๑ นัย [๓๕๓] ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยอาหารปัจจัย คือ อาหารทั้งหลายที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอาหารปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดยอาหารปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม โดยอาหารปัจจัย คือ อาหารทั้งหลายที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตอาสว- *ธรรมทั้งหลาย โดยอาหารปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ อาสวธรรม โดยอาหารปัจจัย คือ อาหารทั้งหลายที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ อาสวธรรม และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอาหารปัจจัย [๓๕๔] ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยอินทริยปัจจัย คือ อินทรีย์ทั้งหลายที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอินทริยปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ จักขุนทรีย์ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยอินทริยปัจจัย รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่ กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอินทริยปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยฌานปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยมัคคปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสัมปยุตตปัจจัย มี ๙ นัย [๓๕๕] อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดย วิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ อาสวธรรมทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ อาสวธรรมทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดย วิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่หทัยวัตถุ โดยวิปปยุตต ปัจจัย หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ อาสวธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่ อาสวธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ อาสวธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็น ปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ อาสวธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็น ปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย [๓๕๖] อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม โดยอัตถิปัจจัย คือ กามาสวะ เป็นปัจจัยแก่ทิฏฐาสวะ โดยอัตถิปัจจัย
พึงผูกจักรนัย
อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ อาสวธรรมทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่อาสวธรรมทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่ เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยอัตถิปัจจัย คือ กามาสวะ เป็นปัจจัยแก่ทิฏฐาสวะ แก่อวิชชาสวะ แก่สัมปยุตต- *ขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดย อัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่ กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดย อัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัย แก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดยอัตถิปัจจัย รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ อาสวธรรมทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลกระทำหทัยวัตถุให้หนักแน่น แล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งหทัยวัตถุ เพราะปรารภความยินดีนั้น อาสวธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้น หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรมทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ อาสวธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ อาสวธรรม และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ
พึงผูกจักรนัย
อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม โดย อัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ กามาสวะ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่ อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อวิชชาสวะ โดยอัตถิปัจจัย
พึงผูกจักรนัย
กามาสวะ และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ทิฏฐาสวะ แก่อวิชชาสวะ โดยอัตถิปัจจัย อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่ อาสวธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่อาสวธรรม และอาสวธรรม ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นสหชาต ได้แก่ อาสวธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัย แก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย อาสวธรรมทั้งหลาย และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่ อาสวธรรม โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ อาสวธรรมทั้งหลาย และกวฬิงการาหาร เป็น ปัจจัยแก่กายนี้ โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ อาสวธรรมทั้งหลาย และรูปชีวิตินทรีย์ เป็น ปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม และ ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่อาสวธรรม และกามาสวะ เป็น ปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย อัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ
พึงผูกจักรนัย
ที่เป็นสหชาต ได้แก่ กามาสวะ และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย
พึงผูกจักรนัย
[๓๕๗] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๗ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๙ ในนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในกัมมปัจจัย มี " ๓ ในวิปากปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๓ ในมัคคปัจจัย มี " ๙ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในอัตถิปัจจัย มี " ๙ ในวิคตปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙
อนุโลม จบ
[๓๕๘] อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปัจฉาชาตปัจจัย อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมม- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปุเรชาตปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ อาสวธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่ อาสวธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม และธรรมที่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย [๓๕๙] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๙
ปัจจนียะ จบ
[๓๖๐] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยทั้งปวง กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๗
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๓๖๑] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ พึงกระทำบทที่เป็นอนุโลมให้บริบูรณ์ ในอวิคตปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙
ปัจจนียานุโลม จบ
อาสวทุกะ จบ
สาสวทุกะ
ปฏิจจวาร
[๓๖๒] สาสวธรรม อาศัยสาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสาสวธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายอาศัย หทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูปที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย อนาสวธรรม อาศัยอนาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนาสวธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ สาสวธรรม อาศัยอนาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนาสวธรรม สาสวธรรม และอนาสวธรรม อาศัยอนาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอนาสวธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ สาสวธรรม อาศัยสาสวธรรม และอนาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอนาสวธรรม และ มหาภูตรูปทั้งหลาย โลกิยทุกะ ในจูฬันตรทุกะฉันใด พึงกระทำฉันนั้น ไม่มีแตกต่างกัน
สาสวทุกะ จบ
อาสวสัมปยุตตทุกะ
ปฏิจจวาร
[๓๖๓] อาสวสัมปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ อาสววิปปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม โมหะ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตต- *ธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอาสวสัมปยุตต- *ธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ โมหะ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ สหรคตด้วยโทมนัส ขันธ์ ๒ ฯลฯ อาสววิปปยุตตธรรม อาศัยอาสววิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอาสววิปป- *ยุตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัย หทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ มหาภูตรูป ๑ อาศัยมหาภูตรูป ๓ มหา- *ภูตรูป ๒ อาศัยมหาภูตรูป ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็น อุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย อาสวสัมปยุตตธรรม อาศัยอาสววิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม อาศัยอาสววิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วย โทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาสวสัมปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ อาสววิปปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วย โทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วย โทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๓๖๔] อาสวสัมปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ อาสววิปปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ โมหะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และโมหะ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่ สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ อาสววิปปยุตตธรรม อาศัยอาสววิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอาสววิปปยุตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ อาสวสัมปยุตตธรรม อาศัยอาสววิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่ สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาสวสัมปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๓๖๕] อาสวสัมปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย มี ๓ นัย อาสววิปปยุตตธรรม อาศัยอาสววิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะ อธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอาสววิปป- *ยุตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยโทมนัส มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย อาสวสัมปยุตตธรรม อาศัยอาสววิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะ อธิปติปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยโทมนัส อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม อาศัยอาสววิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย อาศัยโมหะ ที่ สหรคตด้วยโทมนัส อาสวสัมปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตต- *ธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโทมนัส และโมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ อาสววิปปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตต- *ธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และโมหะ อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตต- *ธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วย โทมนัส และโมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปัจจัยทั้งปวง พึงให้พิสดารอย่างที่กล่าวมาแล้ว
ฯลฯ
[๓๖๖] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๖ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๖ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสหชาตปัจจัย มี " ๖ ในอัญญมัญญปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๖ ในนิสสยปัจจัย มี " ๖ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๖ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในกัมมปัจจัย มี " ๖ ในวิปากปัจจัย มี " ๙ ในอาหารปัจจัย มี " ๙ ในอินทริยปัจจัย มี " ๖ ในฌานปัจจัย มี " ๙ ในมัคคปัจจัย มี " ๙ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๖ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในอัตถิปัจจัย มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย มี " ๖ ในวิคตปัจจัย มี " ๖ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙
อนุโลม จบ
[๓๖๗] อาสววิปปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาสววิปปยุตตธรรม อาศัยอาสววิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอาสววิปยุตต- *ธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ อเหตุกปฏิสนธิ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ [๓๖๘] อาสววิปปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม อาสววิปปยุตตธรรม อาศัยอาสววิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสววิปปยุตตธรรม จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่ สหรคตด้วยอุทธัจจะ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ อาสววิปปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตต- *ธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย โทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ [๓๖๙] อาสวสัมปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะอธิปติปัจจัย
ฯลฯ
[๓๗๐] อาสวสัมปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ อาสววิปปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ ปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ จิตตสมุฏฐาน- *รูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตต- *ธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ และโมหะ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ อาสววิปปยุตตธรรม อาศัยอาสววิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ ปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอาสววิปปยุตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสววิปปยุตตธรรม จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ปฏิสนธิ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ อาสวสัมปยุตตธรรม อาศัยอาสววิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ ปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาสวสัมปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตต- *ธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่ สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ อาสววิปปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตต- *ธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย โทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ มี ๒ นัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะปัจฉาชาตปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย มี ๙ นัย [๓๗๑] อาสวสัมปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ สัมปยุตตเจตนา อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม อาสววิปปยุตตธรรม อาศัยอาสววิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ กัมมปัจจัย คือ วิปปยุตตเจตนา อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสววิปปยุตตธรรม อาสวสัมปยุตตธรรม อาศัยอาสววิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ กัมมปัจจัย คือ สัมปยุตตเจตนา อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคต ด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาสวสัมปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตต- *ธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย คือ สัมปยุตตเจตนา อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่ สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิปากปัจจัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอาหารปัจจัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอินทริยปัจจัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะฌานปัจจัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะมัคคปัจจัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะสัมปยุตตปัจจัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะนัตถิปัจจัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิคตปัจจัย [๓๗๒] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓
ปัจจนียะ จบ
[๓๗๓] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓
อนุโลมปัจจนียา จบ
[๓๗๔] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๒ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในกัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในวิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๒ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒
ปัจจนียานุโลม จบ
สหชาตวาร เหมือนกับ ปฏิจจวาร
ปัจจยวาร
[๓๗๕] อาสวสัมปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย มี ๓ นัย เหมือนกับ ปฏิจจวาร อาสววิปปยุตตธรรม อาศัยอาสววิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอาสววิปยุตต- *ธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัย หทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๓ อาศัยมหาภูตรูป ๑ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสววิปปยุตตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ โมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ อาศัยหทัยวัตถุ อาสวสัมปยุตตธรรม อาศัยอาสววิปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ สัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม อาศัยอาสววิปปยุตต- *ธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ จิตต- *สมุฏฐานรูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย อาศัยโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และโมหะ อาศัยหทัยวัตถุ อาสวสัมปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ อาสววิปปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตต- *ธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ โมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และ หทัยวัตถุ อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตต- *ธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคต ด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ และโมหะ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโทมนัส และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๓๗๖] อาสวสัมปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย มี ๓ นัย เหมือนกับปฏิจจวาร อาสววิปปยุตตธรรม อาศัยอาสววิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอาสววิปปยุตตธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ กายวิญญาณ อาศัยกายายตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสว- *วิปปยุตตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ โมหะ ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยหทัยวัตถุ อาสวสัมปยุตตธรรม อาศัยอาสววิปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ สัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยโมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปยุตตธรรม อาศัยอาสววิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่ สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ อาศัยหทัยวัตถุ อาสวสัมปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตต- *ธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ อาสววิปปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ โมหะที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่ สหรคตด้วยอุทธัจจะ และหทัยวัตถุ อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตต- *ธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และโมหะ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่ สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ฯลฯ เพราะอธิปติปัจจัย ฯลฯ เพราะอนันตรปัจจัย ฯลฯ เพราะอวิคตปัจจัย [๓๗๗] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ในกัมมปัจจัย มี " ๙ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙
อนุโลม จบ
[๓๗๘] อาสววิปปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาสววิปปยุตตธรรม อาศัยอาสววิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอาสววิปปยุตต- *ธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ อเหตุกปฏิสนธิ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ กายวิญญาณ อาศัยกายายตนะ ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอาสววิปปยุตตธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ อาศัยหทัยวัตถุ โมหะ ที่สหรคต ด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยหทัยวัตถุ อาสววิปปยุตตธรรม อาศัยอาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตต- *ธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และหทัยวัตถุ
ฯลฯ
[๓๗๙] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓ การนับทั้งสองนี้ แม้นอกนี้ พึงกระทำอย่างนี้ แม้นิสสยวาร ก็เหมือนกับ ปัจจยวาร
สังสัฏฐวาร
[๓๘๐] อาสวสัมปยุตตธรรม คลุกเคล้ากับอาสวสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย [๓๘๑] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๖ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๖ ในอธิปติปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๖ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย มี " ๖
อนุโลม จบ
[๓๘๒] อาสววิปปยุตตธรรม คลุกเคล้ากับอาสวสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ คลุกเคล้า กับขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาสววิปปยุตตธรรม คลุกเคล้ากับอาสววิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย ฯลฯ [๓๘๓] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๖ การนับทั้งสองนี้ แม้นอกนี้ พึงกระทำอย่างที่กล่าวมาแล้ว แม้สัมปยุตตวาร ก็เหมือนกับ สังสัฏฐวาร
ปัญหาวาร
[๓๘๔] อาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม โดย เหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย อาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสววิปปยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐาน รูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย โทสะ เป็นปัจจัยแก่โมหะ และจิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย อาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปป- *ยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย โทสะ เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ โมหะ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสววิปปยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นอาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย โมหะ ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ปฏิสนธิ อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปป- *ยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคต- *ด้วยอุทธัจจะ เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย เหตุปัจจัย อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ อาสวสัมปยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ โทสะ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตต- *ธรรม โดยเหตุปัจจัย อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสว- *วิปปยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ โทสะ และ โมหะ เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย เหตุปัจจัย อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสว- *สัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ โทสะ และ โมหะ เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย [๓๘๕] อาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น อาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสววิปปยุตตธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอาสววิปปยุตตธรรม และ โมหะ เกิดขึ้น อาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสว- *วิปปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และ โมหะ เกิดขึ้น อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสววิปปยุตตธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ แล้ว พิจารณา ซึ่งกุศลกรรมนั้น บุคคลพิจารณากุศลธรรมทั้งหลาย ที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน จากฌาน ฯลฯ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรคแล้ว พิจารณามรรค ฯลฯ ผล ฯลฯ นิพพาน ฯลฯ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย พระอริยะทั้งหลายพิจารณากิเลสที่ละแล้ว ที่เป็นอาสววิปปยุตตธรรม พิจารณากิเลสทั้งหลายที่ข่มแล้ว ในกาลก่อน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ พิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อาสววิปปยุตตธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็น อนัตตาในที่นี้ ความยินดีไม่มี บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่เป็นอาสววิปปยุตตธรรม โดย เจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ อิทธิวิธญาณ แก่ เจโตปริยญาณ แก่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่ อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ แก่โมหะ โดยอารัมมณปัจจัย อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ บุคคลกระทำอุโบสถกรรมแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่งกุศลกรรมนั้น เพราะปรารภความยินดีนั้น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น วิจิกิจฉา ฯลฯ อุทธัจจะ ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น กุศลกรรมทั้งหลาย ที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ ออกจากฌานแล้ว พิจารณาฌาน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่ง ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสววิปปยุตตธรรม เพราะปรารภความยินดีนั้น ราคะ ฯลฯ ทิฏฐิ โทมนัส วิจิกิจฉา ฯลฯ อุทธัจจะ เกิดขึ้น อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปป- *ยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อาสววอิปปยุตตธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และ โมหะ เกิดขึ้น อาสวสัมปยุตตธรรม และ อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ อาสวสัมปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และ โมหะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตต- *ธรรม เกิดขึ้น อาสวสัมปยุตตธรรม และ อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสว- *วิปปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และ โมหะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสววิปปยุตต- *ธรรม และ โมหะ เกิดขึ้น อาสวสัมปยุตตธรรม และ อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสว- *สัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และ โมหะ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และ โมหะ เกิดขึ้น [๓๘๖] อาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็น อาสวสัมปยุตตธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสว- *สัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย อาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสววิปปยุตตธรรมทั้งหลาย โดย อธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นอาสวสัมปยุตต- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย อธิปติธรรมที่ สหรคตด้วยโทมนัส เป็นปัจจัยแก่โมหะ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย อธิปติปัจจัย อาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม และ อาสว วิปปยุตตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นอาสวสัมปยุตต- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปตุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติ- *ปัจจัย อธิปติธรรมที่สหรคตด้วยโทมนัส เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ โมหะ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสววิปปยุตตธรรม โดย- *อธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ กระทำอุโบสถกรรม ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ ออกจากฌาน ฯลฯ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค มรรค ฯลฯ ผล ฯลฯ กระทำนิพพาน ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล โดยอธิปติ- *ปัจจัย ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นอาสววิปปยุตตธรรม เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม โดย ธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ กระทำ อุโบสถกรรม กระทำกุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำความยินดีนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้ในกาลก่อน ฯลฯ จากฌาน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ กระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสววิปปยุตต- *ธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะ กระทำความยินดีนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น [๓๘๗] อาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม ที่เกิดก่อน เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม ที่เกิดขึ้นหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสววิปปยุตตธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่ สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่โมหะ ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ โดย อนันตรปัจจัย อาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม และ อาสว- *วิปปยุตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่ สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดหลังๆ และโมหะ โดย อนันตรปัจจัย อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสววิปปยุตตธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่โมหะ ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่ สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสววิปปยุตตธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นอาสววิปปยุตตธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่ผลสมาบัติ โดยอนันตรปัจจัย อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่ สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม โดยอนันตร ปัจจัย อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม และ อาสว- *วิปปยุตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดหลังๆ และ โมหะ โดย อนันตรปัจจัย อาวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่ สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ โดยอนันตรปัจจัย อาสวสัมปยุตตธรรม และ อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ อาสว- *สัมปยุตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดก่อนๆ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย โทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดหลังๆ โดย อนันตรปัจจัย อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสว- *วิปปยุตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่ สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดก่อนๆ และ โมหะ เป็นปัจจัยแก่ โมหะ ที่ สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ โดยอนันตรปัจจัย อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสว- *สัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดก่อนๆ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม โดยสมนันตร- *ปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอัญญมัญญปัจจัย มี ๖ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยนิสสยปัจจัย มี ๙ นัย [๓๘๘] อาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย อาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสววิปปยุตตธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสววิปปยุตตธรรม และโมหะ โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย อาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสว- *วิปปยุตตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ โดยอุปนิสสยปัจจัย อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ อาสววิปปยุตตธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้วให้ทาน บุคคลเข้าไปอาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา สุขทางกาย เสนาสนะ ฯลฯ โมหะแล้ว ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ศรัทธา ฯลฯ ปัญญา สุขทางกาย ทุกข์ทางกาย โมหะ เป็นปัจจัยแก่ ศรัทธา แก่โมหะ โดยอุปนิสสยปัจจัย อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้ว ก่อมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา สุขทางกาย ทุกข์ทางกาย ฤดู โภชนะ เสนาสนะ ฯลฯ โมหะแล้ว ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ ราคะ ฯลฯ แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสว- *วิปปยุตตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ศรัทธา ฯลฯ ศีล ฯลฯ โมหะ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ และโมหะ โดยอุปนิสสยปัจจัย อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสว- *สัมปยุตตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย
พึงถามถึงมูล
ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสววิปปยุตตธรรม และโมหะ โดยอุปนิสสยปัจจัย อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ อาสว- *สัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๓๘๙] อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสววิปปยุตตธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ พิจารณาเห็นหทัยวัตถุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่ กายวิญญาณ ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่ กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นอาสววิปปยุตตธรรม และโมหะ โดยปุเรชาตปัจจัย อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรมโดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิด เพลินยิ่ง ซึ่งหทัยวัตถุ เพราะปรารภความยินดีนั้น ราคะ เกิดขึ้น ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสว- *วิปปยุตตธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ เพราะปรารภหทัยวัตถุ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เกิดขึ้น ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ โดยปุเรชาตปัจจัย [๓๙๐] อาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสววิปปยุตตธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม ที่เกิดภายหลัง เป็นปัจจัย แก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสววิปปยุตตธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสววิปปยุตตธรรม ที่เกิดภายหลัง และโมหะ เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสว- *วิปปยุตตธรรม โดยสหชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่ สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดภายหลัง และโมหะ เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๓๙๑] อาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม โดยอาเสวนปัจจัย มี ๙ นัย อาวัชชนะ ก็ดี วุฏฐานะ ก็ดี ไม่มี [๓๙๒] อาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย อาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสววิปปยุตตธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่เจตนาที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่เจตนาที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัย แก่วิบากขันธ์ และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย เจตนาที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ เป็นปัจจัยแก่ โมหะ และจิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย อาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปป- *ยุตตธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย เจตนาที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่ สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และโมหะ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสววิปปยุตตธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่เจตนาที่เป็นอาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่เจตนาที่เป็นอาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัย แก่วิบากขันธ์ และกฏัตตรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๓๙๓] อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสววิปปยุตตธรรม โดยวิปากปัจจัย มี ๑ นัย [๓๙๔] อาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม โดยอาหารปัจจัย คือ อาหารทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลาย โดยอาหารปัจจัย อาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสววิปปยุตตธรรม โดยอาหารปัจจัย คือ อาหารทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏ- *ฐานรูปทั้งหลาย โดยอาหารปัจจัย อาหารทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ เป็นปัจจัยแก่โมหะ และจิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอาหารปัจจัย อาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสว- *วิปปยุตตธรรม โดยอาหารปัจจัย คือ อาหารทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอาหารปัจจัย อาหารทั้งหลายที่สหรคต- *ด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และโมหะ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย อาหารปัจจัย อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสววิปปยุตตธรรม โดยอาหารปัจจัย คือ อาหารทั้งหลายที่เป็นอาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอาหารปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดยอาหารปัจจัย [๓๙๕] อาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม โดย อินทริยปัจจัย มี ๔ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยฌานปัจจัย มี ๔ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยมรรคปัจจัย มี ๔ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสัมปยุตตปัจจัย มี ๖ นัย [๓๙๖] อาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสววิปปยุตตธรรม โดย วิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัย แก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม เป็น ปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสววิปปยุตตธรรม โดยวิปปยุตต- *ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต ฯลฯ พึงให้พิสดาร อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม โดยวิปปยุตต- *ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสว- *วิปปยุตตธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ โดยวิปปยุตตปัจจัย อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสว- *วิปปยุตตธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคต ด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ กายนี้ ที่เกิด ก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย [๓๙๗] อาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม โดย อัตถิปัจจัย มี ๑ นัย อาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสววิปปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม เป็น ปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย โทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ เป็นปัจจัยแก่ โมหะ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม เป็น ปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย อาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสว- *วิปปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย เหมือนกับ สหชาตปัจจัย อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสววิปปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ฯลฯ พึงให้พิสดาร อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่โมหะ ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดย อัตถิปัจจัย ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลิน ยิ่งซึ่งหทัยวัตถุ เพราะปรารภความยินดีนั้น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น วิจิกิจฉา ฯลฯ อุทธัจจะ ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสว- *วิปปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ โมหะ ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐาน- *รูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ เพราะปรารภหทัยวัตถุ ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และ โมหะ เกิดขึ้น อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสว- *สัมปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม และ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสว- *วิปปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม และ มหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่โมหะ โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม และ กพฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม และ รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสว- *สัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๓๙๘] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอธิปติปัจจัย มี " ๕ ในอนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสหชาตปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๖ ในนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในกัมมปัจจัย มี " ๔ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๔ ในอินทริยปัจจัย มี " ๔ ในฌานปัจจัย มี " ๔ ในมัคคปัจจัย มี " ๔ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๖ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในอัตถิปัจจัย มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย มี " ๙ ในวิคตปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙
อนุโลม จบ
[๓๙๙] อาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย อาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสววิปปยุตตธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย อาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสว- *วิปปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสววิปปยุตตธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยปุเรชาตปัจจัย อาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสว- *วิปปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสว- *สัมปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสว- *วิปปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย อาสวสัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อาสว- *สัมปยุตตธรรม และอาสววิปปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดย สหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย [๔๐๐] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๙
ปัจจนียะ จบ
[๔๐๑] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙
อนุโลมปัจจนียะ จบ
[๔๐๒] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ฯลฯ
พึงกระทำการนับจำนวนอนุโลม
ในอวิคตปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙
ปัจจนียานุโลม จบ
อาสวสัมปยุตตทุกะ จบ
อาสวสาสวทุกะ
ปฏิจจวาร
[๔๐๓] ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและสาสวธรรม อาศัยธรรมที่เป็นทั้ง อาสวธรรมและสาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ อาศัยกามาสวะ
พึงผูกจักรนัย
อวิชชาสวะ อาศัยภวาสวะ
พึงผูกจักรนัย
อวิชชาสวะ อาศัยทิฏฐาสวะ
ธรรมที่เป็นสาสวธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม อาศัยธรรมที่เป็นทั้งอาสว- *ธรรมและอาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย อาศัยอาสวธรรม ทั้งหลาย ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและสาสวธรรม และธรรมที่เป็นสาสวธรรม แต่ไม่ใช่อาสวธรรม อาศัยธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและสาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย อาศัยกามาสวะ ภวาสวะ ฯลฯ
พึงผูกจักรนัย
ธรรมที่เป็นสาสวธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม อาศัยธรรมที่เป็นสาสวธรรม แต่ไม่ใช่อาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสาสวธรรม แต่ไม่ใช่อาสวธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัย หทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและสาสวธรรม อาศัยธรรมที่เป็นสาสวธรรม แต่ไม่ใช่อาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ อาสวธรรมทั้งหลาย อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสาสวธรรม แต่ไม่ใช่ อาสวธรรม ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและสาสวธรรม และธรรมที่เป็นสาสวธรรม แต่ไม่ใช่อาสวธรรม อาศัยธรรมที่เป็นสาสวธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และอาสวธรรมทั้งหลาย และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัย ขันธ์ ๑ ที่เป็นสาสวธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและสาสวธรรม อาศัยธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรม และสาสวธรรม และธรรมที่เป็นสาสวธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ อาศัยกามาสวะ และสัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย
พึงผูกจักรนัยอย่างนี้
ธรรมที่เป็นสาสวธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม อาศัยธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรม และสาสวธรรม และธรรมที่เป็นสาสวธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสาสวธรรม แต่ไม่ใช่อาสวธรรม และอาสวธรรมทั้งหลาย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและสาสวธรรม และธรรมที่เป็นสาสวธรรม แต่ไม่ใช่อาสวธรรม อาศัยธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและสาสวธรรม และธรรม ที่เป็นสาสวธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสาสวธรรม แต่ไม่ใช่อาสวธรรม และกามาสวะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ
พึงผูกจักรนัย
ฯลฯ
ปฏิจจวารก็ดี สหชาตวารก็ดี ปัจจยวารก็ดี นิสสยวารก็ดี สังสัฏฐวาร ก็ดี สัมปยุตตวารก็ดี พึงกระทำอย่างที่กล่าวมาแล้ว อาสวทุกะ ฉันใด พึงกระทำฉันนั้น ไม่มีแตกต่างกัน
ปัญหาวาร
ในปัญหาวาร ในเหตุปัจจัยก็ดี ในอารัมมณปัจจัยก็ดี ไม่พึงกระทำ โลกุตตระ ควรกระทำว่า "พระเสกขะทั้งหลาย" ย่อมพิจารณาโคตรภู ย่อม พิจารณาโวทาน แม้ในอธิปติปัจจัย ผู้ที่รู้ปัจจัยทุกอย่างแล้ว พึงกระทำ [๔๐๔] ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและสาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม ที่เป็นทั้งอาสวธรรม และสาสวธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ อาสวธรรมทั้งหลาย ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม ทั้งหลาย ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและสาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็น สาสวธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ อาสวธรรมทั้งหลาย ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นสาสวธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อาสวธรรมทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ โดยอนันตรปัจจัย ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและสาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็น ทั้งอาสวธรรมและสาสวธรรม และธรรมที่เป็นสาสวธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ อาสวธรรมทั้งหลาย ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรม ทั้งหลาย ที่เกิดหลังๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอนันตรปัจจัย ธรรมที่เป็นสาสวธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็น สาสวธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสาสวธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสาสวธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โวทาน อาวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสาสวธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย ธรรมที่เป็นสาสวธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็น ทั้งอาสวธรรมและสาสวธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสาสวธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ อาสวธรรมทั้งหลาย ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรมทั้งหลาย โดยอนันตรปัจจัย ธรรมที่เป็นสาสวธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็น ทั้งอาสวธรรมและสาสวธรรม และธรรมที่เป็นสาสวธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสาสวธรรม แต่ไม่ใช่อาสวธรรมที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรมทั้งหลาย ที่เกิดหลังๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรมและสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดย อนันตรปัจจัย ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและสาสวธรรม และธรรมที่เป็นสาสวธรรม แต่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและสาสวธรรม โดย อนันตรปัจจัย คือ อาสวธรรมทั้งหลายที่เกิดก่อนๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรมทั้งหลาย ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและสาสวธรรม และธรรมที่เป็นสาสวธรรม แต่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นสาสวธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ อาสวธรรมทั้งหลายที่เกิดก่อนๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสาสวธรรม แต่ไม่ใช่อาสวธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อาสวธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ โดย อนันตรปัจจัย ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและสาสวธรรม และธรรมที่เป็นสาสวธรรม แต่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและสาสวธรรม และธรรมที่เป็นสาสวธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ อาสวธรรมทั้งหลาย ที่เกิดก่อนๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่อาสวธรรมทั้งหลาย ที่เกิดหลังๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอนันตรปัจจัย
พึงให้พิสดารอย่างนี้ทั้งหมด
อนันตรปัจจัย แม้ในอาสวทุกะ ก็พึงให้พิสดาร เหมือนกับทุกะนี้ อาวัชชนะก็ดี วุฏฐานะก็ดี ท่านแสดงไว้เหมือนกันอย่างนี้ ข้อที่ย่อไว้ ทั้งหมด พึงกระทำให้พิสดาร เหมือนกับอาสวทุกะ ไม่มีแตกต่างกัน
อาสวสาสวทุกะ จบ
อาสวอาสวสัมปยุตตทุกะ
ปฏิจจวาร
[๔๐๕] ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและอาสวสัมปยุตตธรรม อาศัยธรรม ที่เป็นทั้งอาสวธรรมและอาสวสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ อาศัยกามาสวะ
พึงผูกจักรนัย
อวิชชาสวะ อาศัยภวาสวะ
พึงผูกจักรนัย
อวิชชาสวะ อาศัยทิฏฐาสวะ
ธรรมที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม อาศัยธรรมที่เป็น ทั้งอาสวธรรมและอาสวสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยอาสวธรรมทั้งหลาย ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรม และอาสวสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็น อาสวสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม อาศัยธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและ อาสวสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัย อาสวสัมปยุตตกามาสวธรรมทั้งหลาย
พึงผูกจักรนัย
ธรรมที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม อาศัยธรรมที่เป็น อาสวสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่ อาสวธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและอาสวสัมปยุตตธรรม อาศัยธรรมที่เป็น อาสวสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ อาสวธรรมทั้งหลาย อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่อาสวธรรม ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและอาสวสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็น อาสวสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม อาศัยธรรมที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่อาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และอาสวธรรมทั้งหลาย อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอาสว- *สัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ธรรมที่เป็นอาสวธรรมและอาสวสัมปยุตตธรรม อาศัยธรรมที่เป็นทั้ง อาสวธรรมและอาสวสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่ อาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ อาศัยกามาสวะ และสัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย
พึงผูกจักรนัยทั้งหมด
ธรรมที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม อาศัยธรรมที่เป็น ทั้งอาสวธรรมและอาสวสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่อาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่ อาสวธรรม และอาสวธรรมทั้งหลาย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรม และอาสวสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็น อาสวสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม อาศัยธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและ อาสวสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ทิฏฐาสวะ อวิชชาสวะ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอาสว- *สัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม และกามาสวะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ
พึงผูกจักรนัย
ทุกปัจจัยพึงกระทำอย่างนี้
[๔๐๖] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ฯลฯ ในกัมมปัจจัย มี " ๙ ในวิปากปัจจัย ไม่มี ในอาหารปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ [๔๐๗] ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและอาสวสัมปยุตตธรรม อาศัยธรรม ที่เป็นทั้งอาสวธรรมและอาสวสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย นเหตุมูลกะ ไม่มี ฯลฯ ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะปัจฉาชาตปัจจัย
ฯลฯ
[๔๐๘] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๙ แม้การนับทั้งสองอย่างนอกนี้ก็ดี สหชาตวารก็ดี ปัจจยวารก็ดี นิสสย- *วารก็ดี สังสัฏฐวารก็ดี สัมปยุตตวารก็ดี พึงกระทำให้บริบูรณ์อย่างนี้ เหมือน กับ ปฏิจจวาร
ปัญหาวาร
[๔๐๙] ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรม และอาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม ที่เป็นทั้งอาสวธรรม และอาสวสัมปยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย มี ๓ นัย ธรรมที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม ที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย [๔๑๐] ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและอาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัย แก่ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและอาสวสัมปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย มี ๓ นัย ธรรมที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม ที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่ อาสวธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่อาสวธรรม เกิดขึ้น ธรรมที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม ที่เป็นทั้งอาสวธรรมและอาสวสัมปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่ อาสวธรรม อาสวธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้น ธรรมที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม ที่เป็นทั้งอาสวธรรมและอาสวสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่ อาสวธรรม อาสวธรรมและขันธ์ทั้งหลายที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและอาสวสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็น อาสวสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรม และอาสวสัมปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย มี ๓ นัย อธิปติปัจจัย มีการกระทำให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เหมือนกับ อารัมมณปัจจัย อนันตรปัจจัย พึงกระทำว่า ที่เกิดก่อนๆ เหมือนกับ อารัมมณปัจจัยนั่นเทียว สมนันตรปัจจัย สหชาตปัจจัย อัญญมัญญปัจจัย นิสสยปัจจัย เหมือนกับอารัมมณปัจจัยนั่นเทียว การจำแนก ไม่มี มี ๓ นัย พึงกระทำอุปนิสสยปัจจัยทั้งหมด [๔๑๑] ธรรมที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอาหารปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอินทริยปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยฌานปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยมัคคปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสัมปยุตตปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยนัตถิปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยวิคตปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอวิคตปัจจัย มี ๙ นัย [๔๑๒] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสหชาตปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๙ ในนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในกัมมปัจจัย มี " ๙ ในอาหารปัจจัย มี " ๓ ในอินทริยปัจจัย มี " ๓ ในฌานปัจจัย มี " ๓ ในมัคคปัจจัย มี " ๙ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในอัตถิปัจจัย มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย มี " ๙ ในวิคตปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ [๔๑๓] ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและอาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและอาสวสัมปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและอาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม ที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและอาสวสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม ที่เป็นทั้งอาสวธรรมและอาสวสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็น ปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย ธรรมที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ ธรรมที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็น ปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย ธรรมที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและอาสวสัมปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย ธรรมที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและอาสวสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็นอาสวสัมปยุตต- *ธรรม แต่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและอาสวสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็น อาสวสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรม และอาสวสัมปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและอาสวสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็น อาสวสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นอาสวสัมปยุตต- *ธรรม แต่ไม่ใช่อาสวธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรมและอาสวสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็น อาสวสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่อาสวธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้งอาสวธรรม และอาสวสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็นอาสวสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่อาสว- *ธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย [๔๑๔] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๙ [๔๑๕] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ [๔๑๖] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙
พึงนับบทที่เป็นอนุโลม
ในอวิคตปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่ เหตุปัจจัย มี " ๙
อาสวอาสวสัมปยุตตทุกะ จบ
อาสววิปปยุตตสาสวทุกะ
ปฏิจจวาร
[๔๑๗] ธรรมที่เป็นอาสววิปปยุตตสาสวธรรม อาศัยธรรมที่เป็นอาสว- *วิปปยุตตสาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นอาสววิปปยุตต- *สาสวธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัย หทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ธรรมที่เป็นอาสววิปปยุตตอนาสวธรรม อาศัยธรรมที่เป็นอาสววิปปยุตต- *อนาสวธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย มี ๓ นัย โลกิยทุกะ ในจูฬันตรทุกะ พิสดารฉันใด พึงให้พิสดารฉันนั้น ไม่มีแตกต่างกัน ฯลฯ
อาสววิปปยุตตสาสวทุกะ จบ
สัญโญชนทุกะ
ปฏิจจวาร
[๔๑๘] สัญโญชนธรรม อาศัยสัญโญชนธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ทิฏฐิสัญโญชน์ อวิชชาสัญโญชน์ อาศัยกามราคสัญโญชน์ สีลพตปรามาสสัญโญชน์ อวิชชาสัญโญชน์ อาศัยกามราคสัญโญชน์ มานสัญโญชน์ อวิชชาสัญโญชน์ อาศัยกามราคสัญโญชน์ อวิชชาสัญโญชน์ อาศัยกามราคสัญโญชน์ อิสสาสัญโญชน์ อวิชชาสัญโญชน์ อาศัยปฏิฆสัญโญชน์ มัจฉริยสัญโญชน์ อวิชชาสัญโญชน์ อาศัยปฏิฆสัญโญชน์ อวิชชาสัญโญชน์ อาศัยปฏิฆสัญโญชน์ ภวราคสัญโญชน์ อวิชชาสัญโญชน์ อาศัยมานสัญโญชน์ อวิชชาสัญโญชน์ อาศัยภวราคสัญโญชน์ อวิชชาสัญโญชน์ อาศัยวิจิกิจฉา- *สัญโญชน์ ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม อาศัยสัญโญชนธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย อาศัยสัญโญชน- *ธรรมทั้งหลาย สัญโญชนธรรม และธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม อาศัยสัญโญชน- *ธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ทิฏฐิสัญโญชน์ อวิชชาสัญโญชน์ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยกามราคสัญโญชน์
พึงผูกจักรนัย
ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่สัญโญชน- *ธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย สัญโญชนธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ สัญโญชนธรรมทั้งหลาย อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม สัญโญชนธรรม และธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่ สัญโญชนธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และสัญโญชนธรรมทั้งหลาย และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ สัญโญชนธรรม อาศัยสัญโญชนธรรม และธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชน- *ธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ทิฏฐิสัญโญชน์ อวิชชาสัญโญชน์ อาศัยกามราคสัญโญชน์ และ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย
พึงผูกจักรนัย
ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม อาศัยสัญโญชนธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ สัญโญชนธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่สัญโญชน- *ธรรม และสัญโญชนธรรมทั้งหลาย ขันธ์ ๒ ฯลฯ สัญโญชนธรรม และธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม อาศัยสัญโญชน- *ธรรม และธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ทิฏฐิสัญโญชน์ อวิชชาสัญโญชน์ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม และกามราคสัญโญชน์
พึงผูกจักรนัย
ในอารัมมณปัจจัย รูปไม่มี
อธิปติปัจจัย เหมือนกับ เหตุปัจจัย วิจิกิจฉาสัญโญชน์ไม่มี
เพราะอนันตรปัจจัย เพราะอวิคตปัจจัย
[๔๑๙] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ [๔๒๐] สัญโญชนธรรม อาศัยสัญโญชนธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ เหตุปัจจัย คือ อวิชชาสัญโญชน์ อาศัยวิจิกิจฉาสัญโญชน์ ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่สัญโญชน- *ธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ สัญโญชนธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะเหตุปัจจัย คือ อวิชชาสัญโญชน์ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่ สหรคตด้วยอุทธัจจะ สัญโญชนธรรม อาศัยสัญโญชนธรรม และธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชน- *ธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ อวิชชาสัญโญชน์ อาศัยวิจิกิจฉาสัญโญชน์ และสัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย ฯลฯ
เหมือนกับ อาสวโคจฉกะ
แม้ที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัยทั้งหมด ก็พึงยกขึ้น
[๔๒๑] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓ [๔๒๒] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙
พึงนับอย่างนี้ทั้งหมด
[๔๒๓] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในปัจจัยทั้งปวง กับ ฯลฯ มี " ๔ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในสัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ สัญโญชนธรรม เกิดร่วมกับสัญโญชนธรรม ฯลฯ
ปัจจยวาร
[๔๒๔] สัญโญชนธรรม อาศัยสัญโญชนธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย มี ๓ นัย เหมือนกับ ปฏิจจวาร ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่สัญโญชน- *ธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัย หทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป กฏัตตารูป ที่เป็นอุปาทารูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม อาศัยหทัยวัตถุ สัญโญชนธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ สัญโญชนธรรมทั้งหลาย อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม สัญโญชนธรรม และธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่ สัญโญชนธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ สัญโญชนธรรม และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ สัญโญชนธรรมทั้งหลาย อาศัย หทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย สัญโญชนธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ สัญโญชนธรรม อาศัยสัญโญชนธรรม และธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ทิฏฐิสัญโญชน์ อวิชชาสัญโญชน์ อาศัยกามราคสัญโญชน์ และ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย ทิฏฐิสัญโญชน์ อวิชชาสัญโญชน์ อาศัยกามราค- *สัญโญชน์ และหทัยวัตถุ
พึงผูกจักรนัย
ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม อาศัยสัญโญชนธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ สัญโญชนธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่สัญโญชน- *ธรรม และสัญโญชนธรรมทั้งหลาย ขันธ์ ๒ ฯลฯ
พึงผูกจักรนัย
ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม อาศัยสัญโญชนธรรมทั้งหลาย และหทัยวัตถุ สัญโญชนธรรม และธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม อาศัยสัญโญชน- *ธรรม และธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ทิฏฐิสัญโญชน์ อวิชชาสัญโญชน์ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม และกามราคสัญโญชน์ ขันธ์ ๒ ฯลฯ
พึงผูกจักรนัย
ทิฏฐิสัญโญชน์ อวิชชาสัญโญชน์ และสัมปยุตตขันธ์ อาศัยกามราค- สัญโญชน์ และหทัยวัตถุ
พึงผูกจักรนัย
ฯลฯ
[๔๒๕] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ [๔๒๖] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในที่ใดๆ ได้ หทัยวัตถุ ในที่นั้น พึงกระทำให้มีหทัยวัตถุ เช่นเดียวกัน ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓ การนับทั้งสองแม้นอกนี้ก็ดี นิสสยวารก็ดี พึงกระทำอย่างนี้
สังสัฏฐวาร
[๔๒๗] สัญโญชนธรรม คลุกเคล้ากับสัญโญชนธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ทิฏฐิสัญโญชน์ อวิชชาสัญโญชน์ คลุกเคล้ากับกามราคสัญโญชน์ พึงกระทำหัวข้อปัจจัย ๙ อย่างนี้ เฉพาะอรูปภูมิเท่านั้น สังสัฏฐวารก็ดี สัมปยุตตวารก็ดี พึงกระทำอย่างนี้
ปัญหาวาร
[๔๒๘] สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตสัญโญชน- *ธรรมทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดย เหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ สัญโญชนธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ สัญโญชนธรรม และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ [๔๒๙] สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ เพราะปรารภสัญโญชนธรรมทั้งหลาย สัญโญชนธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้น
พึงกระทำมูล
เพราะปรารภสัญโญชนธรรมทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่สัญโญชน- *ธรรม เกิดขึ้น
พึงกระทำมูล
เพราะปรารภสัญโญชนธรรมทั้งหลาย สัญโญชนธรรมและสัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย เกิดขึ้น ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน ศีล ฯลฯ กระทำอุโบสถกรรม ฯลฯ แล้ว พิจารณากุศลกรรมนั้น บุคคลพิจารณากุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน บุคคลออกจากฌานแล้ว พิจารณาฌาน พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรคแล้ว พิจารณามรรค ผล ฯลฯ พิจารณา นิพพาน นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล แก่ อาวัชชนะ พระอริยะทั้งหลายพิจารณากิเลสที่ละแล้ว ที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม กิเลส ที่ข่มแล้ว ฯลฯ ในกาลก่อน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดย ความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดย เจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโต- *ปริยญาณ แก่บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ ในกาลก่อน ฯลฯ จากฌาน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่ง ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เพราะปรารภความยินดีนั้น ราคะ ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนธรรม และธรรม ที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ ในกาลก่อน ฯลฯ จากฌาน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่ง ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เพราะปรารภความยินดีนั้น สัญโญชนธรรม และขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น สัญโญชนธรรม และธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัญโญชนธรรม โดยอารัมมณปัจจัย มี ๓ นัย พึงกระทำว่า เพราะปรารภนั้นเทียว [๔๓๐] สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ กระทำสัญโญชนธรรมทั้งหลาย ให้หนักแน่น ฯลฯ มีการกระทำให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นทั้ง ๓ นัย ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ มี ๓ นัย อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ แม้แห่งหัวข้อปัจจัยทั้ง ๓ ก็ควรกระทำ พึงจำแนกทั้ง ๓ นัยอีก สัญโญชนธรรม และธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัญโญชนธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ กระทำสัญโญชนธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ มี ๓ นัย [๔๓๑] สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย คือ สัญโญชนธรรมทั้งหลาย ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่สัญโญชน- *ธรรมทั้งหลาย ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย มี ๓ นัย ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม ที่เกิดหลังๆ ฯลฯ แก่ผลสมาบัติ โดย อนันตรปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ สัญโญชนธรรมทั้งหลาย ที่เกิดหลังๆ ฯลฯ แม้ทั้ง ๒ อย่าง ก็พึงกระทำอย่าง ที่กล่าวมาแล้ว สัญโญชนธรรม และธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัญโญชนธรรม โดยอนันตรปัจจัย มี ๓ นัย สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนธรรม โดยสมนันตรปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอัญญมัญญปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยนิสสยปัจจัย มี ๙ นัย [๔๓๒] ฯลฯ เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ สัญโญชนธรรมทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่ สัญโญชนธรรมทั้งหลาย โดยอุปนิสสยปัจจัย แม้ทั้ง ๓ อย่าง ก็เหมือนอย่างนี้ ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้ว ให้ ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ก่อนมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา ราคะ ฯลฯ ความปรารถนา ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้ว ก่อมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีล ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ ราคะ ฯลฯ แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนธรรม และธรรมที่ ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้ว ก่อมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัย ศีล ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนธรรม และสัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลาย โดยอุปนิสสยปัจจัย สัญโญชนธรรม และธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัญโญชนธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ นัย [๔๓๓] ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่ สัญโญชนธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความเป็น ของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่ จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่ กายวิญญาณ โดยอารัมมณปัจจัย ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่ สัญโญชนธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนธรรม โดย ปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อม เพลิดเพลินยิ่งซึ่งหทัยวัตถุ เพราะปรารภความยินดีนั้น ราคะ ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนธรรม ทั้งหลาย โดยปุเรชาตปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนธรรม และธรรม ที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อม เพลิดเพลินยิ่งซึ่งหทัยวัตถุ เพราะปรารภความยินดีนั้น สัญโญชนธรรม และ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยปุเรชาตปัจจัย [๔๓๔] สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย มี ๑ นัย ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย สัญโญชนธรรม และธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม ที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๔๓๕] สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนธรรม โดยอาเสวน ปัจจัย มี ๙ นัย [๔๓๖] ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่ สัญโญชนธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยวิปากปัจจัย มี ๑ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอาหารปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอินทริยปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยฌานปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยมัคคปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสัมปยุตตปัจจัย มี ๙ นัย [๔๓๗] สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต
พึงจำแนก
ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต
พึงจำแนก
ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนธรรม โดย วิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตปัจจัย ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ สัญโญชนธรรมทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนธรรม และธรรม ที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ สัญโญชนธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย สัญโญชนธรรม และธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม ที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต
พึงจำแนก
[๔๓๘] สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๑ นัย เหมือนกับปฏิจจวาร สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดยอัตถิ ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ฯลฯ สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ สัญโญชนธรรม โดยอัตถิปัจจัย เหมือนกับปฏิจจวาร ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ฯลฯ ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนธรรม โดย อัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตสัญโญชนธรรมทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลิน ยิ่งซึ่งหทัยวัตถุ เพราะปรารภความยินดีนั้น ราคะ เกิดขึ้น โทมนัส เกิดขึ้น หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนธรรมทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนธรรมและธรรม ที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรมทั้งหลาย ฯลฯ เหมือนกับ อาสวทุกะ สัญโญชนธรรม และธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัญโญชนธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต เหมือนกับอาสวทุกะ สัญโญชนธรรม และธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม ที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ พึง จำแนก เหมือนกับอาสวทุกะ สัญโญชนธรรม และธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัญโญชนธรรม และธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต พึงจำแนกเหมือนกับอาสวทุกะ [๔๓๙] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๙ ในนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในกัมมปัจจัย มี " ๓ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๓ ในอินทริยปัจจัย มี " ๓ ในฌานปัจจัย มี " ๓ ในมัคคปัจจัย มี " ๙ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในอัตถิปัจจัย มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย มี " ๙ ในวิคตปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ [๔๔๐] สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็น ปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนธรรม และ ธรรมที่ไม่ใช่ สัญโญชนธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็น ปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนธรรม และ ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย สัญโญชนธรรม และธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัญโญชนธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย สัญโญชนธรรม และธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่ ธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย สัญโญชนธรรม และธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัญโญชนธรรม และธรรมที่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็น ปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย [๔๔๑] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๙ [๔๔๒] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ [๔๔๓] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอธิปติปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มี " ๙
พึงกระทำอนุโลมมาติกา
ในอวิคตปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มี " ๙
สัญโญชนทุกะ จบ
สัญโญชนียทุกะ
ปฏิจจวาร
[๔๔๔] สัญโญชนียธรรม อาศัยสัญโญชนียธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสัญโญชนีย ธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัย หทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ เหมือนกับโลกิยทุกะ ในจูฬันตรทุกะ ไม่มีแตกต่างกัน
สัญโญชนียทุกะ จบ
สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ
ปฏิจจวาร
[๔๔๕] สัญโญชนสัมปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และสัญโญชนวิปปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชน- *สัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสัญโญชน- *สัมปยุตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสัญโญชน- *วิปปยุตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ ปฏิสนธิ สัญโญชนสัมปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และสัญโญชนวิปปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชน- *วิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย อาศัยโมหะ ที่ สหรคตด้วยอุทธัจจะ สัญญโญชนสัมปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนสัมปยุตตธรรมและสัญโญชน วิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนสัมปยุตตธรรม และสัญโญชน- *วิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ และโมหะ สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และสัญโญชนวิปปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชน- *สัมปยุตตธรรม และสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ และ โมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๔๔๖] สัญโญชนสัมปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม ฯลฯ ขันธ์ ๒ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และสัญโญชนวิปปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชน สัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และ โมหะ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสัญโญชนวิปปยุตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ สัญโญชนสัมปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ สัญโญชนสัมปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนสัมปยุตตธรรม และสัญโญชน วิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และ โมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๔๔๗] สัญโญชนสัมปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย มี ๓ นัย สัญโญชนวิปปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย มี ๑ นัย สัญโญชนวิปปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนสัมปยุตตธรรม และ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย
ฯลฯ
[๔๔๘] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๖ ในอธิปติปัจจัย มี " ๕ ในอนันตรปัจจัย มี " ๖ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๖ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๖ ในนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๖ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๖ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๖ ในกัมมปัจจัย มี " ๙ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๙ ในอินทริยปัจจัย มี " ๙ ในฌานปัจจัย มี " ๙ ในมัคคปัจจัย มี " ๙ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๖ ในวิปปยุตตปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอัตถิปัจจัย มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย มี " ๖ ในวิคตปัจจัย มี " ๖ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ [๔๔๙] สัญโญชนสัมปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา สัญโญชนวิปปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสัญโญชนวิปปยุตตธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ฯลฯ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ [๔๕๐] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓ [๔๕๑] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ [๔๕๒] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓
แม้สหชาตวาร ก็เหมือนกับ ปฏิจจวาร
ปัจจยวาร
[๔๕๓] สัญโญชนสัมปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย มี ๓ นัย เหมือนกับปฏิจจวาร สัญโญชนวิปปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ตลอดถึงปฏิสนธิ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น สัญโญชนวิปปยุตตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัย หทัยวัตถุ สัญโญชนสัมปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และสัญโญชนวิปปยุตตธรรม อาศัย สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ สัญโญชนสัมปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนสัมปยุตตธรรม และสัญโญชน วิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม และ หทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และ โมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนสัมปยุตตธรรม และ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ และ โมหะ สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และสัญโญชนวิปปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชน สัมปยุตตธรรม และสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม และ หทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชน สัมปยุตตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และ โมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๔๕๔] สัญโญชนสัมปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย มี ๓ นัย เหมือนกับปฏิจจวาร สัญโญชนวิปปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ตลอดถึงปฏิสนธิ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนวิปปยุตตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ กายวิญญาณ อาศัยกายายตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนวิปปยุตตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ โมหะ ที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ อาศัยหทัยวัตถุ สัญโญชนสัมปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สัญโญชนสัมปยุตตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยโมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และสัญโญชนวิปปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชน วิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และ โมหะ อาศัย หทัยวัตถุ สัญโญชนสัมปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนสัมปยุตตธรรม และ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม และ หทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และ โมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนสัมปยุตตธรรม และสัญโญชน วิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ และหทัยวัตถุ สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และสัญโญชนวิปปยุตตธรรม อาศัย สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และ โมหะ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๔๕๕] สัญโญชนสัมปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอธิปติปัจจัย ฯลฯ เพราะอวิคตปัจจัย [๔๕๖] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ [๔๕๗] สัญโญชนสัมปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา สัญโญชนวิปปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสัญโญชนวิปปยุตตธรรม ซึ่งเป็นอเหตุทุกะ ฯลฯ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ กายวิญญาณ อาศัย กายายตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนวิปปยุตตธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ และ โมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยหทัยวัตถุ สัญโญชนสัมปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา อาศัยหทัยวัตถุ สัญโญชนสัมปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนสัมปยุตตธรรม และ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา และ หทัยวัตถุ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม อาศัยสัญโญชนสัมปยุตตธรรม และ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ และหทัยวัตถุ
ฯลฯ
[๔๕๘] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓ [๔๕๙] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙
พึงกระทำอย่างนี้
[๔๖๐] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๖ ในปัจจัยทั้งปวง กับ ฯลฯ มี " ๖ ในวิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอาหารปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ แม้นิสสยวาร ก็เหมือนกับ ปัจจยวาร
สังสัฏฐวาร
[๔๖๑] สัญโญชนสัมปยุตตธรรม คลุกเคล้ากับสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม คลุกเคล้ากับสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นสัญโญชนวิปปยุตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ สัญโญชนสัมปยุตตธรรม คลุกเคล้ากับสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย คลุกเคล้ากับโมหะ ที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ สัญโญชนสัมปยุตตธรรม คลุกเคล้ากับสัญโญชนสัมปยุตตธรรม และ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และ โมหะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ
ฯลฯ
[๔๖๒] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๖ ในอธิปติปัจจัย มี " ๒ ในอนันตรปัจจัย มี " ๖ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๖ ในอวิคตปัจจัย มี " ๖ [๔๖๓] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๖ การนับทั้งสองนอกนี้ก็ดี สัมปยุตตวารก็ดี พึงกระทำอย่างนี้
ปัญหาวาร
[๔๖๔] สัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมป- *ยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย สัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดย เหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย สัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย เหตุปัจจัย สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดย เหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย โมหะที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ปฏิสนธิ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตตธรรม โดย เหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย [๔๖๕] สัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น
พึงกระทำมูล
เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นสัญโญชนวิปปยุตตธรรม และโมหะ เกิดขึ้น
พึงกระทำมูล
เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เกิดขึ้น สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ แล้วพิจารณาซึ่ง กุศลกรรมนั้น บุคคลพิจารณากุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน บุคคลออกจากฌานแล้ว พิจารณาฌาน พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรคแล้ว พิจารณามรรค พิจารณาผล พิจารณา นิพพาน นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย พระอริยะทั้งหลายพิจารณากิเลสที่ละแล้ว ที่เป็นสัญโญชนวิปปยุตตธรรม พิจารณากิเลสที่ข่มแล้ว รู้ซึ่งกิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็น สัญโญชนวิปปยุตตธรรม และโมหะ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่เป็นสัญโญชนวิปปยุตต- *ธรรม โดยเจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ รูปายตนะ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโตปริยญาณ แก่บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่ อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตตธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ ออกจากฌาน ฌาน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่งขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนวิปปยุตตธรรม และโมหะ เพราะปรารภความยินดีนั้น ราคะ ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็น สัญโญชนวิปปยุตตธรรม และโมหะ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และ โมหะ เกิดขึ้น สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัญโญชนสัมปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น
พึงกระทำมูล
เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นสัญโญชนวิปปยุตตธรรม และโมหะ เกิดขึ้น
พึงกระทำมูล
เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ ขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เกิดขึ้น [๔๖๖] สัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตต- *ธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ ราคะ ฯลฯ ทิฏฐิ ฯลฯ กระทำให้เป็น อารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำความ ยินดีนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย สัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดย อธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นสัญโญชน- *สัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย สัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นสัญโญชน- *สัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย อธิปติปัจจัย สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดย อธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ แล้วกระทำกุศลกรรมนั้นให้หนักแน่นแล้ว พิจารณา กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ ออกจากฌาน ฯลฯ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค ฯลฯ ผล ฯลฯ นิพพาน ฯลฯ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล โดยอธิปติปัจจัย ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตตธรรม โดย อธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ บุคคลกระทำอุโบสถกรรม แล้วกระทำกุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำความยินดีนั้นให้เป็นอารมณ์อย่าง หนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ จากฌาน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชน- *วิปปยุตตธรรม ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี เพราะกระทำความ ยินดีนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น [๔๖๗] สัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตต- *ธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็น ปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตร- *ปัจจัย สัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดย อนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ โมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ โดยอนันตรปัจจัย สัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดหลังๆ และโมหะ โดยอนันตรปัจจัย สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดย อนันตรปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ โมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น สัญโญชนวิปปยุตตธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ ฯลฯ ที่เกิดหลังๆ ฯลฯ แก่ผลสมาบัติ โดยอนันตรปัจจัย สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตตธรรม โดย อนันตรปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดหลังๆ และโมหะ โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ โดย อนันตรปัจจัย สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัญโญชนสัมปยุตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดก่อนๆ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตร ปัจจัย สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัย แก่สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดก่อนๆ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่โมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ โดยอนันตร ปัจจัย สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และสัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดก่อนๆ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดหลังๆ และโมหะ โดย อนันตรปัจจัย สัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตตธรรม โดย สมนันตรปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอัญญมัญญปัจจัย มี ๖ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยนิสสยปัจจัย มี ๙ นัย [๔๖๘] สัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตต- *ธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนสัมป- *ยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย สัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนสัมป- *ยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนวิปปยุตตธรรม และโมหะ โดยอุปนิสสยปัจจัย สัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนสัมป- *ยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ โดย อุปนิสสยปัจจัย สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้ว ให้ ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น บุคคลเข้าไปอาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา สุขทางกาย ทุกข์ทางกาย เสนาสนะ ฯลฯ โมหะแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตตธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้ว ก่อ มานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา สุขทางกาย ฯลฯ เสนาสนะ ฯลฯ โมหะ แล้วฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ ราคะ ฯลฯ แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ศรัทธา ฯลฯ ปัญญา สุขทางกาย ฯลฯ เสนาสนะ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ โดยอุปนิสสยปัจจัย สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัญโญชนสัมปยุตตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนวิปปยุตตธรรม และโมหะ โดยอุปนิสสยปัจจัย สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และสัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ โดย อุปนิสสยปัจจัย [๔๖๙] สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความเป็น ของไม่เที่ยง ฯลฯ บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัย แก่กายวิญญาณ ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นสัญโญชนวิปปยุตตธรรม และโมหะ โดยปุเรชาตปัจจัย สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตตธรรม โดย ปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อม เพลิดเพลินยิ่งซึ่งหทัยวัตถุ เพราะปรารภความยินดีนั้น ราคะ ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น สัญโญชนสัมปยุตตธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ เพราะปรารภหทัยวัตถุ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เกิดขึ้น หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ โดยปุเรชาตปัจจัย [๔๗๐] สัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนวิปปยุตต- *ธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม ที่เกิดภายหลัง เป็น ปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดย ปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนวิปปยุตตธรรม ที่เกิดภายหลัง และ โมหะ เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ ที่เกิดภายหลังและโมหะ เป็น ปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๔๗๑] สัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตต- *ธรรม โดยอาเสวนปัจจัย มี ๙ นัย อาวัชชนะก็ดี วุฏฐานะก็ดี ไม่มี [๔๗๒] สัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตต- *ธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญ- *โญชนสัมปยุตตธรรม โดยกัมมปัจจัย สัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดย กัมมปัจจัย มี ๒ อย่างคือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัย แก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย เจตนาที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ เป็นปัจจัยแก่โมหะ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็น ปัจจัยแก่วิบากขันธ์ และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย สัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย เจตนาที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายและโมหะ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย กัมมปัจจัย สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดย กัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัย แก่วิบากขันธ์ และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๔๗๓] สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนวิปปยุตต- *ธรรม โดยวิปากปัจจัย มี ๑ นัย [๔๗๔] สัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตต- *ธรรม โดยอาหารปัจจัย มี ๔ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอินทริยปัจจัย มี ๔ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยฌานปัจจัย มี ๔ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยมัคคปัจจัย มี ๔ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสัมปยุตตปัจจัย มี ๖ นัย [๔๗๕] สัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัญโญชน วิปปยุตตธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ฯลฯ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดย วิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต ฯลฯ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตตธรรม โดย วิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ โดยวิปปยุตตปัจจัย สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ฯลฯ [๔๗๖] สัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตต- *ธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๑ นัย เหมือนกับปฏิจจวาร สัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดย อัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็น ปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ เป็นปัจจัยแก่โมหะ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย สัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และ และสัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๑ ที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โมหะและจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย อัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดย อัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ฯลฯ พึงให้พิสดาร สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตตธรรม โดย อัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ โมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งหทัยวัตถุ เพราะปรารภความยินดีนั้น ราคะ ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น หทัย- *วัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ โมหะ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะเป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ เพราะปรารภหทัยวัตถุ ขันธ์ทั้งหลายที่ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ เกิดขึ้น หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และโมหะ โดยอัตถิปัจจัย สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัญโญชนสัมปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ และโมหะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม โมหะ และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย อัตถิปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะและโมหะ เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏ- *ฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่โมหะ โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะและโมหะ เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม และกวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม และรูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และสัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะและโมหะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะและหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และโมหะ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยนัตถิปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยวิคตปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอวิคตปัจจัย [๔๗๗] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๖ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอธิปติปัจจัย มี " ๕ ในอนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๖ ในนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในกัมมปัจจัย มี " ๔ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๔ ในอินทริยปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในฌานปัจจัย มี " ๔ ในมัคคปัจจัย มี " ๔ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๖ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในอัตถิปัจจัย มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย มี " ๙ ในวิคตปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ [๔๗๘] สัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย สัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย สัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็น ปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตตธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็น ปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย สัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็น ปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัญโญชนสัมปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็น ปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็น ปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และสัญโญชนวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัญโญชนสัมปยุตตธรรม และสัญโญชนวิปปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย [๔๗๙] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๙ [๔๘๐] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๖ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ [๔๘๑] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕
พึงนับบทที่เป็นอนุโลม
ในอวิคตปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙
สัญโญชนสัมปยุตตทุกะ จบ
สัญโญชนสัญโญชนิยทุกะ
ปฏิจจวาร
[๔๘๒] ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรม และสัญโญชนิยธรรม อาศัย ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรมและสัญโญชนิยธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ทิฏฐิสัญโญชน์ อวิชชาสัญโญชน์ อาศัยกามราคสัญโญชน์
พึงผูกจักรนัย
ธรรมที่เป็นสัญโญชนิยธรรมแต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม อาศัยธรรมที่เป็น สัญโญชนธรรมและสัญโญชนิยธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยสัญโญชน- *ธรรมทั้งหลาย ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรมและสัญโญชนิยธรรม และธรรมที่เป็น สัญโญชนิยธรรม แต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม อาศัยธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรม และสัญโญชนิยธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ทิฏฐิสัญโญชน์ อวิชชาสัญโญชน์ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยกามราคสัญโญชน์
พึงผูกจักรนัย
ธรรมที่เป็นสัญโญชนิยธรรม แต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม อาศัยธรรม ที่เป็นสัญโญชนิยธรรม แต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสัญโญชนิย- *ธรรมแต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ ตลอดถึงมหาภูตรูป ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรม และสัญโญชนิยธรรม อาศัยธรรมที่เป็น สัญโญชนิยธรรม แต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ สัญโญชนธรรมทั้งหลาย อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนิยธรรม แต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรมและสัญโญชนิยธรรม และธรรมที่เป็น สัญโญชนิยธรรม แต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม อาศัยธรรมที่เป็นสัญโญชนิยธรรม แต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ สัญโญชนธรรมทั้งหลาย และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัย ขันธ์ ๑ ที่เป็นสัญโญชนิยธรรม แต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรมและสัญโญชนิยธรรม อาศัยธรรมที่เป็น สัญโญชนธรรม และ สัญโญชนิยธรรม และ ธรรมที่เป็นสัญโญชนิยธรรม แต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ทิฏฐิสัญโญชน์ อวิชชาสัญโญชน์ อาศัยกามราคสัญโญชน์ และ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย
พึงผูกจักรนัย
ธรรมที่เป็นสัญโญชนิยธรรม แต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม อาศัยธรรม ที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรมและสัญโญชนิยธรรม และธรรมที่เป็นสัญโญชนิยธรรม แต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสัญโญชนิย- *ธรรม แต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม และสัญโญชนธรรมทั้งหลาย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ธรรมที่เป็นสัญโญชนธรรมและสัญโญชนิยธรรม และธรรมที่เป็น สัญโญชนิยธรรม แต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม อาศัยธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรม และสัญโญชนิยธรรม และธรรมที่เป็นสัญโญชนิยธรรม แต่ไม่ใช่สัญโญชน- *ธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ทิฏฐิสัญโญชน์ อวิชชาสัญโญชน์ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสัญโญชนิยธรรม แต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม และกามราค สัญโญชน์ ขันธ์ ๒ ฯลฯ
พึงผูกจักรนัย
เหมือนปฐมทุกะในสัญโญชนโคจฉกะ ทุกะแม้นี้พึงให้พิสดารอย่างนั้น ไม่มีแตกต่างกัน เว้นโลกุตตระ
สัญโญชนสัญโญชนิยทุกะ จบ
สัญโญชนสัญโญชนสัมปยุตตทุกะ
ปฏิจจวาร
[๔๘๓] ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรม และสัญโญชนสัมปยุตตธรรม อาศัยธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรมและสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะ- *เหตุปัจจัย คือ ทิฏฐิสัญโญชน์ อวิชชาสัญโญชน์ อาศัยกามราคสัญโญชน์ ธรรมที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม อาศัย ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรม และสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยสัญโญชนธรรมทั้งหลาย ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรมและสัญโญชนสัมปยุตตธรรม และธรรม ที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม อาศัยธรรมที่เป็นทั้ง สัญโญชนธรรม และสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ทิฏฐิสัญโญชน์ อวิชชาสัญโญชน์ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยกามราคสัญโญชน์ ธรรมที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม อาศัย ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่ สัญโญชนธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรมและสัญโญชนสัมปยุตตธรรม อาศัยธรรม ที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ สัญโญชนธรรมทั้งหลาย อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชน- *สัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรม และสัญโญชนสัมปยุตตธรรม และธรรม ที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม อาศัยธรรมที่ เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และสัญโญชนธรรมทั้งหลาย อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสัญโญชน สัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรมและสัญโญชนสัมปยุตตธรรม อาศัยธรรม ที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรมและสัญโญชนสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็นสัญโญชน- *สัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ทิฏฐิสัญโญชน์ อวิชชาสัญโญชน์ อาศัยกามราคสัญโญชน์ และ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย
พึงผูกจักรนัย
ธรรมที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม อาศัย- *ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรม และสัญโญชนสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็น สัญโญชนสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่ สัญโญชนธรรม และสัญโญชนธรรมทั้งหลาย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรมและสัญโญชนสัมปยุตตธรรม และธรรมที่ เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม อาศัยธรรมที่เป็นทั้ง สัญโญชนธรรม และสัญโญชนสัมปยุตตธรรมและธรรมที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตต- *ธรรมแต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ทิฏฐิสัญโญชน์ อวิชชาสัญโญชน์ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็น สัญโญชนสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม และกามราคสัญโญชน์ ขันธ์ ๒ ฯลฯ
พึงผูกจักรนัย
[๔๘๔] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ในกัมมปัจจัย มี " ๙ ในอาหารปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ [๔๘๕] ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรม และสัญโญชนสัมปยุตตธรรม อาศัยธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรม และสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ อวิชชาสัญโญชน์ อาศัยวิจิกิจฉาสัญโญชน์ ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรมและสัญโญชนสัมปยุตตธรรม อาศัยธรรม ที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ- *เหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรมและสัญโญชนสัมปยุตตธรรม อาศัยธรรม ที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรมและสัญโญชนสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็นสัญโญชน สัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ อวิชชาสัญโญชน์ อาศัยวิจิกิจฉาสัญโญชน์ และสัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย [๔๘๖] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๙ การนับทั้งสอง นอกนี้ก็ดี สหชาตวารก็ดี พึงกระทำอย่างที่กล่าวมาแล้ว ปัจจยวารก็ดี นิสสยวารก็ดี สังสัฏฐวารก็ดี สัมปยุตตวารก็ดี เหมือนกับปฏิจจวาร
ปัญหาวาร
[๔๘๗] ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรม และสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรม และสัญโญชนสัมปยุตตธรรม โดย เหตุปัจจัย คือ กามราคสัญโญชน์ เป็นปัจจัยแก่ทิฏฐิสัญโญชน์ อวิชชาสัญโญชน์ โดยเหตุปัจจัย
พึงผูกจักรนัย
ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรมและสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ ธรรมที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรมและสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรม และสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัย แก่ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรมและสัญโญชนสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็น สัญโญชนสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ กามราคสัญโญชน์ เป็นปัจจัยแก่ทิฏฐิสัญโญชน์ อวิชชาสัญโญชน์ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย [๔๘๘] ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรม และสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรม และสัญโญชนสัมปยุตตธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภสัญโญชนธรรมทั้งหลาย สัญโญชนธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้น
พึงกระทำมูล
เพราะปรารภสัญโญชนธรรมทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชน- *สัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เกิดขึ้น
พึงกระทำมูล
เพราะปรารภสัญโญชนธรรมทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทั้งสัญโญชน- *ธรรมและสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น ธรรมที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัย แก่ธรรมที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่ สัญโญชนธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่สัญโญชน- *ธรรม เกิดขึ้น ธรรมที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัย แก่ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรมและสัญโญชนสัมปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่ สัญโญชนธรรม สัญโญชนธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้น ธรรมที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็น ปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรมและสัญโญชนสัมปยุตตธรรม และธรรมที่ เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่ สัญโญชนธรรม สัญโญชนธรรมทั้งหลาย และขันธ์ทั้งหลายที่เป็นสัญโญชน- *สัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เกิดขึ้น ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรม และสัญโญชนสัมปยุตตธรรม และ ธรรมที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม ที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรม และสัญโญชนสัมปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย มี ๓ นัย [๔๘๙] ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรม และสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรมและสัญโญชนสัมปยุตตธรรม โดย อธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ มี ๓ นัย ธรรมที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็น ปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดยอธิปติ ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ มี ๓ นัย อารัมมณาธิปติก็ดี สหชาตาธิปติก็ดี พึงกระทำในข้อปัจจัย แม้ทั้ง ๓ เหล่านี้ ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรม และสัญโญชนสัมปยุตตธรรม และธรรม ที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม ที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรมและสัญโญชนสัมปยุตตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ มี ๓ นัย [๔๙๐] ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรม และสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรมและสัญโญชนสัมปยุตตธรรม โดย อนันตรปัจจัย มี ๙ นัย การจำแนกไม่มี เหมือนกับอารัมมณปัจจัย ไม่มีแตก- *ต่างกัน ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสมนันตรปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอัญญมัญญปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยนิสสยปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๙ นัย พึงกระทำโดยนัยแห่งอารัมมณปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอาเสวนปัจจัย มี ๙ นัย [๔๙๑] ธรรมที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นสัญโญชนสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่สัญโญชนธรรม โดย กัมมปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอาหารปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอินทริยปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยฌานปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยมัคคปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสัมปยุตตปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอัตถิปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยนัตถิปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยวิคตปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอวิคตปัจจัย มี ๙ นัย [๔๙๒] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๙ ในนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในกัมมปัจจัย มี " ๓ ในอาหารปัจจัย มี " ๓ ในอินทริยปัจจัย มี " ๓ ในฌานปัจจัย มี " ๓ ในมัคคปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในอัตถิปัจจัย มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย มี " ๙ ในวิคตปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ [๔๙๓] ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรม และสัญโญชนสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้งสัญโญชนธรรมและสัญโญชนสัมปยุตตธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย ฯลฯ หัวข้อปัจจัย ๙ พึงกระทำอย่างที่กล่าวมาแล้ว พึงเปลี่ยนแปลง ในบท ทั้ง ๓ นั่นเทียว นานาขณิก ไม่มี [๔๙๔] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๙ [๔๙๕] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ [๔๙๖] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙
พึงกระทำบทที่เป็นอนุโลม
ในอวิคตปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙
สัญโญชนสัญโญชนสัมปยุตตทุกะ จบ
สัญโญชนวิปปยุตตสัญโญชนิยทุกะ
ปฏิจจวาร
[๔๙๗] ธรรมที่เป็นสัญโญชนวิปปยุตตสัญโญชนิยธรรม อาศัยธรรม ที่เป็นสัญโญชนวิปปยุตตสัญโญชนิยธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสัญโญชน- *วิปปยุตตสัญโญชนิยธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ มหาภูตรูปทั้งหลาย ธรรมที่เป็นสัญโญชนวิปปยุตตอสัญโญชนิยธรรม อาศัยธรรมที่เป็น โญสัญชนวิปปยุตตอสัญโญชนิยธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นสัญโญชนวิปปยุตตอสัญโญชนิยธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ธรรมที่เป็นสัญโญชนวิปปยุตตอสัญโญชนิยธรรม ฯลฯ พึงกระทำ หัวข้อปัจจัย ๒
ทุกะนี้เหมือนกับโลกิยทุกะในจูฬันตรทุกะ ไม่มีแตกต่างกัน
สัญโญชนวิปปยุตตสัญโญชนิยทุกะ จบ
คันถทุกะ
ปฏิจจวาร
[๔๙๘] คันถธรรม อาศัยคันถธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ อภิชฌากายคันถะ อาศัยสีลัพพตปรามาสกายคันถะ สีลัพพต- *ปรามาสกายคันถะ อาศัยอภิชฌากายคันถะ อภิชฌากายคันถะ อาศัยอิทังสัจจา- *ภินิเวสกายคันถะ อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ อาศัยอภิชฌากายคันถะ ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม อาศัยคันถธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย อาศัยคันถธรรม ทั้งหลาย คันถธรรม และธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม อาศัยคันถธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ อภิชฌากายคันถะ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยสีลัพพตปรามาสกายคันถธรรม
พึงผูกจักรนัย
ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่คันถธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ คันถธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ คันถธรรมทั้งหลาย อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่คันถธรรม คันถธรรม และธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่คันถธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ คันถธรรม อาศัยคันถธรรม และธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ อภิชฌากายคันถะ อาศัยสีลัพพตปรามาสกายคันถะ และสัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลาย
พึงผูกจักรนัย
ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม อาศัยคันถธรรม และธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่คันถธรรม และคันถธรรมทั้งหลาย ขันธ์ ๒ ฯลฯ คันถธรรมและธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม อาศัยคันถธรรม และธรรมที่ ไม่ใช่คันถธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อภิชฌากายคันถะ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่คันถธรรม และสีลัพพตปรามาสกายคันถะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ
พึงผูกจักรนัย
ฯลฯ เพราะอารัมมณปัจจัย เพราะอวิคตปัจจัย [๔๙๙] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ในวิปากปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ [๕๐๐] ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่คันถธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ อเหตุกปฏิสนธิ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๕๐๑] ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม อาศัยคันถธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยคันถธรรมทั้งหลาย ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่คันถธรรม ปฏิสนธิ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม อาศัยคันถธรรม และธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยคันถธรรม และสัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย ฯลฯ ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอนันตรปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะสมนันตรปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอัญญมัญญปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ นัย [๕๐๒] คันถธรรม อาศัยคันถธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาต- *ปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ อภิชฌากายคันถะ อาศัยอิทังสัจจนิภิเวสกายคันถะ อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ อาศัยอภิชฌากายคันถะ ในอรูปภูมิ สีลัพพตปรามาส ไม่มี พึงกระทำหัวข้อปัจจัย ๙ อย่างนี้ ฯลฯ ไม่ใช่เพราะปัจฉาชาตปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอาเสวนปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะกัมมปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิปากปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอาหารปัจจัย มี ๑ นัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอินทริยปัจจัย มี ๑ นัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะฌานปัจจัย มี ๑ นัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะมัคคปัจจัย มี ๑ นัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะสัมปยุตตปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิปปยุตตปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะนัตถิปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะวิคตปัจจัย มี ๓ นัย [๕๐๓] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓ [๕๐๔] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙
พึงนับอย่างที่กล่าวมาแล้ว
[๕๐๕] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในอนันตรปัจจัย ฯลฯ มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย ฯลฯ มี " ๑
สหชาตวาร เหมือนกับ ปฏิจจวาร
ปัจจยวาร
[๕๐๖] คันถธรรม อาศัยคันถธรรมเกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย มี ๓ นัย เหมือนกับ ปฏิจจวาร ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่คันถธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายอาศัย หทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่คันถธรรม อาศัยหทัยวัตถุ คันถธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ คันถธรรมทั้งหลาย อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่คันถธรรม คันถธรรม ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ คันถธรรม และธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คันถธรรมทั้งหลาย และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่คันถธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ คันถธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ คันถธรรม อาศัยคันถธรรม และธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ อภิชฌากายคันถะ อาศัยสีลัพพตปรามาสกายคันถะ และสัมปยุตต ขันธ์ทั้งหลาย
พึงผูกจักรนัย
อภิชฌากายคันถะ อาศัยสีลัพพตปรามาสกายคันถะ และหทัยวัตถุ
พึงผูกจักรนัย
ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม อาศัยคันถธรรม และธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่คันถธรรม และคันถธรรมทั้งหลาย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่คันถธรรม อาศัย คันถธรรมและหทัยวัตถุ คันถธรรม และธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม อาศัยคันถธรรมและธรรม ที่ไม่ใช่คันถธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อภิชฌากายคันถะ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่คันถธรรม และสีลัพพตปรามาสกายคันถะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ
พึงผูกจักรนัย
อภิชฌากายคันถะ และสัมปยุตตขันธ์ อาศัยสีลัพพตปรามาสกายคันถะ และหทัยวัตถุ เกิดขึ้น
พึงผูกจักรนัย
[๕๐๗] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ [๕๐๘] ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่คันถธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ กายวิญญาณ อาศัยกายายตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่คันถธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ อาศัยหทัยวัตถุ โมหะที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วย อุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และ หทัยวัตถุ ฯลฯ [๕๐๙] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙
พึงนับอย่างนี้
[๕๑๐] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ [๕๑๑] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑
แม้นิสสยวาร ก็เหมือนกับ ปัจจยวาร นั่นเอง
สังสัฏฐวารก็ดี สัมปยุตตวารก็ดี พึงกระทำเป็นหัวข้อปัจจัย ๙ รูปไม่มี
ปัญหาวาร
[๕๑๒] คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นคันถธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตคันถธรรม ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นคันถธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม และธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นคันถธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และคันถธรรมและจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม โดย เหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ปฏิสนธิ ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตคันถธรรม ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ คันถธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย และคันถธรรม และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย คันถธรรม และธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม โดย เหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นคันถธรรม และไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย คันถธรรม และธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ ธรรมที่ไม่ใช่ คนถธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นคันถธรรม และไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย คันถธรรม และธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม และ ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นคันถธรรม และไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และคันถธรรม และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย เหตุปัจจัย [๕๑๓] คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภคันถธรรมทั้งหลาย คันถธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้น
พึงกระทำมูล
เพราะปรารภคันถธรรมทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่คันถธรรม เกิดขึ้น
พึงกระทำมูล
เพราะปรารภคันถธรรมทั้งหลาย คันถธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ แล้วพิจารณา กุศลกรรมนั้น บุคคลพิจารณากุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน บุคคลออกจากฌานแล้ว พิจารณาฌาน พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรคแล้ว พิจารณามรรค พิจารณาผล พิจารณานิพพาน นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล แก่วัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย พระอริยะทั้งหลายพิจารณากิเลสที่ละแล้ว ที่ไม่ใช่คันถธรรม ฯลฯ กิเลสที่ข่มแล้ว กิเลสที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่คันถธรรม โดย ความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่ไม่ใช่คันถธรรม โดย เจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัย แก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโต- *ปริยญาณ แก่บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ บุคคลกระทำ อุโบสถกรรมแล้ว ย่อม ยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่งกุศลกรรมนั้น เพราะปรารภความยินดีนั้น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น กุศลกรรมที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ ออกจากฌาน ฌาน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่คันถธรรม เพราะปรารภความยินดีนั้น ราคะ เกิดขึ้น ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ คันถธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ บุคคลกระทำอุโบสถกรรมแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่งกุศลกรรมนั้น เพราะปรารภความยินดีนั้น คันถ- *ธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ ออกจากฌาน ฌาน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่คันถธรรม เพราะปรารภความยินดีนั้น คันถธรรม และ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น คันถธรรม และธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม โดย อารัมมณปัจจัย มี ๓ นัย พึงกระทำคำว่าความปรารภ [๕๑๔] คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๓ นัย พึงกระทำว่าให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เหมือนกับ อารัมมณปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม โดย อธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ จากฌาน ฯลฯ พระอริยะทั้งหลายจากมรรค ฯลฯ ผล ฯลฯ นิพพาน ฯลฯ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่ โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล โดย อธิปติปัจจัย จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่คันถ- *ธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะ กระทำความยินดีนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้ในกาลก่อน ฯลฯ จากฌาน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่ คันถธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่ง กุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ คันถธรรมทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ คันถธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ ทาน ฯลฯ เพราะกระทำขันธ์ทั้งหลาย ที่ไม่ใช่คันถธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลิน ยิ่ง เพราะกระทำความยินดีนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น คันถธรรม และ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และคันถธรรม และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย อธิปติปัจจัย คันถธรรม และธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม โดย อธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ มี ๓ นัย [๕๑๕] คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ คันถธรรมทั้งหลายที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่คันถธรรมทั้งหลาย ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ คันถธรรมทั้งหลาย ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ ไม่ใช่คันถธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย คันถธรรมทั้งหลาย เป็นปัจจัย แก่วุฏฐานะ โดยอนันตรปัจจัย คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม และธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม โดย อนันตรปัจจัย คือ คันถธรรมทั้งหลาย ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม ทั้งหลายที่เกิดหลังๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอนันตรปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม โดย อนันตรปัจจัย มี ๓ นัย ๒ นัย พึงกระทำอาวัชชนะ นัยที่ ๑ ไม่มี คันถธรรม และธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม โดย อนันตรปัจจัย มี ๓ นัย วุฏฐานะแม้หนึ่ง พึงกระทำในท่ามกลาง คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม โดยสมนันตรปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอัญญมัญญปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๙ นัย [๕๑๖] คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ คันถธรรมทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่ คันถธรรมทั้งหลาย ฯลฯ มี ๓ นัย ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ก่อมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีล ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้ว ก่อมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีล ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ราคะ ฯลฯ แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ คันถธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้ว ก่อมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีล ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม และสัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยอุปนิสสยปัจจัย คันถธรรม และธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ มี ๓ นัย พึงกระทำ โดยนัยแห่ง อารัมมณปัจจัย [๕๑๗] ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความเป็น ของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่ กายวิญญาณ ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่ไม่ใช่คันถธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อม เพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งหทัยวัตถุ เพราะปรารภความยินดีนั้น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่คันถธรรมทั้งหลาย โดยปุเรชาตปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ คันถธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อม เพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งหทัยวัตถุ เพราะปรารภความยินดีนั้น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น คันถธรรมและสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม และ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยปุเรชาตปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยปัจฉาชาตปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอาเสวนปัจจัย มี ๙ นัย [๕๑๘] ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่วิบาก- *ขันธ์ และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดย กัมมปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ คันถธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายและ คันถธรรม และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม โดย วิปากปัจจัย มี ๑ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอาหารปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอินทริยปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยฌานปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยมัคคปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสัมปยุตตปัจจัย มี ๙ นัย [๕๑๙] คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม โดยวิปปยุตต- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ฯลฯ ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม โดย วิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต ฯลฯ ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม และ ธรรมที่ไม่ใช่ คันถธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย คันถธรรม และธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่ คันถธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ฯลฯ [๕๒๐] คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๑ นัย เหมือนกับปฏิจจวาร คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ คันถธรรมทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ คันถธรรมทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่ เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย มี ๑ นัย เหมือนกับปฏิจจวาร ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม โดยอัตถิ ปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ฯลฯ ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ คันถธรรมทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งหทัยวัตถุ เพราะปรารภความยินดีนั้น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น ฯลฯ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่คันถธรรมทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ คันถธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และคันถธรรม และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งหทัยวัตถุ เพราะปรารภความยินดีนั้น คันถธรรม และ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดย อัตถิปัจจัย คันถธรรม และธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม โดย อัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ สีลัพพตปรามาสกายคันถะ และสัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่อภิชฌากายคันถะ โดยอัตถิปัจจัย
พึงผูกจักรนัย
ที่เป็นสหชาต ได้แก่ สีลัพพตปรามาสกายคันถะ และหทัยวัตถุ เป็น ปัจจัยแก่อภิชฌากายคันถะ โดยอัตถิปัจจัย
พึงผูกจักรนัย
คันถธรรม และธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่ คันถธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่คันถธรรม และคันถธรรมทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย ที่ไม่ใช่คันถธรรม โดย อัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ คันถธรรมทั้งหลาย และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัย แก่ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่คันถธรรม โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นสหชาต ได้แก่ คันถธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัย แก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ คันถธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็น ปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ คันถธรรมทั้งหลาย และกวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ คันถธรรมทั้งหลาย และรูปชีวิตินทรีย์ เป็น ปัจจัยแก่ กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย คันถธรรม และธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม และ ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่คันถธรรม และสีลัพพต- *ปรามาสกายคันถะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และอภิชฌากายคันถะ และจิตต สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย
พึงผูกจักรนัย
ที่เป็นสหชาต ได้แก่ สีลัพพตปรามาสกายคันถะ และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่อภิชฌากายคันถะ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย
พึงผูกจักรนัย
[๕๒๑] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในกัมมปัจจัย มี " ๓ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๓ ในอินทริยปัจจัย มี " ๓ ในฌานปัจจัย มี " ๓ ในมัคคปัจจัย มี " ๙ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในอัตถิปัจจัย มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย มี " ๙ ในวิคตปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ [๕๒๒] คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปัจฉาชาตปัจจัย คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรมและธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็น ปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปุเรชาตปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ คันถธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย คันถธรรม และธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย คันถธรรม และธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่ คันถธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย คันถธรรม และ ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถธรรม และ ธรรมที่ไม่ใช่คันถธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็น ปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย [๕๒๓] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๙ [๕๒๔] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ [๕๒๕] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙
พึงกระทำบทที่เป็นอนุโลมให้บริบูรณ์
ในอวิคตปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙
คันถทุกะ จบ
คันถนิยทุกะ
ปฏิจจวาร
[๕๒๖] คันถนิยธรรม อาศัยคันถนิยธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นคันถนิยธรรม ฯลฯ โลกิยทุกะ ในจูฬันตรทุกะ ฉันใด พึงแจกฉันนั้น ไม่มีแตกต่างกัน
คันถนิยทุกะ จบ
คันถสัมปยุตตทุกะ
ปฏิจจวาร
[๕๒๗] คันถสัมปยุตตธรรม อาศัยคันถสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ คันถวิปปยุตตธรรม อาศัยคันถสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม โลภะ และ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิ- *คตวิปปยุตตธรรม ปฏิฆะ และ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคต ด้วยโทมนัส คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม อาศัยคันถสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นคันถ- *สัมปยุตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ และโลภะ และ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ และ ปฏิฆะ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วย โทมนัส ขันธ์ ๒ ฯลฯ คันถวิปปยุตตธรรม อาศัยคันถวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นคันถ- *วิปปยุตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยโลภะที่เป็นทิฏฐิคต- *วิปปยุตตธรรม จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยปฏิฆะ ในปฏิสนธิขณะ อาศัยขันธ์ ทั้งหลาย ฯลฯ คันถสัมปยุตตธรรม อาศัยคันถวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยปฏิฆะ คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม อาศัยคันถวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยโลภะที่เป็น ทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัย ปฏิฆะ คันถสัมปยุตตธรรม อาศัยคันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตต ธรรม และโลภะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ คันถวิปปยุตตธรรม อาศัยคันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม และ มหาภูตรูปทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็น ทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคต ด้วยโทมนัส และปฏิฆะ คันถสัมปยุตตธรรม และ คันถวิปปยุตตธรรม อาศัยคันถสัมปยุตต ธรรม และ คันถวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วย โลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ และ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๕๒๘] คันถสัมปยุตตธรรม อาศัยคันถสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะ อารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ คันถวิปปยุตตธรรม อาศัยคันถสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณ- *ปัจจัย คือ โลภะอาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตต- *ธรรม ปฏิฆะ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยโทมนัส คันถสัมปยุตตธรรม และ คันถวิปปยุตตธรรม อาศัยคันถสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และโลภะ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็น ทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ และปฏิฆะ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคต ด้วยโทมนัส ขันธ์ ๒ ฯลฯ คันถวิปปยุตตธรรม อาศัยคันถวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณ ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นคันถวิปปยุตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ คันถสัมปยุตตธรรม อาศัยคันถวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณ ปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยปฏิฆะ คันถสัมปยุตตธรรม อาศัยคันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะอารัมมณปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตต ธรรม และ โลภะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโทมนัส และ ปฏิฆะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ
ฯลฯ
[๕๒๙] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๖ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๖ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๖ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๖ ในนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๖ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๖ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๖ ในกัมมปัจจัย มี " ๙ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๙ ในอินทริยปัจจัย มี " ๙ ในฌานปัจจัย มี " ๙ ในมัคคปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๖ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในอัตถิปัจจัย มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย มี " ๖ ในวิคตปัจจัย มี " ๖ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ [๕๓๐] คันถวิปปยุตตธรรม อาศัยคันถวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นคันถวิปปยุตต- *ธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ อเหตุกปฏิสนธิ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคต ด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๕๓๑] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๗ อรูปภูมิเมื่อจะแจกในที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัยพึงกระทำก่อน รูปภูมิย่อม ได้ในที่ใด พึงกระทำภายหลัง และปฏิฆะ ไม่มีในอรูปภูมิ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓ [๕๓๒] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙
พึงนับอย่างนี้ ฯ
ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ [๕๓๓] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ แม้สหชาตวาร ก็พึงกระทำอย่างที่กล่าวมาแล้ว
ปัจจยวาร
[๕๓๔] คันถสัมปยุตตธรรม อาศัยคันถสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย มี ๓ นัย เหมือนกับ ปฏิจจวาร คันถวิปปยุตตธรรม อาศัยคันถวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นคันถวิปปยุตตธรรม ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัย หทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถวิปปยุตตธรรม อาศัย หทัยวัตถุ คันถสัมปยุตตธรรม อาศัยคันถวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ สัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยปฏิฆะ คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม อาศัยคันถวิปปยุตต ธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ จิตต- *สมุฏฐานรูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และจิตตสมุฏฐาน รูป อาศัยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยปฏิฆะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และ โลภะ อาศัยหทัยวัตถุ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ อาศัย หทัยวัตถุ คันถสัมปยุตตธรรม อาศัยคันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตต ธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคต วิปปยุตตธรรม และหทัยวัตถุ และปฏิฆะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ อาศัย ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโทมนัส และหทัยวัตถุ และ ปฏิฆะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ คันถวิปปยุตตธรรม อาศัยคันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย โลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ โลภะ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ที่ สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และหทัยวัตถุ ปฏิฆะ อาศัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และหทัยวัตถุ คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม อาศัยคันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม และ หทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถ- *สัมปยุตตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ขันธ์ ๓ และ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัย ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ และโลภะ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วย โลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ และปฏิฆะ อาศัยขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโทมนัส และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ
ฯลฯ
[๕๓๕] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ในวิปากปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ [๕๓๖] คันถวิปปยุตตธรรม อาศัยคันถวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะเหตุปัจจัย คือ อาศัยคันถวิปปยุตตธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ฯลฯ อเหตุกปฏิสนธิ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ กายวิญญาณ อาศัย กายายตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถวิปปยุตตธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ อาศัย หทัยวัตถุ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และหทัยวัตถุ
ฯลฯ
[๕๓๗] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๓ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓ [๕๓๘] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ พึงนับอย่างที่กล่าวมาแล้ว [๕๓๙] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑
แม้นิสสยวาร ก็เหมือนกับ ปัจจยวาร
สังสัฏฐวาร
[๕๔๐] คันถสัมปยุตตธรรม คลุกเคล้ากับคันถสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ คันถวิปปยุตตธรรม คลุกเคล้ากับคันถสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ โลภะ คลุกเคล้ากับขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็น ทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ปฏิฆะ คลุกเคล้ากับขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม คลุกเคล้ากับคันถ- *สัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และโลภะ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ และปฏิฆะ คลุกเคล้า กับขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโทมนัส ขันธ์ ๒ ฯลฯ คันถวิปปยุตตธรรม คลุกเคล้ากับคันถวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่เป็นคันถวิปปยุตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ คันถสัมปยุตตธรรม คลุกเคล้ากับคันถวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย คลุกเคล้ากับโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตต- *ธรรม สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย คลุกเคล้ากับปฏิฆะ คันถสัมปยุตตธรรม คลุกเคล้ากับคันถสัมปยุตตธรรม และคันถ- *วิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคต- *วิปปยุตตธรรม และโลภะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๓ คลุกเคล้ากับขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ
ฯลฯ
[๕๔๑] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๖ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๖ ในอธิปติปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๖ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๖ ในอวิคตปัจจัย มี " ๖ [๕๔๒] คันถวิปปยุตตธรรม คลุกเคล้ากับคันถวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ อาศัยคันถวิปปยุตตธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ฯลฯ ในอเหตุกปฏิสนธิ- *ขณะ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ คลุกเคล้ากับขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ
ฯลฯ
[๕๔๓] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๖ [๕๔๔] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ [๕๔๕] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑
ปัญหาวาร
[๕๔๖] คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดยเหตุ- *ปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏ- *ฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย เหตุที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตต- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่โลภะ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย เหตุ ที่สหรคตด้วยโทมนัส เป็นปัจจัยแก่ปฏิฆะ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย เหตุปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปป- *ยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลาย ที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย เหตุที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคต- *วิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และโลภะ และจิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย เหตุที่สหรคตด้วยโทมนัส เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และปฏิฆะและจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลายโดยเหตุปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นคันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย โลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ปฏิสนธิ คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ โลภะ ที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยเหตุ- *ปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปป- *ยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ โลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมป- *ยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะเป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายโดยเหตุปัจจัย เหตุที่สหรคตด้วยโทมนัส และ ปฏิฆะเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม และ คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปป- *ยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรมและโลภะ เป็น ปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย เหตุที่สหรคตด้วยโทมนัส และ ปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม และ คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมป- *ยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรมและโลภะ เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย เหตุที่ สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏ- *ฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย [๕๔๗] คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่ เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น
พึงถามถึงมูลในหัวข้อปัจจัย แม้ทั้ง ๓
เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น คันถวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่ สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ เกิดขึ้น ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ เกิดขึ้น คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ แล้ว พิจารณา กุศลกรรมนั้น บุคคลพิจารณากุศลกรรมทั้งหลาย ที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน บุคคลออกจากฌาน แล้วพิจารณาฌาน พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรคแล้ว พิจารณามรรค พิจารณาผล พิจารณา นิพพาน นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็น คันถวิปปยุตตธรรม โลภะ และปฏิฆะ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ ย่อม ยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภความยินดีนั้น ราคะ ที่เป็นคันถวิปปยุตต- *ธรรม เกิดขึ้น วิจิกิจฉา ฯลฯ อุทธัจจะ ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่เป็นคันถวิปปยุตตธรรม โดย เจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ โดยอารัมมณปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่ เจโตปริยญาณ แก่บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมูปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งกุศลกรรมนั้น เพราะปรารภความยินดีนั้น ราคะที่เป็น คันถสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปป- *ยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่เป็น คันถวิปปยุตตธรรม และโลภะ และปฏิฆะ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะที่ เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และ ปฏิฆะเกิดขึ้น คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมป- *ยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตต- *ธรรม และโลภะ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัสและปฏิฆะ ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น
พึงถามถึงมูล
เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัสและปฏิฆะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น คันถวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น
พึงถามถึงมูล
เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคต ด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ ขันธ์ทั้งหลายที่สหคตด้วย- *โทมนัส และปฏิฆะ เกิดขึ้น [๕๔๘] คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดย อธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมป- *ยุตตธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมป- *ยุตตธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น โลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เป็น ปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย อธิปติธรรมที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ โลภะ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย อธิปติธรรมที่สหรคตด้วยโทมนัส เป็นปัจจัยแก่ปฏิฆะ และจิตตสมุฏ- *ฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปป- *ยุตตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมป- *ยุตตธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็น ทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคต- *วิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายและโลภะ และจิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย อธิปติธรรมที่สหรคตด้วยโทมนัส เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และปฏิฆะ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถ- *กรรม ฯลฯ แล้วกระทำกุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา บุคคลกระทำกุศลกรรมทั้งหลาย ที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อนให้เป็น อารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา บุคคลออกจากฌาน กระทำฌานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา พระอริยะทั้งหลาย ออกจากมรรค กระทำมรรคให้เป็นอารมณ์อย่าง หนักแน่นแล้วพิจารณา กระทำผลให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น แล้วพิจารณา กระทำนิพพานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น แล้วพิจารณา นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล โดย อธิปติปัจจัย จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถ- *วิปปยุตตธรรม และโลภะให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อม เพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำความยินดีนั้น ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ ที่เป็นคันถวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่อธิปติธรรมที่เป็นคันถวิปปยุตตธรรม เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ ออกจากฌาน พิจารณาฌาน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถ- *วิปปยุตตธรรม และโลภะ ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อม เพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำความยินดีนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ ที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตต- *ธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ เพราะกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถวิปปยุตตธรรม และโลภะ ให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่น ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ เกิดขึ้น คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถ- *สัมปยุตตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะกระทำขันธ์ทั้งหลาย ที่ สหรคตด้วยโมหะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ ให้เป็นอารมณ์อย่าง หนักแน่น ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น
พึงถามถึงมูล
เพราะกระทำขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตต- *ธรรม และโลภะให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น โลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น
พึงถามถึงมูล
เพราะกระทำขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็น ทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ เกิดขึ้น [๕๔๙] คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดย อนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัย แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย
พึงถามถึงมูล
ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ที่ เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่โลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัย แก่ปฏิฆะ ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตต- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ โดยอนันตรปัจจัย
พึงถามถึงมูล
ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ที่เกิด ก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ที่เกิดหลังๆ และโลภะ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่เกิดหลังๆ และปฏิฆะ โดยอนันตรปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ โลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ โลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ปฏิฆะที่ สหรคตด้วยโทมนัส ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ปฏิฆะ ที่เกิดหลังๆ โดย อนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถวิปปยุตตธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัย แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถวิปปยุตตธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่ผลสมาบัติ โดยอนันตรปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ โลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ปฏิฆะ ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่ เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น คันถสัมปยุตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม และคันถ- *วิปปยุตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ โลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ที่เกิดหลังๆ และ โลภะ โดยอนันตรปัจจัย ปฏิฆะที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคต ด้วยโทมนัส ที่เกิดหลังๆ และปฏิฆะ โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนะ เป็นปัจจัย แก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรมและโลภะ และ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ โดยอนันตรปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถ- *สัมปยุตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ที่ เกิดก่อนๆ และโลภะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็น ทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคต ด้วยโทมนัส ที่เกิดก่อนๆ และปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย โทมนัส ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย
พึงถามถึงมูล
ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ที่ เกิดก่อนๆ และโลภะ เป็นปัจจัยแก่โลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ที่ เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส ที่เกิดก่อนๆ และปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่ปฏิฆะ ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ และขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ โดยอนันตรปัจจัย
พึงถามถึงมูล
ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ที่เกิด ก่อนๆ และโลภะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคต วิปปยุตตธรรม ที่เกิดหลังๆ และโลภะ โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคต ด้วยโทมนัส ที่เกิดก่อนๆ และปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย โทมนัส ที่เกิดหลังๆ และปฏิฆะ โดยอนันตรปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดยสมนันตรปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัยโดยอัญญมัญญปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย [๕๕๐] คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย
พึงถามถึงมูล
พึงกระทำอุปนิสสยปัจจัย ทั้ง ๓ นัย
คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย
พึงถามถึงมูล
พึงกระทำอุปนิสสยปัจจัย ทั้ง ๓ นัย
ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ โดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ โดยอุปนิสสยปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ก่อมานะ บุคคลเข้าไปอาศัยศีล ฯลฯ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ความปรารถนา สุขทางกาย ทุกข์ทางกาย ฤดู โภชนะ ฯลฯ เสนาสนะ แล้วให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ ปัญญา ราคะ ฯลฯ ความปรารถนา เสนาสนะ เป็น ปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ แก่ปัญญา แก่ราคะ แก่โทสะ แก่โมหะ แก่มานะ แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้ว ก่อมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา ราคะ ฯลฯ มานะ ความปรารถนา ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ ราคะ แก่โทสะ แก่โมหะ แก่มานะ แก่ทิฏฐิ แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม และคันถ- *วิปปยุตตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ นัย บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้วก่อมานะ บุคคลเข้าไปอาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ความปรารถนา สุขทางกาย ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ ปัญญา ราคะ โทสะ โมหะ ความปรารถนา เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และ โลภะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ โดย อุปนิสสยปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตต- *ธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ และขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย
พึงถามถึงมูล
ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ และขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นคันถวิปปยุตตธรรม แก่โลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และปฏิฆะ โดย อุปนิสสยปัจจัย
พึงถามถึงมูล
ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรมและโลภะ และขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ โดยอุปนิสสยปัจจัย [๕๕๑] คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดย ปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นหทัยวัตถุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภ ความยินดีนั้น ราคะที่เป็นคันถวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น วิจิกิจฉา ฯลฯ อุทธัจจะ ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่ กายวิญญาณ ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นคันถวิปปยุตตธรรม และโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และปฏิฆะ โดยปุเรชาตปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อม เพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งหทัยวัตถุ เพราะปรารภความยินดีนั้น ราคะที่เป็นคันถสัมปยุตต- *ธรรม เกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น คันถสัมปยุตตธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม และคันถ- *วิปปยุตตธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ เพราะปรารภหทัยวัตถุ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ และ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ เกิดขึ้น ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคต ด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะและขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย โทมนัส และปฏิฆะ โดยปุเรชาตปัจจัย [๕๕๒] คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดย ปัจฉาชาตปัจจัย มี ๑ นัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดยปัจฉาชาต- *ปัจจัย มี ๑ นัย คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถ- *วิปปยุตตธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม ที่เกิด ภายหลัง และโลภะ และขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ เป็น ปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยปัจฉาชาตปัจจัย [๕๕๓] คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดย อาเสวนปัจจัย เหมือนกับอารัมมณปัจจัย อาวัชชนะก็ดี วุฏฐานะก็ดี มีไม่ [๕๕๔] คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดย กัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย เจตนาที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่โลภะและจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย เจตนาที่สหรคตด้วยโทมนัส เป็นปัจจัยแก่ปฏิฆะ และจิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัย แก่วิบากขันธ์ และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดยกัมมปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปป- *ยุตตธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย เจตนาที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็น ทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และโลภะ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย เจตนาที่สหรคตด้วยโทมนัส เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และปฏิฆะ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นคันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นคันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัย แก่วิบากขันธ์ และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๕๕๕] คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดย วิปากปัจจัย มี ๑ นัย [๕๕๖] คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดย อาหารปัจจัย มี ๔ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอินทริยปัจจัย มี ๔ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยฌานปัจจัย มี ๔ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยมัคคปัจจัย มี ๔ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสัมปยุตตปัจจัย มี ๖ นัย [๕๕๗] คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดย วิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ฯลฯ พึงจำแนก คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดยวิปปยุตต- *ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปป- *ยุตตธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ แก่ขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต ฯลฯ คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรมเป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตต- *ธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคต วิปปยุตตธรรม และโลภะ เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย วิปปยุตตปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคต- *วิปปยุตตธรรม และโลภะ และขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยวิปปยุตตปัจจัย [๕๕๘] คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดย อัตถิปัจจัย มี ๑ นัย เหมือนกับปฏิจจวาร คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ฯลฯ พึงจำแนก คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตต- *ธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๑ นัย เหมือนกับปฏิจจวาร คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ฯลฯ พึงจำแนก คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ โลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ปฏิฆะที่สหรคตด้วยโทมนัส เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลิน ยิ่งซึ่งหทัยวัตถุ เพราะปรารภความยินดีนั้น ราคะที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม ฯลฯ ทิฏฐิ ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น คันถสัมปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตต ธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ โลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ปฏิฆะ เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ เพราะปรารภหทัยวัตถุ ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ และขันธ์ทั้งหลายที่ สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ เกิดขึ้น หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และโลภะ แก่ขันธ์ทั้งหลายที่ สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ โดยอัตถิปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมป- *ยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปป- *ยุตตธรรม และโลภะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปป- *ยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม และ มหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคต- *วิปปยุตตธรรม และโลภะ เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิ- *ปัจจัย ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคตวิปปยุตตธรรม และ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่โลภะ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ปฏิฆะ โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโลภะ ที่เป็นทิฏฐิคต- *วิปปยุตตธรรม และโลภะ และขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม และ กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม และ รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมป- *ยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคต- *วิปปยุตตธรรม และโลภะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโทมนัส และปฏิฆะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโลภะที่เป็นทิฏฐิคต- *วิปปยุตตธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และโลภะ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่สหรคตด้วยโทมนัส และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และปฏิฆะ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๕๕๙] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๖ ในนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในกัมมปัจจัย มี " ๔ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๔ ในอินทริยปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในฌานปัจจัย มี " ๔ ในมัคคปัจจัย มี " ๔ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๖ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในอัตถิปัจจัย มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย มี " ๙ ในวิคตปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ [๕๖๐] คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม และคันถ- *วิปปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปุเรชาตปัจจัย คันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมปยุตตธรรม และคันถ- *วิปปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถ- *สัมปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถวิปป- *ยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย คันถสัมปยุตตธรรม และคันถวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่คันถสัมป- *ยุตตธรรม และวิปปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย [๕๖๑] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๙ [๕๖๒] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๙ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ [๕๖๓] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙
พึงกระทำอนุโลมมาติกาให้พิสดาร
ในอวิคตปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙
คันถสัมปยุตตทุกะ จบ
คันถคันถนิยทุกะ
ปฏิจจวาร
[๕๖๔] ธรรมที่เป็นทั้งคันถธรรมและคันถนิยธรรม อาศัยธรรมที่เป็นทั้ง คันถธรรมและคันถนิยธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ อภิชฌากายคันถะ อาศัยสีลัพพตปรามาสกายคันถะ สีลัพพต- *ปรามาสกายคันถะ อาศัยอภิชฌากายคันถะ อภิชฌากายคันถะ อาศัย อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ อาศัยอภิชฌากายคันถะ ธรรมที่เป็นคันถนิยธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม อาศัยธรรมที่เป็นทั้ง คันถธรรมและคันถนิยธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยคันถธรรม ทั้งหลาย ธรรมที่เป็นทั้งคันถธรรมและคันถนิยธรรม และธรรมที่เป็นคันถนิยธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม อาศัยธรรมที่เป็นคันถธรรมและคันถนิยธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย ปฏิจจวารก็ดี สหชาตวารก็ดี ปัจจยวารก็ดี นิสสยวารก็ดี สังสัฏฐวาร ก็ดี สัมปยุตตวารก็ดี
เหมือนกับ คันถทุกะ ไม่มีแตกต่างกัน
ปัญหาวาร
[๕๖๕] ธรรมที่เป็นทั้งคันถธรรม และคันถนิยธรรม เป็นปัจจัยแก่ ธรรมที่เป็นทั้งคันถธรรม และคันถนิยธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นคันถธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตคันถธรรม ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย หัวข้อปัจจัย ๙ พึงให้พิสดารอย่างที่กล่าวมาแล้ว [๕๖๖] ธรรมที่เป็นทั้งคันถธรรม และคันถนิยธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม ที่เป็นทั้งคันถธรรม และคันถนิยธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภคันถธรรมทั้งหลาย คันถธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้น
พึงถามถึงมูล
เพราะปรารภคันถธรรมทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถนิยธรรม แต่ ไม่ใช่คันถธรรม เกิดขึ้น
พึงถามถึงมูล
เพราะปรารภคันถธรรมทั้งหลาย คันถธรรมและสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น ธรรมที่เป็นคันถนิยธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็น คันถนิยธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลให้ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ แล้ว พิจารณาซึ่งกุศลกรรมนั้น กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ ฌาน ฯลฯ พระอริยะทั้งหลาย พิจารณาโคตรภู พิจารณาโวทาน พิจารณากิเลสที่ ละแล้ว ฯลฯ พิจารณากิเลสที่ข่มแล้ว รู้ซึ่งกิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วใน กาลก่อน จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถนิยธรรม แต่ไม่ใช่ คันถธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ
ทั้งหมด พึงให้พิสดาร
เป็นปัจจัยแก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย ธรรมที่เป็นคันถนิยธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้ง คันถธรรมและคันถนิยธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ กระทำอุโบสถกรรม ฯลฯ แล้วย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่งกุศลกรรมนั้น เพราะปรารภความยินดีนั้น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ วิจิกิจฉา ฯลฯ อุทธัจจะ ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ ออกจากฌานแล้ว พิจารณาฌาน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่ง- *ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นคันถนิยธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม เพราะปรารภความยินดีนั้น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น ธรรมที่เป็นคันถนิยธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้ง คันถธรรมและคันถนิยธรรม และธรรมที่เป็นคันถนิยธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ ออกจากฌานแล้ว พิจารณาฌาน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่ง ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นคันถนิยธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม เพราะปรารภความยินดีนั้น คันถธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น หัวข้อปัจจัย ๓ แม้นอกนี้ พึงให้พิสดารอย่างที่กล่าวมาแล้ว พึงกระทำ เพราะปรารภ ในทุกะนี้ โลกุตตระไม่มี เหมือนกับคันถทุกะ ไม่มีแตกต่างกัน พึง กำหนดคำว่าคันถนิยะ ในมัคคปัจจัย พึงกระทำหัวข้อปัจจัย ๙
คันถคันถนิยทุกะ จบ
คันถคันถสัมปยุตตทุกะ
ปฏิจจวาร
[๕๖๗] ธรรมที่เป็นทั้งคันถธรรม และคันถสัมปยุตตธรรม อาศัยธรรม ที่เป็นทั้งคันถธรรมและคันถสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ อภิชฌากายคันถะ อาศัยสีลัพพตปรามาสกายคันถะ สีลัพพตปรา- *มาสกายคันถะ อาศัยอภิชฌากายคันถะ อภิชฌากายคันถะ อาศัยอิทังสัจจาภินิ- *เวสกายคันถะ อิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ อาศัยอภิชฌากายคันถะ ธรรมที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม อาศัยธรรมที่เป็นทั้ง คันถธรรมและคันถสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยคันถธรรมทั้งหลาย ธรรมที่เป็นทั้งคันถธรรมและคันถสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็นคันถ- *สัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม อาศัยธรรมที่เป็นทั้งคันถธรรมและคันถสัม- *ปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ อภิชฌากายคันถะ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยสีลัพพตปรา- *มาสกายคันถะ
พึงผูกจักรนัย
ธรรมที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม อาศัยธรรม ที่เป็น คันถสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ธรรมที่เป็นทั้งคันถธรรมและคันถสัมปยุตตธรรม อาศัยธรรมที่เป็นคันถ- *สัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ คันถธรรมทั้งหลาย อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม ธรรมที่เป็นทั้งคันถธรรมและคันถสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็นคันถ- *สัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม อาศัยธรรมที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่ คันถธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และคันถธรรมทั้งหลาย อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นคันถสัม- *ปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ธรรมที่เป็นทั้งคันถธรรมและคันถสัมปยุตตธรรม อาศัยธรรมที่เป็นทั้ง คันถธรรมและคันถสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่ คันถธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ คันถธรรมทั้งหลาย อาศัยคันถธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย ธรรมที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม อาศัยธรรมที่เป็นทั้ง คันถธรรมและคันถสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่ คันถธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม และคันถธรรมทั้งหลาย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ธรรมที่เป็นทั้งคันถธรรมและคันถสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็นคันถ- *สัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม อาศัยธรรมที่เป็นทั้งคันถธรรมและคันถสัมป- *ยุตตธรรม และธรรมที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และอภิชฌากายคันถะ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นคันถสัมป- *ยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม และสีลัพพตปรามาสกายคันถะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ
พึงผูกจักรนัย
ฯลฯ
[๕๖๘] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ในกัมมปัจจัย มี " ๙ ในอาหารปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ [๕๖๙] ธรรมที่เป็นทั้งคันถธรรม และคันถสัมปยุตตธรรม อาศัยธรรม ที่เป็นทั้งคันถธรรมและคันถสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย ฯลฯ ในที่นี้ ปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย ไม่มี [๕๗๐] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๙ การนับทั้งสองแม้นอกนี้ก็ดี สหชาตวารก็ดี ปัจจยวารก็ดี นิสสยวารก็ดี สังสัฏฐวารก็ดี สัมปยุตตวารก็ดี เหมือนกับปฏิจจวารอย่างที่กล่าวมาแล้ว
ปัญหาวาร
[๕๗๑] ธรรมที่เป็นทั้งคันถธรรม และคันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัย แก่ธรรมที่เป็นทั้งคันถธรรมและคันถสัมปยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นทั้งคันถธรรม และคันถสัมปยุตตธรรม เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตคันถธรรมทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ธรรมที่เป็นทั้งคันถธรรมและคันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ เป็นคันถสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นทั้งคันถธรรม และคันถสัมปยุตตธรรม เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ธรรมที่เป็นทั้งคันถธรรมและคันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ เป็นทั้งคันถธรรมและคันถสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม แต่ ไม่ใช่คันถธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นทั้งคันถธรรม และคันถสัมปยุตตธรรม เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และคันถธรรมทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ธรรมที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ เป็นคันถสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ธรรมที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม ที่เป็นทั้งคันถธรรมและคันถสัมปยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตคันถธรรมทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ธรรมที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ เป็นทั้งคันถธรรมและคันถสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และคันถธรรมทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ธรรมที่เป็นทั้งคันถธรรมและคันถสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็นคันถ- *สัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้งคันถธรรม และ คันถสัมปยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นทั้งคันถธรรม และคันถสัมปยุตตธรรม และที่ เป็นคันถสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตคันถธรรม ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ธรรมที่เป็นทั้งคันถธรรมและคันถสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็นคันถ- *สัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นทั้งคันถธรรม และคันถสัมปยุตตธรรม และที่ เป็นคันถสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ธรรมที่เป็นทั้งคันถธรรมและคันถสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็นคันถ- *สัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้งคันถธรรมและคันถ- *สัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม โดยเหตุ- *ปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นทั้งคันถธรรม และคันถสัมปยุตตธรรม และที่ เป็นคันถสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ คันถธรรมทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย [๕๗๒] ธรรมที่เป็นทั้งคันถธรรม และคันถสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัย แก่ธรรมที่เป็นทั้งคันถธรรมและคันถสัมปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภคันถธรรมทั้งหลาย คันถธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้น
พึงกระทำมูล
เพราะปรารภคันถธรรมทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม เกิดขึ้น
พึงกระทำมูล
เพราะปรารภคันถธรรมทั้งหลาย คันถธรรมทั้งหลาย และขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น ธรรมที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ เป็นคันถสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถ- *ธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม เกิดขึ้น
พึงกระทำมูล
เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม คันถธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้น
พึงกระทำมูล
เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่คันถธรรม คันถธรรมและขันธ์ทั้งหลายที่เป็นคันถสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น หัวข้อปัจจัย ๓ แม้นอกนี้ ก็พึงกระทำอย่างที่กล่าวมาแล้ว ในอธิปติปัจจัยก็ดี ในอนันตรปัจจัยก็ดี ในอุปนิสสยปัจจัยก็ดี เหมือน กับอารัมมณปัจจัย วิภังค์ไม่มี [๕๗๓] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๙ ในนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในกัมมปัจจัย มี " ๓ ในอาหารปัจจัย มี " ๓ ในอินทริยปัจจัย มี " ๓ ในฌานปัจจัย มี " ๓ ในมัคคปัจจัย มี " ๙ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในอัตถิปัจจัย มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย มี " ๙ ในวิคตปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ อรูปธรรมเท่านั้นเป็นปัจจัยแต่ละอย่าง พึงกระทำอย่างละ ๓ นัย อารัมมณะ สหชาตะ อุปนิสสยะ พึงเปลี่ยนแปลงทั้ง ๙ นัย แม้ในปัญหาวาร ก็พึงกระทำ อย่างที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด
คันถคันถสัมปยุตตทุกะ จบ
คันถวิปปยุตตคันถนิยทุกะ
ปฏิจจวาร
[๕๗๔] ธรรมที่เป็นคันถวิปปยุตตคันถนิยธรรม อาศัยธรรมที่เป็นคันถ- *วิปปยุตตคันถนิยธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นคันถวิปปยุตต- *คันถนิยธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ โลกิยทุกะในจูฬันตรทุกะ ฉันใด พึงให้พิสดารฉันนั้น ไม่มีแตกต่างกัน
คันถวิปปยุตตคันถนิยทุกะ จบ
โอฆโยคโคจฉกทุกะ
ปฏิจจวาร
[๕๗๕] อาศัยโอฆธรรม ฯลฯ โยคธรรม อาศัยโยคธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย โคจฉกะทั้ง ๒ เหมือนกับ อาสวโคจฉกะ ไม่มีแตกต่างกัน
โอฆโยคโคจฉกทุกะ จบ
นีวรณทุกะ
ปฏิจจวาร
[๕๗๖] นีวรณธรรม อาศัยนีวรณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจนิวรณ์ อวิชชานิวรณ์ อาศัยกามฉันทนิวรณ์ อุทธัจจนิวรณ์ อวิชชานิวรณ์ อาศัยกามฉันทนิวรณ์ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจนิวรณ์ อวิชชานิวรณ์ อาศัยพยาบาทนิวรณ์ อุทธัจจนิวรณ์ อวิชชานิวรณ์ อาศัยพยาบาท- *นิวรณ์ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจนิวรณ์ กุกกุจจนิวรณ์ อวิชชานิวรณ์ อาศัย พยาบาทนิวรณ์ อุทธัจจนิวรณ์ กุกกุจจนิวรณ์ อวิชชานิวรณ์ อาศัยพยาบาท- *นิวรณ์ อุทธัจจนิวรณ์ อาศัยวิจิกิจฉานิวรณ์ อวิชชานิวรณ์ อาศัยอุทธัจจนิวรณ์ ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม อาศัยนีวรณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยนีวรณธรรม ทั้งหลาย นีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม อาศัยนีวรณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจนิวรณ์ อวิชชานิวรณ์ สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยกามฉันทนิวรณ์
พึงผูกจักรนัย
ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่นีวรณธรรม ปฏิสนธิ นีวรณธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ นีวรณธรรมทั้งหลาย อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่นีวรณธรรม นีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่นีวรณ- *ธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และนีวรณธรรม และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ ไม่ใช่นีวรณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ นีวรณธรรม อาศัยนีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจนิวรณ์ อวิชชานิวรณ์ อาศัยกามฉันทนิวรณ์ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย
พึงผูกจักรนัย
ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม อาศัยนีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่นีวรณ- *ธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่นีวรณธรรม และนีวรณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ นีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม อาศัยนีวรณธรรม และธรรม ที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจนิวรณ์ อวิชชานิวรณ์ อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่นีวรณธรรม และกามฉันทนิวรณ์ ขันธ์ ๒ ฯลฯ
พึงผูกจักรนัย
ฯลฯ
[๕๗๗] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ [๕๗๘] นีวรณธรรม อาศัยนีวรณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ อวิชชานิวรณ์ อาศัยวิจิกิจฉานิวรณ์ อวิชชานิวรณ์ อาศัยอุทธัจจ- *นิวรณ์ ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่นีวรณธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ อเหตุกปฏิสนธิตลอดถึงอสัญญสัตว์ นีวรณธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ เหตุปัจจัย คือ อวิชชานิวรณ์ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ นีวรณธรรม อาศัยนีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ อวิชชานิวรณ์ อาศัยวิจิกิจฉานิวรณ์ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อวิชชานิวรณ์ อาศัยอุทธัจจนิวรณ์ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย [๕๗๙] ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม อาศัยนีวรณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยนีวรณธรรมทั้งหลาย ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่นีวรณธรรม ตลอดถึง อสัญญสัตว์ ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม อาศัยนีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่นีวรณ- *ธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยนีวรณธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย ฯลฯ ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอธิปติปัจจัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอนันตรปัจจัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะสมนันตรปัจจัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอัญญมัญญปัจจัย ฯลฯ ไม่ใช่เพราะอุปนิสสยปัจจัย [๕๘๐] นีวรณธรรม อาศัยนีวรณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาต- *ปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจนิวรณ์ อวิชชานิวรณ์ อาศัย กามฉันทนิวรณ์ ในอรูปภูมิ อุทธัจจนิวรณ์ อวิชชานิวรณ์ อาศัยกามฉันทนิวรณ์ ในอรูปภูมิ อุทธัจจนิวรณ์ อวิชชานิวรณ์ อาศัยวิจิกิจฉานิวรณ์ ในอรูปภูมิ อวิชชานิวรณ์ อาศัยอุทธัจจนิวรณ์ ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม อาศัยนีวรณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาต- *ปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยนีวรณธรรมทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยนีวรณธรรมทั้งหลาย หัวข้อปัจจัยที่เหลือทั้งหมด พึงให้พิสดาร อรูปภูมิ พึงกระทำก่อน ส่วนรูปภูมิ พึงกระทำภายหลัง ตามที่จะพึงกระทำได้ นีวรณธรรม อาศัยนีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจนิวรณ์ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ ไม่ใช่นีวรณธรรม และกามฉันทนิวรณ์
พึงผูกจักรนัย
ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม อาศัยนีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่นีวรณ- *ธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่นีวรณธรรม และ นีวรณธรรมทั้งหลาย ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยนีวรณธรรม และ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยนีวรณธรรม และมหาภูตรูป ทั้งหลาย นีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม อาศัยนีวรณธรรม และ ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะปุเรชาตปัจจัย คือ ในอรูปภูมิ ขันธ์ ๓ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจนิวรณ์ อวิชชานิวรณ์ อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่นีวรณธรรม และกามฉันทนิวรณ์
พึงผูกจักรนัย
ฯลฯ
[๕๘๑] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓ [๕๘๒] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙
ฯลฯ
[๕๘๓] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔
แม้สหชาตวาร ก็พึงให้พิสดารอย่างนี้
ปัจจยวาร
[๕๘๔] นีวรณธรรม อาศัยนีวรณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย มี ๓ นัย ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่นีวรณธรรม ตลอดถึงอัชฌัตติกมหาภูตรูป ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่นีวรณธรรม อาศัยหทัยวัตถุ นีวรณธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ นีวรณธรรมทั้งหลาย อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่นีวรณธรรม นีวรณ- *ธรรมทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ นีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และนีวรณธรรม และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่นีวรณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ นีวรณธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ นีวรณธรรม อาศัยนีวรณธรรมและธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจนิวรณ์ อวิชชานิวรณ์ อาศัยกามฉันทนิวรณ์ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย
พึงผูกจักรนัย
ถีนมิทธนิวรณ์ อวิชชานิวรณ์ อาศัยกามฉันทนิวรณ์ และหทัยวัตถุ
พึงผูกจักรนัย
ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม อาศัยนีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่นีวรณธรรม และนีวรณธรรมทั้งหลาย ขันธ์ ๒ ฯลฯ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยนีวรณ- *ธรรมทั้งหลาย และหทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยนีวรณธรรม และ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยนีวรณธรรม และมหาภูตรูป ทั้งหลาย นีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม อาศัยนีวรณธรรม และ ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจนิวรณ์ อวิชชานิวรณ์ อาศัย ขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่นีวรณธรรม และกามฉันทนิวรณ์ ขันธ์ ๒ ฯลฯ
พึงผูกจักรนัย
ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจนิวรณ์ อวิชชานิวรณ์ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยกามฉันทนิวรณ์ และหทัยวัตถุ
พึงผูกจักรนัย
ฯลฯ
[๕๘๕] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ [๕๘๖] นีวรณธรรม อาศัยนีวรณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ อวิชชานิวรณ์ อาศัยวิจิกิจฉานิวรณ์ อวิชชานิวรณ์ อาศัย อุทธัจจนิวรณ์ ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่นีวรณธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่ นีวรณธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ อาศัยหทัยวัตถุ นีวรณธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ เหตุปัจจัย คือ อวิชชานิวรณ์ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ อวิชชานิวรณ์ อาศัยหทัยวัตถุ นีวรณธรรม อาศัยนีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ อวิชชานิวรณ์ อาศัยวิจิกิจฉานิวรณ์ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อวิชชานิวรณ์ อาศัยอุทธัจจนิวรณ์ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อวิชชานิวรณ์ อาศัยวิจิกิจฉานิวรณ์ และหทัยวัตถุ อวิชชานิวรณ์ อาศัยอุทธัจจนิวรณ์ และ หทัยวัตถุ
ฯลฯ
[๕๘๗] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓ [๕๘๘] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙
ฯลฯ
[๕๘๙] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในสมนันตรปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔
สังสัฏฐวาร
[๕๙๐] นีวรณธรรม คลุกเคล้ากับนีวรณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจนิวรณ์ อวิชชานิวรณ์ คลุกเคล้ากับ กามฉันทนิวรณ์
พึงผูกจักรนัย
นิวรณ์ทั้งปวง พึงให้พิสดาร
[๕๙๑] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ [๕๙๒] นีวรณธรรม คลุกเคล้ากับนีวรณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ เหตุปัจจัย คือ อวิชชานิวรณ์ คลุกเคล้ากับวิจิกิจฉานิวรณ์ อวิชชานิวรณ์ คลุกเคล้ากับ อุทธัจจนิวรณ์
ฯลฯ
[๕๙๓] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๙ การนับทั้งสอง นอกนี้ก็ดี สัมปยุตตวารก็ดี พึงกระทำอย่างที่กล่าวมาแล้ว
ปัญหาวาร
[๕๙๔] นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นนีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตนีวรณธรรม ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นนีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นนีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และนีวรณธรรม และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม โดย เหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ปฏิสนธิ [๕๙๕] นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภนีวรณธรรมทั้งหลาย นีวรณธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้น
พึงถามถึงมูล
เพราะปรารภนีวรณธรรมทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เกิดขึ้น
พึงถามถึงมูล
เพราะปรารภนีวรณธรรมทั้งหลาย นีวรณธรรม และสัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย เกิดขึ้น ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ พิจารณาซึ่งกุศลกรรม นั้น ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่งกุศลกรรมนั้น เพราะปรารภความยินดีนั้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น โทมนัส เกิดขึ้น กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ ออกจากฌาน ฌาน ฯลฯ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค มรรค ฯลฯ ผล ฯลฯ นิพพาน ฯลฯ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล แก่ อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย พระอริยะทั้งหลายพิจารณากิเลสที่ละแล้ว ที่ไม่ใช่นีวรณธรรม กิเลสที่ ข่มแล้ว ฯลฯ กิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่นีวรณธรรม โดย ความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่ไม่ใช่นิวรณธรรม โดย เจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโต- *ปริยญาณ แก่บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ ฌาน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่ง ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เพราะปรารภจักขุ เป็นต้นนั้น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ วิจิกิจฉา ฯลฯ อุทธัจจะ ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ นีวรณธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ จากฌาน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่ง ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เพราะปรารภจักขุเป็นต้นนั้น นีวรณธรรม และ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น นีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรม โดยอารัมมณปัจจัย มี ๓ นัย พึงกระทำว่าเพราะปรารภ [๕๙๖] นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะกระทำนีวรณธรรม ทั้งหลายให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น นีวรณธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้น มี ๓ นัย เหมือนกับอารัมมณปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม โดย อธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ บุคคลกระทำ อุโบสถกรรมแล้ว กระทำกุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อม ยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำความยินดีนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ จากฌาน ฯลฯ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค มรรค ฯลฯ ผล ฯลฯ นิพพาน ฯลฯ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล โดย อธิปติปัจจัย จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่นีวรณธรรม ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำ จักขุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรมเป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ จากฌาน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่นีวรณธรรม ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำ จักขุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตนีวรณธรรมทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ นีวรณธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ จากฌาน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่นีวรณธรรม ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำ จักขุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น นีวรณธรรม และสัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และนีวรณธรรม และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย อธิปติปัจจัย นีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ มี ๓ นัย เป็นอารัมมณาธิปติเท่านั้น [๕๙๗] นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ นีวรณธรรมทั้งหลายที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรมทั้งหลาย ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย
พึงถามถึงมูล
นีวรณธรรมทั้งหลาย ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่ นีวรณธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย นีวรณธรรมทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่ วุฏฐานะ โดยอนันตรปัจจัย
พึงถามถึงมูล
นีวรณธรรมทั้งหลาย ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรมทั้งหลาย ที่เกิดหลังๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอนันตรปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม โดย อนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่นีวรณธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่นีวรณธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย เนวสัญญานา- *สัญญายตนะ ของบุคคลผู้ออกจากนิโรธ เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ โดยอนันตร- *ปัจจัย
พึงถามถึงมูล
ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่นีวรณธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่นีวรณ- *ธรรมทั้งหลาย ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่นีวรณ- *ธรรมทั้งหลาย โดยอนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่นีวรณธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรมทั้งหลาย ที่เกิดหลังๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรม และสัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยอนันตรปัจจัย นีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ นีวรณธรรม ที่เกิดก่อนๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัย แก่นีวรณธรรมทั้งหลาย ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย
พึงถามถึงมูล
นีวรณธรรมทั้งหลาย ที่เกิดก่อนๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็น ปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่ไม่ใช่นีวรณธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย นีวรณธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ โดยอนันตร- *ปัจจัย นีวรณธรรมทั้งหลาย ที่เกิดก่อนๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็น ปัจจัยแก่นีวรณธรรมทั้งหลาย ที่เกิดหลังๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดย อนันตรปัจจัย นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรม โดยสมนันตรปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอัญญมัญญปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยนิสสยปัจจัย [๕๙๘] นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ นีวรณธรรมทั้งหลาย มี ๓ นัย ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้ว ให้ทาน ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ ยังฌานให้เกิดขึ้น ยังวิปัสสนา ฯลฯ ยังมรรค ฯลฯ ยังอภิญญา ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ก่อมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา ฯลฯ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ ความปรารถนา สุขทางกาย ทุกข์ทางกาย ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ ศรัทธา ฯลฯ แก่ปัญญา แก่ ราคะ แก่ความปรารถนา แก่สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย แก่มรรค แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่ นีวรณธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้ว ก่อ มานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีล ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ ราคะ ฯลฯ แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ นีวรณธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้ว ก่อ มานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีล ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรม และสัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยอุปนิสสยปัจจัย นีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ นีวรณธรรม และสัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่ นีวรณธรรมทั้งหลาย โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ นัย [๕๙๙] ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ โดยความเป็น ของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น มี ๓ นัย ปุเรชาตปัจจัย เหมือนกับ อารัมมณปัจจัย
พึงจำแนก กุศล และอกุศล
[๖๐๐] นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัยโดยอาเสวนปัจจัย มี ๙ นัย [๖๐๑] ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่ วิบากขันธ์ และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย
พึงถามถึงมูล
เจตนาที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตนีวรณธรรมทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย เจตนาที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และนีวรณธรรม และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๖๐๒] ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม โดยวิปากปัจจัย มี ๑ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอาหารปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอินทริยปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยฌานปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยมัคคปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสัมปยุตตปัจจัย [๖๐๓] นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม โดย วิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต
หัวข้อปัจจัย ๔ ที่เหลือ พึงกระทำอย่างนี้
[๖๐๔] นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรม โดยอัตถิปัจจัย คือ กามฉันทนิวรณ์ เป็นปัจจัยแก่ถีนมิทธนิวรณ์ แก่อุทธัจจนิวรณ์ แก่อวิชชานิวรณ์ โดยอัตถิปัจจัย
พึงผูกจักรนัย
นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต
ในนีวรณมูล ก็มีหัวข้อปัจจัย ๓ อย่างนี้
ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม โดย อัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ฯลฯ ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ฯลฯ ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ นีวรณธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ฯลฯ นีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ กามฉันทนิวรณ์ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่ถีนมิทธนิวรณ์ แก่อุทธัจจนิวรณ์ แก่อวิชชานิวรณ์ โดยอัตถิปัจจัย กามฉันทนิวรณ์ และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ถีนมิทธนิวรณ์ แก่อวิชชานิวรณ์ โดยอัตถิปัจจัย นีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่ นีวรณธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่นีวรณธรรม และนีวรณธรรม ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ นีวรณธรรมทั้งหลาย และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่ไม่ใช่นีวรณธรรม โดยอัตถิปัจจัย นีวรณธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย นีวรณธรรม และ มหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่นีวรณธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็น ปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ นีวรณธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และ กพฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ นีวรณธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และ รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย นีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่นีวรณธรรม และกามฉันทนิวรณ์ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ถีนมิทธนิวรณ์ อวิชชานิวรณ์ และจิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ กามฉันทนิวรณ์ และหทัยวัตถุ เป็น ปัจจัยแก่ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจนิวรณ์ อวิชชานิวรณ์ และสัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย
พึงผูกจักรนัย
[๖๐๕] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๙ ในนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในกัมมปัจจัย มี " ๓ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๓ ในอินทริยปัจจัย มี " ๓ ในฌานปัจจัย มี " ๓ ในมัคคปัจจัย มี " ๓ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในอัตถิปัจจัย มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย มี " ๙ ในวิคตปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ [๖๐๖] นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปัจฉาชาตปัจจัย นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย กัมมปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปุเรชาตปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ นีวรณธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย นีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย นีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่ นีวรณธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย นีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณธรรม และธรรมที่ไม่ใช่นีวรณธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย [๖๐๗] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๙ [๖๐๘] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ [๖๐๙] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ พึงกระทำอนุโลมมาติกาให้พิสดาร ในอวิคตปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙
นีวรณทุกะ จบ
นีวรณิยทุกะ
ปฏิจจวาร
[๖๑๐] นีวรณิยธรรม อาศัยนีวรณิยธรรม เกิดขึ้น ฯลฯ โลกิยทุกะฉันใด นีวรณิยทุกะก็พึงกระทำฉันนั้น ไม่มีแตกต่างกัน พึง ประกอบนิวรณ์ด้วยนิวรณ์ ๘ ครั้ง คือ กามฉันทะ ๒ ครั้ง ปฏิฆะ ๔ ครั้ง อุทธัจจะ และวิจิกิจฉาสองอย่างนี้ อย่างละครั้ง มาติกาแห่งนีวรณทุกะ ได้ทำไว้แล้วใน วารนี้
นีวรณิยทุกะ จบ
นีวรณสัมปยุตตทุกะ
ปฏิจจวาร
[๖๑๑] นีวรณสัมปยุตตธรรม อาศัยนีวรณสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ นีวรณวิปปยุตตธรรม อาศัยนีวรณสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม นีวรณสัมปยุตตธรรม และนีวรณวิปปยุตตธรรม อาศัยนีวรณสัมปยุตต- *ธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นนีวรณสัมปยุตต- *ธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ นีวรณวิปปยุตตธรรม อาศัยนีวรณวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นนีวรณวิปปยุตต- *ธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ ตลอดถึงอัชฌัตติกมหาภูตรูป นีวรณวิปปยุตตธรรม อาศัยนีวรณสัมปยุตตธรรม และนีวรณวิปปยุตต- *ธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย
ฯลฯ
[๖๑๒] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๕ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๒ ในอธิปติปัจจัย มี " ๕ ในนัตถิปัจจัย มี " ๒ ในวิคตปัจจัย มี " ๒ ในอวิคตปัจจัย มี " ๕ [๖๑๓] นีวรณสัมปยุตตธรรม อาศัยนีวรณสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะเหตุปัจจัย คือ อวิชชานิวรณ์ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ นีวรณวิปปยุตตธรรม อาศัยนีวรณวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ เหตุปัจจัย คือ นีวรณวิปปยุตตธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ฯลฯ ตลอดถึงอสัญญสัตว์
ฯลฯ
[๖๑๔] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓ [๖๑๕] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ [๖๑๖] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๒ ฯลฯ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ฯลฯ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ แม้สหชาตวาร ก็พึงกระทำอย่างที่กล่าวมาแล้ว
ปัจจยวาร
[๖๑๗] นีวรณสัมปยุตตธรรม อาศัยนีวรณสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย มี ๓ นัย นีวรณวิปปยุตตธรรม อาศัยนีวรณวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุ- *ปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นนีวรณวิปปยุตต- *ธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ มหาภูตรูป ๑ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณวิปปยุตต ธรรม อาศัยหทัยวัตถุ นีวรณสัมปยุตตธรรม อาศัยนีวรณวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุ ปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ นีวรณสัมปยุตตธรรม และนีวรณวิปปยุตตธรรม อาศัยนีวรณวิปปยุตต ธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ จิตตสมุฏ- *ฐานรูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย นีวรณสัมปยุตตธรรม อาศัยนีวรณสัมปยุตตธรรม และนีวรณวิปปยุตต- *ธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ นีวรณวิปปยุตตธรรม อาศัยนีวรณสัมปยุตตธรรม และนีวรณวิปปยุตต ธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย นีวรณสัมปปยุตตธรรม และนีวรณวิปปยุตตธรรม อาศัยนีวรณสัมปยุตต ธรรม และนีวรณวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม และหทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย
ฯลฯ
[๖๑๘] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๔ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๔ ในวิปากปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ [๖๑๙] นีวรณสัมปยุตตธรรม อาศัยนีวรณสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ อวิชชานิวรณ์ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ นีวรณวิปปยุตตธรรม อาศัยนีวรณวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นนีวรณวิปปยุตต- *ธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ กายวิญญาณ อาศัยกายายตนะ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณวิปปยุตตธรรม ซึ่งเป็น อเหตุกะ อาศัยหทัยวัตถุ นีวรณสัมปยุตตธรรม อาศัยนีวรณวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะ เหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยหทัยวัตถุ นีวรณสัมปยุตตธรรม อาศัยนีวรณสัมปยุตตธรรม และนีวรณวิปปยุตต ธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ ทั้งหลาย ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะและหทัยวัตถุ [๖๒๐] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓ การนับทั้งสอง นอกนี้ก็ดี นิสสยวารก็ดี พึงกระทำอย่างที่กล่าวมาแล้ว
สังสัฏฐวาร
[๖๒๑] นีวรณสัมปยุตตธรรม คลุกเคล้ากับนีวรณสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย [๖๒๒] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๒ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๒ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย มี " ๒ [๖๒๓] นีวรณสัมปยุตตธรรม คลุกเคล้ากับ นีวรณสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ คลุกเคล้ากับ ขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ คลุกเคล้ากับ นีวรณวิปปยุตตธรรม ฯลฯ [๖๒๔] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๒ การนับทั้งสอง นอกนี้ก็ดี สัมปยุตตวารก็ดี พึงกระทำอย่างนี้
ปัญหาวาร
[๖๒๕] นีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ นิวรณสัมปยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต ขันธ์ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย
พึงถามถึงมูล
เหตุทั้งหลายที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย เหตุทั้งหลายที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย นีวรณวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ นีวรณวิปปยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นนีวรณวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต ขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ปฏิสนธิ [๖๒๖] นีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณสัมปยุตตธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่งราคะ เพราะปรารภราคะนั้น ราคะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา อุทธัจจะ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่งทิฏฐิ เพราะปรารภทิฏฐินั้น ราคะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา อุทธัจจะ โทมนัส เกิดขึ้น เพราะปรารภวิจิกิจฉา วิจิกิจฉา ทิฏฐิ อุทธัจจะ โทมนัส เพราะปรารภ อุทธัจจะ อุทธัจจะ เกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ วิจิกิจฉา เกิดขึ้น เพราะปรารภโทมนัส โทมนัส เกิดขึ้น ทิฏฐิ ฯลฯ วิจิกิจฉา ฯลฯ อุทธัจจะ เกิดขึ้น นีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณวิปปยุตตธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ พระอริยะทั้งหลายพิจารณากิเลสที่ละแล้ว ที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม พิจารณากิเลสที่ข่มแล้ว รู้ซึ่งกิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม โดยความ เป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม โดยเจโตปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่ เจโตปริยญาณ แก่บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย นีวรณวิปปยุตตธรรมเป็นปัจจัยแก่นีวรณวิปปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ แล้ว พิจารณากุศล- *กรรมนั้น กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ ออกจากฌาน ฌาน ฯลฯ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค มรรค ฯลฯ พิจารณาผล นิพพาน ฯลฯ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่ โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล แก่ อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณ วิปปยุตตธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ตลอดถึงอาวัชชนะ นีวรณวิปปยุตตธรรมเป็นปัจจัยแก่นีวรณสัมปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ จากฌาน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณวิปปยุตตธรรม เพราะปรารภจักขุเป็นต้นนั้น ราคะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา อุทธัจจะ โทมนัส เกิดขึ้น [๖๒๗] นีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณสัมปยุตตธรรม โดย อธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลกระทำราคะให้เป็นอารมณ์อย่างหนัก แน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำความยินดีนั้นให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่น ราคะ ทิฏฐิ เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม เป็น ปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรมโดยอธิปติปัจจัย นีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณวิปปยุตตธรรมโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นนีวรณสัมปยุตต- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย
พึงถามถึงมูล
อธิปติธรรมที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย นีวรณวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณวิปปยุตตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ แล้ว กระทำกุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ ออกจากฌาน ฌาน ฯลฯ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค กระทำมรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนัก แน่น ฯลฯ ผล ฯลฯ นิพพาน ฯลฯ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล โดยอธิปติปัจจัย ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นนีวรณวิปปยุตตธรรม เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย นีวรณวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณสัมปยุตตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ ทาน ฯลฯ กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ ฌาน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณวิปป- *ยุตตธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะ กระทำจักขุเป็นต้นนั้นให้หนักแน่น ราคะ ทิฏฐิ เกิดขึ้น [๖๒๘] นีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณสัมปยุตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัย แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย
พึงถามถึงมูล
ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ โดย อนันตรปัจจัย ในที่นี้ ขันธ์ทั้งหลาย ที่เกิดก่อนๆ ไม่มี
พึงถามถึงมูล
ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณวิปปยุตตธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณวิปปยุตตธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลม เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ โดยอนันตรปัจจัย นีวรณวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณสัมปยุตตธรรม โดยอนันตร- *ปัจจัย คือ อาวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย นีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณสัมปยุตตธรรม โดยสมนันตร ปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอัญญมัญญปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยนิสสยปัจจัย [๖๒๙] นีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณสัมปยุตตธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยราคะแล้ว ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ บุคคลเข้าไปอาศัยโทสะ ฯลฯ โมหะ มานะ ทิฏฐิ ฯลฯ ความปรารถนา แล้ว ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ราคะ ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ ราคะ ฯลฯ แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย นีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณวิปปยุตตธรรม โดยอุปนิสสย ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยราคะแล้ว ให้ทาน ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ยังฌาน วิปัสสนา มรรค อภิญญา ฯลฯ สมาบัติให้ เกิดขึ้น บุคคลเข้าไปอาศัยโทสะ ฯลฯ ความปรารถนาแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ราคะ ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ แก่ปัญญา แก่ สุขทางกาย แก่ทุกข์ทางกาย แก่มรรค แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย นีวรณวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณวิปปยุตตธรรม โดยอุปนิสสย ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้ว ให้ ทาน รักษาศีล ฯลฯ ยังมรรค ฯลฯ อภิญญา ฯลฯ สมาบัติให้เกิดขึ้น บุคคลเข้าไปอาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา ฯลฯ เสนาสนะ แล้วให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ แก่ปัญญา แก่ มรรค แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย นีวรณวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณสัมปยุตตธรรม โดยอุปนิสสย ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้ว ก่อมานะ ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา ฯลฯ สุขทางกาย ฯลฯ เสนาสนะ แล้ว ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ราคะ แก่โทสะ แก่โมหะ แก่มานะ แก่ทิฏฐิ แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๖๓๐] นีวรณวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณวิปปยุตตธรรม โดย ปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่จักขุ ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นหทัยวัตถุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่ กายวิญญาณ ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น นีวรณวิปปยุตตธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย นีวรณวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณสัมปยุตตธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อม เพลิดเพลินยิ่งซึ่งหทัยวัตถุ เพราะปรารภความยินดีนั้น ราคะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้น ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น นีวรณสัมปยุตตธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย [๖๓๑] นีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณวิปปยุตตธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย มี ๒ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัยโดยอาเสวนปัจจัย มี ๒ นัย [๖๓๒] นีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณสัมปยุตตธรรม โดยกัมมปัจจัย เจตนาที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย
พึงกระทำมูล
มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัย แก่วิบากขันธ์ และ กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย เจตนาที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย นีวรณวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณวิปปยุตตธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ฯลฯ ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยวิปากปัจจัย มี ๑ นัย [๖๓๓] นีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณสัมปยุตตธรรม โดยอาหารปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัยโดยฌานปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัยโดยมัคคปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัยโดยสัมปยุตตปัจจัย มี ๒ นัย [๖๓๔] นีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณวิปปยุตตธรรม โดย วิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ฯลฯ นีวรณวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณวิปปยุตตธรรม โดยวิปปยุตต- *ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต ฯลฯ นีวรณวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณสัมปยุตตธรรม โดยวิปปยุตต- *ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย [๖๓๕] นีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณสัมปยุตตธรรม โดย อัตถิปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดย อัตถิปัจจัย นีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณวิปปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัย แก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม เป็น ปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย นีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณสัมปยุตตธรรม และนีวรณ- *วิปปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๒ โดย อัตถิปัจจัย นีวรณวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณวิปปยุตตธรรม โดยอัตถิ ปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ฯลฯ นีวรณวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณสัมปยุตตธรรม โดย อัตถิปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อม เพลิดเพลินยิ่งซึ่งหทัยวัตถุ เพราะปรารภจักขุเป็นต้นนั้น ราคะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา อุทธัจจะ โทมนัส เกิดขึ้น หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณ สัมปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย นีวรณสัมปยุตตธรรม และนีวรณวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณ- *สัมปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม และหทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ และหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ ๒ โดยอัตถิปัจจัย นีวรณสัมปยุตตธรรม และนีวรณวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณ- *วิปปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๔ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม และ มหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม และ กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม และ รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย [๖๓๖] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๔ ในอธิปติปัจจัย มี " ๕ ในอนันตรปัจจัย มี " ๔ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๔ ในสหชาตปัจจัย มี " ๕ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๒ ในนิสสยปัจจัย มี " ๗ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๔ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๒ ในปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๒ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๒ ในกัมมปัจจัย มี " ๔ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอาหารปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในอินทริยปัจจัย มี " ๔ ในฌานปัจจัย มี " ๔ ในมัคคปัจจัย มี " ๔ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๒ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในอัตถิปัจจัย มี " ๗ ในนัตถิปัจจัย มี " ๔ ในวิคตปัจจัย มี " ๔ ในอวิคตปัจจัย มี " ๗ [๖๓๗] นีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณสัมปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย นีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณวิปปยุตตธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย นีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณสัมปยุตตธรรม และนีวรณ- *วิปปยุตตธรรม โดยสหชาตปัจจัย นีวรณวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณวิปปยุตตธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย นีวรณวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณสัมปยุตตธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย นีวรณสัมปยุตตธรรม และนีวรณวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณ- *สัมปยุตตธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย นีวรณสัมปยุตตธรรม และนีวรณวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่นีวรณ- *วิปปยุตตธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย [๖๓๘] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สหชาตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นิสสยปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัตถิปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๔ [๖๓๙] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ [๖๔๐] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕
พึงกระทำการนับโดยอนุโลม
ในอวิคตปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มี " ๗
นีวรณสัมปยุตตทุกะ จบ
นีวรณนีวรณียทุกะ
ปฏิจจวาร
[๖๔๑] ธรรมที่เป็นทั้งนีวรณธรรมและนีวรณียธรรม อาศัยธรรมที่เป็น ทั้งนีวรณธรรมและนีวรณียธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจนิวรณ์ อวิชชานิวรณ์ อาศัย กามฉันทนิวรณ์ การนับทั้งหมดพึงกระทำอย่างนี้ เหมือนกับ นีวรณทุกะ ไม่มีแตกต่างกัน
ปัญหาวาร
[๖๔๒] ธรรมที่เป็นทั้งนีวรณธรรมและนีวรณียธรรม เป็นปัจจัยแก่ ธรรมที่เป็นทั้งนีวรณธรรมและนีวรณียธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นทั้งนีวรณธรรมและนีวรณียธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตนีวรณธรรมทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ธรรมที่เป็นทั้งนีวรณธรรมและนีวรณียธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็น นีวรณียธรรม แต่ไม่ใช่นีวรณธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นทั้งนีวรณธรรมและนีวรณียธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ธรรมที่เป็นทั้งนีวรณธรรมและนีวรณียธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็น ทั้งนีวรณธรรมและนีวรณียธรรม และธรรมที่เป็นนีวรณียธรรม แต่ไม่ใช่นีวรณ- *ธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นทั้งนีวรณธรรมและนีวรณียธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และนีวรณธรรม และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย เหตุปัจจัย ธรรมที่เป็นนีวรณียธรรม แต่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ เป็นนีวรณียธรรมแต่ไม่ใช่นีวรณธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นนีวรณียธรรม แต่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ปฏิสนธิ [๖๔๓] ธรรมที่เป็นทั้งนีวรณธรรมและนีวรณียธรรม เป็นปัจจัยแก่ ธรรมที่เป็นทั้งนีวรณธรรมและนีวรณียธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภนีวรณธรรมทั้งหลาย นีวรณธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้น
พึงถามถึงมูล
เพราะปรารภนีวรณธรรมทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณียธรรม แต่ ไม่ใช่นีวรณธรรม เกิดขึ้น
พึงถามถึงมูล
เพราะปรารภนีวรณธรรมทั้งหลาย นีวรณธรรม และสัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย เกิดขึ้น ธรรมที่เป็นนีวรณียธรรม แต่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็น นีวรณียธรรมแต่ไม่ใช่นีวรณธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ บุคคลกระทำอุโบสถกรรมแล้วพิจารณา กุศลกรรมนั้นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภความยินดีนั้น ราคะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา อุทธัจจะ โทมนัส เกิดขึ้น กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ จากฌาน ฯลฯ พระอริยะทั้งหลายพิจารณาโคตรภู โวทาน ฯลฯ กิเลสที่ละแล้ว ฯลฯ กิเลสที่ข่มแล้ว ฯลฯ กิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็น นีวรณียธรรมแต่ไม่ใช่นีวรณธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ฯลฯ โทมนัส ฯลฯ ด้วยทิพพจักขุ ฯลฯ พึงกระทำตลอดถึงอาวัชชนะ ธรรมที่เป็นนีวรณียธรรมแต่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็น ทั้งนีวรณธรรมและนีวรณียธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ จากฌาน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณียธรรม แต่ไม่ใช่นีวรณธรรม เพราะปรารภจักขุเป็นต้น นั้น ราคะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา อุทธัจจะ โทมนัส เกิดขึ้น ธรรมที่เป็นนีวรณียธรรมแต่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็น ทั้งนีวรณธรรมและนีวรณียธรรม และธรรมที่เป็นนีวรณียธรรมแต่ไม่ใช่นีวรณธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ จากฌาน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณียธรรมแต่ไม่ใช่นีวรณธรรม เพราะปรารภจักขุ เป็นต้นนั้น นีวรณธรรมและสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น ทั้ง ๓ นัยแม้นอกนี้ พึงกระทำอย่างนี้ อธิปติปัจจัย เหมือนกับ อารัมมณปัจจัย แม้ปุเรชาตปัจจัย ก็เหมือนกับ อารัมมณปัจจัย ส่วนในนิสสยปัจจัย ไม่พึงกระทำ โลกุตตระ
ฯลฯ
พึงให้พิสดารอย่างนี้
นีวรณทุกะ ฉันใด พึงพิจารณา แล้วกระทำฉันนั้น
นีวรณนีวรณียทุกะ จบ
นีวรณนีวรณสัมปยุตตทุกะ
ปฏิจจวาร
[๖๔๔] ธรรมที่เป็นทั้งนีวรณธรรมและนีวรณสัมปยุตตธรรม อาศัย ธรรมที่เป็นทั้งนีวรณธรรมและนีวรณสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจนิวรณ์ อวิชชานิวรณ์ อาศัย กามฉันทนิวรณ์
พึงผูกจักรนัย พึงทำนิวรณ์ทั้งหมด
ธรรมที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่นีวรณธรรม อาศัยธรรมที่เป็น ทั้งนีวรณธรรมและนีวรณสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อาศัยนีวรณธรรมทั้งหลาย ธรรมที่เป็นทั้งนีวรณธรรมและนีวรณสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็น นีวรณสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่นีวรณธรรม อาศัยธรรมที่เป็นทั้งนีวรณธรรม และนีวรณสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจนิวรณ์ อวิชชานิวรณ์ และสัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย อาศัยกามฉันทนิวรณ์
พึงผูกจักรนัย
ธรรมที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่นีวรณธรรม อาศัยธรรมที่เป็น นีวรณสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่นีวรณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่ นีวรณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ธรรมที่เป็นทั้งนีวรณธรรมและนีวรณสัมปยุตตธรรม อาศัยธรรมที่เป็น นีวรณสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่นีวรณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ นีวรณธรรมทั้งหลาย อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่นีวรณธรรม ธรรมที่เป็นทั้งนีวรณธรรมและนีวรณสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็น นีวรณสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่นีวรณธรรม อาศัยธรรมที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่นีวรณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และนีวรณธรรมทั้งหลาย อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็น นีวรณสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่นีวรณธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ธรรมที่เป็นทั้งนีวรณธรรมและนีวรณสัมปยุตตธรรม อาศัยธรรมที่เป็น ทั้งนีวรณธรรม และนีวรณสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่นีวรณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจนิวรณ์ อวิชชานิวรณ์ อาศัยกามฉันทนิวรณ์ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย
พึงผูกจักรนัย
ธรรมที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่นีวรณธรรม อาศัยธรรม ที่เป็นทั้งนีวรณธรรม และนีวรณสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็นนีวรณสัมปยุตต- *ธรรมแต่ไม่ใช่นีวรณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่ นีวรณธรรม และนีวรณธรรมทั้งหลาย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ธรรมที่เป็นทั้งนีวรณธรรมและนีวรณสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็น นีวรณสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่นีวรณธรรม อาศัยธรรมที่เป็นทั้งนีวรณธรรมและ นีวรณสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่นีวรณธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจนิวรณ์ อวิชชานิวรณ์ อาศัย ขันธ์ ๑ ที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่นีวรณธรรม และกามฉันทนิวรณ์ ขันธ์ ๒ ฯลฯ
พึงผูกจักรนัย
ฯลฯ
[๖๔๕] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ในกัมมปัจจัย มี " ๙ ในอาหารปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ [๖๔๖] ธรรมที่เป็นทั้งนีวรณธรรม และนีวรณสัมปยุตตธรรม อาศัย ธรรมที่เป็นทั้งนีวรณธรรมและนีวรณสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะ เหตุปัจจัย คือ อวิชชานิวรณ์ อาศัยวิจิกิจฉานิวรณ์ อวิชชานิวรณ์ อาศัย อุทธัจจนิวรณ์ ธรรมที่เป็นทั้งนีวรณธรรมและนีวรณสัมปยุตตธรรม อาศัยธรรมที่เป็น นีวรณสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่นีวรณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ อวิชชานิวรณ์ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคต ด้วยอุทธัจจะ ธรรมที่เป็นทั้งนีวรณธรรมและนีวรณสัมปยุตตธรรม อาศัยธรรมที่เป็น ทั้งนีวรณธรรม และนีวรณสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่นีวรณธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ อวิชชานิวรณ์ อาศัยวิจิกิจฉานิวรณ์ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย อวิชชานิวรณ์ อาศัยอุทธัจจนิวรณ์ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย
ฯลฯ
[๖๔๗] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๙ [๖๔๘] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙ [๖๔๙] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในสมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยทั้งปวง กับ ฯลฯ มี " ๓ ในมัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ สหชาตวารก็ดี ปัจจัยวารก็ดี นิสสยวารก็ดี สังสัฏฐวารก็ดี สัมปยุตตวาร ก็ดี เหมือนกับ ปฏิจจวาร ไม่มีแตกต่างกัน
ปัญหาวาร
[๖๕๐] ธรรมที่เป็นทั้งนีวรณธรรม และนีวรณสัมปยุตตธรรม เป็น ปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้งนีวรณธรรมและนีวรณสัมปยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นทั้งนีวรณธรรม และนีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตนีวรณธรรมทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ธรรมที่เป็นทั้งนีวรณธรรม และนีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ ธรรมที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่นีวรณธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นทั้งนีวรณธรรม และนีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย ธรรมที่เป็นทั้งนีวรณธรรมและนีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม ที่เป็นทั้งนีวรณธรรมและนีวรณสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็นนีวรณสัมปยุตต- *ธรรมแต่ไม่ใช่นีวรณธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นทั้งนีวรณธรรม และนีวรณสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และนีวรณธรรมทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย [๖๕๑] ธรรมที่เป็นทั้งนีวรณธรรม และนีวรณสัมปยุตตธรรม เป็น ปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้งนีวรณธรรมและนีวรณสัมปยุตตธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ เพราะปรารภนีวรณธรรมทั้งหลาย นีวรณธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้น
พึงถามถึงมูล
เพราะปรารภนีวรณธรรมทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณสัมปยุตต- *ธรรมแต่ไม่ใช่นีวรณธรรม เกิดขึ้น
พึงถามถึงมูล
เพราะปรารภนีวรณธรรมทั้งหลาย นีวรณธรรม และสัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย เกิดขึ้น ธรรมที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม ที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่นีวรณธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่ นีวรณธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่นีวรณธรรม เกิดขึ้น
พึงถามถึงมูล
เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่ นีวรณธรรม นีวรณธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้น เพราะปรารภขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่ นีวรณธรรม นีวรณธรรมและสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น ธรรมที่เป็นทั้งนีวรณธรรมและนีวรณสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็น นีวรณสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้ง นีวรณธรรมและนีวรณสัมปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย มี ๓ นัย [๖๕๒] ธรรมที่เป็นทั้งนีวรณธรรม และนีวรณสัมปยุตตธรรม เป็น ปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้งนีวรณธรรมและนีวรณสัมปยุตตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ มี ๓ นัย พึงกระทำว่า กระทำ ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นนั้นเทียว ธรรมที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม ที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่นีวรณธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณ- *สัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่นีวรณธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่นีวรณธรรม เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่นีวรณธรรมเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย
พึงถามถึงมูล
เพราะกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่นีวรณธรรม ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น นีวรณธรรมทั้งหลาย เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตนีวรณธรรมทั้งหลาย โดยอธิปติ- *ปัจจัย เพราะกระทำขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่นีวรณ- *ธรรมให้หนักแน่น นีวรณธรรมและสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นนิวรณสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และนีวรณธรรมทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย ธรรมที่เป็นทั้งนีวรณธรรมและนีวรณสัมปยุตตธรรม และธรรมที่เป็น นีวรณสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้งนีวรณธรรม และนีวรณสัมปยุตตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ มี ๓ นัย [๖๕๓] ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนะก็ดี วุฏฐานะ ก็ดี ไม่มี พึงกระทำว่า ที่เกิดก่อนๆ ในที่ทั้งปวง ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสมนันตรปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอัญญมัญญปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยนิสสยปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัยโดยอาเสวนปัจจัย เหมือนกับอารัมมณปัจจัย วิภังค์ ไม่มี [๖๕๔] ธรรมที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่นีวรณธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย
พึงถามถึงมูล
เจตนาที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตนีวรณธรรมทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย เจตนาที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ และนีวรณธรรมทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๖๕๕] ธรรมที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรม แต่ไม่ใช่นีวรณธรรม เป็น ปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นนีวรณสัมปยุตตธรรมแต่ไม่ใช่นีวรณธรรม โดยอาหารปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอินทริยปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยฌานปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยมัคคปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสัมปยุตตปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอัตถิปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยนัตถิปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยวิคตปัจจัย มี ๙ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอวิคตปัจจัย มี ๙ นัย [๖๕๖] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๙ ในนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในกัมมปัจจัย มี " ๓ ในอาหารปัจจัย มี " ๓ ในอินทริยปัจจัย มี " ๓ ในฌานปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในมัคคปัจจัย มี " ๓ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๙ ในอัตถิปัจจัย มี " ๙ ในนัตถิปัจจัย มี " ๙ ในวิคตปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ [๖๕๗] ธรรมที่เป็นทั้งนีวรณธรรม และนีวรณสัมปยุตตธรรม เป็น ปัจจัยแก่ธรรมที่เป็นทั้งนีวรณธรรมและนีวรณสัมปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย หัวข้อปัจจัย ๙ พึงเปลี่ยนแปลงใน ๓ บทอย่างนี้ [๖๕๘] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๙ [๖๕๙] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ [๖๖๐] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙
พึงกระทำอนุโลมมาติกา
ในอวิคตปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มี " ๙
นีวรณนีวรณสัมปยุตตทุกะ จบ
นีวรณวิปปยุตตนีวรณียทุกะ
ปฏิจจวาร
[๖๖๑] นีวรณวิปปยุตตนีวรณียธรรม อาศัยนีวรณวิปปยุตตนีวรณียธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นนีวรณ- *วิปปยุตตนีวรณียธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ ฯลฯ โลกิยทุกะในจูฬันตรทุกะฉันใด พึงกระทำฉันนั้น ไม่มีแตกต่างกัน
นีวรณวิปปยุตตนีวรณียทุกะ จบ
ปรามาสทุกะ
ปฏิจจวาร
[๖๖๒] ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม อาศัยปรามาสธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยปรามาสธรรม ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่ปรามาส ธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ ตลอดถึงอสัญญสัตว์ มหาภูตรูป ปรามาสธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ปรามาสธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม ปรามาสธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่ ปรามาสธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และปรามาสธรรม และ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัย ขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม อาศัยปรามาสธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ ปรามาสธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่ปรามาส- *ธรรม และปรามาสธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ [๖๖๓] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๕ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๕ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย มี " ๕ [๖๖๔] ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ อเหตุกปฏิสนธิตลอดถึงอสัญญสัตว์ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๖๖๕] ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม อาศัยปรามาสธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยปรามาสธรรม ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม ตลอด ถึงอสัญญสัตว์ ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม อาศัยปรามาสธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ ปรามาสธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยปรามาสธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย [๖๖๖] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓ [๖๖๗] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ [๖๖๘] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในอนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยทั้งปวง กับ ฯลฯ มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ แม้สหชาตวาร ก็เหมือนกับ ปฏิจจวาร
ปัจจยวาร
[๖๖๙] ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม อาศัยปรามาสธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย อาศัยปรามาสธรรม ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่ปรามาส- *ธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ ตลอดถึงอัชฌัตติกมหาภูตรูป ขันธ์ทั้งหลาย ที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม อาศัยหทัยวัตถุ ปรามาสธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ปรามาสธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม ปรามาสธรรม อาศัยหทัยวัตถุ ปรามาสธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่ปรามาส- *ธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และปรามาสธรรม และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปรามาสธรรม อาศัยหทัยวัตถุ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ปรามาสธรรม และสัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม อาศัยปรามาสธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ปรามาส- *ธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม และปรามาสธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยปรามาสธรรมและ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยปรามาสธรรม และมหาภูตรูป ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม อาศัยปรามาสธรรม และหทัยวัตถุ
ฯลฯ
[๖๗๐] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๕ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๕ ในอธิปติปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๕ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย มี " ๕ [๖๗๑] ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม อาศัยธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่ปรามาส- *ธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ อเหตุกปฏิสนธิตลอดถึงอสัญญสัตว์ จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ กายวิญญาณ อาศัยกายายตนะ ขันธ์ทั้งหลาย ที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ อาศัยหทัยวัตถุ โมหะ ที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ และหทัยวัตถุ
ฯลฯ
[๖๗๒] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓ [๖๗๓] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕ ในปัจจัยทั้งปวง พึงกระทำอย่างนี้ [๖๗๔] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑
นิสสยวาร เหมือนกับ ปัจจยวาร
สังสัฏฐวาร
[๖๗๕] ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม คลุกเคล้ากับปรามาสธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย คลุกเคล้ากับปรามาสธรรม หัวข้อปัจจัย ๕ พึงกระทำอย่างนี้ เฉพาะในอรูปภูมิเท่านั้น สังสัฏฐวารก็ดี สัมปยุตตวารก็ดี พึงกระทำอย่างนี้
ปัญหาวาร
[๖๗๖] ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาส- *ธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม โดย เหตุปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม และ ธรรม ที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย และปรามาสธรรม และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย [๖๗๗] ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ เพราะปรารภปรามาสธรรม ปรามาสธรรม เกิดขึ้น
พึงกระทำมูล
เพราะปรารภปรามาสธรรม ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เกิดขึ้น เพราะปรารภปรามาสธรรม ปรามาสธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ บุคคลกระทำอุโบสถกรรม แล้วพิจารณา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภความยินดีนั้น ราคะ วิจิกิจฉา อุทธัจจะ โทมนัส เกิดขึ้น กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ ออกจากฌาน ฌาน ฯลฯ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค พิจารณามรรค พิจารณาผล พิจารณา นิพพาน นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย พระอริยะทั้งหลายพิจารณากิเลสที่ละแล้ว ที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม ฯลฯ กิเลสที่ข่มแล้ว ฯลฯ กิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่ ปรามาสธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ แล้วย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักขุเป็นต้นนั้น ราคะ วิจิกิจฉา อุทธัจจะ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม โดย เจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่ เจโตปริยญาณ แก่บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมูปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย คือ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ แล้วย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งกุศลกรรมนั้น เพราะปรารภความยินดีนั้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น อกุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ ฌาน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่ง ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เพราะปรารภจักขุเป็นต้นนั้น ทิฏฐิ ฯลฯ ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรมและธรรมที่ไม่ใช่ ปรามาสธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ แล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งกุศลกรรมนั้น เพราะปรารภความยินดีนั้น ปรามาสธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ ฌาน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่ง ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เพราะปรารภจักขุเป็นต้นนั้น ปรามาสธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น ปรามาสธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ เพราะปรามาสธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย ฯลฯ มี ๓ นัย [๖๗๘] ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม โดยอธิปติปัจจัย คือ เพราะกระทำปรามาสธรรมทั้งหลายให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่น ปรามาสธรรม ฯลฯ มี ๓ นัย พึงกระทำอารัมมณาธิปติ อย่างเดียว ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม โดย อธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ กระทำกุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น แล้วพิจารณา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำกุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ ฌาน ฯลฯ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค กระทำมรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ ผลให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ นิพพานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ฯลฯ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล โดย อธิปติปัจจัย จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่ปรามาส- *ธรรมให้หนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำจักขุเป็นต้น นั้น ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ จากฌาน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่ปรามาส- *ธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะ กระทำจักขุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ทิฏฐิ ฯลฯ ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัย แก่ปรามาสธรรม โดยอธิปติปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรมและธรรมที่ไม่ใช่ ปรามาสธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ จากฌาน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่ปรามาส- *ธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำ จักขุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ปรามาสธรรม และสัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และปรามาสธรรม และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย อธิปติปัจจัย ปรามาสธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาส- *ธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะกระทำปรามาสธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ปรามาสธรรม ฯลฯ มี ๓ นัย [๖๗๙] ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ปรามาสธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม ที่ เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย
พึงกระทำมูล
ปรามาสธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่ปรามาส- *ธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ โดยอนันตรปัจจัย
พึงกระทำมูล
ปรามาสธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรมที่เกิดหลังๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอนันตรปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม โดย อนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ทั้งหลายที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อนุโลมเป็นปัจจัย แก่ผลสมาบัติ โดยอนันตรปัจจัย
พึงกระทำมูล
ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ปรามาส- *ธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนะเป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม โดย อนันตรปัจจัย ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ปรามาส ธรรม ที่เกิดหลังๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรมและสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอนันตรปัจจัย ปรามาสธรรม และ ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาส- *ธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ปรามาสธรรม ที่เกิดก่อนๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็น ปัจจัยแก่ปรามาสธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย
พึงกระทำมูล
ปรามาสธรรม ที่เกิดก่อนๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ปรามาสธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่ วุฏฐานะ โดย อนันตรปัจจัย ปรามาสธรรม ที่เกิดก่อนๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่ ปรามาสธรรม ที่เกิดหลังๆ และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอนันตรปัจจัย ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม โดยสมนันตรปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสหชาตปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอัญญมัญญปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยนิสสยปัจจัย มี ๕ นัย [๖๘๐] ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสย- ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาส- *ธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ นัย ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ก่อมานะ บุคคลเข้าไปอาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ความปรารถนา สุขทางกาย ฯลฯ เสนาสนะแล้วให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้ เกิดขึ้น ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ แก่ปัญญา แก่ ราคะ ฯลฯ แก่ความปรารถนา แก่สุขทางกาย แก่มรรค แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้ว ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัย ศีล ฯลฯ ปัญญา ราคะ ความปรารถนาสุขทางกาย ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ถือทิฏฐิ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม โดยอุปนิสสย- *ปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรมและธรรมที่ไม่ใช่ ปรามาสธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้ว ถือทิฏฐิ บุคคลเข้าไปอาศัยศีล ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ถือทิฏฐิ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม และสัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลาย โดยอุปนิสสยปัจจัย ปรามาสธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาส- *ธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ นัย เป็นอุปนิสสยะ ปรามาสธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ นัย [๖๘๑] ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาส- *ธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็น หทัยวัตถุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ แล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักขุเป็นต้นนั้น ราคะ วิจิกิจฉา อุทธัจจะ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่ กายวิญญาณ ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ ไม่ใช่ปรามาสธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม โดยปุเรชาต- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อม เพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งหทัยวัตถุ เพราะปรารภความยินดีนั้น ทิฏฐิ ฯลฯ ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม โดย ปุเรชาตปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ ปรามาสธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อม เพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งหทัยวัตถุ เพราะปรารภความยินดีนั้น ปรามาสธรรม และ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม และ สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยปุเรชาตปัจจัย [๖๘๒] ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม โดย ปัจฉาชาตปัจจัย มี ๓ นัย พึงกระทำปัจฉาชาต ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอาเสวนปัจจัย มี ๙ นัย [๖๘๓] ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาส- *ธรรม โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ วิบากขันธ์ และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย
พึงกระทำมูล
เจตนาที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม โดยกัมม- *ปัจจัย เจตนาที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรมและสัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย [๖๘๔] ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาส- *ธรรม โดยวิปากปัจจัย มี ๑ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอาหารปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอินทริยปัจจัย มี ๓ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยฌานปัจจัย มี ๓ นัย [๖๘๕] ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม โดย มัคคปัจจัย คือ องค์มรรคที่เป็นปรามาสธรรม ฯลฯ
หัวข้อปัจจัย ๕ พึงกระทำอย่างนี้
ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสัมปยุตตปัจจัย มี ๕ นัย [๖๘๖] ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม โดย วิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ฯลฯ ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต ฯลฯ ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม โดยวิปปยุตต- *ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ปรามาส- *ธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม และธรรมที่ ไม่ใช่ปรามาสธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ปรามาส- *ธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยวิปปยุตตปัจจัย ปรามาสธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ ไม่ใช่ปรามาสธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ฯลฯ [๖๘๗] ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม โดย อัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิด ก่อน โดยอัตถิปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ฯลฯ ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม โดยอัตถิ- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัย แก่ปรามาสธรรม โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลิน ยิ่งซึ่งหทัยวัตถุ เพราะปรารภจักขุเป็นต้นนั้น ทิฏฐิ เกิดขึ้น หทัยวัตถุ เป็นปัจจัย ปรามาสธรรม โดยอัตถิปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม และธรรมที่ ไม่ใช่ปรามาสธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัย แก่ขันธ์ ๓ และปรามาสธรรม และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลิน ยิ่งซึ่งหทัยวัตถุ เพราะปรารภจักขุเป็นต้นนั้น ปรามาสธรรม และสัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม และสัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ปรามาสธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ ไม่ใช่ปรามาสธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม และปรามาส- *ธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปรามาสธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ปรามาสธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ปรามาสธรรม และ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ปรามาสธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ปรามาสธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และกพฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ปรามาสธรรม และสัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และรูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย [๖๘๘] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๙ ในสหชาตปัจจัย มี " ๕ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๕ ในนิสสยปัจจัย มี " ๕ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๓ ในปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๓ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในกัมมปัจจัย มี " ๓ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๓ ในอินทริยปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในฌานปัจจัย มี " ๓ ในมัคคปัจจัย มี " ๕ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในอัตถิปัจจัย มี " ๕ ในนัตถิปัจจัย มี " ๙ ในวิคตปัจจัย มี " ๙ ในอวิคตปัจจัย มี " ๕ [๖๘๙] ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดย ปัจฉาชาตปัจจัย ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรมและธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสย- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัย โดยกัมมปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยปุเรชาตปัจจัย ธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ ปรามาสธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย ปรามาสธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย ปรามาสธรรมและธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ไม่ใช่ ปรามาสธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดย อุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย ปรามาสธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสธรรม และธรรมที่ไม่ใช่ปรามาสธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย [๖๙๐] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๙ [๖๙๑] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับ เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ฯลฯ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๓ [๖๙๒] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙
พึงกระทำอนุโลมมาติกา
ในอวิคตปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๕
ปรามาสทุกะ จบ
ปรามัฏฐทุกะ
ปฏิจจวาร
[๖๙๓] ปรามัฏฐธรรม อาศัยปรามัฏฐธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปรามัฏฐธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ ตลอดถึงอัชฌัตติกมหาภูตรูป อาศัย ปรามัฏฐธรรม ฯลฯ โลกิยทุกะ ในจูฬันตรทุกะฉันใด พึงกระทำปรามัฏฐทุกะฉันนั้น ไม่มีแตกต่างกัน
ปรามัฏฐทุกะ จบ
ปรามาสสัมปยุตตทุกะ
ปฏิจจวาร
[๖๙๔] ปรามาสสัมปยุตตธรรม อาศัยปรามาสสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปรามาสวิปปยุตตธรรม อาศัยปรามาสสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม ปรามาสสัมปยุตตธรรม และปรามาสวิปปยุตตธรรม อาศัยปรามาส- *สัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปรามาส- *สัมปยุตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปรามาสวิปปยุตตธรรม อาศัยปรามาสวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปรามาส- *วิปปยุตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ หทัยวัตถุ อาศัยขันธ์ทั้งหลาย ขันธ์ทั้งหลาย อาศัยหทัยวัตถุ มหาภูตรูป ๑ ฯลฯ ปรามาสวิปปยุตตธรรม อาศัยปรามาสสัมปยุตตธรรม และปรามาส- *วิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย
ฯลฯ
[๖๙๕] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๕ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๒ ในอธิปติปัจจัย มี " ๕ ในอนันตรปัจจัย มี " ๒ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๒ ในสหชาตปัจจัย มี " ๕ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๒ ในนิสสยปัจจัย มี " ๕ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๒ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๒ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๒ ในกัมมปัจจัย มี " ๕ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๕ ฯลฯ ในมัคคปัจจัย มี " ๕ ในสัมปยุตตปัจจัย มี " ๒ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในอัตถิปัจจัย มี " ๕ ในนัตถิปัจจัย มี " ๒ ในวิคตปัจจัย มี " ๒ ในอวิคตปัจจัย มี " ๕ [๖๙๖] ปรามาสวิปปยุตตธรรม อาศัยปรามาสวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปรามาส- *วิปปยุตตธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ อเหตุกปฏิสนธิ ตลอดถึง อสัญญสัตว์ โมหะ ที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ [๖๙๗] ปรามาสวิปปยุตตธรรม อาศัยปรามาสสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม ปรามาสวิปปยุตตธรรม อาศัยปรามาสวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่ เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปรามาสวิปปยุตตธรรม ตลอดถึงอสัญญสัตว์ ปรามาสวิปปยุตตธรรม อาศัยปรามาสสัมปยุตตธรรมและปรามาสวิปปยุตต ธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะอารัมมณปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย
ฯลฯ
[๖๙๘] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓ [๖๙๙] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับ เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕
พึงนับอย่างนี้
[๗๐๐] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในอวิคตปัจจัย ฯลฯ มี " ๑ แม้สหชาตวาร ก็เหมือนกับ ปฏิจจวาร
ปัจจยวาร
[๗๐๑] ปรามาสสัมปยุตตธรรม อาศัยปรามาสสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย มี ๓ นัย เหมือนกับ ปฏิจจวาร ปรามาสวิปปยุตตธรรม อาศัยปรามาสวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปรามาสวิปป- *ยุตตธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปฏิสนธิ ตลอดถึงอัชฌัตติกมหาภูตรูป ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นปรามาสวิปปยุตตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ ปรามาสสัมปยุตตธรรม อาศัยปรามาสวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะ เหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ ปรามาสสัมปยุตตธรรม และปรามาสวิปปยุตตธรรม อาศัยปรามาส- *วิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม อาศัยหทัยวัตถุ จิตต- *สมุฏฐานรูป อาศัยมหาภูตรูปทั้งหลาย ปรามาสสัมปยุตตธรรม อาศัยปรามาสสัมปยุตตธรรม และปรามาส- *วิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม และ หทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปรามาสวิปปยุตตธรรม อาศัยปรามาสสัมปยุตตธรรม และปรามาส- *วิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย ปรามาสสัมปยุตตธรรม และปรามาสวิปปยุตตธรรม อาศัยปรามาส สัมปยุตตธรรม และปรามาสวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม และ หทัยวัตถุ ขันธ์ ๒ ฯลฯ จิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปรามาส สัมปยุตตธรรม และมหาภูตรูปทั้งหลาย
ฯลฯ
[๗๐๒] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๙ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๔ ในอธิปติปัจจัย มี " ๙ ในอนันตรปัจจัย มี " ๔ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๔ ในสหชาตปัจจัย มี " ๙ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๔ ในนิสสยปัจจัย มี " ๙ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๔ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๔ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๔ ในกัมมปัจจัย มี " ๙ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๙ ฯลฯ ในอวิคตปัจจัย มี " ๙ [๗๐๓] ปรามาสวิปปยุตตธรรม อาศัยปรามาสวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น ไม่ใช่เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปรามาส- *วิปปยุตตธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ ขันธ์ ๒ ฯลฯ อเหตุกปฏิสนธิ ตลอดถึงอสัญญ- *สัตว์ จักขุวิญญาณ อาศัยจักขายตนะ กายายตนะ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น ปรามาสวิปปยุตตธรรม ซึ่งเป็นอเหตุกะ อาศัยหทัยวัตถุ โมหะ ที่สหรคตด้วย วิจิกิจฉา ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่สหรคตด้วยวิจิกิจฉา ที่ สหรคตด้วยอุทธัจจะ และหทัยวัตถุ [๗๐๔] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๙ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาหารปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อินทริยปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๓ [๗๐๕] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๓ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๙
พึงนับอย่างนี้
[๗๐๖] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในอวิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๑
นิสสยวาร เหมือนกับ ปัจจยวาร
สังสัฏฐวาร
[๗๐๗] ปรามาสสัมปยุตตธรรม คลุกเคล้ากับปรามาสสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย [๗๐๘] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๒ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๒ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอวิคตปัจจัย มี " ๒ [๗๐๙] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อาเสวนปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่กัมมปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปากปัจจัย มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ฌานปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๑ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๒ การนับทั้งสองนอกนี้ก็ดี สัมปยุตตวารก็ดี พึงกระทำอย่างนี้
ปัญหาวาร
[๗๑๐] ปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสสัมปยุตตธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย
พึงกระทำมูล
เหตุทั้งหลายที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูป ทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย เหตุทั้งหลายที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ปรามาสวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสวิปปยุตตธรรม โดย เหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นปรามาสวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตต- *ขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ปฏิสนธิ [๗๑๑] ปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสสัมปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่งราคะ เพราะปรารภราคะนั้น ราคะ เกิดขึ้น บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่งขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปรามาส- *สัมปยุตตธรรม เพราะปรารภขันธ์นั้น ราคะ เกิดขึ้น ปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสวิปปยุตตธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ พระอริยะทั้งหลายพิจารณากิเลสที่ละแล้ว ที่เป็นปรามาสสัมปยุตต- *ธรรม พิจารณากิเลสที่ข่มแล้ว รู้ซึ่งกิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม โดยความ เป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ แล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภขันธ์นั้น ราคะที่เป็นปรามาสวิปปยุตตธรรม วิจิกิจฉา อุทธัจจะ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม โดยเจโตปริยญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่เจโตปริยญาณ แก่บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่อนาคตังสญาณ แก่ อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย ปรามาสวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสวิปปยุตตธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ บุคคลกระทำอุโบสถกรรมแล้วพิจารณากุศล กรรมนั้น ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภกุศลธรรมนั้น ราคะที่เป็น ปรามาสวิปปยุตตธรรม วิจิกิจฉา อุทธัจจะ โทมนัส เกิดขึ้น กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ ฌาน ฯลฯ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค พิจารณามรรค ผล ฯลฯ พิจารณา นิพพาน นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล แก่ อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย พระอริยะทั้งหลายพิจารณากิเลสที่ละแล้ว ที่เป็นปรามาสวิปปยุตตธรรม ฯลฯ กิเลสที่ข่มแล้ว ฯลฯ กิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็น ปรามาสวิปปยุตตธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ ย่อมยินดี ย่อม เพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักขุเป็นต้นนั้น ราคะที่เป็นปรามาสวิปปยุตตธรรม วิจิกิจฉา อุทธัจจะ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ บุคคลรู้จิตของบุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยจิต ที่เป็นปรามาสวิปปยุตตธรรม โดยเจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญายตนะ รูปายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปรามาสวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ แก่เจโตปริยญาณ แก่บุพเพนิวาสานุสสติญาณ แก่ยถากัมมุปคญาณ แก่ อนาคตังสญาณ แก่อาวัชชนะ โดยอารัมมณปัจจัย ปรามาสวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสสัมปยุตตธรรม โดย อารัมมณปัจจัย คือ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ ฌาน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่งซึ่ง ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปรามาสวิปปยุตตธรรม เพราะปรารภจักขุเป็นต้นนั้น ราคะ เกิดขึ้น [๗๑๒] ปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสสัมปยุตตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่บุคคลกระทำราคะให้เป็นอารมณ์อย่าง หนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำราคะนั้นให้เป็น อารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นปรามาส- *สัมปยุตตธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำขันธ์นั้นให้หนักแน่น ราคะ เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย ปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสวิปปยุตตธรรม โดยอธิปติ- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปรามาส- *สัมปยุตตธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำขันธ์นั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่เป็นปรามาสวิปปยุตต- *ธรรม เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย ปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสสัมปยุตตธรรม และ ปรามาสวิปปยุตตธรรม โดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิปติธรรมที่เป็นปรามาส- *สัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดย อธิปติปัจจัย ปรามาสวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสวิปปยุตตธรรม โดยอธิปติ- *ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติ สหชาตาธิปติ ที่เป็นอารัมมณาธิปติ ได้แก่ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ บุคคลกระทำ อุโบสถกรรมแล้ว กระทำกุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว พิจารณา ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำกุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่าง หนักแน่น ราคะที่เป็นปรามาสวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ จากฌาน ฯลฯ พระอริยะทั้งหลายออกจากมรรค กระทำมรรคให้เป็นอารมณ์อย่าง หนักแน่น ฯลฯ ผล ฯลฯ นิพพาน ฯลฯ นิพพาน เป็นปัจจัยแก่โคตรภู แก่โวทาน แก่มรรค แก่ผล โดย อธิปติปัจจัย จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปรามาส- *วิปปยุตตธรรมให้หนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำ จักขุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่เป็นปรามาสวิปปยุตตธรรม เกิดขึ้น ที่เป็นสหชาตาธิปติ ได้แก่อธิปติธรรมที่เป็นปรามาสวิปปยุตตธรรม เป็น ปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอธิปติปัจจัย ปรามาสวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสสัมปยุตตธรรม โดยอธิปติ- *ปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ บุคคลกระทำอุโบสถกรรมแล้ว กระทำกุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น แล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำกุศลกรรมนั้นให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่น ราคะที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ ฌาน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลกระทำขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปรามาส- *วิปปยุตตธรรมให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่นแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะกระทำจักขุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะที่เป็นปรามาส- *สัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น [๗๑๓] ปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสสัมปยุตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัย แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสวิปปยุตตธรรม โดย อนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ โดยอนันตรปัจจัย ปรามาสวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสวิปปยุตตธรรม โดย อนันตรปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปรามาสวิปปยุตตธรรม ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัย แก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปรามาสวิปปยุตตธรรม ที่เกิดหลังๆ อนุโลม เป็นปัจจัย แก่ผลสมาบัติ โดยอนันตรปัจจัย ปรามาสวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสสัมปยุตตธรรม โดย อนัตรปัจจัย คือ อาวัชชนะ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม โดยอนันตรปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัยโดยสมนันตรปัจจัย [๗๑๔] ปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสสัมปยุตตธรรม โดยสหชาตปัจจัย มี ๕ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัยโดยอัญญมัญญปัจจัย มี ๒ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย มี ๗ นัย [๗๑๕] ปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสสัมปยุตตธรรม โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ราคะที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม ฯลฯ โมหะ ฯลฯ ความปรารถนา เป็นปัจจัยแก่ราคะที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม แก่โมหะ แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย ปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสวิปปยุตตธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยราคะที่เป็นปรามาส- *สัมปยุตตธรรมแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ก่อมานะ ฯลฯ บุคคลเข้าไปอาศัยโมหะที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม ฯลฯ ความ ปรารถนาแล้ว ให้ทาน ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ก่อมานะ ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ราคะที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม โมหะ ความปรารถนา เป็นปัจจัย แก่ศรัทธา ฯลฯ แก่ปัญญา แก่ราคะ แก่โทสะ แก่โมหะ แก่มานะ แก่ ความปรารถนา แก่สุขทางกาย แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย ปรามาสวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสวิปปยุตตธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลเข้าไปอาศัยศรัทธาแล้ว ให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ก่อมานะ บุคคลเข้าไปอาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา ราคะ มานะ ฯลฯ ความปรารถนา แล้ว ให้ทาน ฯลฯ ยังสมาบัติให้เกิดขึ้น ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ บุคคลเข้าไปอาศัยสุขทางกาย ฯลฯ เสนาสนะแล้วให้ทาน ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ ปัญญา ราคะ มานะ ความปรารถนา สุขทางกาย เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา แก่ปัญญา แก่ราคะ แก่มานะ แก่ความปรารถนา แก่สุขทางกาย แก่ผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย ปรามาสวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสสัมปยุตตธรรม โดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ที่เป็นปกตูปนิสสยะ ได้แก่ เพราะอาศัยศรัทธา ราคะ เกิดขึ้น เพราะอาศัยศีล ฯลฯ เสนาสนะ ความปรารถนา ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ราคะที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม แก่ความปรารถนา โดยอุปนิสสยปัจจัย [๗๑๖] ปรามาสวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ ปรามาสวิปปยุตตธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นหทัยวัตถุ โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ แล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักขุ เป็นต้นนั้น ราคะที่เป็นปรามาสวิปปยุตตธรรม วิจิกิจฉา อุทธัจจะ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพยจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพโสตธาตุ รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ โผฏฐัพพายตนะ เป็นปัจจัย แก่กายวิญญาณโดยปุเรชาตปัจจัย ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ จักขายตนะ เป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ กายายตนะ เป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น ปรามาสวิปปยุตตธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย ปรามาสวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสสัมปยุตตธรรม โดย ปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาต วัตถุปุเรชาต ที่เป็นอารัมมณปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อม เพลิดเพลินยิ่งซึ่งหทัยวัตถุ เพราะปรารภจักขุเป็นต้นนั้น ราคะที่เป็นปรามาส สัมปยุตตธรรม เกิดขึ้น ที่เป็นวัตถุปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลายที่เป็น ปรามาสสัมปยุตตธรรม โดยปุเรชาตปัจจัย [๗๑๗] ปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสวิปปยุตตธรรม โดยปัจฉาชาตปัจจัย ฯลฯ ปรามาสวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสวิปปยุตตธรรม โดย ปัจฉาชาตปัจจัย
ฯลฯ
[๗๑๘] ปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสสัมปยุตตธรรม โดยอาเสวนปัจจัย มี ๒ นัย [๗๑๙] ปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสสัมปยุตตธรรม โดยกัมมปัจจัย คือ เจตนาที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสวิปปยุตตธรรม โดย กัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็น ปัจจัยแก่วิบากขันธ์ และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย
พึงถามถึงมูล
เจตนาที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ปรามาสวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสวิปปยุตตธรรม โดย กัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต นานาขณิก ที่เป็นสหชาต ได้แก่ เจตนาที่เป็นปรามาสวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ที่เป็นนานาขณิก ได้แก่ เจตนาที่เป็นปรามาสวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัย แก่วิบากขันธ์ และกฏัตตารูปทั้งหลาย โดยกัมมปัจจัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยวิปากปัจจัย มี ๑ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอาหารปัจจัย มี ๔ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยอินทริยปัจจัย มี ๔ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยฌานปัจจัย มี ๔ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยมัคคปัจจัย มี ๔ นัย ฯลฯ เป็นปัจจัย โดยสัมปยุตตปัจจัย มี ๒ นัย [๗๒๐] ปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ ปรามาสสัมปยุตตธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต ฯลฯ ปรามาสวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ ปรามาสวิปปยุตตธรรม โดย วิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต ฯลฯ ปรามาสวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ ปรามาสสัมปยุตตธรรม โดย วิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม โดยวิปปยุตตปัจจัย [๗๒๑] ปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสสัมปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ โดย อัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสวิปปยุตตธรรม โดย อัตถิปัจจัย คือ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่จิตต- *สมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย
พึงกระทำมูล
ปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสสัมปยุตตธรรม และ ปรามาสวิปปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย คือ ขันธ์ ๑ ที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และ จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ปรามาสวิปปยุตตธรรมเป็นปัจจัยแก่ปรามาสวิปปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ฯลฯ ปรามาสวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสสัมปยุตตธรรม โดย อัตถิปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาต ได้แก่ จักขุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อม เพลิดเพลินยิ่งซึ่งหทัยวัตถุ เพราะปรารภจักขุเป็นต้นนั้น ราคะ ทิฏฐิ เกิดขึ้น หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ทั้งหลาย ที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม โดยอัตถิ- *ปัจจัย ปรามาสสัมปยุตตธรรม และ ปรามาสวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ ปรามาสสัมปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาต ปุเรชาต ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม และ หทัยวัตถุ เป็นปัจจัยแก่ ขันธ์ ๓ โดยอัตถิปัจจัย ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปรามาสสัมปยุตตธรรม และ ปรามาสวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ ปรามาสวิปปยุตตธรรม โดยอัตถิปัจจัย มี ๔ อย่าง คือ สหชาต ปัจฉาชาต อาหาร อินทรีย์ ที่เป็นสหชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม และ มหาภูตรูปทั้งหลาย เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม และ กวฬิงการาหาร เป็นปัจจัยแก่กายนี้ โดยอัตถิปัจจัย ที่เป็นปัจฉาชาต ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปรามาสสัมปยุตตธรรม และ รูปชีวิตินทรีย์ เป็นปัจจัยแก่กฏัตตารูปทั้งหลาย โดยอัตถิปัจจัย [๗๒๒] ในเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในอารัมมณปัจจัย มี " ๔ ในอธิปติปัจจัย มี " ๕ ในอนันตรปัจจัย มี " ๔ ในสมนันตรปัจจัย มี " ๔ ในสหชาตปัจจัย มี " ๕ ในอัญญมัญญปัจจัย มี " ๒ ในนิสสยปัจจัย มี " ๗ ในอุปนิสสยปัจจัย มี " ๔ ในปุเรชาตปัจจัย มี " ๒ ในปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๒ ในอาเสวนปัจจัย มี " ๒ ในกัมมปัจจัย มี " ๔ ในวิปากปัจจัย มี " ๑ ในอาหารปัจจัย มี " ๔ ในอินทริยปัจจัย มี " ๔ ในฌานปัจจัย มี " ๔ ในมัคคปัจจัย มี " ๔ ในสัมปยุตตปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๒ ในวิปปยุตตปัจจัย มี " ๓ ในอัตถิปัจจัย มี " ๗ ในนัตถิปัจจัย มี " ๔ ในวิคตปัจจัย มี " ๔ ในอวิคตปัจจัย มี " ๗ [๗๒๓] ปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสสัมปยุตตธรรม โดยอารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย ปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสวิปปยุตตธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย ปรามาสสัมปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสสัมปยุตตธรรม และ ปรามาสวิปปยุตตธรรม โดยสหชาตปัจจัย ปรามาสวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสวิปปยุตตธรรม โดยอารัมมณ- *ปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็นปัจจัย โดยปุเรชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยกัมมปัจจัย เป็น ปัจจัยโดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย ปรามาสวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ปรามาสสัมปยุตตธรรม โดย อารัมมณปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอุปนิสสยปัจจัย เป็น ปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย ปรามาสสัมปยุตตธรรม และปรามาสวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ ปรามาสสัมปยุตตธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปุเรชาตปัจจัย ปรามาสสัมปยุตตธรรม และปรามาสวิปปยุตตธรรม เป็นปัจจัยแก่ ปรามาสวิปปยุตตธรรม โดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยปัจฉาชาตปัจจัย เป็น ปัจจัย โดยอาหารปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอินทริยปัจจัย [๗๒๔] ในปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สหชาตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นิสสยปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปุเรชาตปัจจัย มี " ๖ ในปัจจัยที่ไม่ใช่ปัจฉาชาตปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยทั้งปวง มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย มี " ๕ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัตถิปัจจัย มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย มี " ๗ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อวิคตปัจจัย มี " ๔ [๗๒๕] ในปัจจัยที่ไม่ใช่อารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สมนันตรปัจจัย กับ ฯลฯ มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อัญญมัญญปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่อุปนิสสยปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยทั้งปวง กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่มัคคปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่สัมปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิปปยุตตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๒ ในปัจจัยที่ไม่ใช่นัตถิปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ ในปัจจัยที่ไม่ใช่วิคตปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๔ [๗๒๖] ในอารัมมณปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๔ ในอธิปติปัจจัย กับ ฯลฯ มี " ๕
พึงกระทำอนุโลมมาติกา
ในอวิคตปัจจัย กับปัจจัยที่ไม่ใช่เหตุปัจจัย มีหัวข้อปัจจัย ๗
ปรามาสสัมปยุตตทุกะ จบ
ปรามาสปรามัฏฐทุกะ
ปฏิจจวาร
[๗๒๗] ธรรมที่เป็นปรามัฏฐธรรม แต่ไม่ใช่ปรามาสธรรม อาศัยธรรม ที่เป็นทั้งปรามาสธรรม และปรามัฏฐธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยปรามาสธรรม ธรรมที่เป็นปรามัฏฐธรรมแต่ไม่ใช่ปรามาสธรรม อาศัยธรรมที่เป็น ปรามัฏฐธรรม แต่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปรามัฏฐ- *ธรรม แต่ไม่ใช่ปรามาสธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ในปฏิสนธิขณะ ตลอดถึง อัชฌัตติกมหาภูตรูป ธรรมที่เป็นทั้งปรามาสธรรมและปรามัฏฐธรรม อาศัยธรรมที่เป็นปรามัฏฐ- *ธรรม แต่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ปรามาสธรรม อาศัยขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปรามัฏฐธรรม แต่ไม่ใช่ ปรามาสธรรม ธรรมที่เป็นทั้งปรามาสธรรมและปรามัฏฐธรรม และธรรมที่เป็นปรามัฏฐ- *ธรรม แต่ไม่ใช่ปรามาสธรรม อาศัยธรรมที่เป็นปรามัฏฐธรรม แต่ไม่ใช่ปรามาส- *ธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และปรามาสธรรม และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปรามัฏฐธรรม แต่ไม่ใช่ปรามาสธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ธรรมที่เป็นปรามัฏฐธรรม แต่ไม่ใช่ปรามาสธรรม อาศัยธรรมที่เป็น ทั้งปรามาสธรรม และปรามัฏฐธรรม และธรรมที่เป็นปรามัฏฐธรรม แต่ไม่ใช่ ปรามาสธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปรามัฏฐ- *ธรรม แต่ไม่ใช่ปรามาสธรรม และปรามาสธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ
ฯลฯ
วาระทั้งหมดพึงกระทำเหมือนกับปรามาสทุกะ ไม่มีแตกต่างกัน
ปัญหาวาร
[๗๒๘] ธรรมที่เป็นปรามัฏฐธรรม แต่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัย แก่ธรรมที่เป็นปรามัฏฐธรรม แต่ไม่ใช่ปรามาสธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นปรามัฏฐธรรม แต่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย ปฏิสนธิ ธรรมที่เป็นปรามัฏฐธรรม แต่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม ที่เป็นทั้งปรามาสธรรมและปรามัฏฐธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นปรามัฏฐธรรม แต่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัย แก่ปรามาสธรรม โดยเหตุปัจจัย ธรรมที่เป็นปรามัฏฐธรรม แต่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ เป็นทั้งปรามาสธรรม และปรามัฏฐธรรม และธรรมที่เป็นปรามัฏฐธรรม แต่ไม่ใช่ ปรามาสธรรม โดยเหตุปัจจัย คือ เหตุทั้งหลายที่เป็นปรามัฏฐธรรม แต่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัย แก่สัมปยุตตขันธ์ทั้งหลาย และปรามาสธรรม และจิตตสมุฏฐานรูปทั้งหลาย โดยเหตุปัจจัย [๗๒๙] ธรรมที่เป็นทั้งปรามาสธรรม และปรามัฏฐธรรม เป็นปัจจัยแก่ ธรรมที่เป็นทั้งปรามาสธรรมและปรามัฏฐธรรม โดยอารัมมณปัจจัย มี ๓ นัย พึงกระทำว่าปรารภ เหมือนกับปรามาสทุกะ ธรรมที่เป็นปรามัฏฐธรรม แต่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ เป็นปรามัฏฐธรรม แต่ไม่ใช่ปรามาสธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ บุคคลกระทำอุโบสถกรรม แล้วพิจารณากุศลกรรม นั้น พิจารณาแล้ว ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภกุศลกรรมนั้น ราคะ วิจิกิจฉา อุทธัจจะ โทมนัส เกิดขึ้น กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ จากฌาน ฯลฯ พระอริยะทั้งหลายพิจารณาโคตรภู พิจารณาโวทาน กิเลสที่ละแล้ว ฯลฯ กิเลสที่ข่มแล้ว ฯลฯ กิเลสทั้งหลายที่เคยเกิดขึ้นแล้วในกาลก่อน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ ขันธ์ทั้งหลายที่เป็นปรามัฏฐธรรม แต่ ไม่ใช่ปรามาสธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ โทมนัส เกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพยจักขุ ตลอดถึงอาวัชชนะ พึงกระทำทั้งหมด ธรรมที่เป็นปรามัฏฐธรรม แต่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม ที่เป็นทั้งปรามาสธรรม และปรามัฏฐธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ จากฌาน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง ซึ่งขันธ์ ทั้งหลายที่เป็นปรามัฏฐธรรม แต่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เพราะปรารภจักขุเป็นต้นนั้น ทิฏฐิ ฯลฯ ธรรมที่เป็นปรามัฏฐธรรม แต่ไม่ใช่ปรามาสธรรม เป็นปัจจัยแก่ธรรม ที่เป็นทั้งปรามาสธรรม แต่ไม่ใช่ปรามาสธรรมและปรามัฏฐธรรม และธรรม ที่เป็นปรามัฏฐธรรม โดยอารัมมณปัจจัย คือ ทาน ฯลฯ ศีล ฯลฯ อุโบสถกรรม ฯลฯ กุศลกรรมทั้งหลายที่เคยสั่งสมไว้แล้วในกาลก่อน ฯลฯ จากฌาน ฯลฯ จักขุ ฯลฯ หทัยวัตถุ ฯลฯ บุคคลพิจารณาเห็นขันธ์ทั้งหลายที่เป็น ปรามัฏฐธรรม แต่ไม่ใช่ปรามาสธรรม โดยความเป็นของไม่เที่ยง ฯลฯ ย่อมยินดี ย่อมเพลิดเพลินยิ่ง เพราะปรารภจักขุเป็นต้นนั้น ปรามาสธรรม และสัมปยุตต- *ขันธ์ทั้งหลาย เกิดขึ้น ทั้ง ๓ นัยแม้นอกนี้ พึงกระทำว่าเพราะปรารภ ทุกะนี้ เหมือนกับปรามาสทุกะ โลกุตตระไม่ได้ในที่ใด ก็ไม่พึงกระทำ ในที่นั้น
ปรามาสปรามัฏฐทุกะ จบ
ปรามาสวิปปยุตตปรามัฏฐทุกะ
ปฏิจจวาร
[๗๓๐] ปรามาสวิปปยุตตปรามัฏฐธรรม อาศัยปรามาสวิปปยุตตปรามัฏฐ ธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย คือ ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูป อาศัยขันธ์ ๑ ที่เป็นปรามาสวิปปยุตต- *ปรามัฏฐธรรม ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปรามาสวิปปยุตตอปรามัฏฐธรรม อาศัยปรามาสวิปปยุตตอปรามัฏฐธรรม เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัย
ฯลฯ
โลกิยทุกะในจูฬันตรทุกะฉันใด พึงกระทำฉันนั้น ไม่มีแตกต่างกัน
ปรามาสวิปปยุตตปรามัฏฐทุกะ จบ
อนุโลมทุกปัฏฐาน จบ
-----------------------------------------------------

             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๔๒ บรรทัดที่ ๑-๑๓๓๓๒ หน้าที่ ๑-๕๔๔. https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=42&A=0&Z=13332&pagebreak=0              ฟังเนื้อความพระไตรปิฎก : [1], [2], [3], [4], [5], [6], [7], [8], [9], [10], [11], [12], [13], [14], [15], [16], [17], [18], [19], [max20]              อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ :- https://84000.org/tipitaka/attha/m_siri.php?B=42&siri=0              ศึกษาอรรถกถานี้ได้ที่ :- https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=42&i=0              ศึกษาพระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลีอักษรไทย :- [1-730] https://84000.org/tipitaka/pali/pali_item_s.php?book=42&item=1&items=730              The Pali Tipitaka in Roman :- [1-730] https://84000.org/tipitaka/pali/roman_item_s.php?book=42&item=1&items=730              สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๔๒ https://84000.org/tipitaka/read/?index_42

อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้าอ่านหน้า[ต่าง] ถัดไปอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย

บันทึก ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ บันทึกล่าสุด ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับหลวง. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :