ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ
     ฉบับหลวง   ฉบับมหาจุฬาฯ   บาลีอักษรไทย   PaliRoman 
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต [๔. อัฏฐกวรรค]

๑๓. มหาวิยูหสูตร

๑๓. มหาวิยูหสูตร๑-
ว่าด้วยการวิวาทกันเพราะทิฏฐิสูตรใหญ่
(พระพุทธเนรมิตทูลถามดังนี้) [๙๐๒] สมณพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่งเหล่านี้ ยึดถือทิฏฐิอยู่ พากันกล่าวอ้างว่า นี้เท่านั้นจริง สมณพราหมณ์เหล่านั้นทุกพวกนั่นแหละจะถูกนินทา หรือว่าจะได้รับความสรรเสริญเพราะทิฏฐินั้น (พระผู้มีพระภาคตรัสตอบดังนี้) [๙๐๓] ผลแห่งวาทะนี้น้อยนัก ไม่พอเพื่อความสงบ เรากล่าวผลแห่งการวิวาทเป็น ๒ อย่าง๒- บุคคลเห็นโทษแม้นี้แล้ว มองเห็นภูมิ(เหตุ)แห่งการไม่วิวาท๓- ว่า เกษม ไม่พึงวิวาทกัน (พระพุทธเนรมิตทูลถามดังนี้) [๙๐๔] ทิฏฐิสมมติ๔- เหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดจากปุถุชน บุคคลผู้มีความรู้ย่อมไม่เข้าถึงทิฏฐิสมมติเหล่านี้ทุกอย่าง บุคคลผู้ไม่มีกิเลสเป็นเหตุเข้าถึงนั้น ไม่ทำความพอใจในรูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน พึงถึงสิ่งที่ควรเข้าถึงอะไรเล่า @เชิงอรรถ : @ ขุ.ม. (แปล) ๒๙/๑๓๐-๑๔๙/๓๖๒-๓๙๗ @ หมายถึงมีนินทา หรือสรรเสริญ อีกนัยหนึ่ง มีชนะ หรือพ่ายแพ้ (ขุ.สุ.อ. ๒/๙๐๓/๔๐๐) @ ภูมิแห่งการไม่วิวาท ในที่นี้หมายถึงอมตนิพพาน (ขุ.ม. (แปล) ๒๙/๑๓๑/๓๖๕) @ ทิฏฐิสมมติ หมายถึงทิฏฐิ ๖๒ (ขุ.ม. (แปล) ๒๙/๑๓๒/๓๖๖, ขุ.สุ.อ. ๒/๙๐๔/๔๐๐) {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๕ หน้า : ๗๑๗}

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต [๔. อัฏฐกวรรค]

๑๓. มหาวิยูหสูตร

(พระผู้มีพระภาคตรัสตอบดังนี้) [๙๐๕] สมณพราหมณ์ผู้กล่าวอ้างศีลว่า สูงสุด สมาทานวัตรแล้ว ดำรงอยู่ ได้กล่าวความหมดจดด้วยความสำรวมว่า พวกเราศึกษาในทิฏฐินี้แหละ และศึกษาความหมดจดแห่งวัตรนั้น สมณพราหมณ์เหล่านั้นอ้างตนว่า เป็นคนฉลาด ย่อมเป็นผู้ถูกนำเข้าสู่ภพ [๙๐๖] ถ้าบุคคลเคลื่อนจากศีลและวัตร พลาดกรรมแล้วก็หวั่นไหว เขาย่อมเฝ้าแต่พร่ำเพ้อและปรารถนาความหมดจด เหมือนคนออกจากเรือนอยู่ร่วมกับพวกเดินทาง พลัดพรากจากพวก ฉะนั้น [๙๐๗] อริยสาวกละศีลและวัตรได้ทั้งหมด ละกรรมที่มีโทษและกรรมที่ไม่มีโทษ๑- เสียได้ ไม่ปรารถนาความหมดจดและความไม่หมดจด งดเว้นแล้ว ไม่ยึดมั่นทิฏฐิที่มีอยู่เที่ยวไป [๙๐๘] สมณพราหมณ์เข้าไปอาศัยตบะที่ตนเกลียดชังนั้น เข้าไปอาศัยรูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน หรืออารมณ์ที่รับรู้ เป็นผู้กล่าวความหมดจดในสงสารข้างหน้า ยังไม่คลายตัณหาในภพน้อยภพใหญ่ จึงยังพร่ำพูดถึงความหมดจดอยู่ @เชิงอรรถ : @ กรรมที่มีโทษและกรรมที่ไม่มีโทษ หมายถึงอกุศลทั้งปวง ได้แก่ อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ @และโลกิยกุศลได้แก่ กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ (ขุ.สุ.อ. ๒/๙๐๗/๔๐๑, ที.ปา.อ. ๓/๓๑๒/๒๒๐) {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๕ หน้า : ๗๑๘}

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต [๔. อัฏฐกวรรค]

๑๓. มหาวิยูหสูตร

[๙๐๙] ความชอบใจวัตถุ ย่อมมีแก่ผู้กำลังปรารถนา อนึ่ง ความหวั่นไหว ย่อมมีเพราะวัตถุที่กำหนดแล้ว ความตายและความเกิดมิได้มีแก่ภิกษุใดในธรรมวินัยนี้ ภิกษุนั้นพึงหวั่นไหวด้วยเหตุอะไรเล่า หรือจะพึงชอบใจในอะไรเล่า (พระพุทธเนรมิตทูลถามดังนี้) [๙๑๐] สมณพราหมณ์บางพวกกล่าวธรรมใดว่า เยี่ยม แต่สมณพราหมณ์พวกอื่นกลับกล่าวธรรมนั้นนั่นเองว่า เลว วาทะของสมณพราหมณ์เหล่านี้ วาทะไหนจริงกันหนอ เพราะสมณพราหมณ์เหล่านี้ทุกพวก ต่างกล่าวอ้างตนว่า เป็นคนฉลาด (พระผู้มีพระภาคตรัสตอบดังนี้) [๙๑๑] อนึ่ง สมณพราหมณ์บางพวก กล่าวธรรมของตนว่า บริบูรณ์ แต่กล่าวธรรมของผู้อื่นว่า เลว พวกสมณพราหมณ์ถือมั่นแม้อย่างนี้แล้ว ย่อมวิวาทกัน เพราะต่างกล่าวทิฏฐิสมมติของตนๆ ว่า จริง [๙๑๒] หากบุคคลเป็นคนเลวเพราะเหตุที่ผู้อื่นพูดติเตียนไซร้ ก็จะไม่พึงมีใครวิเศษในธรรมทั้งหลายได้เลย เพราะคนส่วนมาก ต่างกล่าวยืนยันในแนวทางของตน พากันกล่าวถึงธรรมของผู้อื่นว่า เป็นสิ่งเลวทราม [๙๑๓] การบูชาหลักการของตน เป็นเรื่องแท้จริง เหมือนสมณพราหมณ์พากันสรรเสริญแนวทางของตน ฉะนั้น การว่าร้ายทุกอย่างก็พึงมีอยู่แท้จริง เพราะความหมดจดของสมณพราหมณ์เหล่านั้น เป็นเรื่องเฉพาะตนเท่านั้น {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๕ หน้า : ๗๑๙}

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต [๔. อัฏฐกวรรค]

๑๓. มหาวิยูหสูตร

[๙๑๔] ญาณที่ผู้อื่นพึงแนะนำไม่มีแก่พราหมณ์ ความตกลงใจแล้วยึดมั่นในธรรมทั้งหลาย ก็ไม่มี เพราะฉะนั้น พราหมณ์จึงล่วงเลยการวิวาททั้งหลายได้แล้ว แท้จริง พราหมณ์ไม่เห็นธรรมอื่นว่า เป็นของประเสริฐ [๙๑๕] สมณพราหมณ์บางพวกเชื่อความหมดจดเพราะทิฏฐิว่า เรารู้ เราเห็นความหมดจดนี้ว่า มีจริง ถ้าสมณพราหมณ์ผู้หนึ่งได้เห็นแล้ว จะมีประโยชน์อะไรด้วยการเห็นนั้นแก่สมณพราหมณ์เหล่านั้นเล่า เพราะพวกสมณพราหมณ์แล่นเลย(ทางแห่งความหมดจด)แล้ว ย่อมกล่าวความหมดจดด้วยการเห็นอื่น [๙๑๖] นรชนเมื่อเห็นย่อมเห็นนามรูป หรือครั้นเห็นแล้วก็รู้จักเฉพาะนามรูปเหล่านั้นเท่านั้น นรชนเห็นนามรูปมากบ้าง น้อยบ้างโดยแท้ ถึงอย่างนั้น ผู้ฉลาดทั้งหลายก็ไม่กล่าวความหมดจด เพราะการเห็นนามรูปนั้น [๙๑๗] นรชนผู้มีปกติกล่าวด้วยความเชื่อมั่น ไม่ใช่คนที่ใครพึงแนะนำได้ง่าย เป็นผู้เชิดชูทิฏฐิที่กำหนดไว้แล้ว อาศัยศาสดาใด ก็กล่าวว่าศาสดานั้นดีงามเพราะทิฏฐินั้น นรชนนั้นผู้กล่าวความหมดจดได้เห็นว่าแท้จริงในทิฏฐินั้น [๙๑๘] พราหมณ์พิจารณาแล้ว ย่อมไม่เข้าถึงความกำหนด ไม่แล่นไปด้วยทิฏฐิ ทั้งไม่ผูกพันด้วยตัณหาหรือทิฏฐิเพราะญาณ พราหมณ์นั้นครั้นรู้แล้วก็วางเฉยทิฏฐิสมมติที่เกิดจากปุถุชน แต่สมณพราหมณ์เหล่าอื่นพากันถือมั่น {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๕ หน้า : ๗๒๐}

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต [๔. อัฏฐกวรรค]

๑๓. มหาวิยูหสูตร

[๙๑๙] มุนีสลัดกิเลสเครื่องร้อยรัดในโลกนี้แล้ว เมื่อคนทั้งหลายเกิดวิวาทกันแล้ว ก็ไม่เข้าไปเป็นฝักเป็นฝ่าย เมื่อคนทั้งหลายไม่สงบ มุนีนั้นเป็นผู้สงบ วางเฉย ไม่ถือมั่น แต่สมณพราหมณ์เหล่าอื่นพากันถือมั่น [๙๒๐] มุนีละอาสวะเก่า๑- ไม่ก่ออาสวะใหม่๒- ไม่ดำเนินไปตามความพอใจ ทั้งไม่มีปกติกล่าวด้วยความเชื่อมั่น มุนีนั้นเป็นนักปราชญ์ พ้นขาดแล้วจากทิฏฐิทั้งหลาย ติเตียนตนเองไม่ได้ ไม่ติดอยู่ในโลก [๙๒๑] มุนีนั้น เป็นผู้กำจัดเสนา๓- ในธรรมทั้งปวง คือในรูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน หรืออารมณ์ที่รับรู้อย่างใดอย่างหนึ่ง มุนีนั้นเป็นผู้ปลงภาระ๔- ลงแล้ว พ้นขาดแล้ว ไม่มีความกำหนด ไม่เข้าไปยินดี ไม่มีความปรารถนา
มหาวิยูหสูตรที่ ๑๓ จบ
@เชิงอรรถ : @ อาสวะเก่า หมายถึงกิเลสเกิดขึ้นเพราะปรารภรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ในอดีต @(ขุ.ม. (แปล) ๒๙/๑๔๘/๓๙๔, ขุ.สุ.อ. ๒/๙๒๐/๔๐๔) @ อาวสวะใหม่ หมายถึงกิเลสที่เกิดขึ้นปรารภรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ในปัจจุบัน @(ขุ.ม. (แปล) ๒๙/๑๔๘/๓๙๔, ขุ.สุ.อ. ๒/๙๒๐/๔๐๔) @ เสนา ในที่นี้หมายถึงเสนามาร คือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เป็นต้น (ขุ.ม. (แปล) ๒๙/๑๔๙/๓๙๗) @ ภาระ หมายถึงสิ่งที่ต้องนำพา มี ๓ คือ (๑) ขันธภาระ ได้แก่ ขันธ์ ๕ (๒) กิเลสภาระ ได้แก่ ราคะ โทสะ @โมหะ เป็นต้น (๓) อภิสังขารภาระ ได้แก่ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร และอาเนญชาภิสังขาร @(ขุ.ม. (แปล) ๒๙/๑๔๙/๓๙๘) {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๕ หน้า : ๗๒๑}


                  เนื้อความพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๒๕ หน้าที่ ๗๑๗-๗๒๑. http://84000.org/tipitaka/pitaka2/m_siri.php?B=25&siri=278              ฟังเนื้อความพระไตรปิฎก : [1], [2].                   อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับหลวง :- http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=25&A=10494&Z=10607                   ศึกษาอรรถกถานี้ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=420              พระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลีอักษรไทย :- http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/pali_item_s.php?book=25&item=420&items=1              อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย :- http://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=29&A=8987              The Pali Tipitaka in Roman :- http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/roman_item_s.php?book=25&item=420&items=1              The Pali Atthakatha in Roman :- http://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=29&A=8987                   สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๕ http://84000.org/tipitaka/read/?index_mcu25              อ่านเทียบฉบับแปลอังกฤษ Compare with English Translation :- https://84000.org/tipitaka/english/metta.lk/25i408-e.php#sutta13 https://accesstoinsight.org/tipitaka/kn/snp/snp.4.13.than.html https://suttacentral.net/snp4.13/en/mills https://suttacentral.net/snp4.13/en/sujato



บันทึก ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ บันทึกล่าสุด ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :