ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ
     ฉบับหลวง   ฉบับมหาจุฬาฯ   บาลีอักษรไทย   PaliRoman 
อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้าอ่านหน้า[ต่าง] ถัดไปอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๗ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๔ กถาวัตถุปกรณ์
วจีเภทกถา
[๕๗๕] สกวาที การเปล่งวาจาของผู้เข้าฌานมีอยู่ หรือ? ปรวาที ถูกแล้ว ส. การเปล่งวาจาของผู้เข้าฌานในภพทั้งปวงมีอยู่ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๕๗๖] ส. การเปล่งวาจาของผู้เข้าฌานมีอยู่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. การเปล่งวาจาของผู้เข้าฌานในกาลทั้งปวงมีอยู่ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๕๗๗] ส. การเปล่งวาจาของผู้เข้าฌานมีอยู่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. การเปล่งวาจาของผู้เข้าฌานทั้งปวงมีอยู่ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๕๗๘] ส. การเปล่งวาจาของผู้เข้าฌานมีอยู่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. การเปล่งวาจามีอยู่ในสมาบัติทั้งปวง หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๕๗๙] ส. การเปล่งวาจาของผู้เข้าฌานมีอยู่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. การไหวกายของผู้เข้าฌานมีอยู่ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๕๘๐] ส. การไหวกายไม่มีแก่ผู้เข้าฌาน หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. การเปล่งวาจาไม่มีแก่ผู้เข้าฌาน หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๕๘๑] ส. วาจาของผู้เข้าฌานมีอยู่ การเปล่งวาจาก็มีอยู่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. กายของผู้เข้าฌานมีอยู่ การไหวกายก็มีอยู่ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๕๘๒] ส. กายของผู้เข้าฌานมีอยู่ แต่การไหวกายไม่มี หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. วาจาของผู้เข้าฌานมีอยู่ แต่การเปล่งวาจาไม่มี หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๕๘๓] ส. เมื่อรู้ว่าทุกข์ ย่อมเปล่งวาจาว่าทุกข์ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. เมื่อรู้ว่าสมุทัย ย่อมเปล่งวาจาว่าสมุทัย หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๕๘๔] ส. เมื่อรู้ว่าทุกข์ ย่อมเปล่งวาจาว่าทุกข์ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. เมื่อรู้ว่านิโรธ ย่อมเปล่งวาจาว่านิโรธ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๕๘๕] ส. เมื่อรู้ว่าทุกข์ ย่อมเปล่งวาจาว่าทุกข์ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. เมื่อรู้ว่ามรรค ย่อมเปล่งวาจาว่ามรรค หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๕๘๖] ส. เมื่อรู้ว่าสมุทัย ก็ไม่เปล่งวาจาว่าสมุทัย หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. เมื่อรู้ว่าทุกข์ ก็ไม่เปล่งวาจาว่าทุกข์ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๕๘๗] ส. เมื่อรู้ว่านิโรธ ก็ไม่เปล่งวาจาว่านิโรธ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. เมื่อรู้ว่าทุกข์ ก็ไม่เปล่งวาจาว่าทุกข์ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๕๘๘] ส. เมื่อรู้ว่ามรรค ก็ไม่เปล่งวาจาว่ามรรค หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. เมื่อรู้ว่าทุกข์ ก็ไม่เปล่งวาจาว่าทุกข์ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๕๘๙] ส. การเปล่งวาจาของผู้เข้าฌานมีอยู่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. ญาณ (ความรู้) มีอะไรเป็นโคจร ป. ญาณมีสัจจะเป็นโคจร ส. โสตวิญญาณมีสัจจะเป็นโคจร หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๕๙๐] ส. การเปล่งวาจาของผู้เข้าฌานมีอยู่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. โสตวิญญาณมีอะไรเป็นโคจร ป. โสตวิญญาณมีเสียงเป็นโคจร ส. ญาณมีเสียงเป็นโคจร หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๕๙๑] ส. การเปล่งวาจาของผู้เข้าฌานมีอยู่ ญาณมีสัจจะเป็นโคจร โสตวิญญาณมี เสียงเป็นโคจร หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. หากว่า ญาณมีสัจจะเป็นโคจร โสตวิญญาณมีเสียงเป็นโคจร ก็ต้องไม่ กล่าวว่า การเปล่งวาจาของผู้เข้าฌานมีอยู่ [๕๙๒] ส. การเปล่งวาจาของผู้เข้าฌานมีอยู่ ญาณมีสัจจะเป็นโคจร โสตวิญญาณมี เสียงเป็นโคจร หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. การประชุมแห่งผัสสะ ๒ แห่งเวทนา ๒ แห่งสัญญา ๒ แห่งเจตนา ๒ แห่งจิต ๒ เป็นได้ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๕๙๓] ส. การเปล่งวาจาของผู้เข้าฌานมีอยู่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. การเปล่งวาจาของผู้เข้าสมาบัติ ที่มีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์มีอยู่ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๕๙๔] ส. การเปล่งวาจาของผู้เข้าฌานมีอยู่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. การเปล่งวาจาของผู้เข้าสมาบัติ ที่มีอาโปกสิณเป็นอารมณ์ ฯลฯ ที่มี เตโชกสิณเป็นอารมณ์ ที่มีวาโยกสิณเป็นอารมณ์ ที่มีนีลกสิณเป็น อารมณ์ ที่มีปีตกสิณเป็นอารมณ์ ที่มีโลหิตกสิณเป็นอารมณ์ ที่ มีโอทาตกสิณเป็นอารมณ์ ฯลฯ ของผู้เข้าอากาสานัญจายตนสมาบัติ วิญญาณัญจายตนสมาบัติ อากิญจัญญายตนสมาบัติ ฯลฯ เนวสัญญานา สัญญายตนสมาบัติมีอยู่ หรือ? ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๕๙๕] ส. การเปล่งวาจาไม่มีแก่ผู้เข้าสมาบัติ ที่มีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. หากว่า การเปล่งวาจาไม่มีแก่ผู้เข้าสมาบัติ ที่มีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์ ก็ ต้องไม่กล่าวว่า การเปล่งวาจาของผู้เข้าฌานมีอยู่ [๕๙๖] ส. การเปล่งวาจาไม่มีแก่ผู้เข้าสมาบัติ ที่มีอาโปกสิณเป็นอารมณ์ ฯลฯ ที่มี โอทาตกสิณเป็นอารมณ์ ฯลฯ ไม่มีแก่ผู้เข้าอากาสานัญจายตนสมาบัติ วิญญาณัญจายตนสมาบัติ อากิญจัญญายตนสมาบัติ ฯลฯ เนวสัญญานา- สัญญายตนสมาบัติ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. หากว่า การเปล่งวาจาไม่มีแก่ผู้เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ก็ ต้องไม่กล่าวว่า การเปล่งวาจาของผู้เข้าฌานมีอยู่ [๕๙๗] ส. การเปล่งวาจาของผู้เข้าฌานมีอยู่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. การเปล่งวาจาของผู้เข้าโลกิยสมาบัติมีอยู่ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๕๙๘] ส. การเปล่งวาจาของผู้เข้าฌานมีอยู่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. การเปล่งวาจาของผู้เข้าปฐมฌานที่เป็นโลกิยะมีอยู่ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ ส. การเปล่งวาจาของผู้เข้าฌานมีอยู่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. การเปล่งวาจาของผู้เข้าทุติยฌาน ฯลฯ ตติยฌาน ฯลฯ จตตุถฌาน ที่ เป็นโลกิยะมีอยู่ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๕๙๙] ส. การเปล่งวาจาไม่มีแก่ผู้เข้าโลกิยสมาบัติ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. หากว่า การเปล่งวาจาไม่มีแก่ผู้เข้าโลกิยสมาบัติ ก็ต้องไม่กล่าวว่า การ เปล่งวาจาของผู้เข้าฌานมีอยู่ [๖๐๐] ส. การเปล่งวาจาไม่มีแก่ผู้เข้าปฐมฌานที่เป็นโลกิยะ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. หากว่า การเปล่งวาจาไม่มีแก่ผู้เข้าปฐมฌานที่เป็นโลกิยะ ก็ต้องไม่กล่าว ว่า การเปล่งวาจาของผู้เข้าฌานมีอยู่ [๖๐๑] ส. การเปล่งวาจาไม่มีแก่ผู้เข้าทุติยฌาน ฯลฯ ตติยฌาน ฯลฯ จตุตถฌาน ที่เป็นโลกิยะ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. หากว่า การเปล่งวาจาไม่มีแก่ผู้เข้าจตุตถฌานที่เป็นโลกิยะ ก็ต้องไม่ กล่าวว่า การเปล่งวาจาของผู้เข้าฌานมีอยู่ [๖๐๒] ส. การเปล่งวาจาของผู้เข้าปฐมฌานที่เป็นโลกุตตระมีอยู่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. การเปล่งวาจาของผู้เข้าปฐมฌานที่เป็นโลกิยะมีอยู่ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๖๐๓] ส. การเปล่งวาจาของผู้เข้าปฐมฌานที่เป็นโลกุตตระมีอยู่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. การเปล่งวาจาของผู้เข้าทุติยฌาน ตติยฌาน ฯลฯ จตุตถฌานที่เป็นโลกิยะ มีอยู่ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๖๐๔] ส. การเปล่งวาจาไม่มีแก่ผู้เข้าปฐมฌานที่เป็นโลกิยะ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. การเปล่งวาจาไม่มีแก่ผู้เข้าปฐมฌานที่เป็นโลกุตตระ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๖๐๕] ส. การเปล่งวาจาไม่มีแก่ผู้เข้าทุติยฌาน ตติยฌาน ฯลฯ จตุตถฌานที่เป็น โลกิยะ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. การเปล่งวาจาไม่มีแก่ผู้เข้าปฐมฌานที่เป็นโลกุตตระ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๖๐๖] ส. การเปล่งวาจาของผู้เข้าปฐมฌานที่เป็นโลกุตตระมีอยู่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. การเปล่งวาจาของผู้เข้าทุติยฌานที่เป็นโลกุตตระมีอยู่ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๖๐๗] ส. การเปล่งวาจาของผู้เข้าปฐมฌานที่เป็นโลกุตตระมีอยู่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. การเปล่งวาจาของผู้เข้าตติยฌาน ฯลฯ จตุตถฌานที่เป็นโลกุตตระมีอยู่ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๖๐๘] ส. การเปล่งวาจาไม่มีแก่ผู้เข้าทุติยฌานที่เป็นโลกุตตระ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. การเปล่งวาจาไม่มีแก่ผู้เข้าปฐมฌานที่เป็นโลกุตตระ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๖๐๙] ส. การเปล่งวาจาไม่มีแก่ผู้เข้าตติยฌาน ฯลฯ จตุตถฌานที่เป็นโลกุตตระ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. การเปล่งวาจาไม่มีแก่ผู้เข้าปฐมฌานที่เป็นโลกุตตระ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๖๑๐] ป. ไม่พึงกล่าวว่า การเปล่งวาจาของผู้เข้าฌานมีอยู่ หรือ? ส. ถูกแล้ว ป. พระผู้มีพระภาคได้ตรัส วิตก วิจารว่า เป็นวจีสังขาร (ธรรมชาติผู้ปรุงแต่ง วาจา) และวิตก วิจารของผู้เข้าปฐมฌานก็มีอยู่ มิใช่หรือ? ส. ถูกแล้ว ป. หากพระผู้มีพระภาคได้ตรัส วิตก วิจารว่า เป็นวจีสังขาร และวิตก วิจาร ของผู้เข้าปฐมฌานก็มีอยู่ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า การเปล่ง วาจาของผู้เข้าฌานมีอยู่ [๖๑๑] ส. พระผู้มีพระภาคได้ตรัส วิตก วิจารว่า เป็นวจีสังขาร และวิตก วิจาร ของ ผู้เข้าปฐมฌานก็มีอยู่ การเปล่งวาจาของผู้เข้าปฐมฌานนั้นจึงมีอยู่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. วิตก วิจาร ของผู้เข้าปฐมฌาน ที่มีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์มีอยู่ การเปล่ง วาจาของผู้นั้นจึงมีอยู่ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๖๑๒] ส. พระผู้มีพระภาคได้ตรัส วิตก วิจารว่า เป็นวจีสังขาร และวิตก วิจาร ของ ผู้เข้าปฐมฌานก็มีอยู่ การเปล่งวาจาของผู้เข้าปฐมฌานนั้น จึงมีอยู่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. วิตก วิจาร ของผู้เข้าปฐมฌานที่มีอาโปกสิณเป็นอารมณ์ ฯลฯ ที่มีเตโช กสิณเป็นอารมณ์ ที่มีวาโยกสิณเป็นอารมณ์ ที่มีนีลกสิณเป็นอารมณ์ ที่มีปีติกสิณเป็นอารมณ์ ที่มีโลหิตกสิณเป็นอารมณ์ ฯลฯ ที่มีโอทาตกสิณ เป็นอารมณ์ ก็มีอยู่ การเปล่งวาจาของผู้เข้าปฐมฌาน ที่มีโอทาตกสิณเป็น อารมณ์นั้น ก็มีอยู่ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๖๑๓] ป. ไม่พึงกล่าวว่า การเปล่งวาจาของผู้เข้าฌานมีอยู่ หรือ? ส. ถูกแล้ว ป. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสวาจาว่า มีวิตกเป็นสมุฏฐาน และวิตก วิจาร ของผู้ เข้าปฐมฌานก็มีอยู่ มิใช่หรือ? ส. ถูกแล้ว ป. หากว่า พระผู้มีพระภาคตรัสวาจาว่า มีวิตกเป็นสมุฏฐาน และ วิตก วิจาร ของผู้เข้าปฐมฌานก็มีอยู่ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า การเปล่ง วาจาของผู้เข้าปฐมฌานมีอยู่ [๖๑๔] ส. เพราะพระผู้มีพระภาคได้ตรัสวาจาว่า มีวิตกเป็นสมุฏฐาน และวิตก วิจาร ของผู้เข้าปฐมฌานก็มีอยู่ ฉะนั้น การเปล่งวาจาของผู้เข้าปฐมฌานนั้น จึงมีอยู่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสวาจาว่า มีสัญญาเป็นสมุฏฐาน และสัญญาของผู้ เข้าทุติยฌานก็มีอยู่ วิตก วิจาร ของผู้เข้าทุติยฌานนั้นจึงมีอยู่ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๖๑๕] ส. เพราะพระผู้มีพระภาคได้ตรัสวาจาว่า มีวิตกเป็นสมุฏฐาน และวิตก วิจาร ของผู้เข้าปฐมฌานก็มีอยู่ ฉะนั้น การเปล่งวาจาของผู้เข้าปฐมฌานนั้น จึง มีอยู่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสวาจาว่า มีสัญญาเป็นสมุฏฐาน และสัญญาของผู้ เข้าตติยฌาน ฯลฯ จตุตถฌาน อากาสานัญจายตนสมาบัติ วิญญาณัญจาย- ตนสมาบัติ ฯลฯ อากิญจัญญายตนสมาบัติ ก็มีอยู่ วิตก วิจาร ของผู้เข้า อากิญจัญญายตนสมาบัตินั้น จึงยังมีอยู่ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๖๑๖] ส. การเปล่งวาจาของผู้เข้าฌานมีอยู่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. คำว่า วาจาของผู้เข้าปฐมฌานเป็นธรรมชาติดับแล้ว ดังนี้ ๑- เป็นสูตร มีอยู่จริง มิใช่หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. หากว่า คำว่า วาจาของผู้เข้าปฐมฌานเป็นธรรมชาติดับแล้ว ดังนี้ เป็นสูตรมีอยู่จริง ก็ต้องไม่กล่าวว่า การเปล่งวาจาของผู้เข้าฌานมีอยู่ [๖๑๗] ส. คำว่า วาจาของผู้เข้าปฐมฌานเป็นธรรมชาติดับไปแล้ว ดังนี้ เป็น สูตรมีอยู่จริง ถึงกระนั้น การเปล่งวาจาของผู้นั้น ก็มีอยู่ หรือ? ป. ถูกแล้ว @๑. สํ. สฬา. ข้อ ๓๙๒ หน้า ๒๖๘ ส. คำว่า วิตก วิจารของผู้เข้าทุติยฌานเป็นธรรมชาติดับแล้ว ดังนี้ ๑- เป็น สูตรมีอยู่จริง ถึงกระนั้น วิตก วิจารของผู้นั้น ก็มีอยู่ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๖๑๘] ส. คำว่า วาจาของผู้เข้าปฐมฌานเป็นธรรมชาติดับไปแล้ว ดังนี้ เป็นสูตร มีอยู่จริง ถึงกระนั้น การเปล่งวาจาของผู้นั้น ก็มีอยู่ หรือ? ป. ถูกแล้ว ส. คำว่า ปีติของผู้เข้าตติยฌานเป็นธรรมชาติดับแล้ว ฯลฯ อัสสาสะ ปัสสาสะ ของผู้เข้าจตุตถฌานเป็นธรรมชาติดับแล้ว รูปสัญญาของผู้ เข้าอากาสานัญจายตนสมาบัติเป็นธรรมชาติดับแล้ว อากา- สานัญจายตน สัญญาของผู้เข้าวิญญาณัญจายตนสมาบัติเป็นธรรมชาติ ดับแล้ว วิญญาณัญจายตนสัญญาของผู้เข้าอากิญจัญญายตนสมาบัติ เป็นธรรมชาติดับแล้ว อากิญจัญญายตนสัญญาของผู้เข้าเนวสัญญานา สัญญายตนสมาบัติเป็นธรรมชาติดับแล้ว สัญญาและเวทนาของผู้เข้า สัญญาเวทยิตนิโรธเป็นธรรมชาติดับแล้ว ดังนี้ ๑- เป็นสูตรมีอยู่จริง ถึง กระนั้นสัญญาและเวทนาของผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธนั้นก็มีอยู่ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๖๑๙] ป. ไม่พึงกล่าวว่า การเปล่งวาจาของผู้เข้าฌานมีอยู่ หรือ? ส. ถูกแล้ว ป. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเสียงว่า เป็นข้าศึกของปฐมฌาน มิใช่หรือ? ส. ถูกแล้ว ป. หากว่า พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเสียงว่า เป็นข้าศึกของปฐมฌาน ด้วยเหตุ นั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า การเปล่งวาจาของผู้เข้าฌานยังมีอยู่ [๖๒๐] ส. เพราะพระผู้มีพระภาคได้ตรัสเสียงว่า เป็นข้าศึกของปฐมฌาน ฉะนั้น การเปล่งวาจาของผู้เข้าปฐมฌานจึงมีอยู่ หรือ? @๑. สํ. สฬา. ข้อ ๓๙๒ หน้า ๒๖๘ ป. ถูกแล้ว ส. พระผู้มีพระภาคได้ตรัส วิตก วิจารว่า เป็นข้าศึกของทุติยฌาน ฯลฯ ตรัสปีติว่า เป็นข้าศึกของตติยฌาน ตรัสอัสสาสะ ปัสสาสะว่า เป็นข้าศึก ของจตุตถฌาน ตรัสรูปสัญญาว่า เป็นข้าศึกของผู้เข้าอากาสานัญจายตน- สมาบัติ ตรัสอากาสานัญจายตนสัญญาว่า เป็นข้าศึกของผู้เข้าวิญญา- ณัญจายตนสมาบัติ ตรัสวิญญาณัญจายตนสัญญาว่า เป็นข้าศึกของ ผู้เข้าอากิญจัญญายตนสมาบัติ ตรัสอากิญจัญญายตนสัญญาว่าเป็นข้าศึก ของผู้เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ฯลฯ ตรัสสัญญาและเวทนาว่า เป็นข้าศึกของผู้เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ สัญญาและเวทนาของผู้เข้าสัญญา- เวทยิตนิโรธนั้น จึงมีอยู่ หรือ? ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ [๖๒๑] ป. ไม่พึงกล่าวว่า การเปล่งวาจาของผู้เข้าฌานมีอยู่ หรือ? ส. ถูกแล้ว ป. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรอานนท์ สาวกชื่ออภิภู ของพระผู้มี พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าสิขี สถิตอยู่ในพรหม โลก ได้ประกาศกะหมื่นโลกธาตุด้วยเสียงว่า ท่านทั้งหลายจงเริ่มต้น จงบากบั่น จงประกอบความเพียรในพระพุทธศาสนา จงกำจัด เสนาของพระยามัจจุราช ดุจกุญชรรื้อเรือนที่มุงบังด้วยไม้อ้อ ฉะนั้น ด้วยว่า ผู้ที่ไม่ประมาทอยู่ในธรรมวินัยนี้ จักละชาติสงสารแล้วทำ ที่สุดแห่งทุกข์ได้ ดังนี้ ๑- เป็นสูตรมีอยู่จริง มิใช่หรือ? ส. ถูกแล้ว ป. ถ้าอย่างนั้น การเปล่งวาจาของผู้เข้าฌานก็มีอยู่ น่ะสิ
วจีเภทกถา จบ.
-----------------------------------------------------
@๑. สํ. สคา. ข้อ ๖๑๘ หน้า ๒๓๐

             เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๗ บรรทัดที่ ๖๓๕๔-๖๖๒๘ หน้าที่ ๒๖๒-๒๗๓. https://84000.org/tipitaka/pitaka3/v.php?B=37&A=6354&Z=6628&pagebreak=0              ฟังเนื้อความพระไตรปิฎก : [1], [2], [3]              อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ :- https://84000.org/tipitaka/pitaka3/m_siri.php?B=37&siri=34              ศึกษาอรรถกถานี้ได้ที่ :- https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=37&i=575              ศึกษาพระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลีอักษรไทย :- [575-621] https://84000.org/tipitaka/pali/pali_item_s.php?book=37&item=575&items=47              อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย :- https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=55&A=4110              The Pali Tipitaka in Roman :- [575-621] https://84000.org/tipitaka/pali/roman_item_s.php?book=37&item=575&items=47              The Pali Atthakatha in Roman :- https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=55&A=4110              สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๗ https://84000.org/tipitaka/read/?index_37              อ่านเทียบฉบับแปลอังกฤษ Compare with English Translation :- https://suttacentral.net/kv2.5/en/aung-rhysdavids

อ่านหน้า[ต่าง] แรกอ่านหน้า[ต่าง] ที่แล้วแสดงหมายเลขหน้า
ในกรณี :- 
   บรรทัดแรกของแต่ละหน้าอ่านหน้า[ต่าง] ถัดไปอ่านหน้า[ต่าง] สุดท้าย

บันทึก ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ บันทึกล่าสุด ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับหลวง. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :