บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ | |
| |
ฉบับหลวง ฉบับมหาจุฬาฯ บาลีอักษรไทย PaliRoman |
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต [๒. ทุติยปัณณาสก์]
๑. สจิตตวรรค ๔. สมถสูตร
๔. สมถสูตร ว่าด้วยความสงบแห่งจิต [๕๔] ภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุไม่ฉลาดในวาระจิตของผู้อื่น เมื่อเป็นเช่นนั้น ภิกษุพึงสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้ฉลาดในวาระจิตของตน ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้ง หลายพึงสำเหนียกอย่างนี้แล ภิกษุฉลาดในวาระจิตของตน เป็นอย่างไร คือ ภิกษุมีการพิจารณาที่เป็นอุปการะมากในกุศลธรรมทั้งหลายว่า เราได้ ความสงบแห่งจิตภายในหรือไม่ได้หนอ เราได้ความเห็นแจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง หรือไม่ได้หนอ เปรียบเหมือนสตรีหรือบุรุษที่ยังหนุ่มสาว มีปกติชอบแต่งตัว ส่องดู เงาหน้าของตนในกระจกเงาอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง หรือในภาชนะน้ำที่ใส ถ้าเห็นธุลีหรือ จุดดำที่หน้านั้น ก็พยายามขจัดธุลีหรือจุดดำนั้นเสีย หากไม่เห็นธุลีหรือจุดดำนั้น ก็ดีใจ ภูมิใจ ด้วยเหตุนั้นเองว่า เป็นลาภของเรา หน้าของเราบริสุทธิ์แล้วหนอ ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่ รู้อย่างนี้ว่า เราได้ความสงบแห่งจิตภายใน แต่ไม่ได้ ความเห็นแจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง ภิกษุนั้นควรตั้งมั่นในความสงบแห่งจิตภายใน แล้วทำความเพียรเพื่อความเห็นแจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่งเถิด สมัยต่อมา ภิกษุนั้น ได้ทั้งความสงบแห่งจิตภายใน และความเห็นแจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่ รู้อย่างนี้ว่า เราได้ความเห็นแจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง แต่ไม่ได้ความสงบแห่งจิตภายใน ภิกษุนั้นควรตั้งมั่นอยู่ในความเห็นแจ้งธรรมด้วย ปัญญาอันยิ่งแล้วทำความเพียรเพื่อความสงบแห่งจิตภายในเถิด สมัยต่อมา ภิกษุ นั้นได้ทั้งความเห็นแจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง และความสงบจิตภายใน ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่ รู้อย่างนี้ว่า เราไม่ได้ความสงบแห่งจิตภายใน และความ เห็นแจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง ภิกษุนั้นควรทำความพอใจ ความพยายาม ความ อุตสาหะ ความขะมักเขม้น ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะให้มีประมาณยิ่ง เพื่อได้กุศลธรรมเหล่านั้นเถิด {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๔ หน้า : ๑๑๖}
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต [๒. ทุติยปัณณาสก์]
๑. สจิตตวรรค ๔. สมถสูตร
ภิกษุนั้นพึงทำความพอใจ ความพยายาม ความอุตสาหะ ความขะมักเขม้น ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะให้มีประมาณยิ่งเพื่อได้กุศลธรรมเหล่านั้น เปรียบ เหมือนบุคคลผู้มีผ้าที่ถูกไฟไหม้ หรือมีศีรษะที่ถูกไฟไหม้ ทำความพอใจ ความ พยายาม ความอุตสาหะ ความขะมักเขม้น ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะ ให้มีประมาณยิ่งเพื่อดับไฟที่ไหม้ผ้าหรือไฟที่ไหม้ศีรษะนั้น สมัยต่อมา ภิกษุนั้น ได้ทั้ง ความสงบแห่งจิตภายใน และความเห็นแจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่ รู้อย่างนี้ว่า เราได้ความสงบแห่งจิตภายใน ได้ความเห็น แจ้งธรรมด้วยปัญญาอันยิ่ง ภิกษุนั้นควรตั้งมั่นอยู่ในกุศลธรรมเหล่านั้นแล้ว ทำ ความเพียร เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายให้ยิ่งขึ้นไป แม้จีวรเราก็กล่าวว่ามี ๒ อย่าง คือจีวรที่ควรใช้สอยและจีวรที่ไม่ควรใช้สอย แม้บิณฑบาตเราก็กล่าวว่ามี ๒ อย่าง คือบิณฑบาตที่ควรฉัน และบิณฑบาตที่ไม่ ควรฉัน แม้เสนาสนะเราก็กล่าวว่ามี ๒ อย่าง คือเสนาสนะที่ควรอยู่อาศัย และ เสนาสนะที่ไม่ควรอยู่อาศัย แม้บ้านและนิคมเราก็กล่าวว่ามี ๒ อย่าง คือบ้านและ นิคมที่ควรอยู่อาศัย และบ้านและนิคมที่ไม่ควรอยู่อาศัย แม้ชนบทและประเทศเรา ก็กล่าวว่ามี ๒ อย่าง คือชนบทและประเทศที่ควรอยู่อาศัย และชนบทและประเทศที่ ไม่ควรอยู่อาศัย แม้บุคคลเราก็กล่าวว่ามี ๒ ประเภท คือบุคคลที่ควรคบ และบุคคล ที่ไม่ควรคบจีวรที่ควรใช้สอย และที่ไม่ควรใช้สอย เรากล่าวไว้แล้วเช่นนี้แลว่า แม้จีวรเราก็กล่าวว่ามี ๒ อย่าง คือจีวรที่ควรใช้สอย และจีวรที่ไม่ควรใช้สอย เพราะอาศัยอะไร เราจึงกล่าวไว้เช่นนั้น บรรดาจีวร ๒ อย่างนั้น จีวรใดภิกษุรู้ว่า เมื่อเราใช้สอยจีวรนี้แล อกุศลธรรม ทั้งหลายเจริญยิ่งขึ้น กุศลธรรมทั้งหลายเสื่อมไป จีวรนี้ไม่ควรใช้สอย จีวรใดภิกษุ รู้ว่า เมื่อเราใช้สอยจีวรนี้แล อกุศลธรรมเสื่อมไป กุศลธรรมเจริญยิ่งขึ้น จีวรนี้ควร ใช้สอย เพราะอาศัยคำที่เรากล่าวไว้ว่า แม้จีวรเราก็กล่าวว่า มี ๒ อย่าง คือจีวรที่ ควรใช้สอย และจีวรที่ไม่ควรใช้สอย เราจึงกล่าวไว้เช่นนั้น {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๔ หน้า : ๑๑๗}
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต [๒. ทุติยปัณณาสก์]
๑. สจิตตวรรค ๔. สมถสูตร
บิณฑบาตที่ควรฉัน และที่ไม่ควรฉัน เรากล่าวไว้แล้วเช่นนี้แลว่า แม้บิณฑบาตเราก็กล่าวว่ามี ๒ อย่าง คือ บิณฑบาตที่ควรฉัน และบิณฑบาตที่ไม่ควรฉัน เพราะอาศัยอะไร เราจึงกล่าวไว้ เช่นนั้น บรรดาบิณฑบาต ๒ อย่างนั้น บิณฑบาตใดภิกษุรู้ว่า เมื่อเราฉันบิณฑบาต นี้แล อกุศลธรรมเจริญยิ่งขึ้น กุศลธรรมเสื่อมไป บิณฑบาตนี้ไม่ควรฉัน บิณฑบาต ใดภิกษุรู้ว่า เมื่อเราฉันบิณฑบาตนี้แล อกุศลธรรมเสื่อมไป กุศลธรรมเจริญยิ่งขึ้น บิณฑบาตนี้ควรฉัน เพราะอาศัยคำที่เรากล่าวไว้ว่า แม้บิณฑบาตเราก็กล่าวว่า มี ๒ อย่าง คือบิณฑบาตที่ควรฉัน และบิณฑบาตที่ไม่ควรฉัน เราจึงกล่าวไว้เช่นนั้นเสนาสนะที่ควรอยู่อาศัย และที่ไม่ควรอยู่อาศัย เรากล่าวไว้แล้วเช่นนี้แลว่า แม้เสนาสนะเราก็กล่าวว่ามี ๒ อย่าง คือเสนาสนะที่ ควรอยู่อาศัย และเสนาสนะที่ไม่ควรอยู่อาศัย เพราะอาศัยอะไร เราจึงกล่าวไว้เช่นนั้น บรรดาเสนาสนะ ๒ อย่างนั้น เสนาสนะใดภิกษุรู้ว่า เมื่อเราอยู่อาศัย เสนาสนะนี้แล อกุศลธรรมเจริญยิ่งขึ้น กุศลธรรมเสื่อมไป เสนาสนะนี้ไม่ควรอยู่ อาศัย เสนาสนะใดภิกษุรู้ว่า เมื่อเราอยู่อาศัยเสนาสนะนี้แล อกุศลธรรมเสื่อมไป กุศลธรรมเจริญยิ่งขึ้น เสนาสนะนี้ควรอยู่อาศัย เพราะอาศัยคำที่เรากล่าวไว้ว่า แม้ เสนาสนะเราก็กล่าวว่ามี ๒ อย่าง คือเสนาสนะที่ควรอยู่อาศัย และเสนาสนะที่ไม่ ควรอยู่อาศัย เราจึงกล่าวไว้เช่นนั้นบ้านและนิคมที่ควรอยู่อาศัย และที่ไม่ควรอยู่อาศัย เรากล่าวไว้แล้วเช่นนี้แลว่า แม้บ้านและนิคมเราก็กล่าวว่ามี ๒ อย่าง คือบ้าน และนิคมที่ควรอยู่อาศัย และบ้านและนิคมที่ไม่ควรอยู่อาศัย เพราะอาศัยอะไร เรา จึงกล่าวไว้เช่นนั้น บรรดาบ้านและนิคม ๒ อย่างนั้น บ้านและนิคมใดภิกษุรู้ว่า เมื่อเราอยู่อาศัย บ้านและนิคมนี้แล อกุศลธรรมเจริญยิ่งขึ้น กุศลธรรมเสื่อมไป บ้านและนิคมนี้ {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๔ หน้า : ๑๑๘}
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต [๒. ทุติยปัณณาสก์]
๑. สจิตตวรรค ๔. สมถสูตร
ไม่ควรอยู่อาศัย บ้านและนิคมใดภิกษุรู้ว่า เมื่อเราอยู่อาศัยบ้านและนิคมนี้แล อกุศลธรรมเสื่อมไป กุศลธรรมเจริญยิ่งขึ้น บ้านและนิคมนี้ควรอยู่อาศัย เพราะ อาศัยคำที่เรากล่าวไว้ว่า แม้บ้านและนิคมเราก็กล่าวว่ามี ๒ อย่าง คือบ้านและนิคม ที่ควรอยู่อาศัย และบ้านและนิคมที่ไม่ควรอยู่อาศัย เราจึงกล่าวไว้เช่นนั้นชนบทและประเทศที่ควรอยู่อาศัย และที่ไม่ควรอยู่อาศัย เรากล่าวไว้แล้วเช่นนี้แลว่า แม้ชนบทและประเทศเราก็กล่าวว่ามี ๒ อย่าง คือ ชนบทและประเทศที่ควรอยู่อาศัย และชนบทและประเทศที่ไม่ควรอยู่อาศัย เพราะ อาศัยอะไร เราจึงกล่าวไว้เช่นนั้น บรรดาชนบทและประเทศ ๒ อย่างนั้น ชนบทและประเทศใดภิกษุรู้ว่า เมื่อเรา อยู่อาศัยชนบทและประเทศนี้แล อกุศลธรรมเจริญยิ่งขึ้น กุศลธรรมเสื่อมไป ชนบท และประเทศนี้ไม่ควรอยู่อาศัย ชนบทและประเทศใดภิกษุรู้ว่า เมื่อเราอยู่อาศัย ชนบทและประเทศนี้แล อกุศลธรรมเสื่อมไป กุศลธรรมเจริญยิ่งขึ้น ชนบทและ ประเทศนี้ควรอยู่อาศัย เพราะอาศัยคำที่เรากล่าวไว้ว่า แม้ชนบทและประเทศเราก็ กล่าวว่ามี ๒ อย่าง คือชนบทและประเทศที่ควรอยู่อาศัย และชนบทและประเทศที่ ไม่ควรอยู่อาศัย เราจึงกล่าวไว้เช่นนั้นบุคคลที่ควรคบ และที่ไม่ควรคบ เรากล่าวไว้แล้วเช่นนี้แลว่า แม้บุคคลเราก็กล่าวว่ามี ๒ ประเภท คือบุคคลที่ ควรคบ และบุคคลที่ไม่ควรคบ เพราะอาศัยอะไร เราจึงกล่าวไว้เช่นนั้น บรรดาบุคคล ๒ ประเภทนั้น บุคคลใดภิกษุรู้ว่า เมื่อเราคบบุคคลนี้แล อกุศล ธรรมเจริญยิ่งขึ้น กุศลธรรมเสื่อมไป บุคคลนี้ไม่ควรคบ บุคคลใด ภิกษุรู้ว่า เมื่อเรา คบบุคคลนี้แล อกุศลธรรมเสื่อมไป กุศลธรรมเจริญยิ่งขึ้น บุคคลนี้ควรคบ เพราะ อาศัยคำที่เรากล่าวไว้ว่า แม้บุคคลเราก็กล่าวว่ามี ๒ ประเภท คือ บุคคลที่ควรคบ และบุคคลที่ไม่ควรคบ เราจึงกล่าวไว้เช่นนั้นสมถสูตรที่ ๔ จบ {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๔ หน้า : ๑๑๙}
เนื้อความพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๒๔ หน้าที่ ๑๑๖-๑๑๙. http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_read.php?B=24&A=3316&w= http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_siri.php?B=24&siri=52 ฟังเนื้อความพระไตรปิฎก : [1], [2]. อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับหลวง :- http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=24&A=2365&Z=2460&pagebreak=0 ศึกษาอรรถกถานี้ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=24&i=54 ศึกษาพระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลี อักษรไทย :- http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/pali_item_s.php?book=24&item=54&items=1 ศึกษาพระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลี อักษรโรมัน :- http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/roman_item_s.php?book=24&item=54&items=1 สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๔ http://84000.org/tipitaka/read/?index_mcu24
บันทึก ๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙. การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจาก พระไตรปิฎก ฉบับมหาจุฬาฯ. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]