ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ
     ฉบับหลวง   ฉบับมหาจุฬาฯ   บาลีอักษรไทย   PaliRoman 
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๔๐ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๗ [ฉบับมหาจุฬาฯ] มหาปัฏฐานปกรณ์ ภาค ๑
อุปนิสสยปัจจัย
[๔๒๓] สภาวธรรมที่เป็นกุศลเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นกุศลโดยอุปนิสสย- ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ อารัมมณูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้ว พิจารณากุศลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ออกจากฌานแล้วพิจารณาฌานให้เป็นอารมณ์อย่าง หนักแน่น พระเสขะพิจารณาโคตรภูให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น พิจารณาโวทาน ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรคให้เป็นอารมณ์ อย่างหนักแน่น อนันตรูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นกุศลซึ่งเกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ เป็นกุศลซึ่งเกิดหลังๆ โดยอุปนิสสยปัจจัย อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โคตรภู อนุโลม เป็นปัจจัยแก่โวทาน โคตรภูเป็นปัจจัยแก่มรรค โวทานเป็นปัจจัยแก่มรรคโดย อุปนิสสยปัจจัย ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้วให้ทาน สมาทานศีล รักษา อุโบสถ ทำฌานให้เกิดขึ้น ทำวิปัสสนาให้เกิดขึ้น ทำมรรคให้เกิดขึ้น ทำอภิญญา ให้เกิดขึ้น ทำสมาบัติให้เกิดขึ้น อาศัยศีล ฯลฯ สุตะ ฯลฯ จาคะ ฯลฯ ปัญญาแล้วให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ทำฌานให้เกิดขึ้น ทำวิปัสสนาให้ เกิดขึ้น ทำมรรคให้เกิดขึ้น ทำอภิญญาให้เกิดขึ้น ทำสมาบัติให้เกิดขึ้น ศรัทธา ... ศีล ... สุตะ ... จาคะ ... ปัญญาเป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ... ศีล ... สุตะ ... จาคะ ... ปัญญาโดยอุปนิสสยปัจจัย {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๐ หน้า : ๒๗๑}

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน]

๑. กุสลติกะ ๗. ปัญหาวาร

บริกรรมปฐมฌานเป็นปัจจัยแก่ปฐมฌานโดยอุปนิสสยปัจจัย บริกรรมทุติย- ฌานเป็นปัจจัยแก่ทุติยฌานโดยอุปนิสสยปัจจัย บริกรรมตติยฌานเป็นปัจจัยแก่ ตติยฌานโดยอุปนิสสยปัจจัย บริกรรมจตุตถฌานเป็นปัจจัยแก่จตุตถฌานโดย อุปนิสสยปัจจัย บริกรรมอากาสานัญจายตนะเป็นปัจจัยแก่อากาสานัญจายตนะ โดยอุปนิสสยปัจจัย บริกรรมวิญญาณัญจายตนะเป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ โดยอุปนิสสยปัจจัย บริกรรมอากิญจัญญายตนะเป็นปัจจัยแก่อากิญจัญญายตนะ โดยอุปนิสสยปัจจัย บริกรรมเนวสัญญานาสัญญายตนะเป็นปัจจัยแก่เนวสัญญา- นาสัญญายตนะโดยเป็นอุปนิสสยปัจจัย ปฐมฌานเป็นปัจจัยแก่ทุติยฌานโดย อุปนิสสยปัจจัย ฯลฯ จตุตถฌานเป็นปัจจัยแก่อากาสานัญจายตนะโดยอุปนิสสย- ปัจจัย อากาสานัญจายตนะเป็นปัจจัยแก่วิญญาณัญจายตนะ ... วิญญาณัญจายตนะ เป็นปัจจัยแก่อากิญจัญญายตนะ ... อากิญจัญญายตนะเป็นปัจจัยแก่เนวสัญญา- นาสัญญายตนะโดยอุปนิสสยปัจจัย บริกรรมทิพพจักขุเป็นปัจจัยแก่ทิพพจักขุโดยอุปนิสสยปัจจัย บริกรรมทิพพ- โสตธาตุเป็นปัจจัยแก่ทิพพโสตธาตุโดยอุปนิสสยปัจจัย บริกรรมอิทธิวิธญาณเป็น ปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณโดยอุปนิสสยปัจจัย บริกรรมเจโตปริยญาณเป็นปัจจัยแก่ เจโตปริยญาณโดยอุปนิสสยปัจจัย บริกรรมปุพเพนิวาสานุสสติญาณเป็นปัจจัยแก่ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณโดยอุปนิสสยปัจจัย บริกรรมยถากัมมูปคญาณเป็นปัจจัย แก่ยถากัมมูปคญาณโดยอุปนิสสยปัจจัย บริกรรมอนาคตังสญาณเป็นปัจจัยแก่ อนาคตังสญาณโดยอุปนิสสยปัจจัย ทิพพจักขุเป็นปัจจัยแก่ทิพพโสตธาตุโดยอุปนิสสยปัจจัย ทิพพโสตธาตุเป็น ปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณโดยอุปนิสสยปัจจัย อิทธิวิธญาณเป็นปัจจัยแก่เจโตปริย- ญาณโดยอุปนิสสยปัจจัย เจโตปริยญาณเป็นปัจจัยแก่ปุพเพนิวาสานุสสติญาณโดย อุปนิสสยปัจจัย ปุพเพนิวาสานุสสติญาณเป็นปัจจัยแก่ยถากัมมูปคญาณโดย อุปนิสสยปัจจัย ยถากัมมูปคญาณเป็นปัจจัยแก่อนาคตังสญาณโดยอุปนิสสยปัจจัย บริกรรมปฐมมรรคเป็นปัจจัยแก่ปฐมมรรคโดยอุปนิสสยปัจจัย บริกรรมทุติยมรรค เป็นปัจจัยแก่ทุติยมรรคโดยอุปนิสสยปัจจัย บริกรรมตติยมรรคเป็นปัจจัยแก่ตติยมรรค โดยอุปนิสสยปัจจัย บริกรรมจตุตถมรรคเป็นปัจจัยแก่จตุตถมรรคโดยอุปนิสสยปัจจัย {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๐ หน้า : ๒๗๒}

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน]

๑. กุสลติกะ ๗. ปัญหาวาร

ปฐมมรรคเป็นปัจจัยแก่ทุติยมรรคโดยอุปนิสสยปัจจัย ทุติยมรรคเป็นปัจจัยแก่ตติย- มรรคโดยอุปนิสสยปัจจัย ตติยมรรคเป็นปัจจัยแก่จตุตถมรรคโดยอุปนิสสยปัจจัย พระเสขะอาศัยมรรคทำสมาบัติที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น เข้าสมาบัติที่เกิดขึ้นแล้ว เห็น แจ้งสังขารโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มรรคของพระเสขะเป็น ปัจจัยแก่อัตถปฏิสัมภิทา ธัมมปฏิสัมภิทา นิรุตติปฏิสัมภิทา ปฏิภาณปฏิสัมภิทา และความเป็นผู้ฉลาดในฐานะและมิใช่ฐานะโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑) สภาวธรรมที่เป็นกุศลเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอกุศลโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะและปกตูปนิสสยะ อารัมมณูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้ว ยินดีเพลิดเพลินกุศลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทำความยินดีเพลิด เพลินกุศลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น เพราะ ยินดีเพลิดเพลินกุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้วให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทำ ความยินดีเพลิดเพลินกุศลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึง เกิดขึ้น บุคคลออกจากฌานแล้วยินดีเพลิดเพลินฌานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น แล้ว เพราะทำความยินดีเพลิดเพลินฌานนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะ จึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้วมีมานะ ถือทิฏฐิ อาศัยศีล ฯลฯ สุตะ ฯลฯ จาคะ ฯลฯ ปัญญาแล้วมีมานะ ถือทิฏฐิ ศรัทธา ... ศีล ... สุตะ ... จาคะ ... ปัญญาเป็นปัจจัยแก่ราคะ ... โทสะ ... โมหะ ... มานะ ... ทิฏฐิ ... ความปรารถนาโดยอุปนิสสยปัจจัย (๒) สภาวธรรมที่เป็นกุศลเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอัพยากฤตโดยอุปนิสสย- ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะและปกตูปนิสสยะ อารัมมณูปนิสสยะ ได้แก่ พระอรหันต์ออกจากมรรคแล้วพิจารณามรรคให้ เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น อนันตรูปนิสสยะ ได้แก่ กุศลเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะ มรรคเป็นปัจจัยแก่ผล อนุโลมของพระเสขะเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ เนวสัญญานาสัญญายตนกุศลของ ท่านผู้ออกจากนิโรธเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๐ หน้า : ๒๗๓}

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน]

๑. กุสลติกะ ๗. ปัญหาวาร

ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้วทำตนให้เดือดร้อน ให้ร้อนรน เสวยทุกข์มีการแสวงหาเป็นมูล อาศัยศีล ฯลฯ สุตะ ฯลฯ จาคะ ฯลฯ ปัญญา แล้วทำตนให้เดือดร้อน ให้ร้อนรน เสวยทุกข์มีการแสวงหาเป็นมูล ศรัทธา ... ศีล ... สุตะ ... จาคะ ... ปัญญาเป็นปัจจัยแก่สุขทางกาย ทุกข์ทางกายและผลสมาบัติ โดยอุปนิสสยปัจจัย กรรมที่เป็นกุศลเป็นปัจจัยแก่วิบากโดยอุปนิสสยปัจจัย พระ อรหันต์อาศัยมรรคแล้วทำกิริยาสมาบัติที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น เข้ากิริยาสมาบัติที่เกิด ขึ้นแล้วเห็นแจ้งสังขารโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา มรรคของ พระอรหันต์เป็นปัจจัยแก่อัตถปฏิสัมภิทา ธัมมปฏิสัมภิทา นิรุตติปฏิสัมภิทา ปฏิภาณปฏิสัมภิทา และความเป็นผู้ฉลาดในฐานะและมิใช่ฐานะโดยอุปนิสสยปัจจัย มรรคเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย (๓) สภาวธรรมที่เป็นอกุศลเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอกุศลโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะและปกตูปนิสสยะ อารัมมณูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินราคะให้เป็นอารมณ์อย่าง หนักแน่น เพราะทำความยินดีเพลิดเพลินราคะนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น ยินดีเพลิดเพลินทิฏฐิให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทำความยินดีเพลิดเพลินทิฏฐินั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขี้น อนันตรูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นอกุศลซึ่งเกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ เป็นอกุศลซึ่งเกิดหลังๆ โดยอุปนิสสยปัจจัย ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยราคะแล้วฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ พูดเท็จ พูด ส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ งัดแงะ ปล้นไม่ให้เหลือ ปล้นเรือนหลังเดียว ดักจี้ที่ทางเปลี่ยว ล่วงเกินภรรยาผู้อื่น ฆ่าชาวบ้าน ฆ่าชาวนิคม ฆ่ามารดา ฆ่าบิดา ฆ่าพระอรหันต์ มีจิตประทุษร้ายทำพระโลหิตของพระตถาคตให้ห้อ ทำลายสงฆ์ให้ แตกกัน อาศัยโทสะ ฯลฯ โมหะ ฯลฯ มานะ ฯลฯ ทิฏฐิ ฯลฯ ความปรารถนา แล้วฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน ราคะ ฯลฯ โทสะ ฯลฯ โมหะ ฯลฯ มานะ ฯลฯ ทิฏฐิ ฯลฯ ความปรารถนาเป็นปัจจัยแก่ราคะ ฯลฯ โทสะ ฯลฯ โมหะ ฯลฯ มานะ ฯลฯ ทิฏฐิ ฯลฯ ความปรารถนาโดยอุปนิสสยปัจจัย {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๐ หน้า : ๒๗๔}

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน]

๑. กุสลติกะ ๗. ปัญหาวาร

ปาณาติบาตเป็นปัจจัยแก่ปาณาติบาตโดยอุปนิสสยปัจจัย ปาณาติบาตเป็น ปัจจัยแก่อทินนาทาน ฯลฯ กาเมสุมิจฉาจาร ฯลฯ มุสาวาท ฯลฯ ปิสุณาวาจา ฯลฯ ผรุสวาจา ฯลฯ สัมผัปปลาปะ ฯลฯ อภิชฌา ฯลฯ พยาบาท ฯลฯ มิจฉาทิฏฐิโดยอุปนิสสยปัจจัย อทินนาทานเป็นปัจจัยแก่อทินนาทาน ... กาเมสุ- มิจฉาจาร ... มุสาวาท ... (ย่อ) มิจฉาทิฏฐิ ... ปาณาติบาตโดยอุปนิสสยปัจจัย (พึงผูกให้เป็นจักกนัย) กาเมสุมิจฉาจาร ฯลฯ มุสาวาท ฯลฯ ปิสุณาวาจา ฯลฯ ผรุสวาจา ฯลฯ สัมผัปปลาปะ ฯลฯ อภิชฌา ฯลฯ พยาบาท ฯลฯ มิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัย แก่มิจฉาทิฏฐิโดยอุปนิสสยปัจจัย มิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัยแก่ปาณาติปาต ฯลฯ อทินนาทาน ฯลฯ กาเมสุมิจฉาจาร ฯลฯ มุสาวาท ฯลฯ ปิสุณาวาจา ฯลฯ ผรุสวาจา ฯลฯ สัมผัปปลาปะ ฯลฯ อภิชฌา ฯลฯ พยาบาทโดยอุปนิสสยปัจจัย มาตุฆาตกรรมเป็นปัจจัยแก่มาตุฆาตกรรมโดยอุปนิสสยปัจจัย มาตุฆาตกรรม เป็นปัจจัยแก่ปิตุฆาตกรรม ... อรหันตฆาตกรรม ... โลหิตุปปาทกรรม ... สังฆเภทกรรม ... นิยตมิจฉาทิฏฐิโดยอุปนิสสยปัจจัย ปิตุฆาตกรรมเป็นปัจจัยแก่ ปิตุฆาตกรรม ... อรหันตฆาตกรรม ... โลหิตุปปาทกรรม ... สังฆเภทกรรม ... นิยตมิจฉาทิฏฐิ ... มาตุฆาตกรรมโดยอุปนิสสยปัจจัย อรหันตฆาตกรรมเป็นปัจจัยแก่อรหันตฆาตกรรม ... โลหิตุปปาทกรรม ฯลฯ โลหิตุปปาทกรรมเป็นปัจจัยแก่โลหิตุปปาทกรรม ฯลฯ สังฆเภทกรรมเป็นปัจจัย แก่สังฆเภทกรรม ฯลฯ นิยตมิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัยแก่นิยตมิจฉาทิฏฐิโดยอุปนิสสย- ปัจจัย นิยตมิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัยแก่มาตุฆาตกรรมโดยอุปนิสสยปัจจัย ... เป็น ปัจจัยแก่ปิตุฆาตกรรม ฯลฯ อรหันตฆาตกรรม ฯลฯ โลหิตุปปาทกรรม ฯลฯ สังฆเภทกรรมโดยอุปนิสสยปัจจัย (พึงทำให้เป็นจักกนัย) (๑) สภาวธรรมที่เป็นอกุศลเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นกุศลโดยอุปนิสสยปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยราคะแล้วจึงให้ทาน สมาทาน ศีล รักษาอุโบสถ ทำฌานให้เกิดขึ้น ทำวิปัสสนาให้เกิดขึ้น ทำมรรคให้เกิดขึ้น ทำอภิญญาให้เกิดขึ้น ทำสมาบัติให้เกิดขึ้น อาศัยโทสะ ... โมหะ ... มานะ ... {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๐ หน้า : ๒๗๕}

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน]

๑. กุสลติกะ ๗. ปัญหาวาร

ทิฏฐิ ... ความปรารถนาจึงให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ทำฌานให้เกิดขึ้น ทำวิปัสสนาให้เกิดขึ้น ทำมรรคให้เกิดขึ้น ทำอภิญญาให้เกิดขึ้น ทำสมาบัติให้เกิด ขึ้น ราคะ ... โทสะ ... โมหะ ... มานะ ... ทิฏฐิ ... ความปรารถนาเป็น ปัจจัยแก่ศรัทธา ... ศีล ... สุตะ ... จาคะ ... ปัญญาโดยอุปนิสสยปัจจัย บุคคลฆ่าสัตว์แล้วประสงค์จะลบล้างปาณาติบาตกรรมนั้น จึงให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ทำฌานให้เกิดขึ้น ทำวิปัสสนาให้เกิดขึ้น ทำมรรคให้เกิดขึ้น ทำ อภิญญาให้เกิดขึ้น ทำสมาบัติให้เกิด ขึ้น บุคคลลักทรัพย์ พูดเท็จ ... พูดส่อเสียด ... พูดคำหยาบ ... พูดเพ้อเจ้อ ... งัดแงะ ... ปล้นไม่ให้เหลือ ... ปล้นเรือนหลังเดียว ... ดักจี้ที่ทางเปลี่ยว ... ล่วงเกินภรรยาผู้อื่น ... ฆ่าชาวบ้าน ... ฆ่าชาวนิคม ประสงค์จะลบล้างกรรมชั่วนั้น จึงให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ทำฌานให้ เกิดขึ้น ทำวิปัสสนาให้เกิดขึ้น ทำมรรคให้เกิดขึ้น ทำอภิญญาให้เกิดขึ้น ทำสมาบัติ ให้เกิดขึ้น ฆ่ามารดา ประสงค์จะลบล้างมาตุฆาตกรรมนั้น จึงให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ฆ่าบิดา ... ฆ่าพระอรหันต์ ... มีจิตประทุษร้ายทำพระโลหิตของ พระตถาคตให้ห้อ ... ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน ประสงค์จะลบล้างสังฆเภทกรรมนั้น จึงให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ (๒) สภาวธรรมที่เป็นอกุศลเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอัพยากฤตโดยอุปนิสสย- ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อนันตรูปนิสสยะและปกตูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ ได้แก่ อกุศลเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะโดยอุปนิสสยปัจจัย ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยราคะแล้วทำตนให้เดือดร้อนให้ร้อนรนเสวย ทุกข์มีการแสวงหาเป็นมูล อาศัยโทสะ ... โมหะ ... มานะ ... ทิฏฐิ ... ความ ปรารถนา ทำตนให้เดือดร้อนให้ร้อนรน เสวยทุกข์มีการแสวงหาเป็นมูล ราคะ ... โทสะ ... โมหะ ... มานะ ... ทิฏฐิ ... ความปรารถนาเป็นปัจจัยแก่สุขทางกาย ทุกข์ทางกายและผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย กรรมที่เป็นอกุศลเป็นปัจจัยแก่ วิบากโดยอุปนิสสยปัจจัย (๓) สภาวธรรมที่เป็นอัพยากฤตเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอัพยากฤตโดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และ ปกตูปนิสสยะ {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๐ หน้า : ๒๗๖}

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน]

๑. กุสลติกะ ๗. ปัญหาวาร

อารัมมณูปนิสสยะ ได้แก่ พระอรหันต์พิจารณาผลให้เป็นอารมณ์อย่างหนัก แน่น พิจารณานิพพานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น นิพพานเป็นปัจจัยแก่ผลโดย อุปนิสสยปัจจัย อนันตรูปนิสสยะ ได้แก่ ขันธ์ที่เป็นอัพยากตวิบากและที่เป็นอัพยากตกิริยาซึ่ง เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นอัพยากตวิบากและที่เป็นอัพยากตกิริยาซึ่งเกิด หลังๆ โดยอุปนิสสยปัจจัย ภวังคจิตเป็นปัจจัยแก่อาวัชชนจิต กิริยาเป็นปัจจัย แก่วุฏฐานะ อนุโลมของพระอรหันต์เป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ เนวสัญญานาสัญญา- ยตนกิริยาของท่านผู้ออกจากนิโรธเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ สุขทางกายเป็นปัจจัยแก่สุขทางกาย ทุกข์ทางกาย และผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย ทุกข์ทางกายเป็นปัจจัยแก่สุขทางกาย ทุกข์ ทางกายและผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย อุตุเป็นปัจจัยแก่สุขทางกาย ทุกข์ทาง กายและผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย โภชนะเป็นปัจจัยแก่สุขทางกาย ทุกข์ทาง กายและผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย เสนาสนะเป็นปัจจัยแก่สุขทางกาย ทุกข์ ทางกายและผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย สุขทางกาย ... ทุกข์ทางกาย ... อุตุ ... โภชนะ ... เสนาสนะเป็นปัจจัยแก่สุขทางกาย ทุกข์ทางกายและผลสมาบัติโดย อุปนิสสยปัจจัย ผลสมาบัติเป็นปัจจัยแก่สุขทางกายโดยอุปนิสสยปัจจัย พระอรหันต์อาศัยสุขทางกายแล้วทำกิริยาสมาบัติที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น เข้า กิริยาสมาบัติที่เกิดขึ้นแล้ว เห็นแจ้งสังขารโดยเป็นสภาวะไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็น อนัตตา อาศัยทุกข์ทางกาย ... อุตุ ... โภชนะ ... เสนาสนะแล้ว ทำกิริยาสมาบัติ ที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น เข้ากิริยาสมาบัติที่เกิดขึ้นแล้ว เห็นแจ้งสังขารโดยเป็นสภาวะ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา (๑) สภาวธรรมที่เป็นอัพยากฤตเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นกุศลโดยอุปนิสสย- ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะและปกตูปนิสสยะ อารัมมณูปนิสสยะ ได้แก่ พระเสขะพิจารณาผลให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น พิจารณานิพพานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น นิพพานเป็นปัจจัยแก่โคตรภูโวทาน และมรรคโดยอุปนิสสยปัจจัย {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๐ หน้า : ๒๗๗}

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน]

๑. กุสลติกะ ๗. ปัญหาวาร

อนันตรูปนิสสยะ ได้แก่ อาวัชชนจิตเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นกุศลโดย อุปนิสสยปัจจัย ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยสุขทางกายแล้วให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ทำฌานให้เกิดขึ้น ทำวิปัสสนาให้เกิดขึ้น ทำมรรคให้เกิดขึ้น ทำ อภิญญาให้เกิดขึ้น ทำสมาบัติให้เกิดขึ้น อาศัยทุกข์ทางกาย ... อุตุ ... โภชนะ ... เสนาสนะแล้ว จึงให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ทำฌานให้เกิดขึ้น ทำ วิปัสสนาให้เกิดขึ้น ทำมรรคให้เกิดขึ้น ทำอภิญญาให้เกิดขึ้น ทำสมาบัติให้เกิดขึ้น สุขทางกาย ... ทุกข์ทางกาย ... อุตุ ... โภชนะ ... เสนาสนะเป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ... ศีล ... สุตะ ... จาคะ ... ปัญญาโดยอุปนิสสยปัจจัย (๒) สภาวธรรมที่เป็นอัพยากฤตเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นอกุศลโดยอุปนิสสย- ปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะและปกตูปนิสสยะ อารัมมณูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุให้เป็นอารมณ์อย่าง หนักแน่น เพราะทำความยินดีเพลิดเพลินจักษุนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น บุคคลยินดีเพลิดเพลินโสตะ ... ฆานะ ... ชิวหา ... กาย ... รูป ... เสียง ... กลิ่น ... รส ... โผฏฐัพพะ ... หทัยวัตถุ ... ขันธ์ที่เป็น อัพยากตวิบากและที่เป็นอัพยากตกิริยาให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทำ ความยินดีเพลิดเพลินโสตะเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น อนันตรูปนิสสยะ ได้แก่ อาวัชชนจิตเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นอกุศลโดย อุปนิสสยปัจจัย ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยสุขทางกายแล้วฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ งัดแงะ ปล้นไม่ให้เหลือ ปล้นเรือนหลังเดียว ดักจี้ที่ทางเปลี่ยว ล่วงเกินภรรยาผู้อื่น ฆ่าชาวบ้าน ฆ่าชาวนิคม ฆ่ามารดา ฆ่าบิดา ฆ่าพระอรหันต์ มีจิตประทุษร้ายทำพระโลหิตของพระตถาคตให้ห้อ ทำลายสงฆ์ให้ แตกกัน {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๐ หน้า : ๒๗๘}

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ติกปัฏฐาน]

๑. กุสลติกะ ๗. ปัญหาวาร

อาศัยทุกข์ทางกาย ... อุตุ ... โภชนะ ... เสนาสนะแล้วฆ่าสัตว์ (ย่อ) ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน สุขทางกาย ... ทุกข์ทางกาย ... อุตุ ... โภชนะ ... เสนาสนะเป็นปัจจัยแก่ราคะ ... โทสะ ... โมหะ ... มานะ ... ทิฏฐิ ... ความปรารถนาโดยอุปนิสสยปัจจัย (๓)


                  เนื้อความพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๔๐ หน้าที่ ๒๗๑-๒๗๙. http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_siri.php?B=40&siri=50              ฟังเนื้อความพระไตรปิฎก : [1], [2], [3].                   อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับหลวง :- http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=40&A=6168&Z=6443                   ศึกษาอรรถกถานี้ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=40&i=544              พระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลีอักษรไทย :- http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/pali_item_s.php?book=40&item=544&items=12              อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย :- http://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=55&A=11486              The Pali Tipitaka in Roman :- http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/roman_item_s.php?book=40&item=544&items=12              The Pali Atthakatha in Roman :- http://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=55&A=11486                   สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๔๐ http://84000.org/tipitaka/read/?index_mcu40



บันทึก ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ บันทึกล่าสุด ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :