ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ
     ฉบับหลวง   ฉบับมหาจุฬาฯ   บาลีอักษรไทย   PaliRoman 
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๔๒ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ] มหาปัฏฐานปกรณ์ ภาค ๓
๕๐. ปรามาสทุกะ ๗. ปัญหาวาร
๑. ปัจจยานุโลม ๑. วิภังควาร
เหตุปัจจัย
[๑๗] สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาส โดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตต- สมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ (๑) สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปรามาสโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่ปรามาสโดยเหตุปัจจัย (๒) สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปรามาสและที่ไม่ เป็นปรามาสโดยเหตุปัจจัย ได้แก่ เหตุที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ปรามาส และจิตตสมุฏฐานรูปโดยเหตุปัจจัย (๓) {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า : ๔๔๖}

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน]

๕๐. ปรามาสทุกะ ๗. ปัญหาวาร

อารัมมณปัจจัย
[๑๘] สภาวธรรมที่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปรามาสโดย อารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภปรามาส ปรามาสจึงเกิดขึ้น (พึงเพิ่มบทที่ เป็นมูล) เพราะปรารภปรามาส ขันธ์ที่ไม่เป็นปรามาสจึงเกิดขึ้น (พึงเพิ่มบทที่เป็น มูล) เพราะปรารภปรามาส ปรามาสและสัมปยุตตขันธ์จึงเกิดขึ้น (๓) [๑๙] สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาส โดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถแล้วพิจารณา กุศลนั้น ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินกุศลนั้น ราคะ ฯลฯ วิจิกิจฉา ฯลฯ อุทธัจจะ ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลพิจารณากุศลที่เคยสั่ง สมไว้ดีแล้ว ฯลฯ ออกจากฌานแล้วพิจารณาฌาน ฯลฯ พระอริยะออกจากมรรค แล้วพิจารณามรรค พิจารณาผล พิจารณานิพพาน นิพพานเป็นปัจจัยแก่โคตรภู โวทาน มรรค ผล และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย พระอริยะพิจารณากิเลสที่ ไม่เป็นปรามาส ซึ่งละได้แล้ว ฯลฯ พิจารณากิเลสที่ข่มได้แล้ว ฯลฯ รู้กิเลสที่ เคยเกิดขึ้น ฯลฯ เห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุและขันธ์ที่ไม่เป็นปรามาสโดยเป็น สภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุ เป็นต้นนั้น ราคะ ฯลฯ วิจิกิจฉา ฯลฯ อุทธัจจะ ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคล เห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รู้จิตของบุคคลผู้มีความพรั่ง พร้อมด้วยจิตที่ไม่เป็นปรามาสด้วยเจโตปริยญาณ อากาสานัญจายตนะเป็นปัจจัยแก่ วิญญาณัญจายตนะ ฯลฯ อากิญจัญญายตนะเป็นปัจจัยแก่เนวสัญญานาสัญญา- ยตนะ ฯลฯ รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็น ปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ ขันธ์ที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่อิทธิวิธญาณ เจโตปริยญาณ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ยถากัมมูปคญาณ อนาคตังสญาณ และอาวัชชนจิตโดยอารัมมณปัจจัย (๑) สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปรามาสโดย อารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ฯลฯ ยินดี เพลิดเพลินกุศลนั้น เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินกุศลนั้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า : ๔๔๗}

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน]

๕๐. ปรามาสทุกะ ๗. ปัญหาวาร

บุคคลยินดีเพลิดเพลินกุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ ออกจากฌาน ฯลฯ ยินดี เพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุและขันธ์ที่ไม่เป็นปรามาส เพราะปรารภความ ยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น (๒) สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปรามาสและที่ไม่เป็น ปรามาสโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลินกุศลนั้น เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินกุศลนั้น ปรามาสและ สัมปยุตตขันธ์จึงเกิดขึ้น บุคคลยินดีเพลิดเพลินกุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ ออก จากฌาน ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุและขันธ์ที่ไม่เป็นปรามาส เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ปรามาสและสัมปยุตตขันธ์จึง เกิดขึ้น (๓) [๒๐] สภาวธรรมที่เป็นปรามาสและที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม ที่เป็นปรามาสโดยอารัมมณปัจจัย ได้แก่ เพราะปรารภปรามาสและสัมปยุตตขันธ์ ปรามาสจึงเกิดขึ้น มี ๓ วาระ
อธิปติปัจจัย
[๒๑] สภาวธรรมที่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปรามาสโดย อธิปติปัจจัย ได้แก่ เพราะทำปรามาสให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ปรามาสจึง เกิดขึ้น มี ๓ วาระ (พึงเพิ่มเฉพาะอารัมมณาธิปติปัจจัย) [๒๒] สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาส โดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ พิจารณากุศลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ยินดีเพลิดเพลิน เพราะทำความ ยินดีเพลิดเพลินกุศลนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น พิจารณา กุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ ออกจากฌาน ฯลฯ พระอริยะออกจากมรรคแล้ว พิจารณามรรคให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น พิจารณาผลให้เป็นอารมณ์อย่างหนัก แน่น พิจารณานิพพานให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น นิพพานเป็นปัจจัยแก่โคตรภู {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า : ๔๔๘}

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน]

๕๐. ปรามาสทุกะ ๗. ปัญหาวาร

โวทาน มรรค และผลโดยอธิปติปัจจัย บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ และขันธ์ที่ไม่เป็นปรามาสให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทำความยินดีเพลิด เพลินจักษุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ราคะจึงเกิดขึ้น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๑) สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปรามาสโดยอธิปติ- ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ฯลฯ พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ ออกจากฌาน ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุและขันธ์ที่ไม่เป็นปรามาสให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทำ ความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่ปรามาสโดย อธิปติปัจจัย (๒) สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปรามาสและที่ไม่ เป็นปรามาสโดยอธิปติปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณาธิปติและสหชาตาธิปติ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ บุคคลให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถ ฯลฯ พิจารณากุศลที่เคยสั่งสมไว้ดีแล้ว ฯลฯ ออกจากฌาน ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุและขันธ์ที่ไม่เป็นปรามาสให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น เพราะทำ ความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้นให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ปรามาสและ สัมปยุตตขันธ์จึงเกิดขึ้น สหชาตาธิปติ ได้แก่ อธิบดีธรรมที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์ ปรามาส และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอธิปติปัจจัย (๓) สภาวธรรมที่เป็นปรามาสและที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็น ปรามาสโดยอธิปติปัจจัย มีอย่างเดียว คือ อารัมมณาธิปติ ได้แก่ เพราะทำปรามาส และสัมปยุตตขันธ์ให้เป็นอารมณ์อย่างหนักแน่น ปรามาสจึงเกิดขึ้น มี ๓ วาระ {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า : ๔๔๙}

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน]

๕๐. ปรามาสทุกะ ๗. ปัญหาวาร

อนันตรปัจจัย
[๒๓] สภาวธรรมที่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปรามาสโดย อนันตรปัจจัย ได้แก่ ปรามาสที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ปรามาสที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) ปรามาสที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ที่ไม่เป็นปรามาสซึ่งเกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ปรามาสเป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะโดย อนันตรปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) ปรามาสที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ปรามาส และสัมปยุตตขันธ์ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย (๓) [๒๔] สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาส โดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่เป็นปรามาสซึ่งเกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่ เป็นปรามาสซึ่งเกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ฯลฯ อนุโลมเป็นปัจจัยแก่ผลสมาบัติ โดยอนันตรปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) ขันธ์ที่ไม่เป็นปรามาสซึ่งเกิดก่อนๆ เป็น ปัจจัยแก่ปรามาสที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนจิตเป็นปัจจัยแก่ปรามาส โดยอนันตรปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) ขันธ์ที่ไม่เป็นปรามาสซึ่งเกิดก่อนๆ เป็น ปัจจัยแก่ปรามาสและสัมปยุตตขันธ์ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย อาวัชชนจิต เป็นปัจจัยแก่ปรามาสและสัมปยุตตขันธ์โดยอนันตรปัจจัย (๓) [๒๕] สภาวธรรมที่เป็นปรามาสและที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม ที่เป็นปรามาสโดยอนันตรปัจจัย ได้แก่ ปรามาสและสัมปยุตตขันธ์ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ปรามาสที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) ปรามาส และสัมปยุตตขันธ์ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่เป็นปรามาสซึ่งเกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย ปรามาสและสัมปยุตตขันธ์เป็นปัจจัยแก่วุฏฐานะโดยอนันตรปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) ปรามาสและสัมปยุตตขันธ์ที่เกิดก่อนๆ เป็นปัจจัยแก่ปรามาส และสัมปยุตตขันธ์ที่เกิดหลังๆ โดยอนันตรปัจจัย (๓)
สมนันตรปัจจัยเป็นต้น
[๒๖] สภาวธรรมที่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปรามาสโดย สมนันตรปัจจัย เป็นปัจจัยโดยสหชาตปัจจัย เป็นปัจจัยโดยอัญญมัญญปัจจัย เป็นปัจจัยโดยนิสสยปัจจัย มี ๕ วาระ {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า : ๔๕๐}

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน]

๕๐. ปรามาสทุกะ ๗. ปัญหาวาร

อุปนิสสยปัจจัย
[๒๗] สภาวธรรมที่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปรามาสโดย อุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ ปรามาสเป็นปัจจัยแก่ปรามาสโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ วาระ [๒๘] สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาส โดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้วให้ทาน ฯลฯ ทำสมาบัติให้ เกิดขึ้น มีมานะ อาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา ฯลฯ ราคะ ฯลฯ โทสะ ฯลฯ โมหะ ฯลฯ มานะ ฯลฯ ความปรารถนา ฯลฯ สุขทางกาย ฯลฯ เสนาสนะแล้วให้ทาน ฯลฯ ทำสมาบัติให้เกิดขึ้น ฆ่าสัตว์ ฯลฯ ทำลายสงฆ์ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะ เป็นปัจจัยแก่ศรัทธา ฯลฯ ปัญญา ... ราคะ ฯลฯ ความปรารถนา ... สุขทาง กาย ฯลฯ มรรค และผลสมาบัติโดยอุปนิสสยปัจจัย (๑) สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปรามาสโดยอุป- นิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และ ปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้ว ถือทิฏฐิ อาศัยศีล ฯลฯ ปัญญา ฯลฯ ราคะ ฯลฯ ความปรารถนา ฯลฯ สุขทางกาย ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ถือทิฏฐิ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะเป็นปัจจัยแก่ปรามาสโดยอุปนิสสยปัจจัย (๒) สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปรามาสและที่ไม่เป็น ปรามาสโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ อารัมมณูปนิสสยะ อนันตรูปนิสสยะ และปกตูปนิสสยะ ฯลฯ ปกตูปนิสสยะ ได้แก่ บุคคลอาศัยศรัทธาแล้ว ถือทิฏฐิ อาศัยศีล ฯลฯ เสนาสนะแล้ว ถือทิฏฐิ ศรัทธา ฯลฯ เสนาสนะเป็นปัจจัยแก่ปรามาสและ สัมปยุตตขันธ์โดยอุปนิสสยปัจจัย (๓) {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า : ๔๕๑}

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน]

๕๐. ปรามาสทุกะ ๗. ปัญหาวาร

[๒๙] สภาวธรรมที่เป็นปรามาสและที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม ที่เป็นปรามาสโดยอุปนิสสยปัจจัย ได้แก่ ปรามาสและสัมปยุตตขันธ์เป็นปัจจัยแก่ ปรามาสโดยอุปนิสสยปัจจัย มี ๓ วาระ
ปุเรชาตปัจจัย
[๓๐] สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาส โดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลเห็นแจ้งจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุโดยเป็น สภาวะไม่เที่ยง ฯลฯ ยินดีเพลิดเพลิน เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุ เป็นต้นนั้น ราคะ ฯลฯ วิจิกิจฉา ฯลฯ อุทธัจจะ ฯลฯ โทมนัสจึงเกิดขึ้น บุคคลเห็นรูปด้วยทิพพจักขุ ฟังเสียงด้วยทิพพโสตธาตุ รูปายตนะเป็นปัจจัยแก่ จักขุวิญญาณ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ จักขายตนะเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ฯลฯ กายา- ยตนะเป็นปัจจัยแก่กายวิญญาณ ฯลฯ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่เป็น ปรามาสโดยปุเรชาตปัจจัย (๑) สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปรามาสโดยปุเรชาต- ปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ เพราะปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ปรามาสโดยปุเรชาตปัจจัย (๒) สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปรามาสและที่ไม่เป็น ปรามาสโดยปุเรชาตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ อารัมมณปุเรชาตะและวัตถุปุเรชาตะ อารัมมณปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ เพราะ ปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ปรามาสและสัมปยุตตขันธ์จึงเกิดขึ้น วัตถุปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ปรามาสและสัมปยุตตขันธ์โดย ปุเรชาตปัจจัย (๓) {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า : ๔๕๒}

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน]

๕๐. ปรามาสทุกะ ๗. ปัญหาวาร

ปัจฉาชาตปัจจัยและอาเสวนปัจจัย
[๓๑] สภาวธรรมที่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาสโดย ปัจฉาชาตปัจจัย มี ๓ วาระ (พึงเพิ่มปัจฉาชาตปัจจัย) เป็นปัจจัยโดยอาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ
กัมมปัจจัย
[๓๒] สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาส โดยกัมมปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและนานาขณิกะ สหชาตะ ได้แก่ เจตนาที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตต- สมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย ในปฏิสนธิขณะ ฯลฯ นานาขณิกะ ได้แก่ เจตนาที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่เป็นวิบาก และกฏัตตารูปโดยกัมมปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) เจตนาที่ไม่เป็นปรามาสเป็น ปัจจัยแก่ปรามาสโดยกัมมปัจจัย (พึงเพิ่มบทที่เป็นมูล) เจตนาที่ไม่เป็นปรามาสเป็น ปัจจัยแก่ปรามาส สัมปยุตตขันธ์ และจิตตสมุฏฐานรูปโดยกัมมปัจจัย (๓)
วิปากปัจจัยเป็นต้น
[๓๓] สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาส โดยวิปากปัจจัย มี ๑ วาระ เป็นปัจจัยโดยอาหารปัจจัย มี ๓ วาระ เป็น ปัจจัยโดยอินทรียปัจจัย มี ๓ วาระ เป็นปัจจัยโดยฌานปัจจัย มี ๓ วาระ สภาวธรรมที่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาสโดยมัคค- ปัจจัย ได้แก่ องค์มรรคที่เป็นปรามาส ฯลฯ (โดยนัยนี้ พึงเพิ่มเป็น ๕ วาระ) เป็นปัจจัยโดยสัมปยุตตปัจจัย มี ๕ วาระ
วิปปยุตตปัจจัย
[๓๔] สภาวธรรมที่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาสโดย วิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ (ย่อ) (๑) {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า : ๔๕๓}

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน]

๕๐. ปรามาสทุกะ ๗. ปัญหาวาร

สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาสโดย วิปปยุตตปัจจัย มี ๓ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ และปัจฉาชาตะ (ย่อ) (๑) สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปรามาสโดย วิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ปรามาส โดยวิปปยุตตปัจจัย (๒) สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปรามาสและที่ไม่เป็น ปรามาสโดยวิปปยุตตปัจจัย มีอย่างเดียว คือ ปุเรชาตะ ได้แก่ หทัยวัตถุเป็น ปัจจัยแก่ปรามาสและสัมปยุตตขันธ์โดยวิปปยุตตปัจจัย (๓) สภาวธรรมที่เป็นปรามาสและที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็น ปรามาสโดยวิปปยุตตปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ (ย่อ) (๑)
อัตถิปัจจัย
[๓๕] สภาวธรรมที่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาสโดย อัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปัจฉาชาตะ สหชาตะ ได้แก่ ปรามาสเป็นปัจจัยแก่สัมปยุตตขันธ์และจิตตสมุฏฐานรูปโดย อัตถิปัจจัย ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ปรามาสเป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อนโดยอัตถิปัจจัย (๑) [๓๖] สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาส โดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ ปัจฉาชาตะ อาหาระ และอินทรียะ (ย่อ) (๑) สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปรามาสโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่ปรามาสโดยอัตถิปัจจัย ปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ เพราะ ปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ทิฏฐิจึงเกิดขึ้น หทัยวัตถุเป็นปัจจัย แก่ปรามาสโดยอัตถิปัจจัย (๒) {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า : ๔๕๔}

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน]

๕๐. ปรามาสทุกะ ๗. ปัญหาวาร

สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปรามาสและที่ไม่ เป็นปรามาสโดยอัตถิปัจจัย มี ๒ อย่าง คือ สหชาตะและปุเรชาตะ สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ ปรามาส และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ปุเรชาตะ ได้แก่ บุคคลยินดีเพลิดเพลินจักษุ ฯลฯ หทัยวัตถุ เพราะ ปรารภความยินดีเพลิดเพลินจักษุเป็นต้นนั้น ปรามาสและสัมปยุตตขันธ์จึงเกิดขึ้น หทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ปรามาสและสัมปยุตตขันธ์โดยอัตถิปัจจัย (๓) [๓๗] สภาวธรรมที่เป็นปรามาสและที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม ที่ไม่เป็นปรามาสโดยอัตถิปัจจัย มี ๕ อย่าง คือ สหชาตะ ปุเรชาตะ ปัจฉาชาตะ อาหาระ และอินทรียะ สหชาตะ ได้แก่ ขันธ์ ๑ ที่ไม่เป็นปรามาสและปรามาสเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ ๓ และจิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย ฯลฯ ขันธ์ ๒ ฯลฯ ปรามาสและสัมปยุตตขันธ์ เป็นปัจจัยแก่จิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย ปรามาสและมหาภูตรูปเป็นปัจจัยแก่ จิตตสมุฏฐานรูปโดยอัตถิปัจจัย ปรามาสและหทัยวัตถุเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่ไม่เป็น ปรามาสโดยอัตถิปัจจัย ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ปรามาสและสัมปยุตตขันธ์เป็นปัจจัยแก่กายนี้ที่เกิดก่อน โดยอัตถิปัจจัย ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ปรามาส สัมปยุตตขันธ์ และกวฬิงการาหารเป็นปัจจัยแก่ กายนี้โดยอัตถิปัจจัย ปัจฉาชาตะ ได้แก่ ปรามาส สัมปยุตตขันธ์ และรูปชีวิตินทรีย์เป็นปัจจัย แก่กฏัตตารูปโดยอัตถิปัจจัย (๑)
๑. ปัจจยานุโลม ๒. สังขยาวาร
สุทธนัย
[๓๘] เหตุปัจจัย มี ๓ วาระ อารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า : ๔๕๕}

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน]

๕๐. ปรามาสทุกะ ๗. ปัญหาวาร

อธิปติปัจจัย มี ๙ วาระ อนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ สมนันตรปัจจัย มี ๙ วาระ สหชาตปัจจัย มี ๕ วาระ อัญญมัญญปัจจัย มี ๕ วาระ นิสสยปัจจัย มี ๕ วาระ อุปนิสสยปัจจัย มี ๙ วาระ ปุเรชาตปัจจัย มี ๓ วาระ ปัจฉาชาตปัจจัย มี ๓ วาระ อาเสวนปัจจัย มี ๙ วาระ กัมมปัจจัย มี ๓ วาระ วิปากปัจจัย มี ๑ วาระ อาหารปัจจัย มี ๓ วาระ อินทรียปัจจัย มี ๓ วาระ ฌานปัจจัย มี ๕ วาระ มัคคปัจจัย มี ๕ วาระ สัมปยุตตปัจจัย มี ๕ วาระ วิปปยุตตปัจจัย มี ๕ วาระ อัตถิปัจจัย มี ๕ วาระ นัตถิปัจจัย มี ๙ วาระ วิคตปัจจัย มี ๙ วาระ อวิคตปัจจัย มี ๕ วาระ
อนุโลม จบ
๒. ปัจจนียุทธาร
[๓๙] สภาวธรรมที่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปรามาสโดย อารัมมณปัจจัยและอุปนิสสยปัจจัย (๑) {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า : ๔๕๖}

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน]

๕๐. ปรามาสทุกะ ๗. ปัญหาวาร

สภาวธรรมที่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาสโดย อารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และปัจฉาชาตปัจจัย (๒) สภาวธรรมที่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปรามาสและที่ไม่เป็น ปรามาสโดยอารัมมณปัจจัยและอุปนิสสยปัจจัย (๓) [๔๐] สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาส โดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย ปุเรชาตปัจจัย ปัจฉาชาตปัจจัย กัมมปัจจัย อาหารปัจจัย และอินทรียปัจจัย (๑) สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปรามาสโดย อารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และปุเรชาตปัจจัย (๒) สภาวธรรมที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็นปรามาสและที่ไม่เป็น ปรามาสโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และปุเรชาตปัจจัย (๓) [๔๑] สภาวธรรมที่เป็นปรามาสและที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรม ที่เป็นปรามาสโดยอารัมมณปัจจัยและอุปนิสสยปัจจัย (๑) สภาวธรรมที่เป็นปรามาสและที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่ไม่เป็น ปรามาสโดยอารัมมณปัจจัย สหชาตปัจจัย อุปนิสสยปัจจัย และปัจฉาชาตปัจจัย (๒) สภาวธรรมที่เป็นปรามาสและที่ไม่เป็นปรามาสเป็นปัจจัยแก่สภาวธรรมที่เป็น ปรามาสและที่ไม่เป็นปรามาสโดยอารัมมณปัจจัยและอุปนิสสยปัจจัย (๓)
๒. ปัจจยปัจจนียะ ๒. สังขยาวาร
[๔๒] นเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ นอารัมมณปัจจัย มี ๙ วาระ (ทุกปัจจัยมีปัจจัยละ ๙ วาระ) โนอวิคตปัจจัย มี ๙ วาระ
๓. ปัจจยานุโลมปัจจนียะ
[๔๓] นอารัมมณปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ นอธิปติปัจจัย ” มี ๓ วาระ {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๔๒ หน้า : ๔๕๗}

พระอภิธรรมปิฎก ธัมมานุโลม [ทุกปัฏฐาน]

๕๑. ปรามัฏฐทุกะ ๑-๗. ปัญหาวาร

นอนันตรปัจจัย กับเหตุปัจจัย มี ๓ วาระ นสมนันตรปัจจัย ” มี ๓ วาระ นอัญญมัญญปัจจัย ” มี ๑ วาระ นอุปนิสสยปัจจัย ” มี ๓ วาระ ฯลฯ นมัคคปัจจัย ” มี ๓ วาระ นสัมปยุตตปัจจัย ” มี ๑ วาระ นวิปปยุตตปัจจัย ” มี ๓ วาระ โนนัตถิปัจจัย ” มี ๓ วาระ โนวิคตปัจจัย ” มี ๓ วาระ
๔. ปัจจยปัจจนียานุโลม
[๔๔] อารัมมณปัจจัย กับนเหตุปัจจัย มี ๙ วาระ อธิปติปัจจัย ” มี ๙ วาระ (พึงเพิ่มบทอนุโลมมาติกา) ฯลฯ อวิคตปัจจัย ” มี ๕ วาระ
ปรามาสทุกะ จบ


                  เนื้อความพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๔๒ หน้าที่ ๔๔๖-๔๕๘. http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_siri.php?B=42&siri=94              ฟังเนื้อความพระไตรปิฎก : [1], [2], [3], [4].                   อ่านเทียบพระไตรปิฎกฉบับหลวง :- http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=42&A=12296&Z=12674                   ศึกษาอรรถกถานี้ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=42&i=676              พระไตรปิฏกฉบับภาษาบาลีอักษรไทย :- http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/pali_item_s.php?book=42&item=676&items=17              The Pali Tipitaka in Roman :- http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/roman_item_s.php?book=42&item=676&items=17                   สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๔๒ http://84000.org/tipitaka/read/?index_mcu42



บันทึก ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ บันทึกล่าสุด ๒๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ การแสดงผลนี้อ้างอิงข้อมูลจากพระไตรปิฎกฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :